ข้ามเวลาล่าฝันบทที่ 2 1
มารุมองไปที่เหล่าเด็กหนุ่มด้วยความเอ็นดู พวกเขาช่างดูน่ารัก พูดถึงเรื่องการแลกบุหรี่ราวกับมันเป็นยาเสพติด ในช่วงวัยนี้เขาเองก็เคยลองสูบบุหรี่เพราะเพื่อนชวน แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ชอบที่จะสูบ จนถึงขั้นกลายเป็นคนที่คอยหยุดคนอื่นไม่ให้สูบแทน ไม่นานเด็กคนอื่นก็เดินเข้ามาในห้องมากขึ้นเรื่อย ๆ
บ้างตัวสูง บ้างตัวเตี้ย บางคนตัวเล็ก บางคนตัวใหญ่ มีทั้งคนที่ใส่แว่น และคนที่ไม่ใส่ บางคนหน้าหล่อ บางคนหน้าเห่ย ต่างคนต่างมีลักษณะเด่นของตัวเอง และในจำนวนนั้น มารุได้เห็นใบหน้าที่ดูคุ้นตาหลายคน
‘แกนี่มันไม่เปลี่ยนไปเลยจริง ๆ นะ’ เขาเห็นใบหน้าของเพื่อนเก่าเขาซ้อนทับกับตัวพวกเขาในวัยเด็ก ถึงแม้หลาย ๆ คนจะเริ่มลงพุงหลังแต่งงานเพราะกินเบียร์เยอะเกินไป แต่ก็ยังพอมีเค้าโครงหน้าในวัยเด็กให้เห็นได้ แม้เขาจะจำชื่อและนิสัยของแต่ละคนไม่ได้เสียด้วยซ้ำ แต่การได้พบเจอกับ ‘เพื่อนเก่า’ ก็ยังทำให้รู้สึกดีได้เสมอ ถึงแม้ว่าตอนนี้ความทรงจำเก่า ๆ จะเริ่มจางหายไปก็ตาม
คงเพราะพระเจ้าอยากให้เขาได้ใช้ชีวิตนี้อย่างไม่ต้องยึดติดกับอดีต มารุเสียบหูฟังกลับเข้าไปในหู นึกเพียงว่าอีกไม่นานพวกเขาก็จะได้เป็นเพื่อนกันอีกครั้ง ถึงที่ผ่านมาในชีวิตนี้จะไม่เคยได้รู้จักกัน แต่เด็กหลายคนก็เริ่มจับกลุ่มคุยกัน ถึงส่วนมากจะยังคงอยู่นิ่งกับตัวเอง
คงเพราะว่าที่นี่เป็นโรงเรียนอาชีวะล่ะมั้ง? เพราะเขาเองตอนที่เข้ามาใหม่ ๆ ก็ยังรู้สึกกลัว ๆ เด็กคนอื่นอยู่บ้าง เพราะพวกเขาดูเหมือนจะเป็นนักเลงกันไปหมด แต่พอได้ลองคุยกันดูเขาก็รู้ว่าพวกนั้นไม่ได้เป็นคนเลวร้ายอะไร
‘อ่า เดี๋ยวก่อนนะ มันมีเจ้าตัวยุ่งยากนั่นอยู่ด้วยไม่ใช่เหรอ?’ น่าเสียดายที่เขาจำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้นไม่ค่อยได้ ที่นั่งค่อย ๆ มีคนนั่งลงมากขึ้น ทีละคน ทีละคน คนที่เข้ามาช้าที่สุดคือคนตัวใหญ่ที่ดูท่าทางจะน้ำหนักเกิน 90 กิโลกรัม เด็กคนอื่นจ้องมองไปอย่างหวาดระแวง แต่ส่วนตัวมารุยังจำเด็กคนนี้ได้อยู่บ้าง และเขาคงไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร
ครืด เสียงเปิดประตูหน้าดังขึ้นพร้อมด้วยใครบางคน ที่อายุน่าจะราว ๆ สัก 40 กว่าปีนิด ๆ เดินเข้ามาพร้อมไม้เรียวในมือ มารุทำคิ้วขมวดทันทีหลังจากที่ได้เห็น เพราะเขามีความทรงจำอันเลวร้ายมากมายกับคน ๆ นี้
“เอาล่ะ ๆ เอาหูฟังออกได้แล้ว นี่ ใครก็ได้ปลุกมันหน่อยสิ แกตรงนั้น เปิดหน้าต่างเดี๋ยวนี้เลย ทำไมถึงได้ชอบอยู่แบบอุดอู้กันนัก? เปิดให้อากาศมันถ่ายเทบ้าง อย่าลืมเก็บม่านด้วย” เขาตะโกนบอก
นักเรียนต่างทำตามคำสั่งของเขาทีละคน ๆ หลังจากโดนไม้เรียวชี้เข้าที่ตัว
ลมเย็น ๆ พัดเข้ามาในห้อง ทำให้เด็กคนที่นั่งติดกับหน้าต่างทำหน้าตาไม่สบอารมณ์
“ยินดีที่ได้รู้จัก ฉันชื่อคิม จุงซิค ครูประจำชั้นพวกแก สอนวิชาดิจิทัลศึกษา อายุ 42 แต่งงานแล้ว มีลูกชายกำลังเรียนอยู่มัธยมต้น ชอบวิทยาศาสตร์ เกลียดเด็กดื้อ จบ มีใครอยากถามอะไรไหม?”
ไม่มีใครปริปากพูดอะไร มารุเองก็เช่นกัน เพราะเขารู้ดีว่าการเข้าไปยุ่งกับครูคนนี้มันน่าปวดหัวแค่ไหน
“ฉันไม่สนหรอกนะว่าพวกแกจะมาเรียนที่นี่เพราะเป็นนักเลง หรือเพราะอยากจะเป็นวิศวกร สิ่งที่ฉันอยากได้จากพวกแกน่ะมีแค่สองอย่าง อย่างแรก ฟังครูพูด อย่างที่สอง ทำตามกฎ ที่นี่น่ะมีหลายคนที่อนาคตไกล อย่าไปทำอนาคตของพวกเขาพังล่ะ เข้าใจไหม?”
ครูใช้ไม้เรียวของตัวเองเคาะเข้ากับโต๊ะบรรยายอย่างแรงจนทำให้เหล่านักเรียนต้องสะดุ้งโหยง
“ฟังฉันเวลาฉันพูดด้วย เข้าใจไหม?” เขาขู่ “ครับครู”
“ดีมาก ต่อจากนี้ถ้าฉันถามอะไรให้ตอบแบบนี้นะ ฉันน่ะไม่ชอบคนลังเล”
“ครับครู”
“เอาล่ะ เก็บของตัวเองแล้วลุกขึ้น”
เหล่านักเรียนต่างพากันหยิบเสื้อคลุมและกระเป๋าของตัวเองขึ้น
เอี้ยด เสียงเก้าอี้ขูดกับพื้นดังขึ้นหลังจากมีคนใช้มือดันมันเข้า
“อย่าลากเก้ากี้กับพื้น” ครูพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดัน ทำให้นักเรียนคนนั้นค่อย ๆ ยกมันเบา ๆ แทน
“เอาล่ะ เดี๋ยวจะเรียกตามเลขที่นะ นั่งให้ถูกที่ด้วย เลขที่ 1 ปาร์ค วูชาน”
นักเรียนที่ถูกขานชื่อเก็บของเดินไปนั่งยังแถวหน้าสุด
“ปาร์ค วูชาน” ครูขานเรียกอีกครั้ง
“ครับ?”
“ลุก”
วูชานลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้างุนงงก่อนจะถูกครูใช้ไม้เรียวทิ่มเข้าที่หัวไหล่
“บอกให้ขานตอบด้วย”
“อ่ะ ครับครู”
“อย่าให้ต้องพูดบ่อยนัก อยู่โรงเรียนนี้ไปเดี๋ยวก็คงได้รู้จักครู ๆ กันมากขึ้นเอง และรุ่นพี่พวกแกน่ะ เรียกฉันว่า เหี้ย เอาจริง ๆ ฉันก็ชอบนะชื่อนี่นะ เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะฉันจะได้ทำตัวเหี้ย ๆ ได้สมกับชื่อไง เพราะงั้น ระวังตัวกันไว้ด้วย ถ้าไม่อยากเจ็บตัว”
วูชานเม้มปากพร้อมพยักหน้ารับ
อ่า ใช่ ครูก็เป็นกันแบบนี้ มารุเดาะลิ้นด้วยความไม่พอใจ ในอนาคตพฤติกรรมแบบนี้นั้นถูกกฎหมายสั่งห้าม แต่ไม่ใช่ตอนนี้ เขายังจำได้ว่ามีเด็กหลายคนถูกครูตี ถึงแม้เขาจะไม่ค่อยแน่ใจว่าที่เป็นแบบนี้เพราะเขาอยู่โรงเรียนอาชีวะหรือเปล่าก็ตาม
“ต่อไป เลขที่ 2” ครูขานชื่อต่อ
เหล่านักเรียนค่อย ๆ ไปนั่งลงยังที่นั่งของตัวเอง การมองดูคนค่อย ๆ ออกไปทีละคนแบบนี้ ทำให้เขาหวนนึกถึงช่วงสมัยเข้ารับราชการทหาร อ่า เขาจำได้อีกอย่างแล้ว สิ่งนั้นคือเพื่อน ๆ ของเขามักจะเรียกโรงเรียนนี้ว่าค่ายทหาร เขายังจำมันได้อย่างดี จริง ๆ ก็อาจจะไม่ค่อย ‘ดี’ สักเท่าไหร่
“เลขที่ 40 ฮาน มารุ”
“ครับครู”
“มารุ? ที่แปลว่าพื้นหรืออะไรแบบนั้นเหรอ?”
“คำเกาหลีแท้ หมายความว่าท้องฟ้าครับ”
“เรอะ? ช่างเถอะ ไปนั่งข้างหลัง”
มารุนั่งลงที่หลังสุดของแถวที่สี่ ประตูหน้าห้องเปิดออกเบา ๆ ก่อนครูอีกคนจะมองเข้ามาในห้อง ดูเหมือนว่าจะมีครูคนอื่นมาหาครูคิม เขาใช้ไม้เรียวชี้ไปรอบห้องพร้อมสายตาตักเตือน
“เดี๋ยวฉันกลับมา เงียบ ๆ ล่ะ ถ้าฉันได้ยินเสียงคุยกันแม้แต่นิดเดียว วันนี้พวกแกลำบากแน่”
เหล่าเด็ก ๆ ต่างพากันถอนหายใจด้วยความโล่งอกหลังครูออกจากห้องไป “ว้าว”
“ให้ตายสิ”
“แม่ง ไอ้แก่ของจริงเลยนี่หว่า”
เหล่านักเรียนต่างพากันนินทาครู มารุเองก็คิดว่ามันฟังดูสนุกดี ถ้าไม่ติดที่ว่าในอดีตตัวเขาเองก็เคยถูกเรียกว่าไอ้แก่หลายครั้ง
“ให้ตายเถอะ อยากได้ครูผู้หญิงโว้ย” เด็กผู้ชายที่นั่งข้าง ๆ เขาพูดขึ้นมา มารุหันไปมอง ชื่อของเขาคือ ฮาน โดจิน เพราะนามสกุลเดียวกัน เลยทำให้พวกเขาได้นั่งติดกัน เลขที่ 39 กับเลขที่ 40
“เหอะ จะชายหรือหญิง ครูก็ยังเป็นคครูเหมือนเดิมแหละ” มารุพูดพร้อมวางกระเป๋าลงบนโต๊ะ
“แกไม่ได้เข้าใจเลยสินะ? ครูผู้หญิงน่ะ ตีเบากว่า เห็นไม้ที่มันถือมานั่นไหมล่ะ เจอของแบบนั้นเข้าไปนี่เจ็บแน่ ๆ แม่ง” โดจินตัวสั่นด้วยความกลัวที่เกินกว่าเหตุ เหมาะสมกับตำแหน่งตัวตลกประจำห้อง น่าแปลกที่ใบหน้าของเด็กหนุ่มช่างดูคุ้นตามารุเหลือเกิน อาจจะเพราะพวกเขาได้เป็นเพื่อนกันในอนาคตล่ะมั้ง
“โดจิน ใช่ไหม?” มารุถามย้ำ
“อ่า มารุใช่ปะ? ชื่อแปลกดี”
“ออกจะดี ใครได้ยินก็จำได้ไม่ลืม”
“ก็จริง ฟังอะไรอยู่วะ?” โดจินถามพร้อมชี้มือไปที่เครื่องเล่น MP3
“เพลงป๊อป” มารุตอบกลับ
“ขอฟังหน่อยดิ”
เด็กหนุ่มยื่นมือไปทางมารุ เขายิ้มเล็กน้อยก่อนจะส่งให้ไป
“โอ้ เพลงดีนี่”
โดจินเริ่มขยับตัวไปตามทำนองเพลง ตอนนั้นเองที่ประตูเปิดออกและครูเดินกลับเข้ามา
“เฮ้ย” ไม้เรียวนั้นชี้มายังโดจิน แต่น่าเสียดายที่เด็กหนุ่มไม่ได้ยินคำพูดของครูเลย มารุสะกิดไหล่โดจินจนทำให้เด็กหนุ่มดึงหูฟังออกทันทีหลังจากลืมตาขึ้น แต่น่าเสียดายที่ครูนั้นได้มายืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว
Comments
ข้ามเวลาล่าฝันบทที่ 2 1
มารุมองไปที่เหล่าเด็กหนุ่มด้วยความเอ็นดู พวกเขาช่างดูน่ารัก พูดถึงเรื่องการแลกบุหรี่ราวกับมันเป็นยาเสพติด ในช่วงวัยนี้เขาเองก็เคยลองสูบบุหรี่เพราะเพื่อนชวน แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ชอบที่จะสูบ จนถึงขั้นกลายเป็นคนที่คอยหยุดคนอื่นไม่ให้สูบแทน ไม่นานเด็กคนอื่นก็เดินเข้ามาในห้องมากขึ้นเรื่อย ๆ
บ้างตัวสูง บ้างตัวเตี้ย บางคนตัวเล็ก บางคนตัวใหญ่ มีทั้งคนที่ใส่แว่น และคนที่ไม่ใส่ บางคนหน้าหล่อ บางคนหน้าเห่ย ต่างคนต่างมีลักษณะเด่นของตัวเอง และในจำนวนนั้น มารุได้เห็นใบหน้าที่ดูคุ้นตาหลายคน
‘แกนี่มันไม่เปลี่ยนไปเลยจริง ๆ นะ’ เขาเห็นใบหน้าของเพื่อนเก่าเขาซ้อนทับกับตัวพวกเขาในวัยเด็ก ถึงแม้หลาย ๆ คนจะเริ่มลงพุงหลังแต่งงานเพราะกินเบียร์เยอะเกินไป แต่ก็ยังพอมีเค้าโครงหน้าในวัยเด็กให้เห็นได้ แม้เขาจะจำชื่อและนิสัยของแต่ละคนไม่ได้เสียด้วยซ้ำ แต่การได้พบเจอกับ ‘เพื่อนเก่า’ ก็ยังทำให้รู้สึกดีได้เสมอ ถึงแม้ว่าตอนนี้ความทรงจำเก่า ๆ จะเริ่มจางหายไปก็ตาม
คงเพราะพระเจ้าอยากให้เขาได้ใช้ชีวิตนี้อย่างไม่ต้องยึดติดกับอดีต มารุเสียบหูฟังกลับเข้าไปในหู นึกเพียงว่าอีกไม่นานพวกเขาก็จะได้เป็นเพื่อนกันอีกครั้ง ถึงที่ผ่านมาในชีวิตนี้จะไม่เคยได้รู้จักกัน แต่เด็กหลายคนก็เริ่มจับกลุ่มคุยกัน ถึงส่วนมากจะยังคงอยู่นิ่งกับตัวเอง
คงเพราะว่าที่นี่เป็นโรงเรียนอาชีวะล่ะมั้ง? เพราะเขาเองตอนที่เข้ามาใหม่ ๆ ก็ยังรู้สึกกลัว ๆ เด็กคนอื่นอยู่บ้าง เพราะพวกเขาดูเหมือนจะเป็นนักเลงกันไปหมด แต่พอได้ลองคุยกันดูเขาก็รู้ว่าพวกนั้นไม่ได้เป็นคนเลวร้ายอะไร
‘อ่า เดี๋ยวก่อนนะ มันมีเจ้าตัวยุ่งยากนั่นอยู่ด้วยไม่ใช่เหรอ?’ น่าเสียดายที่เขาจำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้นไม่ค่อยได้ ที่นั่งค่อย ๆ มีคนนั่งลงมากขึ้น ทีละคน ทีละคน คนที่เข้ามาช้าที่สุดคือคนตัวใหญ่ที่ดูท่าทางจะน้ำหนักเกิน 90 กิโลกรัม เด็กคนอื่นจ้องมองไปอย่างหวาดระแวง แต่ส่วนตัวมารุยังจำเด็กคนนี้ได้อยู่บ้าง และเขาคงไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร
ครืด เสียงเปิดประตูหน้าดังขึ้นพร้อมด้วยใครบางคน ที่อายุน่าจะราว ๆ สัก 40 กว่าปีนิด ๆ เดินเข้ามาพร้อมไม้เรียวในมือ มารุทำคิ้วขมวดทันทีหลังจากที่ได้เห็น เพราะเขามีความทรงจำอันเลวร้ายมากมายกับคน ๆ นี้
“เอาล่ะ ๆ เอาหูฟังออกได้แล้ว นี่ ใครก็ได้ปลุกมันหน่อยสิ แกตรงนั้น เปิดหน้าต่างเดี๋ยวนี้เลย ทำไมถึงได้ชอบอยู่แบบอุดอู้กันนัก? เปิดให้อากาศมันถ่ายเทบ้าง อย่าลืมเก็บม่านด้วย” เขาตะโกนบอก
นักเรียนต่างทำตามคำสั่งของเขาทีละคน ๆ หลังจากโดนไม้เรียวชี้เข้าที่ตัว
ลมเย็น ๆ พัดเข้ามาในห้อง ทำให้เด็กคนที่นั่งติดกับหน้าต่างทำหน้าตาไม่สบอารมณ์
“ยินดีที่ได้รู้จัก ฉันชื่อคิม จุงซิค ครูประจำชั้นพวกแก สอนวิชาดิจิทัลศึกษา อายุ 42 แต่งงานแล้ว มีลูกชายกำลังเรียนอยู่มัธยมต้น ชอบวิทยาศาสตร์ เกลียดเด็กดื้อ จบ มีใครอยากถามอะไรไหม?”
ไม่มีใครปริปากพูดอะไร มารุเองก็เช่นกัน เพราะเขารู้ดีว่าการเข้าไปยุ่งกับครูคนนี้มันน่าปวดหัวแค่ไหน
“ฉันไม่สนหรอกนะว่าพวกแกจะมาเรียนที่นี่เพราะเป็นนักเลง หรือเพราะอยากจะเป็นวิศวกร สิ่งที่ฉันอยากได้จากพวกแกน่ะมีแค่สองอย่าง อย่างแรก ฟังครูพูด อย่างที่สอง ทำตามกฎ ที่นี่น่ะมีหลายคนที่อนาคตไกล อย่าไปทำอนาคตของพวกเขาพังล่ะ เข้าใจไหม?”
ครูใช้ไม้เรียวของตัวเองเคาะเข้ากับโต๊ะบรรยายอย่างแรงจนทำให้เหล่านักเรียนต้องสะดุ้งโหยง
“ฟังฉันเวลาฉันพูดด้วย เข้าใจไหม?” เขาขู่ “ครับครู”
“ดีมาก ต่อจากนี้ถ้าฉันถามอะไรให้ตอบแบบนี้นะ ฉันน่ะไม่ชอบคนลังเล”
“ครับครู”
“เอาล่ะ เก็บของตัวเองแล้วลุกขึ้น”
เหล่านักเรียนต่างพากันหยิบเสื้อคลุมและกระเป๋าของตัวเองขึ้น
เอี้ยด เสียงเก้าอี้ขูดกับพื้นดังขึ้นหลังจากมีคนใช้มือดันมันเข้า
“อย่าลากเก้ากี้กับพื้น” ครูพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดัน ทำให้นักเรียนคนนั้นค่อย ๆ ยกมันเบา ๆ แทน
“เอาล่ะ เดี๋ยวจะเรียกตามเลขที่นะ นั่งให้ถูกที่ด้วย เลขที่ 1 ปาร์ค วูชาน”
นักเรียนที่ถูกขานชื่อเก็บของเดินไปนั่งยังแถวหน้าสุด
“ปาร์ค วูชาน” ครูขานเรียกอีกครั้ง
“ครับ?”
“ลุก”
วูชานลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้างุนงงก่อนจะถูกครูใช้ไม้เรียวทิ่มเข้าที่หัวไหล่
“บอกให้ขานตอบด้วย”
“อ่ะ ครับครู”
“อย่าให้ต้องพูดบ่อยนัก อยู่โรงเรียนนี้ไปเดี๋ยวก็คงได้รู้จักครู ๆ กันมากขึ้นเอง และรุ่นพี่พวกแกน่ะ เรียกฉันว่า เหี้ย เอาจริง ๆ ฉันก็ชอบนะชื่อนี่นะ เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะฉันจะได้ทำตัวเหี้ย ๆ ได้สมกับชื่อไง เพราะงั้น ระวังตัวกันไว้ด้วย ถ้าไม่อยากเจ็บตัว”
วูชานเม้มปากพร้อมพยักหน้ารับ
อ่า ใช่ ครูก็เป็นกันแบบนี้ มารุเดาะลิ้นด้วยความไม่พอใจ ในอนาคตพฤติกรรมแบบนี้นั้นถูกกฎหมายสั่งห้าม แต่ไม่ใช่ตอนนี้ เขายังจำได้ว่ามีเด็กหลายคนถูกครูตี ถึงแม้เขาจะไม่ค่อยแน่ใจว่าที่เป็นแบบนี้เพราะเขาอยู่โรงเรียนอาชีวะหรือเปล่าก็ตาม
“ต่อไป เลขที่ 2” ครูขานชื่อต่อ
เหล่านักเรียนค่อย ๆ ไปนั่งลงยังที่นั่งของตัวเอง การมองดูคนค่อย ๆ ออกไปทีละคนแบบนี้ ทำให้เขาหวนนึกถึงช่วงสมัยเข้ารับราชการทหาร อ่า เขาจำได้อีกอย่างแล้ว สิ่งนั้นคือเพื่อน ๆ ของเขามักจะเรียกโรงเรียนนี้ว่าค่ายทหาร เขายังจำมันได้อย่างดี จริง ๆ ก็อาจจะไม่ค่อย ‘ดี’ สักเท่าไหร่
“เลขที่ 40 ฮาน มารุ”
“ครับครู”
“มารุ? ที่แปลว่าพื้นหรืออะไรแบบนั้นเหรอ?”
“คำเกาหลีแท้ หมายความว่าท้องฟ้าครับ”
“เรอะ? ช่างเถอะ ไปนั่งข้างหลัง”
มารุนั่งลงที่หลังสุดของแถวที่สี่ ประตูหน้าห้องเปิดออกเบา ๆ ก่อนครูอีกคนจะมองเข้ามาในห้อง ดูเหมือนว่าจะมีครูคนอื่นมาหาครูคิม เขาใช้ไม้เรียวชี้ไปรอบห้องพร้อมสายตาตักเตือน
“เดี๋ยวฉันกลับมา เงียบ ๆ ล่ะ ถ้าฉันได้ยินเสียงคุยกันแม้แต่นิดเดียว วันนี้พวกแกลำบากแน่”
เหล่าเด็ก ๆ ต่างพากันถอนหายใจด้วยความโล่งอกหลังครูออกจากห้องไป “ว้าว”
“ให้ตายสิ”
“แม่ง ไอ้แก่ของจริงเลยนี่หว่า”
เหล่านักเรียนต่างพากันนินทาครู มารุเองก็คิดว่ามันฟังดูสนุกดี ถ้าไม่ติดที่ว่าในอดีตตัวเขาเองก็เคยถูกเรียกว่าไอ้แก่หลายครั้ง
“ให้ตายเถอะ อยากได้ครูผู้หญิงโว้ย” เด็กผู้ชายที่นั่งข้าง ๆ เขาพูดขึ้นมา มารุหันไปมอง ชื่อของเขาคือ ฮาน โดจิน เพราะนามสกุลเดียวกัน เลยทำให้พวกเขาได้นั่งติดกัน เลขที่ 39 กับเลขที่ 40
“เหอะ จะชายหรือหญิง ครูก็ยังเป็นคครูเหมือนเดิมแหละ” มารุพูดพร้อมวางกระเป๋าลงบนโต๊ะ
“แกไม่ได้เข้าใจเลยสินะ? ครูผู้หญิงน่ะ ตีเบากว่า เห็นไม้ที่มันถือมานั่นไหมล่ะ เจอของแบบนั้นเข้าไปนี่เจ็บแน่ ๆ แม่ง” โดจินตัวสั่นด้วยความกลัวที่เกินกว่าเหตุ เหมาะสมกับตำแหน่งตัวตลกประจำห้อง น่าแปลกที่ใบหน้าของเด็กหนุ่มช่างดูคุ้นตามารุเหลือเกิน อาจจะเพราะพวกเขาได้เป็นเพื่อนกันในอนาคตล่ะมั้ง
“โดจิน ใช่ไหม?” มารุถามย้ำ
“อ่า มารุใช่ปะ? ชื่อแปลกดี”
“ออกจะดี ใครได้ยินก็จำได้ไม่ลืม”
“ก็จริง ฟังอะไรอยู่วะ?” โดจินถามพร้อมชี้มือไปที่เครื่องเล่น MP3
“เพลงป๊อป” มารุตอบกลับ
“ขอฟังหน่อยดิ”
เด็กหนุ่มยื่นมือไปทางมารุ เขายิ้มเล็กน้อยก่อนจะส่งให้ไป
“โอ้ เพลงดีนี่”
โดจินเริ่มขยับตัวไปตามทำนองเพลง ตอนนั้นเองที่ประตูเปิดออกและครูเดินกลับเข้ามา
“เฮ้ย” ไม้เรียวนั้นชี้มายังโดจิน แต่น่าเสียดายที่เด็กหนุ่มไม่ได้ยินคำพูดของครูเลย มารุสะกิดไหล่โดจินจนทำให้เด็กหนุ่มดึงหูฟังออกทันทีหลังจากลืมตาขึ้น แต่น่าเสียดายที่ครูนั้นได้มายืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว
Comments