เซียนหมากข้ามมิติ 261 เป็นใครกันแน่

Now you are reading เซียนหมากข้ามมิติ Chapter 261 เป็นใครกันแน่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 261 เป็นใครกันแน่

หลังจากจี้หยวนเอ่ยเสียงเบาคุยกับจางหรุ่ย เขายังไม่หันกลับไป ไม่นานแม่เล้าด้านหลังก็ถือพัดยกกระโปรงรีบตามมา แน่นอนว่าหวังลี่ตามหลังนางมาติดๆ

“ตายแล้วคุณชายท่านนี้ ร่างกายแข็งแรงฝีเท้าว่องไวจริง เพิ่งเดินมาสองสามก้าวข้าเกือบตามไม่ทันแล้ว คุณชาย แม้ว่าแม่นางหงซิ่วบรรเลงพิณอยู่กับคนอื่นชั่วคราว แต่คิดว่าใกล้ได้เวลาแล้ว อีกเดี๋ยวข้าจะไปถามให้ท่าน ท่านดื่มชารอบนเรือก่อนนะเจ้าคะ คิกๆๆๆ…”

จี้หยวนมองแม่เล้าคนนี้ เผยรอยยิ้มเสี้ยวหนึ่งก่อนพยักหน้า

“ได้ รบกวนท่านแล้ว”

“โธ่เอ๋ย ไม่รบกวนๆ!”

แม่เล้ายิ้มกล่าวอย่างเปี่ยมเสน่ห์ ความถี่ของการสะบัดพัดกลมเร็วกว่าปกติหลายเท่า บ่งบอกว่าในใจตื่นเต้นเล็กน้อย

หวังลี่ที่อยู่ด้านข้างติดตามข้างกายจี้หยวนโดยไม่พูดจา คิดย้อนดูแล้วคำพูดที่เขาเอ่ยเสียงเบาคุยกับแม่เล้าเมื่อครู่ เทพเซียนท่านนี้น่าจะรู้ด้วยกระมัง

แน่นอนว่าจี้หยวนรู้ว่าหวังลี่พูดอะไร เรื่องนี้ไม่ต้องคาดเดา ด้วยทักษะการฟังของเขามีหรือจะไม่ได้ยิน แต่เรื่องนี้ยังถือว่ามีประโยชน์ ทั้งไม่จำเป็นต้องเปิดเผย

พูดถึงขนาดของหอวิจิตรถือว่าไม่เล็กจริงๆ ภายในยังมีลานสวนหอหรูหรามากมาย นับว่าดำเนินกิจการหอนางโลมจนรุ่งเรืองถึงขีดสุด แม่เล้าพาจี้หยวนกับหวังลี่เดินมาด้านหลัง ระหว่างทางยังแนะนำว่าแม่นางเรือนไหนเชี่ยวชาญศิลปะอะไร คนไหนเป็นเลิศทั้งรูปโฉมและทักษะให้จี้หยวนฟังอย่างกระตือรือร้น

แต่เห็นว่าจี้หยวนแทบไม่เหลือบมอง ต่อให้มองเป็นครั้งคราวก็แค่ชายตาลวกๆ ในใจแม่เล้าใคร่ครวญทันทีว่าคุณชายท่านนี้น่าจะเห็นสาวงามจนชินแล้ว หญิงงามดาษดื่นทั่วไปล้วนไม่เข้าตา

ไม่นานพวกเขาเดินผ่านหอวิจิตรมาถึงริมน้ำ เดินบนทางไม้กลางน้ำเหนือแม่น้ำระเบียบ เบื้องหน้าก็คือเรือวิจิตร

“คุณชายท่านนี้ ยังมีคุณชายหวัง เบื้องหน้าก็คือเรือวิจิตร แม่นางชั้นเลิศของพวกเราหอวิจิตรล้วนอยู่ด้านใน! คิกๆๆ… เชิญตามข้าขึ้นเรือ!”

แม่เล้ายกพัดปิดปากพลางยิ้มเบาๆ ยามนำทางอยู่ข้างหน้ายังหันมามองจี้หยวนอย่างระวัง บังเอิญเห็นจี้หยวนยิ้มจางก่อนสะบัดแขนเสื้อตามมา

การสะบัดแขนเสื้อนี้ถึงขั้นทำให้แม่เล้ารู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจ จันทร์กระจ่างบนฟ้าสะท้อนเงาบนผิวน้ำข้างกายเขาพอดี

พูดตามตรงว่าเป็นแม่เล้าทำกิจการด้านนี้มานาน นางเคยเจอผู้ชายมานับไม่ถ้วน หน้าตาคุณชายท่านนี้แน่นอนว่าดูดี แต่คนหล่อเหลากว่าเขาแน่นอนว่ามีไม่น้อย แต่ความเป็นธรรมชาติและเรียบเฉย รวมถึงความเปี่ยมประสบการณ์รางเลือนนับว่าตลอดชีวิตนางเพิ่งเคยเจอ

ภายในห้องรับรองสักแห่งบนเรือ แม่เล้าเชิญหวังลี่กับจี้หยวนนั่ง กำชับคนอื่นให้ต้อนรับแขกก่อนขอตัวลา

“ท่านทั้งสองเชิญนั่งพักดื่มชาที่นี่ชั่วคราว ข้าจะไปบนหอดูแม่นางหงซิ่วสักหน่อย…”

แม่เล้าลุกขึ้นจากไป ก้าวออกจากห้องรับรองอย่างเนิบช้าแล้วเร่งฝีเท้าทันที เดินไปทางหอซึ่งหงซิ่วอยู่อย่างรีบร้อน

ห้องรับรองเงียบสงบ นอกจากแขกแล้วคนรับใช้ล้วนรออยู่ข้างนอก

จี้หยวนยกถ้วยชาขึ้นมาดมกลิ่นชา จากนั้นค่อยดื่มน้ำชาลงไป หวังลี่กับจางหรุ่ยนั่งคุกเข่าอยู่ซ้ายขวา นอกหน้าต่างคือแม่น้ำนิ่งสงบ

“กลิ่นแป้งชาดบนเรือลำนี้ไม่เตะจมูกนัก”

จางหรุ่ยเอ่ยปากประโยคหนึ่ง ยกถ้วยชาของหวังลี่มาจ่อจมูกดม ปราณขาวสายหนึ่งถูกดูดไป เดิมทีนางก็เชี่ยวชาญด้านการซ่อนตัว ทั้งมีประกาศิตของท่านจี้อยู่ ย่อมไม่กลัวกลิ่นอายแพร่งพราย

หวังลี่เห็นสถานการณ์นี้ เขามองจี้หยวนก่อนหยิบถ้วยชาใบใหม่ รินให้ตัวเองถ้วยหนึ่ง ขณะเดียวกันยังมองซ้ายมองขวารอบห้องรับรองของเรือวิจิตร

ตอนนั้นเขาเคยมาบนเรือวิจิตรแค่ครั้งเดียวเพราะถูกเชิญมาเล่าเรื่อง ตอนนั้นหลังจากเจอหงซิ่วครั้งหนึ่งก็ตื่นตะลึง เมื่อเล่าเรื่องจบแม่นางหงซิ่วยังดื่มสุราคำนับ บอกกับหวังลี่เสียงเบาว่าให้เรียกนางว่า ‘หวั่นเอ๋อร์’

หลังจากนั้นหวังลี่กลายเป็นลูกค้าประจำของหอวิจิตร คิดถึงแม่นางหงซิ่วทุกเช้าค่ำ แน่นอนว่าแม่นางคนอื่นในหอนางโลมนี้ต่างมีจุดเด่นของตัวเอง หวังลี่ชื่นชอบเช่นกัน

“ท่านจี้…”

หวังลี่กล่าวเสียงเบาประโยคหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากจากตรงไหน

“คุณชายหวังว่ามาเถอะ ข้าคนแซ่จี้ฟังอยู่”

จี้หยวนลิ้มรสชา ไม่มองหวังลี่ มือข้างหนึ่งหยิบตำราออกมาจากแขนเสื้อ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้หวังลี่ไม่รู้สึกว่าการซ่อนตำราเล่มหนึ่งในแขนเสื้อเป็นเรื่องอัศจรรย์นัก

“ท่านจี้ ทะ ท่านว่าตอนนี้แม่นางหงซิ่วเป็น… สิ่งชั่วร้ายหรือไม่”

“เป็นสิ่งชั่วร้ายหรือไม่ ต้องดูก่อนค่อยว่ากัน”

“ท่านจี้ ไม่ขอปิดบังท่าน ข้าคนแซ่หวังมีใจให้แม่นางหงซิ่วตลอด หนึ่งปีกว่าหลังจากเจอหวั่นเอ๋อร์… เจอแม่นางหงซิ่ว ข้ารู้สึกว่าหญิงสาวคนนี้ไม่ควรร่อนเร่อยู่กลางสถานเริงรมย์ หากแม่นางหงซิ่วถูกปีศาจบีบบังคับจริง ท่าน…”

“รู้แล้วๆ ข้าไม่มีทางนิ่งดูดาย”

จี้หยวนกล่าวประโยคหนึ่ง พลิกหน้าตำราอ่านต่อ นี่คือคำอนุมานซึ่งเขาเขียนเอง บางครั้งอ่านแล้วยังรู้สึกว่าอัศจรรย์

“เอ่อ แหะๆ ข้าคนแซ่หวัง…”

“คนแซ่หวังอย่างเจ้าพอได้หรือยัง เจ้าอยากพูดอะไรกันแน่ ท่านจี้ไม่รีบร้อน แต่ข้าถูกเจ้ากวนจนรำคาญแล้ว!”

จางหรุ่ยที่อยู่ด้านข้างตวาดหวังลี่อย่างไม่สบอารมณ์ประโยคหนึ่ง

หวังลี่ยิ้มรับอย่างอักอ่วน

“ข้าคนแซ่หวังคิดว่าครั้งนี้เป็นโอกาสดีในการช่วยแม่นางหงซิ่วจริงๆ เดิมสตรีอัศจรรย์อย่างนางควรเป็นคุณหนูสูงศักดิ์ แต่กลับตกต่ำอยู่ที่นี่…”

“หืม? คุณชายหวังชอบนางมากหรือ”

จี้หยวนมองหวังลี่พลางเอ่ยถามลอยๆ ฝ่ายหลังรีบร้อนลนลานพยักหน้า

“เมื่อครู่ข้าคนแซ่หวังบอกหมดแล้ว ข้ามีใจให้นางนานแล้ว!”

จี้หยวนยิ้มพลางยื่นมือยกกาน้ำชารินให้หวังลี่ถ้วยหนึ่ง ทั้งรินให้จางหรุ่ยถ้วยหนึ่งด้วย ทว่าของฝ่ายหลังกลับมีแค่ปราณขาวสายหนึ่ง

“ปกติคุณชายหวังมาหอวิจิตรมักอยู่กับแม่นางคนไหน”

“เอ่อ… เสี่ยวหลันกับชุนฟางมากหน่อย… ยังมีเสี่ยวหย่าด้วย…”

“อ้อ… ที่แท้เป็นเช่นนี้…”

จี้หยวนมองเขาเล็กน้อย

“แม่นางพวกนั้นมีตรงไหนดึงดูดเจ้าหรือ”

หวังลี่หน้าแห้งผาก พูดจาติดขัดอยู่บ้าง

“คะ… คือ… อ่อนโยน… ทะ ทั้งมีทักษะ…”

“เจ้าบอกว่ามีใจให้หงซิ่วไม่ใช่หรือ”

จางหรุ่ยยิ้มหยันอยู่ด้านข้าง หวังลี่อ้ำอึ้งแล้ว

“ระ เรื่องนี้ไม่เหมือนกัน…”

จี้หยวนถอนหายใจ ส่ายหัวมองหวังลี่ คืนนี้หวังลี่เพิ่งเห็นดวงตาสีเทาของจี้หยวนอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก

“คุณชายหวัง นั่นไม่เรียกว่ามีใจชอบพอ ความอยากอาหารและความต้องการทางเพศถือเป็นสันดานของมนุษย์ เจ้าแค่ตัณหาจัดเท่านั้น…”

“พรืด…”

จางหรุ่ยกลั้นขำไม่ไหวจนพ่นปราณชาออกมา หวังลี่อึ้งงันครู่หนึ่ง อักอ่วนจนแทบแทรกแผ่นดินหนี รีบดื่มชาเป็นพัลวัน

หลังจากรอมาหนึ่งเค่อกว่า ทางเดินนอกห้องรับรองมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น แม่เล้าเปิดประตู เสียงกระตือรือร้นดังเข้ามาอย่างอดรนทนไม่ไหว

“โธ่เอ๋ย ปล่อยให้ท่านทั้งสองรอนานแล้ว แม่นางหงซิ่วกำลังเติมเครื่องประทินโฉม อีกเดี๋ยวก็มาแล้ว… เอ่อ…”

เมื่อแม่เล้าเดินเข้ามาภายในห้อง เห็นว่ามีน้ำชาถึงสามจอก แต่คิดแล้วนึกหาเหตุผลไม่ออก นางไม่ถามมากความ หากแต่หยิบเบาะนวมมาคุกเข่านั่งข้างโต๊ะชา

“ก่อนพบแขกใหม่แม่นางหงซิ่วต้องเติมเครื่องประทินโฉมเล็กน้อยเพื่อเป็นมารยาท ได้ยินว่าบุรุษรูปงามอย่างคุณชายมาเยือนด้วยความชื่นชม แม่นางหงซิ่วเองเฝ้ารอนัก อ้อ แน่นอนว่าพรสวรรค์ของคุณชายหวังพวกเราต่างรับรู้…”

จี้หยวนไม่ตอบกลับ หยิบถ้วยชาใบหนึ่งหงายก่อนวางลง สื่อนัยว่าให้แม่เล้าคนนี้รินชาร้อนดื่มเอง

การกระทำนี้ไม่ทำให้แม่เล้าคิดว่าจี้หยวนข่มฐานะ กลับกลายเป็นว่ารู้สึกประหลาดใจเพราะได้รับการโปรดปราน

“ขอบคุณคุณชาย!”

จี้หยวนแค่พยักหน้าเล็กน้อย พลิกหน้าตำราอ่านต่อ แต่ตอนนี้การเคลื่อนไหวของมือพลันหยุดชะงัก

“หืม?”

“ท่านจี้ เป็นอะไรหรือ”

“คุณชาย เป็นอะไรหรือ”

จางหรุ่ยกับแม่เล้าแทบถามจี้หยวนพร้อมกัน ฝ่ายหลังขมวดคิ้วส่ายหัวก่อนมองแม่เล้า

“แม่นางหงซิ่วกำลังเติมเครื่องประทินโฉมหรือ”

“จะ เจ้าค่ะ!”

ในที่สุดตอนนี้แม่เล้าก็เห็นดวงตาของจี้หยวนชัดเจน ดวงตาสีเทาถึงกับเปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง แต่รู้สึกว่าไม่ขุ่นมัวแม้แต่น้อย เปล่งประกายแวววาว ไม่มีคลื่นลมราวกับบ่อน้ำโบราณ

“คุณชายมีเรื่องชี้แนะหรือ”

แม่เล้าเอ่ยถามตามจิตใต้สำนึก

“ไม่มีอะไร!”

จี้หยวนแย้มยิ้มเล็กน้อย พลิกอ่านตำราใหม่อีกครั้ง เมื่อครู่ปราณปีศาจพิเศษยิ่งยวดนั่นถึงกับจางลงอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เปลี่ยนเป็นเลือนรางจนแทบไม่ได้กลิ่นแล้ว

ต้องรู้ว่าการรับเสียง ประสาทรับกลิ่น รวมถึงการมองเห็นด้านอื่นของจี้หยวนล้วนโดดเด่นผิดธรรมดา รับรู้สีสันทางโลก ทั้งแยกปราณโลกีย์ได้ การเปลี่ยนแปลงภายใต้ระยะห่างแค่นี้ เขาคนแซ่จี้เพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก

หลังจากนั้นไม่นานด้านนอกมีเสียงเท้าแผ่วเบาดังขึ้น กลิ่นหอมสดชื่นเป็นเอกลักษณ์ลอยเข้าห้อง มือกระจ่างขาวนวลคู่หนึ่งเปิดประตู ยามประตูเปิดออกหนึ่งในสามยังหยุดชะงักอย่างยากสังเกตเห็น

“ข้าน้อยต้วนมู่หวั่น คารวะคุณชายทั้งสอง ท่านแม่ ลูกมาช้าไปหน่อย!”

แม่นางหงซิ่วเข้ามาในห้อง ทำท่าว่านฝูหลี่คารวะทุกคน เดินแช่มช้ามาถึงข้างโต๊ะ แววตาอ่อนโยนมองจี้หยวนกับหวังลี่ จางหรุ่ยอยู่ข้างกายจี้หยวน แต่หงซิ่วเหมือนมองไม่เห็นนาง

“เช่นนั้นพวกท่านคุยกันดีๆ ข้าออกไปก่อนนะเจ้าคะ”

แม่เล้ายิ้มระรื่นเอ่ยถามประโยคหนึ่ง เมื่อเห็นจี้หยวนพยักหน้าจึงเดินไปทางประตู

“ท่านแม่เดินกลับปลอดภัย!”

หงซิ่วกล่าวกับแม่เล้าอย่างน่าเอ็นดู ฝ่ายหลังพยักหน้าเล็กน้อย แอบส่งสายตาบอกนางว่าปรนนิบัติอย่างระวัง

รอประตูเลื่อนด้านนอกปิดอีกครั้ง แม่นางหงซิ่วคนนี้เติมชาให้จี้หยวนและหวังลี่คนละถ้วย

“คุณชายทั้งสอง เมื่อครู่ก่อนข้าน้อยมา รวมท่านแม่แล้วมีสามคน เหตุใดถึงมีชาสี่ถ้วย หรือรินไว้ให้ข้าน้อย”

หงซิ่วชี้ที่ว่างข้างกายจี้หยวนอย่างไม่เข้าใจ เอ่ยถามประโยคหนึ่งอย่างสงสัย

“สมเป็นแม่นางหงซิ่ว จิตวิทยาเป็นเลิศ”

จี้หยวนกล่าวเสียงเบาประโยคหนึ่ง ดวงตาสีเทาประสานแววตาสงสัยไม่เข้าใจของหงซิ่ว แม้แต่ความประหลาดใจยามเห็นสีดวงตาของเขายังเป็นธรรมชาติยิ่ง

จี้หยวนลืมดวงตาสีเทาเต็มที่ มองหงซิ่วอย่างนิ่งสงบ

“แม่นาง เจ้าแต่งหน้าได้ไม่เลว!”

หงซิ่วลูบใบหน้าตนเองอย่างสงสัยไม่เข้าใจ

“คุณชายกล่าวชมเกินไปแล้ว… หญิงคณิกาอย่างข้า ต่อให้มีพรสวรรค์แค่ไหนก็หนีการแต่งหน้าไม่พ้น…”

จี้หยวนพยักหน้า หยิบถ้วยใหม่ใบหนึ่ง รินน้ำชาให้หญิงสาว ฝ่ายหลังกล่าวขอบคุณ ดื่มโดยใช้แขนเสื้อปิดถ้วย

“คุณชายตระกูลเซียวรู้จักเจ้าได้อย่างไร ทำไมเจ้าถึงช่วยเขาปลอมแปลงสิ่งของ”

มือซึ่งถือถ้วยของหงซิ่วสั่นเทาเล็กน้อย ดื่มน้ำชาวางถ้วยแล้วกล่าวประหลาดใจ

“คุณชายรู้จักคุณชายเซียวด้วย เขาไม่มาหาหวั่นเอ๋อร์นานแล้ว แม้บอกว่าเมืองหลวงหนทางไกล แต่…”

“แม่นางหงซิ่ว ข้าคนแซ่จี้เคยบอกว่าเป็นคุณชายเซียวแห่งเมืองหลวงหรือ”

จี้หยวนยิ้มหยันคราหนึ่ง ทำให้หญิงสาวตรงหน้าหยุดพูดทันที

“เพราะหงซิ่วรู้จักแค่คุณชายเซียวท่านนี้ คิดว่าคุณชายกล่าวถึงเขาเสียอีก…”

“หึๆๆๆๆ…”

จี้หยวนพลันหัวเราะขึ้นมา

“ข้าคนแซ่จี้เคยได้ยินสหายกล่าว ผู้แจ้งมรรคสวมหนังมนุษย์ หายากดั่งขนหงส์เขากิเลน มรรคาโดดเด่นท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง ความอัศจรรย์ควรค่าแก่การกลั่นกรอง วันนี้ได้พบเจอถือว่าโดดเด่นดังคาด”

หงซิ่วกุมถ้วยชาแน่น กวาดมองจางหรุ่ยลวกๆ จากนั้นค่อยเผยแววเยียบเย็นมองจี้หยวน

“ท่าน เป็นใครกันแน่!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด