กระบี่จงมา 952.3 เห็นกิเลน

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 952.3 เห็นกิเลน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หม่าหลันฮวาหวีเส้นผมยาวพลางทอดถอนใจเฮือกๆ
บนหินผาสีดำที่มีแต่หลุมแต่บ่อแถบนี้ เมื่อก่อนเด็กๆ ในเมือง
เล็กที่มาว่ายน้ำจับปลาที่นี่ต่างก็มี ‘ที่นั่ง’ อย่างดีที่แต่ละคนเลือกไว้
ด้วยตัวเอง
หลังจากกลายมาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำ วิสัยทัศน์ก็
ต่างไปจากมนุษย์รรมดาในโลกคนเป็นอย่างสิ้นเชิง
จุดตัดที่ตั้งอยู่ระหว่างภูเขาใหญ่ทิศตะวันตกกับเมืองเล็ก ภูเขา
เจินจูที่ไม่สะดุดตาลูกนั้น ถึงกับเป็นที่ตั้งของไข่มุกมังกร
และลำคลองหลงซวีใต้ฝ่าเท้าของหม่าหลันฮวาเส้นนี้ก็คือ
‘หนวดมังกร’ (หลงซวี) สมชื่ออย่างแท้จริง ดังนั้นปีนั้นในน้ำถึงได้
มีหินดีงูที่มูลค่าควรเมืองมากมายถึงเพียงนั้นปรากฏขึ้นมา ส่วน
หนวดมังกรอีกเส้นหนึ่งก็คือถนนหลักของเมืองเล็ก บนถนนมี
ซุ้มก้ามปู บ่อโซ่เหล็ก ต้นไหวโบราณ ตั้งเรียงไล่ยาวจนไปถึงทาง
ทิศตะวันออก ไปหยุดอยู่ที่ประตูรั้วไม้ทางฝั่งตะวันออก เคยมีหนุ่มโสดไม่เป็นโล้เป็นพายคนหนึ่ง เจิ้งต้าเฟิงคนเฝ้าประตู
ซึ่งทุกวันนี้ก็ไม่รู้ไปตายอยู่ที่ไหนแล้ว เพียงแค่ทิ้งบ้านดินเหลืองที่
ไม่มีคนพักอาศัยเอาไว้หลังหนึ่ง
เคยมีคำกล่าวที่สุภาพไพเราะบอกว่า พยัคฆ์หมอบมังกรขดตัว
ดูเหมือนว่าเตาเผามังกรทั้งหลายจะสร้างขึ้นบนลำตัวของมังกรตัวนี้
อันที่จริงตลอดหลายปีที่ผ่านมา หม่าหลันฮวากลัวมาตลอดว่า
แม่นางน้อยผอมบางอ่อนแอของตรอกหนีผิงผู้นั้นจะมาคิดบัญชีเก่า
กับตน
เพราะถึงอย่างไรเมื่อก่อนเวลาไปตักน้ำที่บ่อโซ่เหล็ก ทุกครั้งที่
ได้เจอกับสาวใช้ต่ำต้อยข้างกายของ ‘บุตรนอกสมรสของผู้ตรวจการ
ซ่ง’ หม่าหลันฮวาก็มักจะทำตัวเป็นผู้นำของสตรีปากยื่นปากยาว
กลุ่มนั้นเป็นประจำ ตอนนั้นนางเคยพูดจาไม่น่าฟังไปมากมายจริงๆ
เพราะถึงอย่างไรหญิงหม้ายของตรอกหนีผิงและยังมีเด็กกำพร้าคน
นั้น
ต่อให้พวกเขาจะยากจนแค่ไหนก็ไม่ได้มีสัญชาติเป็นทาสนี่นะ
ต่อให้บ้านจะมีแค่ผนังสี่ด้าน แต่จะดีจะชั่วก็ยังมีชาติกำเนิดที่สะอาดบริสุทธิ์ กลับเป็นแม่นางน้อยชื่อประหลาดคนนี้ที่ต่อให้จะมีกินมีใช้
แล้วอย่างไร…
ปีนั้นอย่าว่าแต่ชี้นิ้วนินทาจื้อกุยเลย ขอแค่เป็นพวกสตรีที่
ออกเรือนแล้วของเมืองเล็กก็ล้วนเคยทะเลาะชี้หน้าด่ากันมาทั้งนั้น
ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใครก็มักจะมีคนหาข้อบกพร่องเป็นกองพะเนิน
ออกมาได้เสมอ พูดจาทิ่มแทงใจคน เสียดสีเหน็บแนมซึ่งๆ หน้า
ยกตัวอย่างเช่นว่าในบ้านของเจ้ามีเงินเหม็นๆ แค่ไม่กี่แดงแล้ว
อย่างไร ทุกวันนี้มีเจ้าลูกกระต่ายที่พกไอ้จ้อนมาบ้างไหม ระวังเถอะ
ควันธูปของบรรพบุรุษขาดลงเมื่อไร เงินพวกนั้นจะตกเป็นของใครก็
คงบอกได้ยากแล้ว…การแฉข้อเสียของกันและกันประเภทนี้เป็นเรื่อง
ที่ธรรมดาสามัญอย่างถึงที่สุดแล้ว รอกระทั่งอีกฝ่ายตอบโต้ไม่ได้ก็
ค่อยจิกผมข่วนหน้ากัน
พูดถึงแค่เรื่องของการลับฝีปาก ไม่พูดถึงการลงไม้ลงมือ หญิง
ชราแซ่หม่าของตรอกซิ่งฮวา หญิงหม้ายตระกูลกู้ของตรอกหนีผิง
สตรีออกเรือนแล้วตระกูลหลี่ที่บ้านอยู่ทางทิศตะวันตกสุดของเมืองเล็ก หวงเอ้อเหนียงที่ขายเหล้า ฯลฯ ล้วนเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งกัน
ทั้ง
นั้น ข
นบธรรมเนียมชาวบ้านที่เรียบง่ายเช่นนี้ ช่างหร่วน ลู่เฉินที่ตั้ง
แผงดูดวง ผู้ตรวจการเฉาที่เมามายอยู่ทุกวัน…คนต่างถิ่นพวกนี้ล้วน
เคยประสบกับตัวเองมาก่อน หากไม่ยอมก็ไม่ได้เสียด้วย
ในความเป็นจริงแล้วทุกคนที่เคยสัมผัสกับคนรุ่นเยาว์ของเมือง
เล็กมาก่อน ไม่ว่าจะมีสถานะหรือขอบเขตอะไร จะมากจะน้อยก็ล้วน
มีความรู้สึกที่คล้ายคลึงกันนี้
พูดถึงแค่เรื่องการประชุมศาลบุ๋นครั้งนั้น คำพูดของคนบางคน
ได้เป็นการตั้งฉายาใหม่เอี่ยมที่โด่งดังให้กับเฝ่ยหรานผู้ครองเปลี่ยว
ร้างและลูกศิษย์คนสุดท้ายของมหาสมุทรความรู้โจวมี่ คนหนึ่งคือ
‘อริยะแห่งการนอนของภูเขาทัวเยว่’ ที่นอนอยู่ดีๆ ก็ได้เป็นเจ้าผู้ครอง
ใต้หล้าซะอย่างนั้น กับ ‘อริยะแห่งความพ่ายแพ้ของกระโจมเจี่ยเซิน’
ที่ไม่เคยมีผลการชนะเลย อิ่นกวานหนุ่มยังป่าวประกาศด้วยว่า
จะมอบตราประทับส่วนตัวที่แกะสลักเองกับมือให้กับขุนนางใหญ่ผู้มีคุณูปการของใต้หล้าไพศาลสองคนนี้ แบ่งเป็นคำว่า ‘ตายร้อยรอบ
ก็ไม่เสียดาย’ กับ ‘ใจใฝ่หาไพศาล’ …
และยิ่งทำให้พวกปีศาจใหญ่แห่งเปลี่ยวร้างที่มีคุณสมบัติใน
การเข้าร่วมการประชุมของภูเขาทัวเยว่ยิ่งรู้สึกว่าอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้น
ไม่ใช่คนกันเอง ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน
หม่าหลันฮวานวดคลึงข้างแก้ม
ตนยังเคยถูกนังเด็กปากคอเราะร้ายผู้นั้นตบบ้องหูอย่างแรง
มาครั้งหนึ่งด้วยนะ
นางหยิบรายงานขุนเขาสายน้ำเก่าแก่หลายฉบับออกมาจาก
ชายแขนเสื้อ ความเหมือนเพียงหนึ่งเดียวก็คือในรายงานล้วนมีข่าว
ของหลานชายนาง อันที่จริงนางท่องจำ เนื้อหาบนรายงานข่าวพวกนี้
ได้ขึ้นใจมานานแล้ว ให้ท่องกลับหลังก็ยังได้ หลายปีมานี้อยู่เฉยๆ
ไม่มีอะไรทำ เหนียงเนียงเทพลำคลองท่านนี้จึงเริ่มคิดหาสารพัดวิธี
มาทำให้ตัวเองอ่านหนังสือให้ออก
และรายงานของวงการขุนนางของภูเขาสายน้ำประเภทนี้ก็ได้
มาจากศาลเทพอภิบาลเมืองประจำ จังหวัด โดยทั่วไปแล้วทุกๆ รอบฤดูกาลจะมีมาส่งสองถึงสามฉบับ จางผิงเทพอภิบาลเมืองจะให้
เสมียนโลกคนตายแยกกันเอาไปส่งให้ถึงมือเทพอภิบาลเมืองประจำ
อำเภอและประจำ เขตต่างๆ รวมไปถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำ
ทั้ง
หลาย นี่ทำให้หม่าหลันฮวาลำพองใจอย่างมาก ตอนที่เป็นแม่ย่า
ลำคลอง ตลอดทั้งปีได้รายงานข่าวมาอยู่ในมือแค่ไม่กี่ฉบับ รอ
กระทั่งได้เลื่อนเป็นเทพลำคลองแล้ว ระดับขั้นขุนนางเท่ากับขุนนาง
น้ำใสในวงการขุนนางภูเขาสายน้ำของต้าหลีแล้ว จำ นวนรายงาน
ข่าวที่ได้รับในทุกปีจึงเพิ่มจากเดิมเป็นเท่าตัวทันใด
เทียบกับบนไม่พอ เทียบกับล่างมากเหลือแหล่
ชีวิตนี่นะ คนมักจะเดินขึ้นสู่ที่สูง น้ำมักจะไหลลงสู่ที่ต่ำ
เงยหน้ามองพวกคนที่มีชีวิตที่ดี นี่เรียกว่าใช้ชีวิตไปอย่างมีความหวัง
พอก้มหน้ามองคนที่สู้ตนไม่ได้ จิตใจก็สงบลงได้แล้ว
มีประโยคหนึ่งที่สตรีลืมไปแล้วว่าใครเป็นคนพูดไว้
มนุษย์มีชีวิตอย่างยากลำบาก หลอกตัวเองได้ก็มีความหวัง
……หลวี่เหยียนพาเสี่ยวโม่และชิงถงเดินเลียบระเบียงไปยังจุดอื่น
จงใจให้บัณฑิตสองคนที่อายุห่างกันมากพูดคุยเรื่อง ‘สัพเพเหระใน
บ้าน’
ปรมาจารย์มหาปราชญ์ยิ้มถาม “เฉินผิงอัน เจ้าคิดถึงการกิน
หนังสือได้อย่างไร?”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง แต่เพียงไม่นานก็เข้าใจว่าคำว่า ‘กินหนังสือ
’ ก็คือการหลอมตัวอักษร
เฉินผิงอันอธิบายว่า “ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนหัวกำแพงเมืองไม่
มีเรื่องอะไรให้ทำจริงๆ บังเอิญกับที่หลีเจินซึ่งอยู่บนหัวกำแพงเมือง
ฝั่งตรงข้ามโยนบันทึกขุนเขาสายน้ำเล่มหนึ่งมาให้ข้า ก็เลยได้เอามา
ใช้งาน”
ปรมาจารย์มหาปราชญ์ยิ้มบางๆ “บังเอิญยิ่งนัก บังเอิญจน
ได้จังหวะพอดี”
เฉินผิงอันเงยหน้ามองม่านฟ้า
เห็นได้ชัดว่าปรมาจารย์มหาปราชญ์พูดจามีความนัยหากไม่เป็นเพราะหลอมตัวอักษรทั้งหมดของบันทึกการ
เดินทางเล่มนั้น รวมไปถึงด้วยความบังเอิญบางอย่าง ต่อให้เฉินผิง
อันเฝ้าอยู่บนหัวกำแพงเมืองแห่งนั้นนานหนึ่งหมื่นปีก็ยังคิดไม่ได้ว่า
ศิษย์พี่ชุยฉานต้องการจะทำอะไร
คงเป็นอย่างที่หลีเจินนินทาในภายหลังจริงๆ ว่า มีแต่คนที่
สมองมีปัญหาเท่านั้นจึงจะเป็นคนบนเส้นทางเดียวกับคนที่สมอง
มีปัญหาได้ คุยกันรู้เรื่อง พูดกันเข้าใจ ในใจรู้ทันกัน
ความคิดของปรมาจารย์มหาปราชญ์ล่องลอยไปไกล นึกถึง
ใบหน้าของคนหลายคนขึ้นมาได้ พวกเขาล้วนอยู่ในฐานทัพของผู้ฝึก
กระบี่ยุคบรรพกาล
ผู้ฝึกกระบี่กวานจ้าวในอดีตไม่ได้พูดมากอย่างหลีเจินใน
ภายหลัง แต่เป็นน้ำเต้าตันที่ขึ้นชื่อ แทบไม่เคยพูดคุยกับใคร
ทุกครั้งที่มีการประชุมลับจะต้องหลบไปอยู่ในมุม หรือไม่ก็ยืนอยู่ข้าง
กายเฉินชิงตู ไม่พูดไม่จาอะไรสักคำตั้งแต่ต้นจนจบ
แต่กวานจ้าวไม่ลงมือก็แล้วไป หากตัดสินใจจะถามกระบี่กับ
ใครขึ้นมา ไม่อาจพูดได้ว่าชนะทุกครั้ง แต่อย่างน้อยที่สุดก็รับรองได้ว่าตัวเองจะอยู่ในสถานะมิพ่าย
ถึงขั้นที่ว่าในบางระดับสามารถพูดได้ว่า ชั่วชีวิตของกวานจ้าว
ดูเหมือนว่าจะใช้ชีวิตเพื่อคนอื่น หลอมกระบี่ส่งกระบี่เพื่อส่วนรวม
ดังนั้นในบรรดาผู้ฝึกกระบี่ทุกคน กวานจ้าวจึงเป็นคนที่มีชีวิต
ไม่ผ่อนคลายมากที่สุด
หันกลับไปมองหลงจวินที่เป็นผู้ฝึกกระบี่รุ่นเดียวกัน เขาแค่
ชอบถามกระบี่กับคนอื่นเท่านั้น ดูเหมือนว่าแพ้หรือชนะล้วนไม่
สำ คัญ ทุกครั้งที่เจอกับการทำสงครามก็ยิ่งไม่เคยสนใจเป็นตาย สง่า
งามมากกว่ากวานจ้าวที่ ‘ไม่กล้าตายง่ายๆ ’ มากนัก
ผู้นำสามคนของผู้ฝึกกระบี่ที่เป็นนักโทษอาญา เฉินชิงตู กวาน
จ้าว หลงจวิน คือผู้ก่อตั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่
เพียงแต่ว่าเพิ่งจะหยัดยืนได้อย่างมั่นคงไม่นานเท่าไร ภายใต้
การนำของเฉินชิงตู ผู้ฝึกกระบี่ทั้งสามคนก็จับมือกันออก
เดินทางไกลอีกครั้ง
การถามกระบี่ต่อภูเขาทัวเยว่ที่ส่งผลกระทบลึกล้ำยาวไกล
ครั้งนั้นสามารถสกัดขวางบรรพบุรุษใหญ่แห่งภูเขาทัวเยว่ที่ขาดอีกแค่ครึ่งก้าวผู้นั้นเอาไว้ได้ ฝ่ายหลังที่เป็นผู้ครองใต้หล้าเปลี่ยวร้างคน
แรก สุดท้ายก็ไม่อาจหลอมฟ้าอำนวยดินอวยพรคนสามัคคีของใต้
หล้าแห่งหนึ่งแล้วเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตสิบห้าได้สำ เร็จ
และเฉินชิงตูสามคนก็ต้องจ่ายด้วยราคาที่เจ็บปวดอย่าง
ถึงที่สุด ‘ฝูผิง’ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเฉินชิงตูแหลกสลายอย่าง
สิ้นเชิง จึงจำ ต้องผสานมรรคากับกำแพงเมืองปราณกระบี่ และเฉิน
ชิงตูก็ยิ่งสูญเสียความหวังที่จะเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตสิบห้าไป
เพราะเหตุนี้
หาไม่แล้วจากการอนุมานของมรรคาจารย์เต๋า ขอแค่ให้เวลา
เฉินชิงตูได้หลอมกระบี่อีกสองถึงสามพันปี ก็จะมีโอกาสกลายเป็น
ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบห้าบริสุทธิ์ที่ ‘ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติการณ์
และจะไม่มีอีกในอนาคตกาล’
ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติการณ์ เพราะผู้ฝึกกระบี่ที่มีหวัง
จะเลื่อนเป็นขอบเขตนี้ถูกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลกดข่มเอาไว้ ต่าง
ก็ตายไปกลางคันทั้งสิ้นไม่มีอีกในอนาคตกาล เพราะขอแค่เฉินชิงตูเลื่อนเป็นขอบเขต
นี้ก็เหมือนได้ยึดครองวิถีกระบี่เส้นหนึ่งเพียงลำพัง ยืนอยู่บนสะพาน
ไม้แคบ ไม่มีที่ให้หลีกทางให้คนข้างหลัง
ปรมาจารย์มหาปราชญ์เคยพาหลี่เซิ่งไปโน้มน้าวเฉินชิงตูที่
กำแพงเมืองปราณกระบี่ด้วยกัน แต่คำโน้มน้าวกลับไม่เป็นผล
เฉินชิงตูเพียงแค่ใช้สองประโยคสกัด ‘บัณฑิต’ สองคนกลับไป
‘ผู้ฝึกกระบี่อย่างพวกเราไม่แน่เสมอไปว่าจะทำเรื่องที่ถูกต้อง
ที่สุด’
‘บัณฑิตอย่างพวกเจ้า จำ เอาไว้ว่าต้องรักษาสัญญา’
เดิมทีหลงจวินก็ไม่พอใจกับการที่ผู้ฝึกกระบี่ต้องกลายมาเป็น
นักโทษอาญาอยู่แล้ว เป็นเหตุให้การเดินทางไกลครั้งนั้น หลงจวิน
ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องมีชีวิตรอดกลับมาที่กำแพงเมืองปราณ
กระบี่
เขาเตรียมจะใช้สถานะของผู้ฝึกกระบี่บริสุทธิ์ หาใช่สถานะของ
ชาวบ้านลี้ภัยนักโทษอาญาของกำแพงเมืองปราณกระบี่อะไรไม่หลงจวินต้องการใช้วิธีการที่เกริกก้องสะเทือนเลือนลั่นมากที่สุด
มาปิดฉากชีวิตของตัวเอง
ดังนั้นหลังจากที่ ‘ร่างตาย’ ไป สำ หรับกำแพงเมืองปราณกระบี่
ก็ดี สำ หรับสหายเก่าที่เคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาอย่างเฉินชิงตูก็
ช่าง หลงจวินไม่ติดค้างใครอีกแล้ว
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของหลงจวินมีชื่อว่า ‘สุสานเซียนต้าซวี’
ศึกเดินขึ้นเขา บวกกับก่อนเดินขึ้นเขา ผู้ฝึกกระบี่อาวุโสที่อยู่บน
พื้นดินในโลกมนุษย์ซึ่งตายไปไม่มีที่ให้ฝังศพ มีมากมายนับไม่ถ้วน
เขาหลงจวินสามารถใช้กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเป็นสุสานก็ถือว่า
เป็นเรื่องที่โชคดีมากแล้ว
ส่วนกวานจ้าวก็ยิ่งได้ครอบครองกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่
พิเศษมากเล่มหนึ่ง
ภายในเวลาสองสามพันปีก่อนหมื่นปีนั้น ผู้ฝึกกระบี่ที่ถูกสิ่ง
ศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลหมายหัวเล่นงานมากที่สุด ก็คือกวานจ้าวที่ได้
ครอบครองกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต ‘แม่น้ำแห่งกาลเวลา’ ถึงขั้นที่ว่า
ไม่มีหนึ่งในดังนั้นเส้นทางการฝึกตนของกวานจ้าวจึงมีอุปสรรคที่สุด
อันตรายที่สุด ผู้ฝึกกระบี่ที่ช่วยปกป้องมรรคาให้กวานจ้าวมีมาก
ไม่ขาดสาย คนข้างหน้าล้มลงไปคนข้างหลังก็กระโจนเข้าต่อสู้อย่าง
ต่อเนื่อง ลำพังแค่จำ นวนของผู้ฝึกกระบี่ ‘เซียนดิน’ บรรพกาลที่
ล้มหายตายจากไปก็มากถึงสองมือนับ
ปรมาจารย์มหาปราชญ์เก็บความคิดกลับคืนมา ถามว่า “หาก
สืบสาวไปถึงต้นกำเนิดล่ะ ภูเขามีเส้นชีพจรมังกร น้ำมีต้นกำเนิดนะ”
เฉินผิงอันกล่าว “ปีนั้นอาจารย์หลี่ได้บอกหลักการเหตุผลข้อ
หนึ่งแก่หน่วนซู่น้อย แม้ว่าข้าจะแค่ฟังอยู่ข้างๆ แต่หลังจากนั้นมาข้า
ก็จดจำ เอาไว้ในใจมาโดยตลอด”
หลี่ซีเซิ่งแห่งถนนฝูลู่เคยไปหาเฉินผิงอันที่ตรอกหนีผิง
ตอนนั้นเฉินผิงอันเพิ่งกลับมาจากการเดินทางไกลครั้งแรก
ข้างกายมีเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูติดตามมา
ด้วย
ครั้งนั้นหลี่ซีเซิ่งสอนเหตุผลให้กับเด็กชายชุดเขียวที่เคยชินกับ
การ ‘พูดจาไม่ปิดประตู’ บอกว่าตัวอักษรทุกตัวบนโลกใบนี้ล้วนมีพลัง ตัวอักษรรวมตัวกันกลายเป็นคำ คำร้อยเรียงกลายเป็น
ประโยค ประโยคร้อยเรียงกันเป็นบทความ มหามรรคาก็อยู่ในนั้น
ประโยคนี้เฉินหลิงจวินไม่เก็บมาใส่ใจ เข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวา
แต่กลับทำให้เฉินผิงอันจดจำ ได้อย่างลึกซึ้ง แม้ว่าจะไม่ได้แกะสลัก
ไว้บนแผ่นไม้ไผ่ในภายหลัง แต่ก็จดจำ ไว้แม่นในใจเสมอมา
ภายหลังหน่วนซู่น้อยยังปลุกความกล้าถามคำถามที่นางสงสัย
มาเนิ่นนานกับบัณฑิตคนนั้น เหตุใดตอนที่อ่านหนังสือ จู่ๆ ก็
เหมือนกับว่าจำ ตัวอักษรบางตัวไม่ได้แล้ว รู้สึกว่ามันแปลกหน้าเสีย
อย่างนั้น
หลี่ซีเซิ่งยิ้มให้คำตอบ บอกว่าเพราะบางชั่วขณะเวลา ตัวอักษร
บนหนังสือก็ได้ถูกอริยะบางคนแอบขโมยไปใช้
เห็นได้ชัดว่าหน่วนซู่น้อยในเวลานั้นไม่ค่อยเชื่อคำกล่าวที่ลี้ลับ
นี้ นางจึงเถียงอาจารย์หลี่กลับไปโดยตรง เมื่ออยู่ในสายตาของคน
บางคนที่เฝ้าดูอยู่ก็เหมือนเป็นการ ‘สั่งสอน’ อาจารย์หลี่ไปคำรบหนึ่ง
นี่คือภาพเหตุการณ์ที่พบเห็นได้ยากนัก
——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด