กระบี่จงมา 253.2 พระโพธิสัตว์เหยียบกระบี่ข้ามแม่น้ำ
ไปถึงบ้านบรรพบุรุษสกุลซุนที่ไม่ได้ใหญ่โต ไม่มีสาวรับใช้หน้าตาน่ารักงดงามอะไร มีเพียงชายชราและหญิงชราหลายสิบคนที่คอยอยู่ดูแลบ้าน ซุนเจียซู่เลี้ยงข้าวเฉินผิงอันหนึ่งมื้อ ทั้งไม่ใช่อาหารล้ำค่าหายาก แต่ก็ไม่ได้ยากแค้นอนาถาอะไร ล้วนเป็นผักสดตามฤดูกาลและปลากุ้งไก่เป็ดที่อยู่ใกล้เคียงกับบริเวณบ้าน รสมือดีเยี่ยมทำให้คนเจริญอาหาร มีเพียงอาหารอย่างเดียวที่ไม่คุ้นชินซึ่งเป็นน้ำแกงที่วัสดุการปรุงน่าจะมาจากทะเล เฉินผิงอันกินอาหารที่มาจากแม่น้ำจนเคยชิน จึงไม่คุ้นปากนัก ซุนเจียซู่เองก็ไม่คะยั้นคะยอให้เขากิน เฉินผิงอันแค่กินอาหารที่ตัวเองชอบก็พอ
กินข้าวเสร็จแล้วคนทั้งสองก็มาเดินเล่นกันที่ริมแม่น้ำด้านนอก เฉินผิงอันถามว่า “คุณชายซุน รู้จักร้านยาแห่งหนึ่งในนครมังกรเฒ่าที่ชื่อว่าร้านฮุยเฉินหรือไม่?”
ซุนเจียซู่ครุ่นคิด “เมื่อก่อนไม่เคยได้ยิน แต่ข้าสามารถหาให้เจ้าได้โดยใช้เวลาไม่นาน”
เฉินผิงอันเอ่ยขอบคุณหนึ่งคำ
ซุนเจียซู่ยิ้มพลางโบกมือเป็นการบอกเฉินผิงอันว่าไม่ต้องเกรงใจกันขนาดนี้ เขาก้มตัวลงไปหยิบก้อนหินที่แบนราบขึ้นมาก้อนหนึ่ง โยนออกไปด้านข้าง ก้อนหินปลิวเด้งกระแทกผิวน้ำไปจนถึงฝั่งตรงข้าม
ฝั่งตรงข้ามคือสวนดอกน้ำมันที่แผ่ยาวออกไป มองไปจึงเห็นเป็นเพียงสีเหลืองอร่าม
เฉินผิงอันเอาห่อสัมภาระวางเก็บไว้ในห้องแล้วก็หยิบเอาน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มารัดไว้ตรงเอวอีกครั้ง แน่นอนว่ายังคงสะพายกล่องกระบี่ด้วย เขาปลดน้ำเต้า ‘เจียงหู’ ลงมาเพื่อดื่มเหล้า น้ำในแม่น้ำไหลรินอย่างเชื่องช้า คล้ายผู้เฒ่าคนหนึ่งที่เงียบสงบ
ซุนเจียซู่หยุดเดินแล้วพูดว่า “ข้าลองคำนวณดูคร่าวๆ แล้ว ช่วงนี้เรือที่ไปยังภูเขาห้อยหัวเหลืออยู่สามลำ สามลำที่เหลือยังไม่กลับมา ลำหนึ่งคือเต่าทะเลภูเขาของสกุลซุนเรา นอกจากนี้ก็คือปลาวาฬกลืนสมบัติของตระกูลฝู รวมไปถึงนกกุ้ยฮวาของตระกูลฟ่าน หากให้พูดถึงในมุมของความมั่นคงปลอดภัย ข้าแนะนำให้เจ้าโดยสารปลาวาฬกลืนสมบัติ เพราะสิบปีที่ผ่านมานี้ เส้นทางการเดินเรือไปยังภูเขาห้อยหัวมีสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายมาก เต่าทะเลภูเขาสู้ปลาวาฬกลืนสมบัติไม่ได้ หรือถึงขั้นสู้นกกุ้ยฮวาที่ถูกสร้างขึ้นมาไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะต่อให้เต่าทะเลภูเขาจะนิสัยดีแค่ไหนก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเลือดเนื้อ เรื่องที่เรือคุนของภูเขาต่าเจี้ยวร่วงลงมาตรงภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปก็คือตัวอย่าง ส่วนปลาวาฬกลืนสมบัติสามารถว่ายในทะเลลึกได้ จึงปลอดภัยที่สุด อีกทั้งเส้นทางเดินเรือสายนั้นยังเป็นเส้นทางคุ้นเคยที่ตระกูลฝูบุกเบิกมาหลายปี ควรจะหลีกเลี่ยงพวกมารใหญ่ที่อยู่ในน้ำอย่างไร พวกเขาย่อมรู้ชัดเจนดี หากคิดจะประหยัดเงินและต้องการความสบาย ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเป็นเต่าทะเลภูเขาของตระกูลข้า เมื่อเจ้าขึ้นไปอยู่บนเรือ ไม่กล้าพูดว่าสามารถเสวยสุขได้ แต่ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารการกินอยู่ ไม่ว่าเรื่องอะไรเจ้าก็ไม่ต้องคอยกลัดกลุ้ม…”
เฉินผิงอันลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็หลุดประโยคหนึ่งออกมาว่า “หากไม่ใช่เต่าทะเลภูเขาก็ต้องเป็นนกกุ้ยฮวา ข้าไม่มีทางโดยสารปลาวาฬกลืนสมบัติเด็ดขาด”
ซุนเจียซู่แปลกใจอย่างมากจึงถามว่า “ทำไมล่ะ?”
เฉินผิงอันรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย “ตอนอยู่ถ้ำสวรรค์หลีจูบ้านเกิด ข้าเคยเกือบจะฆ่าฝูหนันหัวนายน้อยของนครมังกรเฒ่า ไหนเลยจะกล้านั่งเรือข้ามฟากของตระกูลเขา”
ซุนเจียซู่อดยื่นมือมาตบไหล่ของเฉินผิงอันหนักๆ ไม่ได้ “เฉินผิงอัน! ข้าเคยเห็นวีรบุรุษมาไม่น้อย แต่คนที่ใจกล้าแบบเจ้ากลับพบเจอมาไม่มากจริงๆ!”
เฉินผิงอันถอนหายใจ เพราะฟังจากน้ำเสียงของซุนเจียซู่ก็รู้แล้วว่าฝูหนันหัวต้องไม่ใช่คนที่ควรไปมีเรื่องด้วยจริงๆ
ซุนเจียซู่อดกลั้นอยู่นานสุดท้ายก็หลุดหัวเราะอย่างอดไม่ได้ “แม้ว่านายน้อยของนครมังกรเฒ่าจะไม่ได้มีแค่คนเดียว ลูกหลานของครอบครัวอื่นในตระกูลฝูที่มีหวังว่าจะได้สืบทอดเสื้อคลุมมังกรเฒ่าตัวนั้นก็มีอยู่หลายคน แต่ทุกคนล้วนรู้ว่าฝูหนันหัวได้รับความสำคัญจากเจ้านครฝูฉีมากที่สุด บรรพบุรุษตระกูลฝูคนหนึ่งที่ได้ครอบครองอาวุธกึ่งเซียนก็ยิ่งเป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาให้แก่ฝูหนันหัว เพียงแต่ว่าช่วงหลายปีมานี้เขาปิดด่าน เล่าลือกันว่ากำลังพยายามฝ่าสู่ห้าขอบเขตบน ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้มากที่สุดว่าฝูหนันหัวจะกลายเป็นเจ้านครคนถัดไป เฉินผิงอัน เจ้าใช้ได้เลยนี่นา หากเรื่องนี้แพร่ออกไป รับรองว่าชื่อเสียงของเจ้าต้องดังไปครึ่งทวีปภายในเวลาหนึ่งเดือนแน่นอน”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “ชื่อเสียงแบบนี้ ไม่เอาดีกว่ามั้ง”
ซุนเจียซู่ยิ่งหัวเราะก็ยิ่งอารมณ์ดี “ถึงแม้ว่าข้าจะเคยพบค้าสมาคมกับฝูหนันหัวมาหลายครั้ง หรือถึงขั้นที่ว่าความสัมพันธ์เกินกว่าจะเป็นสหายที่ร่วมดื่มเหล้าธรรมดาทั่วไป แต่ฝูหนันหัวยังอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบเคียงกับหลิวป้าเฉียวได้ วันนี้ได้ยินความจริงเรื่องนี้ ข้าก็ยิ่งอยากหัวเราะ ดูท่าข้าคงไม่ค่อยมีคุณธรรมเท่าไหร่นัก ดังนั้นเจ้าเฉินผิงอันก็ยั้งๆ ไว้หน่อย เป็นเพื่อนกับคนแบบข้า อย่าเพิ่งมอบใจให้มากเกินไปนัก ต้องรู้จักกันให้นานก่อน”
ผลกลับกลายเป็นว่าเฉินผิงอันหลุดประโยคหนึ่งมา “อันที่จริงข้ากับหลิวป้าเฉียวก็ไม่ได้สนิทกันเท่าไหร่ แค่เคยเจอหน้ากันสองครั้งเท่านั้น”
ซุนเจียซู่อัดอั้นตันใจเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นในจดหมายที่หลิวป้าเฉียวบอกว่าสนิทกับเจ้าเหมือนผ่านความเป็นความตายร่วมกันมาหลายร้อยรอบล่ะ หมายความว่าอย่างไร? ในจดหมายเขาชื่นชมเจ้าซะจนไม่มีผู้ใดทัดเทียมได้อีกแล้ว แถมยังบอกด้วยว่าหากข้าไม่มารับรองเจ้าด้วยตัวเองจะตัดขาดกับข้า จากนั้นก็จะป่าวประกาศฉายาข้าไปให้ทั่วแจกันสมบัติทวีป”
เฉินผิงอันลองถามหยั่งเชิง “ฉายาคือซุนจื่อ” (ซุนจื่อแปลว่าหลาน)
ซุนเจียซู่ยื่นมือมากุมขมับ ยิ้มเจื่อนพูดว่า “เรื่องนี้เจ้าก็เดาได้ด้วยหรือ?”
เฉินผิงอันพูดยิ้มๆ “แม้ว่าจะเคยเจอกันแค่สองครั้ง แต่ข้ากลับรู้นิสัยของหลิวป้าเฉียวดีว่าเป็นคนไม่จริงจังมากที่สุด”
ซุนเจียซู่ทอดถอนใจ “ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับฝูหนันหัว ย่อมต้องมีจุดจบเป็นดั่งประโยคที่ว่าต่อให้ผมขาวก็ยังเหมือนเพิ่งรู้จักกัน (เปรียบเปรยว่าคนที่คบหากันมานานก็ไม่สนิทใจ ได้แต่รู้จักกันอย่างผิวเผิน) แต่เจ้ากับหลิวป้าเฉียวกลับเหมือนประโยคว่าเพิ่งพบหน้าก็เหมือนรู้จักกันมานาน”
สารถีคนนั้นมาปรากฏตัวอยู่ไกลๆ ซุนเจียซู่หันกลับไปมองแวบหนึ่งก็หันกลับมาพูดกับเฉินผิงอันว่า “ข้าต้องไปที่จวนตระกูลฝูในเมืองเพื่อพบแขกคนหนึ่ง เพราะว่านัดหมายกันมาล่วงหน้าแล้ว เรื่องของร้านยาฮุยเฉิน ช้าสุดก่อนคืนวันพรุ่งนี้จะมีคนมาบอกเจ้า อีกอย่างก็คือในเมื่อเจ้ามีความแค้นกับฝูหนันหัว ถ้าอย่างนั้นช่วงนี้หากเจ้าจะออกไปข้างนอกก็ต้องให้คนมาบอกข้าก่อน ข้าจะให้คนจัดการเรื่องการเดินทางของเจ้า เมื่อเป็นอย่างนี้การเดินทางไกลโดยเรือข้ามฟากก็สามารถตัดปลาวาฬกลืนสมบัติของตระกูลฝูออกไปก่อนได้แล้ว เจ้าก็นั่งเต่าทะเลภูเขาของตระกูลข้าไปที่ภูเขาห้อยหัวเลยแล้วกัน อีกยี่สิบวันให้หลังจะออกเดินทางตรงเวลา ช่วงเวลานี้เจ้าสามารถมาอาศัยอยู่ที่บ้านบรรพบุรุษของตระกูลข้า ต้องการของสิ่งใด ขอแค่ที่นครมังกรเฒ่ามี ข้าก็สามารถช่วยนำมาส่งให้เจ้าได้ แล้วเจ้าเองก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ ก่อนจะเปิดปาก เจ้าสามารถบอกตัวเองได้ว่า ‘ซุนจื่อผู้นั้นมีเงินเยอะมากๆ เป็นเพื่อนกัน เดิมทีก็ต้องมีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้านอยู่แล้ว ร่วมเสพสุขก่อน แล้ววันหน้าค่อยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน ค่อยร่วมทุกข์ร่วมยาก นี่ต่างหากถึงจะไม่เสียเปรียบ’”
“ตกลง งั้นข้าจะไม่เกรงใจเจ้าแล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม กะพริบตาปริบๆ “หลิวป้าเฉียวต้องพูดประโยคนี้ใช่ไหม?”
ซุนเจียซู่ยกนิ้วโป้งให้ “มิน่าเล่าหลิวป้าเฉียวถึงหน้าด้านอยากจะเป็นสหายกับเจ้า เจ้าเข้าใจเขานี่เอง!”
ซุนเจียซู่บอกลาจากไป ค่อยๆ เดินจากไปไกลพร้อมกับสารถีเฒ่าที่เฉินผิงอันมองตื้นลึกหนาบางไม่ออก แล้วนั่งรถม้าเดินทางไปยังเมืองในของนครมังกรเฒ่า
ดังนั้นเฉินผิงอันที่อยู่เพียงลำพังจึงเริ่มฝึกเดินนิ่งหกก้าวเลียบริมแม่น้ำ
น้ำในแม่น้ำนิ่งสงบ มองไปก็เห็นแปลงดอกน้ำมันกว้างไกลไร้ที่สิ้นสุด ถนนดินที่ธรรมดา หากไม่เป็นเพราะที่นี่ไม่มีสะพานหินโค้งและร้านกระบี่ของตระกูลหร่วน เฉินผิงอันก็เกือบคิดไปว่าที่นี่คือบ้านเกิดของตัวเอง
เฉินผิงอันฝึกวิชาหมัดจนเดินไปได้สิบกว่าลี้ หากขยับไปข้างหน้าอีกนิดก็คือหมู่บ้านเล็กๆ ที่ตั้งขึ้นริมน้ำ มีเสียงไก่ขัน มีเสียงหมาเห่า และยังมีควันจากการทำอาหารลอยคลุ้ง เฉินผิงอันหยุดการฝึกหมัด มองไปรอบด้าน ข้างกายมีสะพานไม้เล็กๆ ข้ามแม่น้ำอยู่แห่งหนึ่ง ตอนนี้อยู่ดีๆ เขาก็รู้สึกเหมือนอยู่ห่างไกลคนละโลกอย่างไม่ทราบสาเหตุ
เฉินผิงอันกำลังจะหมุนตัวกลับไปที่บ้านบรรพบุรุษตระกูลซุนก็สังเกตเห็นว่าในสวนดอกน้ำมันฝั่งตรงข้ามที่อยู่ห่างออกไปไกลมีเด็กกลุ่มหนึ่งที่สวมชุดธรรมดาเดินออกมา ส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในวัยของเด็กนักเรียนชั้นประถม และยังมีบางส่วนที่อายุน้อยยิ่งกว่า แต่ละคนมีขี้มูกยืดออกมาจากจมูกเดินตามมาด้านหลัง มีเด็กผู้ชายที่อายุมากหน่อยสองคนถือกระบี่ไม้ไผ่กระบี่ไม้ที่ผู้ปกครองในครอบครัวน่าจะเป็นคนช่วยเหลาให้อยู่ในมือ รูปลักษณ์เรียบง่าย แค่รูปร่างคล้ายกระบี่อย่างหยาบๆ เท่านั้น ดูเหมือนคนทั้งสองต่างก็กำลังแข่งวิชากระบี่กัน พวกเขาทยอยกันขึ้นมาเดินขึ้นมาบนเนินดิน ฟาดฟันกระบี่ใส่ดอกน้ำมัน แถมยังร้องตะโกนคำรามส่งเดช ทว่าพละกำลังกลับเปี่ยมล้น
สงสารดอกน้ำมันที่ถูกเด็กสองคนฟันจนแหลกเละ แต่ไม่นานด้านหลังก็มีเด็กอายุน้อยร้องไห้จ้าขึ้นมา ที่แท้ตอนแรกเขาเองก็สนุกร่วมไปกับคนอื่น แต่พอพบว่าที่นี่คือลานดอกน้ำมันของครอบครัวเขาเอง แล้วถ้าพ่อแม่ของเขารู้เรื่องนี้ กลับไปถึงบ้านตนจะไม่ก้นลายหรือ?
แต่เขาก็ไม่กล้าห้าม ‘มือกระบี่’ ที่อายุมากกว่าสองคนนั้น ได้แต่ร้องไห้ปานจะขาดใจ ยังดีที่เพียงไม่นานมือกระบี่คนหนึ่งก็ตระหนักได้ว่าท่าไม่ดี จึงควักขนมข้าวพองที่บ้านของเขาอบเองแผ่นหนึ่งออกมา เอ่ยสั่งความกับเด็กคนนั้นสองสามประโยค เด็กน้อยที่มีขี้มูกยืดก็ยิ้มหน้าบานได้ทันที เดินอาดๆ ตามหลังมือกระบี่สองคน มองพวกเขาออกกระบี่เสียงดังสวบๆ อย่างร้ายกาจ คิดว่าเดี๋ยวพอตนโตอีกนิด มีเรี่ยวแรงมากหน่อยก็จะขอกระบี่เล่มหนึ่งจากบิดาที่เป็นช่างไม้ ตัดดอกน้ำมันทั้งหมดให้เกลี้ยง แบบนั้นจะดูน่าเกรงขามถึงขนาดไหน? ชุ่ยฮวานังหนูน้อยที่อยู่ข้างบ้านยังจะชอบไปเล่นกับเสี่ยวซิ่วไฉที่อยู่หลังหมู่บ้านอีกไหม? ถึงเวลานั้นนางต้องตามตนแจทุกวันแน่
เฉินผิงอันเห็นพวกเขาแล้วก็หลุดหัวเราะออกมาทันที
นี่ไม่ใช่ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนตอนเด็กหรอกหรือ? ปีนั้นหลิวเสี้ยนหยางชอบทำเรื่องที่ชวนให้คนรังเกียจแบบนี้มากที่สุด ไม่เพียงแต่เอากระบี่ไม้ไปฟันดอกน้ำมัน ยังชอบดันคันดินสูงๆ ต่ำๆ ให้ล้มลง หยิบก้อนหินขว้างเป็ดที่อยู่ในน้ำ แต่ละวันจะต้องถูกพวกสตรีแต่งงานแล้วด่าทอ ถูกคนไล่ตี ภายหลังเขากับเฉินผิงอันต่างก็กลายมาเป็นช่างในเตาเผา หลิวเสี้ยนหยางจึงทำเรื่องพวกนั้นน้อยลงเพราะรู้สึกว่าไม่น่าสนใจแล้ว จะชอบขึ้นเขาไปจับงูจับไก่ป่าเสียมากกว่า ทว่าหลังก้นของเฉินผิงอันมีกู้ช่านเพิ่มมาอีกคน ความสามารถของหลิวเสี้ยนหยางก็ยิ่งขยับขยาย เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับหลิวเสี้ยนหยางที่ทำเรื่องร้ายๆ แบบเปิดเผยแล้ว กู้ช่านกลับระมัดระวังตัวกว่ามากเยอะ เขาแทบจะไม่เคยถูกใครจับได้ ทั้งมีความเพียรพยายามที่แม้แต่เฉินผิงอันก็ยังชื่นชม แล้วก็มีความเจ้าเล่ห์เกินตัวที่ไม่สมวัย
ภายใต้แสงแดดเจิดจ้า เพื่อให้ตกปลาไหลได้หนึ่งตัว กู้ช่านสามารถนั่งกระดกก้นรอได้เกินครึ่งวัน
ทุกครั้งที่ถึงเวลากินข้าวของคนในตรอกหนีผิง จะต้องมีเสียงตะโกนที่แม่ของกู้ช่านตะเบ็งเสียงเรียก
เฉินผิงอันนั่งยองอยู่ริมน้ำ ขว้างก้อนหินลงในน้ำ
พวกเด็กๆ พากันเดินข้ามสะพานไม้มาเป็นขบวนใหญ่ แต่ละศีรษะเรียงติดๆ กันคล้ายพุทราเชื่อมเสียบไม้อันยาว
เห็นคนแปลกหน้าอย่างเฉินผิงอัน พวกเด็กๆ ก็ไม่กลัว เพียงแต่หันมามองอยู่หลายครั้ง แล้วก็เดินไปทางหมู่บ้านที่ห่างไปไม่ไกล แต่เด็กคนหนึ่งที่ถือกระบี่ไม้ไผ่ เดินหนึ่งก้าวหันกลับมามองสามรอบ สายตาหยุดอยู่บนกล่องกระบี่ที่เฉินผิงอันสะพายอยู่ด้านหลังตลอดเวลา สุดท้ายระงับความใคร่รู้ไว้ไม่อยู่จึงหมุนตัววิ่งกลับมาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ถามด้วยภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปด้วยสำเนียงที่ชัดเจนถูกต้อง “หรือว่าเจ้าเองก็เป็นมือกระบี่คนหนึ่ง?”
—–
Comments