กระบี่จงมา 428.2 ชีวิตคนไม่ใช่เรื่องราวในตำรา

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 428.2 ชีวิตคนไม่ใช่เรื่องราวในตำรา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในบรรดากลุ่มคนที่ติดตามมาครั้งนี้ ผู้ฝึกยุทธที่มีประสบการณ์ในยุทธภพอย่างโชกโชนสองคนที่อยู่ข้างกายเขา คนหนึ่งคือผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่ดึงตัวมาจากกองทัพของต้าหลีชั่วคราว ขอบเขตร่างทอง ว่ากันว่าเขาคือสายลับใหญ่ของศาลาคลื่นมรกตที่เข้าไปชิงตัวคนถึงในกระโจมแม่ทัพ ถูกแม่ทัพที่มีพลังการต่อสู้ห้าวหาญขว้างจอกเหล้าใส่และด่าลามไปถึงมารดา แน่นอนว่าสุดท้ายก็ยังมอบตัวคนมาให้เขา

อีกคนหนึ่งคือเจ้าประมุขของพรรคใหญ่ในยุทธภพต้าหลี เป็นขอบเขตเจ็ดเหมือนกัน

นอกจากนี้อีกสามคนคือหน่วยจานกานที่รวมกลุ่มกันชั่วคราว ปู่หลานสองคน เด็กหนุ่มมีนามว่าหลี่มู่ซี คือผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนที่เชี่ยวชาญเรื่องยันต์และค่ายกลคนหนึ่ง ทั้งสามรุ่นตั้งแต่ปู่ พ่อและตัวเขาเองต่างก็เป็นหน่วยจานกานของราชวงศ์ต้าหลี ก่อนหน้านี้บิดาเพิ่งตายไปได้ไม่นาน ดังนั้นการเดินทางไกลลงใต้ในครั้งนี้ สำหรับปู่หลานสองคนแล้ว เป็นทั้งการทำงานส่วนรวมให้กับที่ว่าการ แล้วก็มีความแค้นส่วนตัวปะปนอยู่ด้วย

การเดินทางลงใต้ไปเยือนทะเลสาบเจี่ยนซูในครั้งนี้มีอยู่สองเรื่อง เรื่องหนึ่งเป็นไปอย่างเปิดเผย แล้วก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องเล็ก เขาที่เป็นหนึ่งในคนของกองงานบวงสรวงคือผู้ตัดสินใจ สามคนที่มาจากสำนักกระบี่หลงเฉวียนล้วนต้องเชื่อฟังเขา รับฟังคำสั่งและการจัดการของเขา

ช่วงเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ หน่วยจานกานของต้าหลีที่ไม่เคยบาดเจ็บล้มตายมานานหลายปีกลับต้องตายทีเดียวถึงสองคน มีผู้ฝึกตนโอสถทองต่างถิ่นที่ปิดบังสถานะคนหนึ่งแอบพาตัวลูกศิษย์คนหนึ่งไป เด็กหนุ่มคนนี้ค่อนข้างจะพิเศษ ไม่เพียงแต่เป็นตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิด ยังมีชะตาบู๊ติดตัว จึงดึงดูดความสนใจจากอริยะศาลบู๊หลายท่านในทวีปที่เขาอยู่อาศัย

ต้าหลีที่รู้เข้าก็ต้องการครอบครองตัวเขา แม้แต่ใต้เท้าราชครูที่พอได้ยินข่าวแล้วก็ยังให้ความสำคัญอย่างยิ่ง

ต้าหลีใช้วิธีตาต่อตาฟันต่อฟัน พูดไปแล้วก็เหลวไหล เด็กหนุ่มคนนี้เป็นคนที่หน่วยจานกานของต้าหลีหาตัวพบและหมายตาก่อน เป็นเหตุให้คนสามคนที่เจอต้นกล้าที่ดีต้นนี้ผลัดเวรกันเฝ้าคุ้มครอง อบรมปลูกฝังเด็กหนุ่มอย่างทุ่มเทเป็นเวลานานถึงสี่ปี ผลกลับกลายเป็นว่าผู้ฝึกตนโอสถทองที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำผู้นั้นไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน สังหารคนสองคน จากนั้นก็ลักพาตัวเด็กหนุ่มไป เผ่นหนีมาทางใต้ตลอดทาง ระหว่างนี้หลบพ้นการไล่ฆ่าและล้อมจับมาแล้วสองครั้ง เจ้าเล่ห์อย่างมาก อีกทั้งพลังการต่อสู้ก็สูงมาก ระหว่างที่หลบหนี เด็กหนุ่มคนนั้นก็ยิ่งเผยให้เห็นถึงจิตใจและคุณสมบัติอันเฉียบคมจนน่าตกตะลึง ทั้งสองครั้งเขาล้วนช่วยเหลือผู้ฝึกตนโอสถทองได้มาก

สุดท้ายรายงานของทางศาลาคลื่นมรกตบอกให้รู้ว่าผู้ฝึกตนโอสถทองและเด็กหนุ่มหนีเข้ามาในทะเลสาบเจี่ยนซู จากนั้นก็เป็นดั่งวัวดินที่จมลงสู่มหาสมุทร ไม่มีข่าวคราวส่งมาอีกเลย

สำหรับการไล่ฆ่าประเภทนี้ ไม่เพียงแต่ราชสำนักต้าหลีเท่านั้น อันที่จริงกองกำลังบนภูเขาทั้งหมดของแจกันสมบัติทวีปล้วนไม่โง่หรือมีใจคิดดูแคลน พรรคที่มีประสบการณ์โชกโชน ขอแค่พอจะมีรากฐานสักหน่อยก็ล้วนพยายามจะใช้วิธีสิงโตจับกระต่าย แก้ไขปัญหาทั้งหมดให้เสร็จสิ้นในรวดเดียว ไม่ใช่ทำตัวเหมือนแม่ทัพโง่ที่ทำเรื่องไม่สมควรด้วยการส่งคนกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าไปตายอย่างเสียเปล่าบนสนามรบ ใช้สงครามเลี้ยงสงคราม สุดท้ายเป็นการเลี้ยงพยัคฆ์ไว้เป็นภัยต่อตัวเอง

ฝ่ายตรงข้ามคือโอสถทองเฒ่าที่เชี่ยวชาญการเข่นฆ่าสังหาร อีกทั้งยังได้เปรียบด้านชัยภูมิ ดังนั้นในกลุ่มของซ่งหลางจงจึงไม่ได้มีพลังการต่อสู้แค่โอสถทองสองท่านเท่านั้น แต่เมื่อนำมารวมกันแล้วจะเทียบเท่าได้กับพลังการต่อสู้ของก่อกำเนิดใหญ่ที่ค่อนข้างแข็งแกร่งท่านหนึ่ง

สำหรับข้อนี้ ต่งกู่และสวีเสี่ยวเฉียวเคยวิเคราะห์อย่างละเอียดเป็นการส่วนตัวอยู่หลายครั้ง ข้อสรุปสุดท้ายที่ได้ค่อนข้างจะทำให้พวกเขาวางใจ

ไม่อย่างนั้นหากเกิดอะไรขึ้นกับศิษย์พี่หญิงใหญ่แม้แต่ปลายก้อย ตามหลักแล้ว ลูกศิษย์บุกเบิกขุนเขาสำนักกระบี่หลงเฉวียนอย่างต่งกู่และสวีเสี่ยวเฉียวสองคนก็ไม่ต้องอยู่บนภูเขาเสินซิ่วอีกแล้ว

ส่วนอีกเรื่องหนึ่งที่มีเพียงซ่งหลางจงที่รู้ก็ค่อนข้างจะเป็นเรื่องใหญ่แล้ว

เกี่ยวพันกับว่าตลอดทั้งทะเลสาบเจี่ยนซูจะตกเป็นของใคร

แม้แต่เขาก็ยังต้องคอยรับคำสั่งในเรื่องนี้

แม้แต่เจ้าเกาะบางท่านที่ลงหลักปักฐานอยู่ในทะเลสาบเจี่ยนซูอย่างลับๆ มาแปดสิบปีก็ยังเป็นแค่หมากเม็ดหนึ่งเหมือนกัน

เดินทางจากต้าหลีลงใต้มาด้วยระยะทางยาวไกลในครั้งนี้ มีเรื่องเล็กเรื่องหนึ่งที่ทำให้ซ่งหลางจงรู้สึกว่าน่าสนใจ

สำหรับการเดินทางลงใต้ครั้งนี้ โดยเฉพาะระหว่างที่โดยสารรถม้าผ่านแคว้นสือหาว ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้พบเห็นและได้ยินมา ไม่ว่าอย่างไรเด็กหนุ่มหลี่มู่ซีก็ไม่อาจทำความเข้าใจได้ ถึงขั้นที่ว่าส่วนลึกในจิตใจยังตำหนิเคียดแค้นตัวการสำคัญผู้นั้น ซึ่งก็คือราชวงศ์ต้าหลีของตัวเอง บางทีในสายตาของเด็กหนุ่มแล้ว หากกองทัพม้าเหล็กต้าหลีไม่ได้ลงใต้ หรือศึกสงครามจากการลงใต้ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องยาวนานไม่ได้โหดร้ายนองเลือดถึงเพียงนี้ ก็คงไม่มีชาวบ้านที่ต้องระเหเร่ร่อนสูญเสียทุกสิ่งที่เคยมีมากมายขนาดนั้น ท่ามกลางหายนะของไฟสงคราม ชายหญิงที่เดิมทีเป็นคนซื่อสัตย์ดีงามกลับเปลี่ยนไป กลายเป็นว่าจะเป็นคนก็ไม่ใช่คน จะเป็นผีก็ไม่ใช่ผี

ทว่าท่านปู่ของหลี่มู่ซี ผู้ฝึกตน ‘หนุ่ม’ ที่อายุแปดสิบปีกลับเฉยเมยกับเรื่องเหล่านี้ แล้วก็ไม่ได้อธิบายอะไรให้หลานชายฟัง

หร่วนซิ่วถาม “ได้ยินว่ามีเด็กจากตรอกหนีผิงคนหนึ่งอยู่ที่ทะเลสาบเจี่ยนซู?”

ซ่งหลางจงพยักหน้ารับ “แซ่กู้ เป็นเด็กที่มีโชควาสนายิ่งใหญ่มาก ถูกหลิวจื้อเม่าสกัดคงคาเจินจวินที่มีกองกำลังใหญ่ที่สุดของทะเลสาบเจี่ยนซูรับตัวไปเป็นลูกศิษย์คนสุดท้าย ตัวกู้ช่านเองได้นำ ‘ปลาหนีชิวตัวใหญ่’ ไปที่ทะเลสาบเจี่ยนซูด้วย เขาพาผู้ติดตามที่เป็นเจียวหลงซึ่งมีพลังการต่อสู้เทียบเท่าก่อกำเนิดตัวนั้นก่อคลื่นมรสุมไปทั่ว อายุยังน้อย แต่กลับมีชื่อเสียงมาก แม้แต่ราชวงศ์จูอิ๋งก็ยังเคยได้ยินว่าทะเลสาบเจี่ยนซูมีนายบ่าวคู่นี้อยู่ มีครั้งหนึ่งเคยพูดคุยกับท่านสวี่ ท่านสวี่พูดสัพยอกว่าเจ้าเด็กตัวน้อยที่ชื่อกู้ช่านผู้นี้คือผู้ฝึกตนอิสระก่อนกำเนิดโดยแท้”

หร่วนซิ่วยกข้อมือขึ้นมองมังกรเพลิงที่หลับสนิทซึ่งอยู่ในรูปลักษณ์ของกำไลสีแดงปลั่ง ก่อนจะวางข้อมือลงแล้วทำท่าครุ่นคิด

……

บุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งมาถึงแถบริมอาณาเขตของทะเลสาบเจี่ยนซู ที่นั่นคือนครขนาดใหญ่ที่เจริญรุ่งเรืองซึ่งมีผู้คนคลาคล่ำ มีชื่อว่านครน้ำบ่อ

เขาจ้างรถม้ามาตลอดทาง สารถีคือผู้เฒ่าช่างคุยที่ขึ้นเหนือล่องใต้มาจนปรุ ส่วนตัวบุรุษวัยกลางคนก็เป็นคนใจกว้าง ชอบฟังเรื่องสนุกและเรื่องเล่าน่าสนใจ ไม่ชอบเอาแต่นั่งสุขสบายอยู่ในห้องโดยสารรถม้า จึงนั่งอยู่ข้างกายสารถีเฒ่ามาเกินครึ่งทาง ให้ผู้เฒ่าดื่มเหล้าไปไม่น้อย ผู้เฒ่าที่อารมณ์ดีมากจึงเล่าเรื่องประหลาดเกี่ยวกับผู้คนและเรื่องราวมากมายของทะเลสาบเจี่ยนซูที่เคยได้ยินมา บอกว่าที่นั่นไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เล่าลือกันภายนอก มีการรบราฆ่าฟันกันก็จริง แต่ส่วนใหญ่ล้วนไม่เดือดร้อนมาถึงชาวบ้านอย่างพวกเขา ทว่าทะเลสาบเจี่ยนซูคือถ้ำผลาญเงินทองที่ใหญ่เทียมฟ้าอย่างจริงแท้แน่นอน เมื่อก่อนเขากับสหายเคยรับพวกคุณชายตระกูลเศรษฐีของราชวงศ์จูอิ๋งมากลุ่มหนึ่ง พูดจาคุยโวใหญ่โตอย่างมาก บอกให้พวกเขารออยู่ที่นครน้ำบ่อ บอกว่าอีกหนึ่งเดือนจะเดินทางกลับมา ผลกลับกลายเป็นว่ารออยู่ไม่ถึงสามวัน คุณชายหนุ่มกลุ่มนั้นก็โดยสารเรือจากทะเลสาบเจี่ยนซูกลับเข้ามาในเมือง บนร่างไม่เหลือเงินแม้แต่แดงเดียว คนหนุ่มเจ็ดแปดคน มีเงินมากถึงหกแสนตำลึง ทว่าเพียงแค่สามวันเงินเหล่านั้นกลับเหมือนไหลหายไปกับสายน้ำ แต่ฟังจากคำพูดของพวกลูกล้างลูกผลาญเหล่านั้นดูเหมือนว่าจะยังไม่หายสนุก บอกว่าอีกครึ่งปีจะเก็บเงินมาใหม่ แล้วก็จะต้องมาสำเริงสำราญที่ทะเลสาบเจี่ยนซูอีกครั้งอย่างแน่นอน

บุรุษเดินอยู่บนถนนใหญ่ของนครน้ำบ่อที่ผู้คนแออัดจนเดินชนไหล่กัน ทำให้เขาดูไม่สะดุดตาแม้แต่น้อย

ก่อนหน้านี้มีผู้ฝึกลมปราณกลุ่มหนึ่งเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูเมือง แต่กลับไม่ขอดูเอกสารผ่านทางอะไรทั้งนั้น ขอแค่จ่ายเงินก็เข้าเมืองได้

นครน้ำบ่อสร้างอยู่ติดริมน้ำทางทิศตะวันตกของทะเลสาบเจี่ยนซู

ทะเลสาบเจี่ยนซูมีอาณาบริเวณกว้างขวางอย่างยิ่ง มีเกาะน้อยใหญ่พันกว่าเกาะกระจายตัวกันดั่งดวงดาวบนทางช้างเผือก ที่สำคัญที่สุดก็คือมีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น คิดจะยึดครองเกาะหรือน่านน้ำขนาดใหญ่เพื่อมาตั้งพรรคก่อสำนักที่นี่เป็นเรื่องที่ยากมาก แต่หากเซียนดินโอสถทองคนสองคนได้ยึดครองเกาะที่ค่อนข้างใหญ่ไว้เป็นสถานที่ฝึกตนจะเหมาะสมที่สุด เพราะทั้งเงียบสงบ อีกทั้งยังเหมือนถ้ำสวรรค์ขนาดเล็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกลมปราณที่ฝึกวิชา ‘ใกล้น้ำ’ ที่ยิ่งมองเกาะบนทะเลสาบเจี่ยนซูเป็นสถานที่ที่ตัวเองต้องได้มาครอบครอง

บุรุษสะพายกระบี่เลือกเหลาสุราที่ตั้งอยู่กลางเมืองอันจอแจแห่งหนึ่ง สั่งเหล้าวิหคครวญที่ขึ้นชื่อที่สุดของนครน้ำบ่อมาหนึ่งกา ดื่มเสร็จแล้วก็คอยเงี่ยหูฟังบทสนทนาที่ลูกค้าโต๊ะใกล้ๆ พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ไม่ได้ยินเรื่องอะไรเพิ่มเติมอีก เรื่องหนึ่งที่มีประโยชน์ก็คือ ดูเหมือนว่าผ่านไปอีกช่วงระยะเวลาหนึ่ง ทะเลสาบเจี่ยนซูจะจัดงานประชุมเจ้าเกาะที่จะจัดขึ้นทุกๆ หนึ่งร้อยปีขึ้น เพื่อที่จะเสนอให้มีการคัดเลือก ‘เจ้าแห่งยุทธภพ’ คนใหม่ที่ตำแหน่งว่างเปล่ามานานสามร้อยปีแล้ว

หลังจากที่บุรุษผู้นี้กินอาหารดื่มสุราเสร็จ จ่ายเงินเรียบร้อยก็เดินออกจากร้านอาหาร ถามทางไปยังถนนวานรร่ำไห้เส้นหนึ่งในนครน้ำบ่อที่เปิดให้ทุกคนไปเยือน ถนนเส้นนั้นเต็มไปด้วยร้านตระกูลเซียน ยาวถึงสี่ลี้ ทั้งสองปลายฝั่งของเส้นถนนมีผู้ฝึกลมปราณเฝ้าพิทักษ์ ซึ่งก็ไม่ดูที่ตัวตนเช่นกัน ขอแค่มีเงินก็เปิดทางให้ สำหรับข้อนี้ค่อนข้างคล้ายคลึงกับนครมังกรเฒ่าที่มีธุรกิจการค้าเป็นอันดับหนึ่งของทวีป เยาะเย้ยคนที่ไม่มี อิจฉาคนที่มี ใครมีเงินคนนั้นก็ได้เป็นนายท่านใหญ่

ไม่เชื่อก็มองเหล้าในจอก แต่ละจอกล้วนดื่มคารวะคนมีเงินก่อน

หากพูดเช่นนี้ ก็ดูเหมือนว่าไม่ว่าที่ไหนบนโลก ประเพณีนิยมของสังคมก็ไม่ต่างกัน

ก่อนหน้านี้ฟังคำบอกเล่าของสารถีเฒ่า บุรุษวัยกลางคนที่ผูกน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาดไว้ตรงเอวจึงรู้ว่าอยู่ในทะเลสาบเจี่ยนซูที่มีปลาและมังกรปะปนกัน ผู้คนสัญจรไปมาขวักไขว่ หากสามารถพูดภาษากลางของทวีปได้ก็ไม่ต้องเป็นกังวล แต่ระหว่างทางเขาก็ยังเรียนรู้ภาษาถิ่นของทะเลสาบเจี่ยนซูบางส่วนมาจากสารถีเฒ่า เรียนรู้มาไม่มากนัก แต่หากให้ถามทางหรือต่อรองราคาก็ยังพอทำได้ บุรุษวัยกลางคนเดินเตร็ดเตร่เที่ยวชมนู่นนี่ไปตลอดทาง ทั้งไม่ได้กว้านซื้อสมบัติพิทักษ์ร้านที่มีมูลค่าเทียมฟ้าให้ผู้คนต้องตื่นตะลึงอะไร แต่ก็ไม่ได้เอาแต่มองไม่ยอมซื้อ เขาเลือกอาวุธวิเศษสองสามชิ้นที่มองดูเข้าท่าแต่ราคาไม่แพง ลักษณะท่าทางคล้ายกับผู้ฝึกลมปราณต่างถิ่นทั่วไปที่มาที่นี่ก็เพื่อมาชมความครึกครื้น ไม่ถึงขั้นถูกใครใช้ตาสุนัขมองต่ำต้อย แต่ก็ไม่ถูกคนในพื้นที่มองว่าสูงส่งเช่นกัน

สุดท้ายบุรุษวัยกลางคนมาหยุดอยู่ที่ร้านขนาดเล็กซึ่งขายของโบราณจิปาถะแห่งหนึ่ง ของในร้านเป็นของดี เพียงแต่ราคาไม่ค่อยยุติธรรมนัก อีกทั้งมองดูแล้วเถ้าแก่น่าจะเป็นคนคร่ำครึไม่เหมือนคนทำมาค้าขาย ดังนั้นกิจการจึงค่อนข้างซบเซา มีหลายคนเดินเข้าๆ ออกๆ ทว่าคนที่ควักเงินเทพเซียนออกจากกระเป๋ากลับมีน้อยเพียงหยิบมือ บุรุษยืนอยู่ตรงหน้ากระบี่ทองสัมฤทธิ์โบราณเล่มหนึ่งที่วางขวางไว้บนชั้นวางกระบี่ซึ่งจัดทำขึ้นเป็นพิเศษ ไม่ยอมขยับเท้าก้าวไปไหนสักที กระบี่และฝักกระบี่วางแยกกัน หนึ่งอยู่สูงหนึ่งอยู่ต่ำ ตัวกระบี่สลักตัวอักษรเล็กๆ สี่คำว่า ‘เลียนแบบฉวีหวง’

มองบุรุษสะพายกระบี่สวมชุดคลุมตัวยาวที่ก้มตัวลงพินิจพิเคราะห์กระบี่เล่มนั้น ในที่สุดเถ้าแก่ผู้เฒ่าก็พูดขึ้นอย่างหมดความอดทน “มองอะไรนักหนา เจ้าซื้อไหวหรือไง? ต่อให้เป็นกระบี่ที่เลียนแบบฉวีหวงยุคบรรพกาลก็ยังต้องจ่ายด้วยเงินเกล็ดหิมะก้อนใหญ่ ไปๆๆ หากมองแล้วติดใจก็ไปหามองจากที่อื่นโน่น”

คงเป็นเพราะถุงเงินของบุรุษวัยกลางคนไม่ตุงแน่น เอวจึงยืดได้ไม่ตรง เขาไม่เพียงแต่ไม่เดือดดาล กลับยังหันหน้ามาถามผู้เฒ่าด้วยรอยยิ้มว่า “เถ้าแก่ ฉวีหวงก็คือหนึ่งในแปดม้าลากรถฝีเท้าดีเยี่ยมของรถม้าคันที่ท่านผู้เฒ่าหลี่เซิ่งกับจักรพรรดิองค์แรกของโลกมนุษย์โดยสารมาร่วมกันเพื่อลาดตระเวนไปทั่วใต้หล้าใช่ไหม?”

เถ้าแก่วัยชราชำเลืองตามองกระบี่ยาวที่อยู่ด้านหลังบุรุษ สีหน้าก็ดีขึ้นเล็กน้อย “ยังถือว่าสายตาไม่แย่จนถึงขั้นตาบอด ถูกต้อง นี่ก็คือฉวีหวงของ ‘แปดอาชาแยกย้าย’ ภายหลังมีอาจารย์หลอมกระบี่ใหญ่ท่านหนึ่งของแผ่นดินกลางใช้แรงกายแรงใจและความทุ่มเทของทั้งชีวิตหลอมกระบี่ขึ้นมาแปดเล่ม โดยตั้งชื่อตามม้าทั้งแปดตัว คนผู้นี้มีนิสัยประหลาด หลอมกระบี่เสร็จแล้วก็ยอมขาย ทว่ากระบี่แต่ละเล่มจะขายให้กับคนซื้อของหนึ่งทวีปเท่านั้น เป็นเหตุให้จนตายก็ยังไม่อาจขายออกไปได้หมด ภายหลังมีของเลียนแบบนับไม่ถ้วน กระบี่โบราณที่กล้าสลักคำว่า ‘เลียนแบบ’ ไว้เบื้องหน้าฉวีหวงเล่มนี้ เลียนแบบได้เหมือนอย่างถึงที่สุด แน่นอนว่าราคาต้องสูงมาก วางขายอยู่ในร้านข้ามาสองร้อยกว่าปีแล้ว เจ้าหนุ่ม เจ้าซื้อไม่ไหวแน่ๆ”

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 428.2 ชีวิตคนไม่ใช่เรื่องราวในตำรา

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 428.2 ชีวิตคนไม่ใช่เรื่องราวในตำรา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในบรรดากลุ่มคนที่ติดตามมาครั้งนี้ ผู้ฝึกยุทธที่มีประสบการณ์ในยุทธภพอย่างโชกโชนสองคนที่อยู่ข้างกายเขา คนหนึ่งคือผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่ดึงตัวมาจากกองทัพของต้าหลีชั่วคราว ขอบเขตร่างทอง ว่ากันว่าเขาคือสายลับใหญ่ของศาลาคลื่นมรกตที่เข้าไปชิงตัวคนถึงในกระโจมแม่ทัพ ถูกแม่ทัพที่มีพลังการต่อสู้ห้าวหาญขว้างจอกเหล้าใส่และด่าลามไปถึงมารดา แน่นอนว่าสุดท้ายก็ยังมอบตัวคนมาให้เขา

อีกคนหนึ่งคือเจ้าประมุขของพรรคใหญ่ในยุทธภพต้าหลี เป็นขอบเขตเจ็ดเหมือนกัน

นอกจากนี้อีกสามคนคือหน่วยจานกานที่รวมกลุ่มกันชั่วคราว ปู่หลานสองคน เด็กหนุ่มมีนามว่าหลี่มู่ซี คือผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนที่เชี่ยวชาญเรื่องยันต์และค่ายกลคนหนึ่ง ทั้งสามรุ่นตั้งแต่ปู่ พ่อและตัวเขาเองต่างก็เป็นหน่วยจานกานของราชวงศ์ต้าหลี ก่อนหน้านี้บิดาเพิ่งตายไปได้ไม่นาน ดังนั้นการเดินทางไกลลงใต้ในครั้งนี้ สำหรับปู่หลานสองคนแล้ว เป็นทั้งการทำงานส่วนรวมให้กับที่ว่าการ แล้วก็มีความแค้นส่วนตัวปะปนอยู่ด้วย

การเดินทางลงใต้ไปเยือนทะเลสาบเจี่ยนซูในครั้งนี้มีอยู่สองเรื่อง เรื่องหนึ่งเป็นไปอย่างเปิดเผย แล้วก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องเล็ก เขาที่เป็นหนึ่งในคนของกองงานบวงสรวงคือผู้ตัดสินใจ สามคนที่มาจากสำนักกระบี่หลงเฉวียนล้วนต้องเชื่อฟังเขา รับฟังคำสั่งและการจัดการของเขา

ช่วงเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ หน่วยจานกานของต้าหลีที่ไม่เคยบาดเจ็บล้มตายมานานหลายปีกลับต้องตายทีเดียวถึงสองคน มีผู้ฝึกตนโอสถทองต่างถิ่นที่ปิดบังสถานะคนหนึ่งแอบพาตัวลูกศิษย์คนหนึ่งไป เด็กหนุ่มคนนี้ค่อนข้างจะพิเศษ ไม่เพียงแต่เป็นตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิด ยังมีชะตาบู๊ติดตัว จึงดึงดูดความสนใจจากอริยะศาลบู๊หลายท่านในทวีปที่เขาอยู่อาศัย

ต้าหลีที่รู้เข้าก็ต้องการครอบครองตัวเขา แม้แต่ใต้เท้าราชครูที่พอได้ยินข่าวแล้วก็ยังให้ความสำคัญอย่างยิ่ง

ต้าหลีใช้วิธีตาต่อตาฟันต่อฟัน พูดไปแล้วก็เหลวไหล เด็กหนุ่มคนนี้เป็นคนที่หน่วยจานกานของต้าหลีหาตัวพบและหมายตาก่อน เป็นเหตุให้คนสามคนที่เจอต้นกล้าที่ดีต้นนี้ผลัดเวรกันเฝ้าคุ้มครอง อบรมปลูกฝังเด็กหนุ่มอย่างทุ่มเทเป็นเวลานานถึงสี่ปี ผลกลับกลายเป็นว่าผู้ฝึกตนโอสถทองที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำผู้นั้นไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน สังหารคนสองคน จากนั้นก็ลักพาตัวเด็กหนุ่มไป เผ่นหนีมาทางใต้ตลอดทาง ระหว่างนี้หลบพ้นการไล่ฆ่าและล้อมจับมาแล้วสองครั้ง เจ้าเล่ห์อย่างมาก อีกทั้งพลังการต่อสู้ก็สูงมาก ระหว่างที่หลบหนี เด็กหนุ่มคนนั้นก็ยิ่งเผยให้เห็นถึงจิตใจและคุณสมบัติอันเฉียบคมจนน่าตกตะลึง ทั้งสองครั้งเขาล้วนช่วยเหลือผู้ฝึกตนโอสถทองได้มาก

สุดท้ายรายงานของทางศาลาคลื่นมรกตบอกให้รู้ว่าผู้ฝึกตนโอสถทองและเด็กหนุ่มหนีเข้ามาในทะเลสาบเจี่ยนซู จากนั้นก็เป็นดั่งวัวดินที่จมลงสู่มหาสมุทร ไม่มีข่าวคราวส่งมาอีกเลย

สำหรับการไล่ฆ่าประเภทนี้ ไม่เพียงแต่ราชสำนักต้าหลีเท่านั้น อันที่จริงกองกำลังบนภูเขาทั้งหมดของแจกันสมบัติทวีปล้วนไม่โง่หรือมีใจคิดดูแคลน พรรคที่มีประสบการณ์โชกโชน ขอแค่พอจะมีรากฐานสักหน่อยก็ล้วนพยายามจะใช้วิธีสิงโตจับกระต่าย แก้ไขปัญหาทั้งหมดให้เสร็จสิ้นในรวดเดียว ไม่ใช่ทำตัวเหมือนแม่ทัพโง่ที่ทำเรื่องไม่สมควรด้วยการส่งคนกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าไปตายอย่างเสียเปล่าบนสนามรบ ใช้สงครามเลี้ยงสงคราม สุดท้ายเป็นการเลี้ยงพยัคฆ์ไว้เป็นภัยต่อตัวเอง

ฝ่ายตรงข้ามคือโอสถทองเฒ่าที่เชี่ยวชาญการเข่นฆ่าสังหาร อีกทั้งยังได้เปรียบด้านชัยภูมิ ดังนั้นในกลุ่มของซ่งหลางจงจึงไม่ได้มีพลังการต่อสู้แค่โอสถทองสองท่านเท่านั้น แต่เมื่อนำมารวมกันแล้วจะเทียบเท่าได้กับพลังการต่อสู้ของก่อกำเนิดใหญ่ที่ค่อนข้างแข็งแกร่งท่านหนึ่ง

สำหรับข้อนี้ ต่งกู่และสวีเสี่ยวเฉียวเคยวิเคราะห์อย่างละเอียดเป็นการส่วนตัวอยู่หลายครั้ง ข้อสรุปสุดท้ายที่ได้ค่อนข้างจะทำให้พวกเขาวางใจ

ไม่อย่างนั้นหากเกิดอะไรขึ้นกับศิษย์พี่หญิงใหญ่แม้แต่ปลายก้อย ตามหลักแล้ว ลูกศิษย์บุกเบิกขุนเขาสำนักกระบี่หลงเฉวียนอย่างต่งกู่และสวีเสี่ยวเฉียวสองคนก็ไม่ต้องอยู่บนภูเขาเสินซิ่วอีกแล้ว

ส่วนอีกเรื่องหนึ่งที่มีเพียงซ่งหลางจงที่รู้ก็ค่อนข้างจะเป็นเรื่องใหญ่แล้ว

เกี่ยวพันกับว่าตลอดทั้งทะเลสาบเจี่ยนซูจะตกเป็นของใคร

แม้แต่เขาก็ยังต้องคอยรับคำสั่งในเรื่องนี้

แม้แต่เจ้าเกาะบางท่านที่ลงหลักปักฐานอยู่ในทะเลสาบเจี่ยนซูอย่างลับๆ มาแปดสิบปีก็ยังเป็นแค่หมากเม็ดหนึ่งเหมือนกัน

เดินทางจากต้าหลีลงใต้มาด้วยระยะทางยาวไกลในครั้งนี้ มีเรื่องเล็กเรื่องหนึ่งที่ทำให้ซ่งหลางจงรู้สึกว่าน่าสนใจ

สำหรับการเดินทางลงใต้ครั้งนี้ โดยเฉพาะระหว่างที่โดยสารรถม้าผ่านแคว้นสือหาว ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้พบเห็นและได้ยินมา ไม่ว่าอย่างไรเด็กหนุ่มหลี่มู่ซีก็ไม่อาจทำความเข้าใจได้ ถึงขั้นที่ว่าส่วนลึกในจิตใจยังตำหนิเคียดแค้นตัวการสำคัญผู้นั้น ซึ่งก็คือราชวงศ์ต้าหลีของตัวเอง บางทีในสายตาของเด็กหนุ่มแล้ว หากกองทัพม้าเหล็กต้าหลีไม่ได้ลงใต้ หรือศึกสงครามจากการลงใต้ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องยาวนานไม่ได้โหดร้ายนองเลือดถึงเพียงนี้ ก็คงไม่มีชาวบ้านที่ต้องระเหเร่ร่อนสูญเสียทุกสิ่งที่เคยมีมากมายขนาดนั้น ท่ามกลางหายนะของไฟสงคราม ชายหญิงที่เดิมทีเป็นคนซื่อสัตย์ดีงามกลับเปลี่ยนไป กลายเป็นว่าจะเป็นคนก็ไม่ใช่คน จะเป็นผีก็ไม่ใช่ผี

ทว่าท่านปู่ของหลี่มู่ซี ผู้ฝึกตน ‘หนุ่ม’ ที่อายุแปดสิบปีกลับเฉยเมยกับเรื่องเหล่านี้ แล้วก็ไม่ได้อธิบายอะไรให้หลานชายฟัง

หร่วนซิ่วถาม “ได้ยินว่ามีเด็กจากตรอกหนีผิงคนหนึ่งอยู่ที่ทะเลสาบเจี่ยนซู?”

ซ่งหลางจงพยักหน้ารับ “แซ่กู้ เป็นเด็กที่มีโชควาสนายิ่งใหญ่มาก ถูกหลิวจื้อเม่าสกัดคงคาเจินจวินที่มีกองกำลังใหญ่ที่สุดของทะเลสาบเจี่ยนซูรับตัวไปเป็นลูกศิษย์คนสุดท้าย ตัวกู้ช่านเองได้นำ ‘ปลาหนีชิวตัวใหญ่’ ไปที่ทะเลสาบเจี่ยนซูด้วย เขาพาผู้ติดตามที่เป็นเจียวหลงซึ่งมีพลังการต่อสู้เทียบเท่าก่อกำเนิดตัวนั้นก่อคลื่นมรสุมไปทั่ว อายุยังน้อย แต่กลับมีชื่อเสียงมาก แม้แต่ราชวงศ์จูอิ๋งก็ยังเคยได้ยินว่าทะเลสาบเจี่ยนซูมีนายบ่าวคู่นี้อยู่ มีครั้งหนึ่งเคยพูดคุยกับท่านสวี่ ท่านสวี่พูดสัพยอกว่าเจ้าเด็กตัวน้อยที่ชื่อกู้ช่านผู้นี้คือผู้ฝึกตนอิสระก่อนกำเนิดโดยแท้”

หร่วนซิ่วยกข้อมือขึ้นมองมังกรเพลิงที่หลับสนิทซึ่งอยู่ในรูปลักษณ์ของกำไลสีแดงปลั่ง ก่อนจะวางข้อมือลงแล้วทำท่าครุ่นคิด

……

บุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งมาถึงแถบริมอาณาเขตของทะเลสาบเจี่ยนซู ที่นั่นคือนครขนาดใหญ่ที่เจริญรุ่งเรืองซึ่งมีผู้คนคลาคล่ำ มีชื่อว่านครน้ำบ่อ

เขาจ้างรถม้ามาตลอดทาง สารถีคือผู้เฒ่าช่างคุยที่ขึ้นเหนือล่องใต้มาจนปรุ ส่วนตัวบุรุษวัยกลางคนก็เป็นคนใจกว้าง ชอบฟังเรื่องสนุกและเรื่องเล่าน่าสนใจ ไม่ชอบเอาแต่นั่งสุขสบายอยู่ในห้องโดยสารรถม้า จึงนั่งอยู่ข้างกายสารถีเฒ่ามาเกินครึ่งทาง ให้ผู้เฒ่าดื่มเหล้าไปไม่น้อย ผู้เฒ่าที่อารมณ์ดีมากจึงเล่าเรื่องประหลาดเกี่ยวกับผู้คนและเรื่องราวมากมายของทะเลสาบเจี่ยนซูที่เคยได้ยินมา บอกว่าที่นั่นไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เล่าลือกันภายนอก มีการรบราฆ่าฟันกันก็จริง แต่ส่วนใหญ่ล้วนไม่เดือดร้อนมาถึงชาวบ้านอย่างพวกเขา ทว่าทะเลสาบเจี่ยนซูคือถ้ำผลาญเงินทองที่ใหญ่เทียมฟ้าอย่างจริงแท้แน่นอน เมื่อก่อนเขากับสหายเคยรับพวกคุณชายตระกูลเศรษฐีของราชวงศ์จูอิ๋งมากลุ่มหนึ่ง พูดจาคุยโวใหญ่โตอย่างมาก บอกให้พวกเขารออยู่ที่นครน้ำบ่อ บอกว่าอีกหนึ่งเดือนจะเดินทางกลับมา ผลกลับกลายเป็นว่ารออยู่ไม่ถึงสามวัน คุณชายหนุ่มกลุ่มนั้นก็โดยสารเรือจากทะเลสาบเจี่ยนซูกลับเข้ามาในเมือง บนร่างไม่เหลือเงินแม้แต่แดงเดียว คนหนุ่มเจ็ดแปดคน มีเงินมากถึงหกแสนตำลึง ทว่าเพียงแค่สามวันเงินเหล่านั้นกลับเหมือนไหลหายไปกับสายน้ำ แต่ฟังจากคำพูดของพวกลูกล้างลูกผลาญเหล่านั้นดูเหมือนว่าจะยังไม่หายสนุก บอกว่าอีกครึ่งปีจะเก็บเงินมาใหม่ แล้วก็จะต้องมาสำเริงสำราญที่ทะเลสาบเจี่ยนซูอีกครั้งอย่างแน่นอน

บุรุษเดินอยู่บนถนนใหญ่ของนครน้ำบ่อที่ผู้คนแออัดจนเดินชนไหล่กัน ทำให้เขาดูไม่สะดุดตาแม้แต่น้อย

ก่อนหน้านี้มีผู้ฝึกลมปราณกลุ่มหนึ่งเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูเมือง แต่กลับไม่ขอดูเอกสารผ่านทางอะไรทั้งนั้น ขอแค่จ่ายเงินก็เข้าเมืองได้

นครน้ำบ่อสร้างอยู่ติดริมน้ำทางทิศตะวันตกของทะเลสาบเจี่ยนซู

ทะเลสาบเจี่ยนซูมีอาณาบริเวณกว้างขวางอย่างยิ่ง มีเกาะน้อยใหญ่พันกว่าเกาะกระจายตัวกันดั่งดวงดาวบนทางช้างเผือก ที่สำคัญที่สุดก็คือมีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น คิดจะยึดครองเกาะหรือน่านน้ำขนาดใหญ่เพื่อมาตั้งพรรคก่อสำนักที่นี่เป็นเรื่องที่ยากมาก แต่หากเซียนดินโอสถทองคนสองคนได้ยึดครองเกาะที่ค่อนข้างใหญ่ไว้เป็นสถานที่ฝึกตนจะเหมาะสมที่สุด เพราะทั้งเงียบสงบ อีกทั้งยังเหมือนถ้ำสวรรค์ขนาดเล็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกลมปราณที่ฝึกวิชา ‘ใกล้น้ำ’ ที่ยิ่งมองเกาะบนทะเลสาบเจี่ยนซูเป็นสถานที่ที่ตัวเองต้องได้มาครอบครอง

บุรุษสะพายกระบี่เลือกเหลาสุราที่ตั้งอยู่กลางเมืองอันจอแจแห่งหนึ่ง สั่งเหล้าวิหคครวญที่ขึ้นชื่อที่สุดของนครน้ำบ่อมาหนึ่งกา ดื่มเสร็จแล้วก็คอยเงี่ยหูฟังบทสนทนาที่ลูกค้าโต๊ะใกล้ๆ พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ไม่ได้ยินเรื่องอะไรเพิ่มเติมอีก เรื่องหนึ่งที่มีประโยชน์ก็คือ ดูเหมือนว่าผ่านไปอีกช่วงระยะเวลาหนึ่ง ทะเลสาบเจี่ยนซูจะจัดงานประชุมเจ้าเกาะที่จะจัดขึ้นทุกๆ หนึ่งร้อยปีขึ้น เพื่อที่จะเสนอให้มีการคัดเลือก ‘เจ้าแห่งยุทธภพ’ คนใหม่ที่ตำแหน่งว่างเปล่ามานานสามร้อยปีแล้ว

หลังจากที่บุรุษผู้นี้กินอาหารดื่มสุราเสร็จ จ่ายเงินเรียบร้อยก็เดินออกจากร้านอาหาร ถามทางไปยังถนนวานรร่ำไห้เส้นหนึ่งในนครน้ำบ่อที่เปิดให้ทุกคนไปเยือน ถนนเส้นนั้นเต็มไปด้วยร้านตระกูลเซียน ยาวถึงสี่ลี้ ทั้งสองปลายฝั่งของเส้นถนนมีผู้ฝึกลมปราณเฝ้าพิทักษ์ ซึ่งก็ไม่ดูที่ตัวตนเช่นกัน ขอแค่มีเงินก็เปิดทางให้ สำหรับข้อนี้ค่อนข้างคล้ายคลึงกับนครมังกรเฒ่าที่มีธุรกิจการค้าเป็นอันดับหนึ่งของทวีป เยาะเย้ยคนที่ไม่มี อิจฉาคนที่มี ใครมีเงินคนนั้นก็ได้เป็นนายท่านใหญ่

ไม่เชื่อก็มองเหล้าในจอก แต่ละจอกล้วนดื่มคารวะคนมีเงินก่อน

หากพูดเช่นนี้ ก็ดูเหมือนว่าไม่ว่าที่ไหนบนโลก ประเพณีนิยมของสังคมก็ไม่ต่างกัน

ก่อนหน้านี้ฟังคำบอกเล่าของสารถีเฒ่า บุรุษวัยกลางคนที่ผูกน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาดไว้ตรงเอวจึงรู้ว่าอยู่ในทะเลสาบเจี่ยนซูที่มีปลาและมังกรปะปนกัน ผู้คนสัญจรไปมาขวักไขว่ หากสามารถพูดภาษากลางของทวีปได้ก็ไม่ต้องเป็นกังวล แต่ระหว่างทางเขาก็ยังเรียนรู้ภาษาถิ่นของทะเลสาบเจี่ยนซูบางส่วนมาจากสารถีเฒ่า เรียนรู้มาไม่มากนัก แต่หากให้ถามทางหรือต่อรองราคาก็ยังพอทำได้ บุรุษวัยกลางคนเดินเตร็ดเตร่เที่ยวชมนู่นนี่ไปตลอดทาง ทั้งไม่ได้กว้านซื้อสมบัติพิทักษ์ร้านที่มีมูลค่าเทียมฟ้าให้ผู้คนต้องตื่นตะลึงอะไร แต่ก็ไม่ได้เอาแต่มองไม่ยอมซื้อ เขาเลือกอาวุธวิเศษสองสามชิ้นที่มองดูเข้าท่าแต่ราคาไม่แพง ลักษณะท่าทางคล้ายกับผู้ฝึกลมปราณต่างถิ่นทั่วไปที่มาที่นี่ก็เพื่อมาชมความครึกครื้น ไม่ถึงขั้นถูกใครใช้ตาสุนัขมองต่ำต้อย แต่ก็ไม่ถูกคนในพื้นที่มองว่าสูงส่งเช่นกัน

สุดท้ายบุรุษวัยกลางคนมาหยุดอยู่ที่ร้านขนาดเล็กซึ่งขายของโบราณจิปาถะแห่งหนึ่ง ของในร้านเป็นของดี เพียงแต่ราคาไม่ค่อยยุติธรรมนัก อีกทั้งมองดูแล้วเถ้าแก่น่าจะเป็นคนคร่ำครึไม่เหมือนคนทำมาค้าขาย ดังนั้นกิจการจึงค่อนข้างซบเซา มีหลายคนเดินเข้าๆ ออกๆ ทว่าคนที่ควักเงินเทพเซียนออกจากกระเป๋ากลับมีน้อยเพียงหยิบมือ บุรุษยืนอยู่ตรงหน้ากระบี่ทองสัมฤทธิ์โบราณเล่มหนึ่งที่วางขวางไว้บนชั้นวางกระบี่ซึ่งจัดทำขึ้นเป็นพิเศษ ไม่ยอมขยับเท้าก้าวไปไหนสักที กระบี่และฝักกระบี่วางแยกกัน หนึ่งอยู่สูงหนึ่งอยู่ต่ำ ตัวกระบี่สลักตัวอักษรเล็กๆ สี่คำว่า ‘เลียนแบบฉวีหวง’

มองบุรุษสะพายกระบี่สวมชุดคลุมตัวยาวที่ก้มตัวลงพินิจพิเคราะห์กระบี่เล่มนั้น ในที่สุดเถ้าแก่ผู้เฒ่าก็พูดขึ้นอย่างหมดความอดทน “มองอะไรนักหนา เจ้าซื้อไหวหรือไง? ต่อให้เป็นกระบี่ที่เลียนแบบฉวีหวงยุคบรรพกาลก็ยังต้องจ่ายด้วยเงินเกล็ดหิมะก้อนใหญ่ ไปๆๆ หากมองแล้วติดใจก็ไปหามองจากที่อื่นโน่น”

คงเป็นเพราะถุงเงินของบุรุษวัยกลางคนไม่ตุงแน่น เอวจึงยืดได้ไม่ตรง เขาไม่เพียงแต่ไม่เดือดดาล กลับยังหันหน้ามาถามผู้เฒ่าด้วยรอยยิ้มว่า “เถ้าแก่ ฉวีหวงก็คือหนึ่งในแปดม้าลากรถฝีเท้าดีเยี่ยมของรถม้าคันที่ท่านผู้เฒ่าหลี่เซิ่งกับจักรพรรดิองค์แรกของโลกมนุษย์โดยสารมาร่วมกันเพื่อลาดตระเวนไปทั่วใต้หล้าใช่ไหม?”

เถ้าแก่วัยชราชำเลืองตามองกระบี่ยาวที่อยู่ด้านหลังบุรุษ สีหน้าก็ดีขึ้นเล็กน้อย “ยังถือว่าสายตาไม่แย่จนถึงขั้นตาบอด ถูกต้อง นี่ก็คือฉวีหวงของ ‘แปดอาชาแยกย้าย’ ภายหลังมีอาจารย์หลอมกระบี่ใหญ่ท่านหนึ่งของแผ่นดินกลางใช้แรงกายแรงใจและความทุ่มเทของทั้งชีวิตหลอมกระบี่ขึ้นมาแปดเล่ม โดยตั้งชื่อตามม้าทั้งแปดตัว คนผู้นี้มีนิสัยประหลาด หลอมกระบี่เสร็จแล้วก็ยอมขาย ทว่ากระบี่แต่ละเล่มจะขายให้กับคนซื้อของหนึ่งทวีปเท่านั้น เป็นเหตุให้จนตายก็ยังไม่อาจขายออกไปได้หมด ภายหลังมีของเลียนแบบนับไม่ถ้วน กระบี่โบราณที่กล้าสลักคำว่า ‘เลียนแบบ’ ไว้เบื้องหน้าฉวีหวงเล่มนี้ เลียนแบบได้เหมือนอย่างถึงที่สุด แน่นอนว่าราคาต้องสูงมาก วางขายอยู่ในร้านข้ามาสองร้อยกว่าปีแล้ว เจ้าหนุ่ม เจ้าซื้อไม่ไหวแน่ๆ”

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+