กระบี่จงมา 724.2 วิดน้ำทั้งทวีปให้แห้งเพื่อจับปลา

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 724.2 วิดน้ำทั้งทวีปให้แห้งเพื่อจับปลา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ซิ่วไฉเฒ่าถาม “ก่อนหน้านี้คุยเรื่องคัมภีร์เล่มนั้นกับเป่าผิงน้อย ได้ยินมาว่าเจ้าอ่านตำราหลากหลาย เคยอ่านคัมภีร์เล่มนี้หรือไม่?”

สวี่ป๋ายพยักหน้ารับ “เคยอ่าน เพียงแต่ว่าอ่านมามาก คิดได้น้อย จำได้ แต่ไม่เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง”

ซิ่วไฉพูดเหมือนชวนคุย “ตัดสินใจเป็นพุทธะ ประหนึ่งฝุ่นผงที่ลอยคลุ้งไปตามสายลม มีอะไรที่ลำบากอันตราย?”

สวี่ป๋ายหลุดปากเอ่ยว่า “หากฝึกตนสำเร็จ ดุจดั่งจอกแหนที่ไหลกลับลงสู่มหาสมุทรใหญ่ ไร้สิ่งใดให้ต้องห่วงพะวง”

ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้ารับ “กลับไปถึงทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เจ้าสามารถไปเยือนสถานศึกษาหลี่จี้สักรอบหนึ่งเพื่อถามถึงข้อสงสัยใน ‘รวมคำอธิบาย’ จากเหมาเสี่ยวตงดูได้ คนหนุ่มออกเดินทางได้ไม่ง่าย จะเอาแต่ชื่นชมทัศนียภาพอย่างเดียวไม่ได้”

สีหน้าของสวี่ป๋ายแดงก่ำน้อยๆ รีบพยักหน้ารับอย่างแรงทันที

จากนั้นซิ่วไฉเฒ่าก็ใช้เสียงในใจเอ่ยกับสวี่ป๋ายเพียงลำพัง “เป่าผิงน้อยบ้านข้า ขอแค่ไม่ได้ตาบอด ย่อมต้องชอบแน่นอน ไม่ชอบสิถึงจะแปลก เพียงแต่ว่าวิถีทางโลกทุกวันนี้ไม่สงบ คนหนุ่มก็ยิ่งต้องฝึกปรือบ่มเพาะตัวเองเพื่อสร้างความผาสุกให้กับบ้านเมือง ความรักชายหญิงนั้นงดงามอย่างยิ่ง แต่จะใจร้อนไม่ได้ ในเมื่อตอนนี้เจ้ายังไม่ใช่สายบุ๋นสายใดก็ยิ่งไม่ต้องรีบร้อนเข้าไปใหญ่ ไปถึงสถานศึกษาหลี่จี้แล้ว ชอบเรียนอะไรก็เรียนอย่างนั้น รู้สึกว่าอาจารย์ท่านใดมีความรู้มากก็เรียนเอาวิชาที่พวกเขาถนัดที่สุดมา ไม่ต้องยึดติดอยู่กับวิชาสำนักอะไร วันหน้ามีโอกาสได้พบเจอกับอาจารย์ในโรงเรียนคนนั้นอีกครั้งค่อยตัดสินใจว่าจะเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่แท้จริงของใคร”

สวี่ป๋ายลังเลเล็กน้อย ก่อนจะถามว่า “ท่านอาจารย์เหวินเซิ่ง หรือว่าอาจารย์ที่สอนข้าตอนประถมจะเป็น ‘สวี่จวิน’ ที่เล่าลือกันในตำนาน?”

ในอดีตตอนที่เรียนชั้นประถมอยู่ในโรงเรียน อาจารย์ชอบใช้การอธิบายคำศัพท์มาถ่ายทอดวิชาความรู้ ก่อนจะออกเดินทางไกล หนังสือที่เขาแนะนำให้กับสวี่ป๋ายก็เน้นไปในทางตำราอรรถาธิบายคำศัพท์โบราณ

ทว่าหากไม่ใช่เพราะวันนี้เหวินเซิ่งเอ่ยเช่นนี้ สวี่ป๋ายก็คงไม่มีทางคิดไปว่าอาจารย์ในโรงเรียนชนบทคนหนึ่งจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับ ‘สวี่จวิน’ ได้เด็ดขาด

ซิ่วไฉเฒ่ารู้สึกจนใจเล็กน้อย เหตุใดคนรุ่นเยาว์ในทุกวันนี้ถึงได้หลอกยากขนาดนี้นะ? แต่ละคนฉลาดหัวไวกันนัก ถึงอย่างไรก็ไม่มีนิสัยบริสุทธิ์เรียบง่ายอย่างลูกศิษย์คนสุดท้ายบ้านตน

เพียงแต่ว่าในเมื่อสวี่ป๋ายเดาออกด้วยตัวเองแล้ว ซิ่วไฉเฒ่าก็ไม่สะดวกจะพูดกลบเกลื่อน อีกทั้งนี่เป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก ต่อให้จะเป็นคำพูดที่ทำลายบรรยากาศอย่างยิ่งก็ยังต้องพูดออกไปตามตรง ไม่อย่างนั้นหากอิงตามแผนการเดิมของซิ่วไฉเฒ่าก็คือคิดจะหาคนมาคอยช่วยปกป้องมรรคาให้สวี่ป๋ายอย่างลับๆ เพื่อให้เขาไปขอการปกป้องคุ้มครองจากสถานศึกษาแห่งใดแห่งหนึ่งในแผ่นดินกลาง แม้ว่าคุณสมบัติของสวี่ป๋ายจะดี แต่วิถีทางโลกทุกวันนี้อันตรายผิดแผกไปจากปกติ บรรยากาศอึมครึมน่าหวาดหวั่น ถึงอย่างไรสวี่ป๋ายก็ยังขาดประสบการณ์ ไม่ว่าจะใช่คนหนุ่มของสายบุ๋นบ้านตนหรือไม่ ในเมื่อได้พบเจอกันแล้วก็ควรต้องพยายามปกป้องให้มากหน่อย

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘สวี่จวิน’ ผู้นั้นที่เนื่องจากความสัมพันธ์ในชั้นของความรู้และตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตของอริยะลัทธิขงจื๊อบางท่าน ทุกวันนี้จึงกลายเป็นเป้าโจมตีของปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้ว ตัวอาจารย์ผู้เฒ่าเองจะเอาตัวรอดยังยาก แต่หากจะให้เขาเกิดปัญหาแทรกซ้อนเพราะลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่ออย่างสวี่ป๋าย ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องดี ไม่เหมาะไม่ควรอย่างยิ่ง!

ดังนั้นซิ่วไฉเฒ่าถึงได้พยักหน้า “คือสวี่จวิน ‘อันดับหนึ่งในการอธิบายคำศัพท์ของใต้หล้า’ ผู้นั้นจริงๆ ดังนั้นตอนนี้เจ้าจึงยิ่งต้องระมัดระวังตัวมากกว่าเดิม ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง หรือไม่แน่ว่าอาจเป็นบรรพบุรุษใหญ่ของภูเขาทัวเยว่ผู้นั้นที่จะลงมือเอง ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาต้องไปหาเรื่องอาจารย์ของเจ้า ก่อนหน้านี้ที่ข้าบอกให้เจ้าไปสถานศึกษาหลี่จี้ ไม่เพียงแต่ให้เจ้าไปขอศึกษาที่นั่น ทุกวันนี้การวางแผนของเผ่าปีศาจใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ทั้งแผนโจ่งแจ้งและแผนในที่ลับล้วนพุ่งขึ้นหัวพวกเขาหมด ไม่มีการเกรงใจกันแม้แต่น้อย ไม่แน่ว่าอาจมีแผนการลับที่มีไว้สำหรับเล่นงานสวี่ป๋าย แล้วค่อยเล่นงานสวี่จวินโดยเฉพาะ ฟังไปแล้วสามารถเป็นกังวลได้ สามารถคิดพิจารณาให้มากขึ้นได้ แต่อย่าได้หวาดกลัวเกินไปนัก ข้า และยังมีอาจารย์สวี่ป๋ายที่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรถึงยังไม่ยอมเปิดเผยตัวตนต่อเจ้าอย่างตรงไปตรงมาผู้นั้น บวกกับเฉินฉุนอันอีกคน ถึงอย่างไรตาแก่อย่างพวกเราก็ยังอยู่”

สวี่ป๋ายประสานมือคารวะแทนการขอบคุณ

แต่ไหนแต่ไรมาสวี่ป๋ายก็ไม่ยินดีจะใช้สถานะตัวสำรองสิบคนรุ่นเยาว์อะไรนั่นไปเยี่ยมเยือนอริยะปราชญ์ของลัทธิขงจื๊อในสำนักศึกษาใหญ่แห่งต่างๆ อยู่แล้ว เขายังหวังว่าจะใช้สถานะของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อไปถามคำถาม ขอวิชาความรู้จากเหล่าอริยะปราชญ์อย่างนอบน้อมมากกว่า อย่างแรกเลื่อนลอยเกินไป ไม่มั่นคง กระทั่งถึงตอนนี้สวี่ป๋ายก็ยังไม่กล้าเชื่อ ทว่าสำหรับสถานะบัณฑิตของตัวเอง สวี่ป๋ายกลับไม่รู้สึกว่ามีอะไรให้ไม่กล้ายอมรับ ชีวิตนี้ความหวังที่ใหญ่ที่สุดของเขาก็คือมีตำแหน่งเคอจวี่เสียก่อน แล้วค่อยไปเป็นขุนนางที่สร้างความผาสุกให้แก่ปวงประชาในพื้นที่หนึ่ง ส่วนการที่ศึกษาเวทคาถาน้อยนิดมาได้สำเร็จ วันหน้ายามเจอกับภัยพิบัติทางธรรมชาติทั้งหลายแล้วต้องไปขอฝนขอกำจัดภัยแล้งจากศาลบุ๋นบู๊ ศาลราชามังกร หรือไปขอร้องให้เซียนลงจากเขามาช่วยจัดการอุทกภัย ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร

ซิ่วไฉเฒ่าลูบหนวดยิ้มเอ่ย “เจ้ากับเหมาเสี่ยวตงต้องถูกชะตากันอย่างมากแน่นอน ไปถึงสถานศึกษาหลี่จี้แล้วก็ทำหน้าหนาสักหน่อย พูดไปเลยว่าตัวเองเคยกอดคอพูดคุยกับซิ่วไฉเฒ่าอย่างถูกคอเช่นไร เป็นสหายต่างวัยที่ได้แต่เจ็บใจที่เจอกันช้าไปอย่างไร ลำบากใจหรือ? เรื่องของการขอศึกษาหาความรู้ ขอแค่มีความจริงใจ อย่างอื่นยังจะต้องมีอะไรให้ลำบากใจกัน ได้เรียนรู้ความรู้ของเหมาเสี่ยวตงมาอย่างแท้จริง นั่นก็คือการขออภัยที่ดีที่สุดแล้ว ปีนั้นที่ข้าซิ่วไฉเฒ่าไปเยือนศาลบุ๋นเป็นครั้งแรก เข้าไปในประตูใหญ่อย่างไร? เปิดปากก็พูดว่าข้าได้รับการสืบทอดที่แท้จริงมาจากปรมาจารย์มหาปราชญ์ ใครจะกล้าขัดขวาง? หลังจากเผ่นปรู๊ดเข้าไปในประตูได้ก็รีบจุดธูปกราบไหว้ภาพเหมือนของตาเฒ่า ปรมาจารย์มหาปราชญ์ก็หัวเราะฮ่าๆ ชอบใจไม่ใช่หรือ?”

สวี่ป๋ายยิ่งสำรวมมากกว่าเดิม ถึงอย่างไรก็เป็นบัณฑิตที่สุภาพสง่างามมาจนชินแล้ว

หากไม่ใช่เพราะข้างกายมีหลี่เป่าผิงที่เล่าลือกันว่ามาจากถ้ำสวรรค์หลีจูอยู่ด้วย สวี่ป๋ายคงจะเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองเจอนายท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งตัวปลอมเข้าให้แล้ว

สวี่ป๋ายขอตัวลาจะจากไป ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มบางๆ

แต่สวี่ป๋ายกลับยังไม่ขยับเท้า หลี่เป่าผิงจึงใช้สายตาเตือนเขาว่าอย่าได้คืบแล้วจะเอาศอก

สวี่ป๋ายลังเลอยู่พักใหญ่ ก่อนจะปลุกความกล้าเงยหน้าขึ้นมองสบตากับนาง เอ่ยเสียงเบาว่า “หลี่เป่าผิง หากทำให้เจ้ารู้สึกรำคาญ ข้าก็ต้องขอโทษเจ้าจากใจจริง”

หลี่เป่าผิงยังคงไม่เอ่ยอะไร ทว่าความหมายที่ปรากฎในดวงตาเรียวยาวทอประกายน้ำคู่นั้นกลับชัดเจนอย่างยิ่ง ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็หัดรู้จักแก้ไขเสียสิ

สวี่ป๋ายยิ้มกว้างสดใส กุมหมัดเอ่ยลากับหลี่เป่าผิง

หลี่เป่าผิงถอนหายใจ ได้แต่กุมหมัดคารวะกลับคืน

หลังจากสวี่ป๋ายจากไป ซิ่วไฉเฒ่าก็เอ่ยสัพยอกว่า “เป่าผิงน้อย อันที่จริงไม่ต้องรำคาญใจมากนัก ถูกคนหนุ่มอย่างสวี่เซียนผู้นี้ชื่นชอบ นับว่าไม่ง่ายเลยนะ”

หลี่เป่าผิงส่ายหน้า “ข้ารู้ว่าสวี่ป๋ายคือบัณฑิตที่ไม่เลว เพียงแต่ว่าเรื่องบางอย่างก็ไม่ควรรู้ทั้งรู้ว่าทำไม่ได้แต่ยังยืนกรานจะทำ”

ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มเอ่ย “เป่าผิงน้อย เจ้าเดินเล่นต่อเถอะ ข้าจะไปพูดคุยกับผู้อาวุโสท่านหนึ่งสักหน่อย”

หลี่เป่าผิงคารวะอำลาอาจารย์ปู่ คำพูดมากมายล้วนอยู่ในดวงตา แน่นอนว่าซิ่วไฉเฒ่าล้วนเห็นและรับมาไว้หมดแล้ว เขายื่นกำไลหยกขาววงนั้นส่งให้แก่เป่าผิงน้อย

หลี่เป่าผิงไม่ได้เกรงใจ รับกำไลหยกมาสวมไว้บนข้อมือแล้วจูงม้าออกเดินทางไกลต่ออีกครั้ง

ซิ่วไฉเฒ่าลูบหนวดยิ้ม ตนเป็นคนที่มีโชคในบั้นปลายจริงๆ

ในบรรดาลูกศิษย์ของลูกศิษย์ผู้สืบทอดสายเหวินเซิ่ง หลี่เป่าผิงคือคนที่น่า ‘ภาคภูมิใจ’ ที่สุด มีมาดของอาจารย์หญิงแล้ว ส่วนปัญหาบางอย่างที่อาจเกิดขึ้นในวันหน้า ซิ่วไฉเฒ่ารู้สึกเพียงว่า ‘ข้ามีลูกศิษย์ผู้สืบทอดคอยปกป้องลูกศิษย์ของลูกศิษย์ผู้สืบทอด’

หลินโส่วอี อาศัยโชควาสนา อาศัยความสามารถ และอาศัยจิตใจดั้งเดิมที่สุด สามารถรวบรวม ‘เหนือเมฆพร่างพราว’ ได้ครบทั้งสามฉบับ การฝึกตนก็ค่อยๆ เดินขึ้นสู่ที่สูง แต่กลับไม่เคยถ่วงรั้งสถานะลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อของหลินโส่วอี

หลี่ไหว ไม่ถือว่าเป็นเมล็ดพันธ์บัณฑิตในสายตาของผู้ฝึกลมปราณมากมาย แต่สายของเหวินเซิ่ง ความเข้าใจที่มีต่อเมล็ดพันธ์บัณฑิต แต่ไหนแต่ไรมาธรณีประตูก็ไม่สูงอยู่แล้ว อ่านตำราอริยะปราชญ์ เข้าใจหลักการเหตุผลสองสามข้อ นับแต่นั้นลงมือปฏิบัติไม่เคยเกียจคร้าน หากนี่ยังไม่ใช่เมล็ดพันธ์บัณฑิต แล้วแบบไหนถึงจะถือว่าใช่?

ต่งสุ่ยจิ่ง กลายเป็นคนเชื่อดาบ วิญญูชนต้องการทรัพย์สินเงินทองก็ต้องได้มาด้วยวิธีการที่ถูกต้อง ลูกศิษย์ที่เป็นเช่นนี้ อาจารย์คนใดบ้างจะไม่ชอบ

อวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยก็ดีมากกันทั้งคู่ คนหนึ่งวิสัยทัศน์ยิ่งเปิดกว้าง อีกคนหนึ่งความใจกว้างเพิ่มมากขึ้น สำหรับชาวบ้านลี้ภัยหลายล้านคนของราชวงศ์หลูแล้ว ก็ถือว่ามีคำอธิบายให้กับพวกเขาแล้ว ปมเงื่อนตายน้อยใหญ่บนโลกมนุษย์ มองดูเหมือนยิ่งบิดก็ยิ่งแน่นคลายไม่ออก แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่เป็นเช่นนี้ ยกตัวอย่างเช่นชาวบ้านสัญชาติทาสชาวเรือของเมืองหงจู๋ทั้งหลาย หรือยกตัวอย่างเช่นนักโทษอาญาสกุลหลูที่เจอกับหายนะเจอกับความยากลำบากมามากมาย อันที่จริงล้วนสามารถคลายปมนี้ออกได้ สองข้างทางของวิถีทางโลกมีต้นไม้แห้งเหี่ยวอยู่มากมายเพียงใด แต่ยามที่วสันตฤดูมาเยือนอีกครั้ง ไม่แน่ว่าต้นไม้แก่อาจผลิดอกมอบความงดงามให้แก่โลกมนุษย์ก็เป็นได้

แม่นางน้อยสือชุนเจียผู้นั้นก็ยิ่งแต่งงานเป็นภรรยาของผู้อื่นนานแล้ว บุตรของนางผ่านไปอีกไม่กี่ปีก็น่าจะกลายเป็นเด็กหนุ่มได้แล้ว

จ้าวเหยา ศาสตร์วิชาล้วนเล่าเรียนจนประสบผลสำเร็จ ไปอยู่ใต้หล้าแห่งที่ห้า แม้จะบอกว่ายังคงไม่อาจคลายปมในใจเรื่องตัวอักษรชุนได้ แต่คนหนุ่มนี่นะ ยิ่งบิดปมกับเรื่องสองเรื่องมากเท่าไร ยิ่งงัดข้อกับตัวเองมากเท่าไร ในอนาคตก็จะต้องได้ดิบได้ดีมากเท่านั้น แน่นอนว่าก่อนจะเป็นเช่นนั้นก็ต้องอ่านตำรามามากพอ อีกทั้งต้องไม่ทำตัวเป็นโต๊ะหนังสือสองขา (เปรียบเปรยถึงคนที่อ่านตำรามามาก แต่ไม่รู้จักเอามาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์)

ผู้เฒ่าคนหนึ่งพลันโผล่มาอยู่ข้างกายซิ่วไฉเฒ่าจากความว่างเปล่า ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อ่านตำราอริยะปราชญ์ได้ถึงแก่นย่อมเข้าใจทะลุปรุโปร่ง ช่างกล่าวได้ ‘ดี’ จริงๆ”

หนึ่งประโยคพูดถึงสามลัทธิ อีกทั้งยังพูดถึงลัทธิขงจื๊อนำมาก่อน (ประโยคอ่านตำราอริยะปราชญ์ได้ถึงแก่นย่อมเข้าใจทะลุปรุโปร่งเป็นการแปลให้เข้าใจง่ายสละสลวย แต่หากแปลตรงตามแต่ละตัว ภาษาจีนคือ 圣贤书读到 อ่านตำราอริยะปราชญ์หมายถึงลัทธิขงจื๊อ 自然 จื้อหรานแปลตรงตัวได้ว่าธรรมชาติ ซึ่งธรรมชาติเป็นแก่นของลัทธิเต๋า อยู่ในประโยคแปลได้ว่าย่อม/เข้าใจโดยธรรมชาติ/ย่อมเข้าใจ可通禅 แปลตรงตัวว่าทะลุถึงฌาน ซึ่งฌานหมายถึงลัทธิพุทธ หมายถึงเข้าใจได้อย่างทะลุปรุโปร่ง)

ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มเอ่ย “ดีแบบธรรมดาๆ คำพูดดีๆ แบบนี้ สวี่จวินต้องการ ข้ายังมีอีกเป็นกระบุงโกย เชิญเอาไปได้ตามสบาย”

ผู้ที่มาก็คืออาจารย์ผู้มีพระคุณในการถ่ายทอดวิชาของสวี่ป๋าย เส้าหลิงสวี่จวิน

สวี่จวินไม่ได้เอ่ยอะไร

เขาคุ้นชินกับนิสัยของซิ่วไฉเฒ่ามานานแล้ว ส่วนใหญ่เวลาที่เจอนิสัยนี้ของอีกฝ่ายก็มักจะเรียนวิชาปิดวาจาในฉับพลัน

ซิ่วไฉเฒ่าพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ปิดบังชื่อแซ่อยู่ที่นี่มานานหลายปีขนาดนี้ ทำให้คนลำบากใจจริงๆ”

สัตว์เดรัจฉานหกตัวจะล้อมฆ่าคนคนหนึ่ง ฝูลู่อวี๋เสวียนก็ต้องการช่วยป๋ายเหย่

เซียวสวิ้นกำลังขัดขวางจั่วโย่ว ลู่จือกำลังไล่ตามหลิวชาไป

ใต้หล้าเกิดกลียุควุ่นวายก็หนีไม่พ้นเช่นนี้เอง

กลียุควุ่นวายที่แท้จริงก็ยิ่งอยู่ในโลกมนุษย์ล่างภูเขาของสามทวีป

สวี่จวินพยักหน้า “หากไม่เป็นเพราะหลังจากใต้หล้าเปลี่ยวร้างตีกำแพงเมืองปราณกระบี่แตกแล้ว ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานทั้งหลายทำอะไรระมัดระวังเกินไป ไม่อย่างนั้นข้าก็สามารถ ‘ชิงเมืองหนึ่งมาก่อน’ (เปรียบเปรยว่าเอาชนะไปก่อนหนึ่งตา หรือช่วงชิงเอาผลประโยชน์จากสถานการณ์หนึ่งมาได้ก่อน) ได้แล้ว และยังมีภาพค้นภูเขาที่เจ้าขโมยมา ก็ยิ่งเพิ่มความมั่นใจมากขึ้น ไม่กล้าพูดว่าจะสามารถสังหารสิบสี่บัลลังก์ได้ แต่ทำให้พวกเขากริ่งเกรงก็ยังพอจะทำได้ น่าเสียดายคนที่มาลงมืออยู่ที่นี่ หากไม่ใช่หลิวชาก็เป็นเซียวสวิ้น เจี่ยเซิงผู้นั้นน่าจะคาดเดาได้นานแล้วว่าข้าอยู่ที่นี่”

คำว่าชิงเมืองหนึ่งมาก่อน แน่นอนว่าในมือครอบครองชื่อจริงตัวอักษรจริงที่บันทึกอยู่ในภาพค้นภูเขา สวี่จวินก็จะร่ายวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิต ช่วย ‘ไขคำอธิบายคำศัพท์’ ให้แก่ใต้หล้าไพศาล ตัดหัวปีศาจใหญ่ตนหนึ่ง ใช้วิธีนี้สังหารขอบเขตบินทะยาน สวี่จวินต้องจ่ายค่าตอบแทนไม่น้อย ต่อให้ในมือจะมีภาพค้นภูเขาบรรพบุรุษอยู่ภาพหนึ่ง แล้วสวี่จวินยอมทุ่มชีวิตทุ่มมหามรรคาเข้าต่อสู้ ทำลายภาพค้นภูเขาไปสองหน้า ก็ยังได้แค่ปากอมกฎสวรรค์ สังหารขอบเขตบินทะยานสองตนนอกเหนือจากคนบนบัลลังก์ไปเท่านั้น

แต่ในเมื่อมาอยู่ที่นี่นานแล้ว สวี่จวินก็ไม่คิดจะหวนคืนกลับบ้านเกิดที่เส้าหลิงของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางอีก และนี่ก็คือเหตุผลที่ว่าเหตุใดก่อนที่สวี่จวินจะออกจากบ้านเกิดเดินทางไกล ถึงไม่ได้รับสวี่ป๋ายที่ยังเป็นเด็กไว้เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอด

และในเรื่องนี้ก็มีเงื่อนไขที่สำคัญอย่างถึงที่สุดอย่างหนึ่ง นั่นก็คือทั้งฝ่ายศัตรูและฝ่ายของข้าเอง ร่างล้วนต้องอยู่ในใต้หล้าไพศาลกันทั้งคู่ เพราะถึงอย่างไรเส้าหลิงสวี่จวินก็ไม่ใช่ป๋ายเจ๋อ

ดังนั้นสวี่จวินจึงได้แต่อดทนเฝ้ารอคอยให้ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานบางตนเหยียบลงบนทักษินาตยทวีป ขุนเขาสายน้ำของทวีปที่มีเฉินฉุนอันนั่งบัญชาการณ์ ช่วยลงมือสยบกำราบปีศาจใหญ่ การเผาผลาญบนมหามรรคาของสวี่จวินก็จะลดน้อยลง มองดูเหมือนว่าทักษินาตยทวีปไม่มีสงครามให้ทำ ทุกวันนี้สำนักศึกษาและบนภูเขาของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางพากันด่ากราดตั้งแต่ศาลบุ๋นไปจนถึงเฉินฉุนอันอย่างไม่เหลือชิ้นดีแล้ว ทว่าการที่สามารถพิทักษ์ทักษินาตยทวีปไว้ได้อย่างมั่นคง เดิมทีก็หมายความว่าใต้หล้าเปลี่ยวร้างจำต้องลากเส้นแนวรบที่ยาวมากออกไปอีกสองเส้น

ส่วนจะไปใบถงทวีปหรือฝูเหยาทวีป จื่อเซิ่ง (อริยะด้านตัวอักษร) สวี่จวินที่ไม่มีเทวรูปอยู่ในศาลบุ๋น เกรงว่ายังไม่ทันรอให้เขาเปิดปากเอ่ยชื่อจริงของปีศาจใหญ่ก็คงถูกมหาสมุทรความรู้โจวมี่ หรืออาจถึงขั้นเป็นบรรพบุรุษใหญ่ของภูเขาทัวเยว่เล่นงานก่อนแล้ว

ต่อให้ปรมาจารย์มหาปราชญ์ลงมือช่วยเหลือ ก็ยังมีแต่จะได้ไม่คุ้มเสีย

อันที่จริงปรมาจารย์มหาปราชญ์กับผู้เฒ่าชุดเทาที่อยู่ใกล้กับร่องเจียวหลงต่างหากที่ถึงจะเป็นสองคนแรกที่ประมือกันก่อนใคร ซากลานกว้างด้านหน้าศาลบุ๋นกับน้ำวนใหญ่ยักษ์ในมหาสมุทรของร่องเจียวหลงก็คือหลักฐาน

นั่นคือการช่วงชิงบนมหามรรคาของสองใต้หล้าตามความหมายที่แท้จริง

และคนคนหนึ่งที่ขว้างไหทุบขวดให้แตกอย่างกำเริบเสิบสานก็มักจะผ่อนคลายกว่าคนที่ต้องคอยเฝ้าปกป้องขวดไหทุกใบอยู่เสมอ

ส่วนคำกล่าวที่สวี่จวินบอกว่าไปขโมยภาพค้นภูเขามา ซิ่วไฉเฒ่าแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน

ทักษินาตยทวีปที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของคนทั้งสองในเวลานี้ เฉินฉุนอันผู้รอบรู้ที่แบกตะวันจันทราไว้บนบ่านั้นอยู่ในที่แจ้ง หอสยบกระบี่หนึ่งในเก้าหอพิทักษ์เมืองก็เช่นกัน ไหวอินเหล่าซ่วนผานที่เป็นอันดับสุดท้ายของสิบคนในแผ่นดินกลาง ลู่จือเซียนกระบี่ใหญ่หญิงแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ ล้วนเป็นกำลังการต่อสู้ของหนึ่งทวีปที่วางแผ่ไว้ให้เห็นบนโต๊ะกันอย่างชัดเจน เรือข้ามทวีปที่ไปกลับระหว่างทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางกับทักษินาตยทวีปได้ทำการขนส่งทรัพยากรมานานสิบกว่าปีแล้ว

นอกจากนี้ยังมีสวี่จวินกับภาพค้นภูเขานั้นอยู่ในที่ลับ อีกทั้งทักษินาตยทวีปก็ไม่มีทางมีแค่จื่อเซิ่งสวี่จวินคนเดียวเท่านั้นที่รอลงมือ ยังมีจวี้จื่อแห่งสำนักโม่ที่เดินทางมายังทวีปแห่งนี้เพียงลำพัง รับผิดชอบเฝ้าพิทักษ์แนวเส้นรบเส้นหนึ่งคนเดียวอีกด้วย

ใต้หล้าเปลี่ยวร้างโจมตีทักษินาตยทวีป ทว่าใต้หล้าไพศาลกลับปกป้องทักษินาตยทวีปไว้อย่างแน่นหนา มองดูเหมือนสามารถตัดสินสูงต่ำได้ทันที แต่แท้จริงแล้วกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น

สวี่จวินถาม “หลี่เซิ่งอยู่นอกฟ้า เรื่องนี้ข้ารู้ชัดเจนดี แต่หย่าเซิ่งล่ะอยู่ที่ไหน?”

ซิ่วไฉเฒ่าตอบด้วยเสียงในใจ “เตรียมทางหนีทีไล่”

สวี่จวินส่ายหน้า “อาศัยหย่าเซิ่งเพียงคนเดียว ยังคงยากที่จะทำได้สำเร็จ”

ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ย “ใครบอกว่ามีแค่เขาคนเดียว”

สวี่จวินพลันกระจ่างแจ้ง “มิน่าเล่าถึงจะยืมตัวอักษรจากคนอื่น แล้วไปขอตำแหน่งเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาจากศาลบุ๋นมาอีกที ซิ่วหู่มีฝีมือยอดเยี่ยมนัก พละกำลังดีเยี่ยม สมกับคำว่าพลิกน้ำคว่ำภูเขาจริงๆ”

ภูเขาทัวเยว่แห่งหนึ่ง กำแพงเมืองปราณกระบี่ที่เหลืออยู่ครึ่งเดียว แล้วนับประสาอะไรกับที่ระหว่างสองฝ่ายยังมีขุนเขาใหญ่แสนลี้ อาศัยการวางแผนของใครบางคน แน่ว่าเฒ่าตาบอดอาจยอมเปลี่ยนความตั้งใจที่จะไม่ช่วยทั้งสองฝ่ายเลยก็เป็นได้

ยกตัวอย่างเช่นเฒ่าตาบอดเจ้าจะย้ายภูเขาทัวเยว่ไปไว้ที่บ้านหรือไม่? นี่เป็นเพียงแค่หนึ่งในความเป็นไปได้เท่านั้น ชุยฉานเชี่ยวชาญการคิดคำนวณจิตใจคนอย่างแท้จริง

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 724.2 วิดน้ำทั้งทวีปให้แห้งเพื่อจับปลา

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 724.2 วิดน้ำทั้งทวีปให้แห้งเพื่อจับปลา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ซิ่วไฉเฒ่าถาม “ก่อนหน้านี้คุยเรื่องคัมภีร์เล่มนั้นกับเป่าผิงน้อย ได้ยินมาว่าเจ้าอ่านตำราหลากหลาย เคยอ่านคัมภีร์เล่มนี้หรือไม่?”

สวี่ป๋ายพยักหน้ารับ “เคยอ่าน เพียงแต่ว่าอ่านมามาก คิดได้น้อย จำได้ แต่ไม่เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง”

ซิ่วไฉพูดเหมือนชวนคุย “ตัดสินใจเป็นพุทธะ ประหนึ่งฝุ่นผงที่ลอยคลุ้งไปตามสายลม มีอะไรที่ลำบากอันตราย?”

สวี่ป๋ายหลุดปากเอ่ยว่า “หากฝึกตนสำเร็จ ดุจดั่งจอกแหนที่ไหลกลับลงสู่มหาสมุทรใหญ่ ไร้สิ่งใดให้ต้องห่วงพะวง”

ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้ารับ “กลับไปถึงทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เจ้าสามารถไปเยือนสถานศึกษาหลี่จี้สักรอบหนึ่งเพื่อถามถึงข้อสงสัยใน ‘รวมคำอธิบาย’ จากเหมาเสี่ยวตงดูได้ คนหนุ่มออกเดินทางได้ไม่ง่าย จะเอาแต่ชื่นชมทัศนียภาพอย่างเดียวไม่ได้”

สีหน้าของสวี่ป๋ายแดงก่ำน้อยๆ รีบพยักหน้ารับอย่างแรงทันที

จากนั้นซิ่วไฉเฒ่าก็ใช้เสียงในใจเอ่ยกับสวี่ป๋ายเพียงลำพัง “เป่าผิงน้อยบ้านข้า ขอแค่ไม่ได้ตาบอด ย่อมต้องชอบแน่นอน ไม่ชอบสิถึงจะแปลก เพียงแต่ว่าวิถีทางโลกทุกวันนี้ไม่สงบ คนหนุ่มก็ยิ่งต้องฝึกปรือบ่มเพาะตัวเองเพื่อสร้างความผาสุกให้กับบ้านเมือง ความรักชายหญิงนั้นงดงามอย่างยิ่ง แต่จะใจร้อนไม่ได้ ในเมื่อตอนนี้เจ้ายังไม่ใช่สายบุ๋นสายใดก็ยิ่งไม่ต้องรีบร้อนเข้าไปใหญ่ ไปถึงสถานศึกษาหลี่จี้แล้ว ชอบเรียนอะไรก็เรียนอย่างนั้น รู้สึกว่าอาจารย์ท่านใดมีความรู้มากก็เรียนเอาวิชาที่พวกเขาถนัดที่สุดมา ไม่ต้องยึดติดอยู่กับวิชาสำนักอะไร วันหน้ามีโอกาสได้พบเจอกับอาจารย์ในโรงเรียนคนนั้นอีกครั้งค่อยตัดสินใจว่าจะเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่แท้จริงของใคร”

สวี่ป๋ายลังเลเล็กน้อย ก่อนจะถามว่า “ท่านอาจารย์เหวินเซิ่ง หรือว่าอาจารย์ที่สอนข้าตอนประถมจะเป็น ‘สวี่จวิน’ ที่เล่าลือกันในตำนาน?”

ในอดีตตอนที่เรียนชั้นประถมอยู่ในโรงเรียน อาจารย์ชอบใช้การอธิบายคำศัพท์มาถ่ายทอดวิชาความรู้ ก่อนจะออกเดินทางไกล หนังสือที่เขาแนะนำให้กับสวี่ป๋ายก็เน้นไปในทางตำราอรรถาธิบายคำศัพท์โบราณ

ทว่าหากไม่ใช่เพราะวันนี้เหวินเซิ่งเอ่ยเช่นนี้ สวี่ป๋ายก็คงไม่มีทางคิดไปว่าอาจารย์ในโรงเรียนชนบทคนหนึ่งจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับ ‘สวี่จวิน’ ได้เด็ดขาด

ซิ่วไฉเฒ่ารู้สึกจนใจเล็กน้อย เหตุใดคนรุ่นเยาว์ในทุกวันนี้ถึงได้หลอกยากขนาดนี้นะ? แต่ละคนฉลาดหัวไวกันนัก ถึงอย่างไรก็ไม่มีนิสัยบริสุทธิ์เรียบง่ายอย่างลูกศิษย์คนสุดท้ายบ้านตน

เพียงแต่ว่าในเมื่อสวี่ป๋ายเดาออกด้วยตัวเองแล้ว ซิ่วไฉเฒ่าก็ไม่สะดวกจะพูดกลบเกลื่อน อีกทั้งนี่เป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก ต่อให้จะเป็นคำพูดที่ทำลายบรรยากาศอย่างยิ่งก็ยังต้องพูดออกไปตามตรง ไม่อย่างนั้นหากอิงตามแผนการเดิมของซิ่วไฉเฒ่าก็คือคิดจะหาคนมาคอยช่วยปกป้องมรรคาให้สวี่ป๋ายอย่างลับๆ เพื่อให้เขาไปขอการปกป้องคุ้มครองจากสถานศึกษาแห่งใดแห่งหนึ่งในแผ่นดินกลาง แม้ว่าคุณสมบัติของสวี่ป๋ายจะดี แต่วิถีทางโลกทุกวันนี้อันตรายผิดแผกไปจากปกติ บรรยากาศอึมครึมน่าหวาดหวั่น ถึงอย่างไรสวี่ป๋ายก็ยังขาดประสบการณ์ ไม่ว่าจะใช่คนหนุ่มของสายบุ๋นบ้านตนหรือไม่ ในเมื่อได้พบเจอกันแล้วก็ควรต้องพยายามปกป้องให้มากหน่อย

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘สวี่จวิน’ ผู้นั้นที่เนื่องจากความสัมพันธ์ในชั้นของความรู้และตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตของอริยะลัทธิขงจื๊อบางท่าน ทุกวันนี้จึงกลายเป็นเป้าโจมตีของปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้ว ตัวอาจารย์ผู้เฒ่าเองจะเอาตัวรอดยังยาก แต่หากจะให้เขาเกิดปัญหาแทรกซ้อนเพราะลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่ออย่างสวี่ป๋าย ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องดี ไม่เหมาะไม่ควรอย่างยิ่ง!

ดังนั้นซิ่วไฉเฒ่าถึงได้พยักหน้า “คือสวี่จวิน ‘อันดับหนึ่งในการอธิบายคำศัพท์ของใต้หล้า’ ผู้นั้นจริงๆ ดังนั้นตอนนี้เจ้าจึงยิ่งต้องระมัดระวังตัวมากกว่าเดิม ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง หรือไม่แน่ว่าอาจเป็นบรรพบุรุษใหญ่ของภูเขาทัวเยว่ผู้นั้นที่จะลงมือเอง ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาต้องไปหาเรื่องอาจารย์ของเจ้า ก่อนหน้านี้ที่ข้าบอกให้เจ้าไปสถานศึกษาหลี่จี้ ไม่เพียงแต่ให้เจ้าไปขอศึกษาที่นั่น ทุกวันนี้การวางแผนของเผ่าปีศาจใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ทั้งแผนโจ่งแจ้งและแผนในที่ลับล้วนพุ่งขึ้นหัวพวกเขาหมด ไม่มีการเกรงใจกันแม้แต่น้อย ไม่แน่ว่าอาจมีแผนการลับที่มีไว้สำหรับเล่นงานสวี่ป๋าย แล้วค่อยเล่นงานสวี่จวินโดยเฉพาะ ฟังไปแล้วสามารถเป็นกังวลได้ สามารถคิดพิจารณาให้มากขึ้นได้ แต่อย่าได้หวาดกลัวเกินไปนัก ข้า และยังมีอาจารย์สวี่ป๋ายที่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรถึงยังไม่ยอมเปิดเผยตัวตนต่อเจ้าอย่างตรงไปตรงมาผู้นั้น บวกกับเฉินฉุนอันอีกคน ถึงอย่างไรตาแก่อย่างพวกเราก็ยังอยู่”

สวี่ป๋ายประสานมือคารวะแทนการขอบคุณ

แต่ไหนแต่ไรมาสวี่ป๋ายก็ไม่ยินดีจะใช้สถานะตัวสำรองสิบคนรุ่นเยาว์อะไรนั่นไปเยี่ยมเยือนอริยะปราชญ์ของลัทธิขงจื๊อในสำนักศึกษาใหญ่แห่งต่างๆ อยู่แล้ว เขายังหวังว่าจะใช้สถานะของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อไปถามคำถาม ขอวิชาความรู้จากเหล่าอริยะปราชญ์อย่างนอบน้อมมากกว่า อย่างแรกเลื่อนลอยเกินไป ไม่มั่นคง กระทั่งถึงตอนนี้สวี่ป๋ายก็ยังไม่กล้าเชื่อ ทว่าสำหรับสถานะบัณฑิตของตัวเอง สวี่ป๋ายกลับไม่รู้สึกว่ามีอะไรให้ไม่กล้ายอมรับ ชีวิตนี้ความหวังที่ใหญ่ที่สุดของเขาก็คือมีตำแหน่งเคอจวี่เสียก่อน แล้วค่อยไปเป็นขุนนางที่สร้างความผาสุกให้แก่ปวงประชาในพื้นที่หนึ่ง ส่วนการที่ศึกษาเวทคาถาน้อยนิดมาได้สำเร็จ วันหน้ายามเจอกับภัยพิบัติทางธรรมชาติทั้งหลายแล้วต้องไปขอฝนขอกำจัดภัยแล้งจากศาลบุ๋นบู๊ ศาลราชามังกร หรือไปขอร้องให้เซียนลงจากเขามาช่วยจัดการอุทกภัย ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร

ซิ่วไฉเฒ่าลูบหนวดยิ้มเอ่ย “เจ้ากับเหมาเสี่ยวตงต้องถูกชะตากันอย่างมากแน่นอน ไปถึงสถานศึกษาหลี่จี้แล้วก็ทำหน้าหนาสักหน่อย พูดไปเลยว่าตัวเองเคยกอดคอพูดคุยกับซิ่วไฉเฒ่าอย่างถูกคอเช่นไร เป็นสหายต่างวัยที่ได้แต่เจ็บใจที่เจอกันช้าไปอย่างไร ลำบากใจหรือ? เรื่องของการขอศึกษาหาความรู้ ขอแค่มีความจริงใจ อย่างอื่นยังจะต้องมีอะไรให้ลำบากใจกัน ได้เรียนรู้ความรู้ของเหมาเสี่ยวตงมาอย่างแท้จริง นั่นก็คือการขออภัยที่ดีที่สุดแล้ว ปีนั้นที่ข้าซิ่วไฉเฒ่าไปเยือนศาลบุ๋นเป็นครั้งแรก เข้าไปในประตูใหญ่อย่างไร? เปิดปากก็พูดว่าข้าได้รับการสืบทอดที่แท้จริงมาจากปรมาจารย์มหาปราชญ์ ใครจะกล้าขัดขวาง? หลังจากเผ่นปรู๊ดเข้าไปในประตูได้ก็รีบจุดธูปกราบไหว้ภาพเหมือนของตาเฒ่า ปรมาจารย์มหาปราชญ์ก็หัวเราะฮ่าๆ ชอบใจไม่ใช่หรือ?”

สวี่ป๋ายยิ่งสำรวมมากกว่าเดิม ถึงอย่างไรก็เป็นบัณฑิตที่สุภาพสง่างามมาจนชินแล้ว

หากไม่ใช่เพราะข้างกายมีหลี่เป่าผิงที่เล่าลือกันว่ามาจากถ้ำสวรรค์หลีจูอยู่ด้วย สวี่ป๋ายคงจะเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองเจอนายท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งตัวปลอมเข้าให้แล้ว

สวี่ป๋ายขอตัวลาจะจากไป ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มบางๆ

แต่สวี่ป๋ายกลับยังไม่ขยับเท้า หลี่เป่าผิงจึงใช้สายตาเตือนเขาว่าอย่าได้คืบแล้วจะเอาศอก

สวี่ป๋ายลังเลอยู่พักใหญ่ ก่อนจะปลุกความกล้าเงยหน้าขึ้นมองสบตากับนาง เอ่ยเสียงเบาว่า “หลี่เป่าผิง หากทำให้เจ้ารู้สึกรำคาญ ข้าก็ต้องขอโทษเจ้าจากใจจริง”

หลี่เป่าผิงยังคงไม่เอ่ยอะไร ทว่าความหมายที่ปรากฎในดวงตาเรียวยาวทอประกายน้ำคู่นั้นกลับชัดเจนอย่างยิ่ง ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็หัดรู้จักแก้ไขเสียสิ

สวี่ป๋ายยิ้มกว้างสดใส กุมหมัดเอ่ยลากับหลี่เป่าผิง

หลี่เป่าผิงถอนหายใจ ได้แต่กุมหมัดคารวะกลับคืน

หลังจากสวี่ป๋ายจากไป ซิ่วไฉเฒ่าก็เอ่ยสัพยอกว่า “เป่าผิงน้อย อันที่จริงไม่ต้องรำคาญใจมากนัก ถูกคนหนุ่มอย่างสวี่เซียนผู้นี้ชื่นชอบ นับว่าไม่ง่ายเลยนะ”

หลี่เป่าผิงส่ายหน้า “ข้ารู้ว่าสวี่ป๋ายคือบัณฑิตที่ไม่เลว เพียงแต่ว่าเรื่องบางอย่างก็ไม่ควรรู้ทั้งรู้ว่าทำไม่ได้แต่ยังยืนกรานจะทำ”

ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มเอ่ย “เป่าผิงน้อย เจ้าเดินเล่นต่อเถอะ ข้าจะไปพูดคุยกับผู้อาวุโสท่านหนึ่งสักหน่อย”

หลี่เป่าผิงคารวะอำลาอาจารย์ปู่ คำพูดมากมายล้วนอยู่ในดวงตา แน่นอนว่าซิ่วไฉเฒ่าล้วนเห็นและรับมาไว้หมดแล้ว เขายื่นกำไลหยกขาววงนั้นส่งให้แก่เป่าผิงน้อย

หลี่เป่าผิงไม่ได้เกรงใจ รับกำไลหยกมาสวมไว้บนข้อมือแล้วจูงม้าออกเดินทางไกลต่ออีกครั้ง

ซิ่วไฉเฒ่าลูบหนวดยิ้ม ตนเป็นคนที่มีโชคในบั้นปลายจริงๆ

ในบรรดาลูกศิษย์ของลูกศิษย์ผู้สืบทอดสายเหวินเซิ่ง หลี่เป่าผิงคือคนที่น่า ‘ภาคภูมิใจ’ ที่สุด มีมาดของอาจารย์หญิงแล้ว ส่วนปัญหาบางอย่างที่อาจเกิดขึ้นในวันหน้า ซิ่วไฉเฒ่ารู้สึกเพียงว่า ‘ข้ามีลูกศิษย์ผู้สืบทอดคอยปกป้องลูกศิษย์ของลูกศิษย์ผู้สืบทอด’

หลินโส่วอี อาศัยโชควาสนา อาศัยความสามารถ และอาศัยจิตใจดั้งเดิมที่สุด สามารถรวบรวม ‘เหนือเมฆพร่างพราว’ ได้ครบทั้งสามฉบับ การฝึกตนก็ค่อยๆ เดินขึ้นสู่ที่สูง แต่กลับไม่เคยถ่วงรั้งสถานะลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อของหลินโส่วอี

หลี่ไหว ไม่ถือว่าเป็นเมล็ดพันธ์บัณฑิตในสายตาของผู้ฝึกลมปราณมากมาย แต่สายของเหวินเซิ่ง ความเข้าใจที่มีต่อเมล็ดพันธ์บัณฑิต แต่ไหนแต่ไรมาธรณีประตูก็ไม่สูงอยู่แล้ว อ่านตำราอริยะปราชญ์ เข้าใจหลักการเหตุผลสองสามข้อ นับแต่นั้นลงมือปฏิบัติไม่เคยเกียจคร้าน หากนี่ยังไม่ใช่เมล็ดพันธ์บัณฑิต แล้วแบบไหนถึงจะถือว่าใช่?

ต่งสุ่ยจิ่ง กลายเป็นคนเชื่อดาบ วิญญูชนต้องการทรัพย์สินเงินทองก็ต้องได้มาด้วยวิธีการที่ถูกต้อง ลูกศิษย์ที่เป็นเช่นนี้ อาจารย์คนใดบ้างจะไม่ชอบ

อวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยก็ดีมากกันทั้งคู่ คนหนึ่งวิสัยทัศน์ยิ่งเปิดกว้าง อีกคนหนึ่งความใจกว้างเพิ่มมากขึ้น สำหรับชาวบ้านลี้ภัยหลายล้านคนของราชวงศ์หลูแล้ว ก็ถือว่ามีคำอธิบายให้กับพวกเขาแล้ว ปมเงื่อนตายน้อยใหญ่บนโลกมนุษย์ มองดูเหมือนยิ่งบิดก็ยิ่งแน่นคลายไม่ออก แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่เป็นเช่นนี้ ยกตัวอย่างเช่นชาวบ้านสัญชาติทาสชาวเรือของเมืองหงจู๋ทั้งหลาย หรือยกตัวอย่างเช่นนักโทษอาญาสกุลหลูที่เจอกับหายนะเจอกับความยากลำบากมามากมาย อันที่จริงล้วนสามารถคลายปมนี้ออกได้ สองข้างทางของวิถีทางโลกมีต้นไม้แห้งเหี่ยวอยู่มากมายเพียงใด แต่ยามที่วสันตฤดูมาเยือนอีกครั้ง ไม่แน่ว่าต้นไม้แก่อาจผลิดอกมอบความงดงามให้แก่โลกมนุษย์ก็เป็นได้

แม่นางน้อยสือชุนเจียผู้นั้นก็ยิ่งแต่งงานเป็นภรรยาของผู้อื่นนานแล้ว บุตรของนางผ่านไปอีกไม่กี่ปีก็น่าจะกลายเป็นเด็กหนุ่มได้แล้ว

จ้าวเหยา ศาสตร์วิชาล้วนเล่าเรียนจนประสบผลสำเร็จ ไปอยู่ใต้หล้าแห่งที่ห้า แม้จะบอกว่ายังคงไม่อาจคลายปมในใจเรื่องตัวอักษรชุนได้ แต่คนหนุ่มนี่นะ ยิ่งบิดปมกับเรื่องสองเรื่องมากเท่าไร ยิ่งงัดข้อกับตัวเองมากเท่าไร ในอนาคตก็จะต้องได้ดิบได้ดีมากเท่านั้น แน่นอนว่าก่อนจะเป็นเช่นนั้นก็ต้องอ่านตำรามามากพอ อีกทั้งต้องไม่ทำตัวเป็นโต๊ะหนังสือสองขา (เปรียบเปรยถึงคนที่อ่านตำรามามาก แต่ไม่รู้จักเอามาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์)

ผู้เฒ่าคนหนึ่งพลันโผล่มาอยู่ข้างกายซิ่วไฉเฒ่าจากความว่างเปล่า ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อ่านตำราอริยะปราชญ์ได้ถึงแก่นย่อมเข้าใจทะลุปรุโปร่ง ช่างกล่าวได้ ‘ดี’ จริงๆ”

หนึ่งประโยคพูดถึงสามลัทธิ อีกทั้งยังพูดถึงลัทธิขงจื๊อนำมาก่อน (ประโยคอ่านตำราอริยะปราชญ์ได้ถึงแก่นย่อมเข้าใจทะลุปรุโปร่งเป็นการแปลให้เข้าใจง่ายสละสลวย แต่หากแปลตรงตามแต่ละตัว ภาษาจีนคือ 圣贤书读到 อ่านตำราอริยะปราชญ์หมายถึงลัทธิขงจื๊อ 自然 จื้อหรานแปลตรงตัวได้ว่าธรรมชาติ ซึ่งธรรมชาติเป็นแก่นของลัทธิเต๋า อยู่ในประโยคแปลได้ว่าย่อม/เข้าใจโดยธรรมชาติ/ย่อมเข้าใจ可通禅 แปลตรงตัวว่าทะลุถึงฌาน ซึ่งฌานหมายถึงลัทธิพุทธ หมายถึงเข้าใจได้อย่างทะลุปรุโปร่ง)

ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มเอ่ย “ดีแบบธรรมดาๆ คำพูดดีๆ แบบนี้ สวี่จวินต้องการ ข้ายังมีอีกเป็นกระบุงโกย เชิญเอาไปได้ตามสบาย”

ผู้ที่มาก็คืออาจารย์ผู้มีพระคุณในการถ่ายทอดวิชาของสวี่ป๋าย เส้าหลิงสวี่จวิน

สวี่จวินไม่ได้เอ่ยอะไร

เขาคุ้นชินกับนิสัยของซิ่วไฉเฒ่ามานานแล้ว ส่วนใหญ่เวลาที่เจอนิสัยนี้ของอีกฝ่ายก็มักจะเรียนวิชาปิดวาจาในฉับพลัน

ซิ่วไฉเฒ่าพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ปิดบังชื่อแซ่อยู่ที่นี่มานานหลายปีขนาดนี้ ทำให้คนลำบากใจจริงๆ”

สัตว์เดรัจฉานหกตัวจะล้อมฆ่าคนคนหนึ่ง ฝูลู่อวี๋เสวียนก็ต้องการช่วยป๋ายเหย่

เซียวสวิ้นกำลังขัดขวางจั่วโย่ว ลู่จือกำลังไล่ตามหลิวชาไป

ใต้หล้าเกิดกลียุควุ่นวายก็หนีไม่พ้นเช่นนี้เอง

กลียุควุ่นวายที่แท้จริงก็ยิ่งอยู่ในโลกมนุษย์ล่างภูเขาของสามทวีป

สวี่จวินพยักหน้า “หากไม่เป็นเพราะหลังจากใต้หล้าเปลี่ยวร้างตีกำแพงเมืองปราณกระบี่แตกแล้ว ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานทั้งหลายทำอะไรระมัดระวังเกินไป ไม่อย่างนั้นข้าก็สามารถ ‘ชิงเมืองหนึ่งมาก่อน’ (เปรียบเปรยว่าเอาชนะไปก่อนหนึ่งตา หรือช่วงชิงเอาผลประโยชน์จากสถานการณ์หนึ่งมาได้ก่อน) ได้แล้ว และยังมีภาพค้นภูเขาที่เจ้าขโมยมา ก็ยิ่งเพิ่มความมั่นใจมากขึ้น ไม่กล้าพูดว่าจะสามารถสังหารสิบสี่บัลลังก์ได้ แต่ทำให้พวกเขากริ่งเกรงก็ยังพอจะทำได้ น่าเสียดายคนที่มาลงมืออยู่ที่นี่ หากไม่ใช่หลิวชาก็เป็นเซียวสวิ้น เจี่ยเซิงผู้นั้นน่าจะคาดเดาได้นานแล้วว่าข้าอยู่ที่นี่”

คำว่าชิงเมืองหนึ่งมาก่อน แน่นอนว่าในมือครอบครองชื่อจริงตัวอักษรจริงที่บันทึกอยู่ในภาพค้นภูเขา สวี่จวินก็จะร่ายวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิต ช่วย ‘ไขคำอธิบายคำศัพท์’ ให้แก่ใต้หล้าไพศาล ตัดหัวปีศาจใหญ่ตนหนึ่ง ใช้วิธีนี้สังหารขอบเขตบินทะยาน สวี่จวินต้องจ่ายค่าตอบแทนไม่น้อย ต่อให้ในมือจะมีภาพค้นภูเขาบรรพบุรุษอยู่ภาพหนึ่ง แล้วสวี่จวินยอมทุ่มชีวิตทุ่มมหามรรคาเข้าต่อสู้ ทำลายภาพค้นภูเขาไปสองหน้า ก็ยังได้แค่ปากอมกฎสวรรค์ สังหารขอบเขตบินทะยานสองตนนอกเหนือจากคนบนบัลลังก์ไปเท่านั้น

แต่ในเมื่อมาอยู่ที่นี่นานแล้ว สวี่จวินก็ไม่คิดจะหวนคืนกลับบ้านเกิดที่เส้าหลิงของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางอีก และนี่ก็คือเหตุผลที่ว่าเหตุใดก่อนที่สวี่จวินจะออกจากบ้านเกิดเดินทางไกล ถึงไม่ได้รับสวี่ป๋ายที่ยังเป็นเด็กไว้เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอด

และในเรื่องนี้ก็มีเงื่อนไขที่สำคัญอย่างถึงที่สุดอย่างหนึ่ง นั่นก็คือทั้งฝ่ายศัตรูและฝ่ายของข้าเอง ร่างล้วนต้องอยู่ในใต้หล้าไพศาลกันทั้งคู่ เพราะถึงอย่างไรเส้าหลิงสวี่จวินก็ไม่ใช่ป๋ายเจ๋อ

ดังนั้นสวี่จวินจึงได้แต่อดทนเฝ้ารอคอยให้ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานบางตนเหยียบลงบนทักษินาตยทวีป ขุนเขาสายน้ำของทวีปที่มีเฉินฉุนอันนั่งบัญชาการณ์ ช่วยลงมือสยบกำราบปีศาจใหญ่ การเผาผลาญบนมหามรรคาของสวี่จวินก็จะลดน้อยลง มองดูเหมือนว่าทักษินาตยทวีปไม่มีสงครามให้ทำ ทุกวันนี้สำนักศึกษาและบนภูเขาของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางพากันด่ากราดตั้งแต่ศาลบุ๋นไปจนถึงเฉินฉุนอันอย่างไม่เหลือชิ้นดีแล้ว ทว่าการที่สามารถพิทักษ์ทักษินาตยทวีปไว้ได้อย่างมั่นคง เดิมทีก็หมายความว่าใต้หล้าเปลี่ยวร้างจำต้องลากเส้นแนวรบที่ยาวมากออกไปอีกสองเส้น

ส่วนจะไปใบถงทวีปหรือฝูเหยาทวีป จื่อเซิ่ง (อริยะด้านตัวอักษร) สวี่จวินที่ไม่มีเทวรูปอยู่ในศาลบุ๋น เกรงว่ายังไม่ทันรอให้เขาเปิดปากเอ่ยชื่อจริงของปีศาจใหญ่ก็คงถูกมหาสมุทรความรู้โจวมี่ หรืออาจถึงขั้นเป็นบรรพบุรุษใหญ่ของภูเขาทัวเยว่เล่นงานก่อนแล้ว

ต่อให้ปรมาจารย์มหาปราชญ์ลงมือช่วยเหลือ ก็ยังมีแต่จะได้ไม่คุ้มเสีย

อันที่จริงปรมาจารย์มหาปราชญ์กับผู้เฒ่าชุดเทาที่อยู่ใกล้กับร่องเจียวหลงต่างหากที่ถึงจะเป็นสองคนแรกที่ประมือกันก่อนใคร ซากลานกว้างด้านหน้าศาลบุ๋นกับน้ำวนใหญ่ยักษ์ในมหาสมุทรของร่องเจียวหลงก็คือหลักฐาน

นั่นคือการช่วงชิงบนมหามรรคาของสองใต้หล้าตามความหมายที่แท้จริง

และคนคนหนึ่งที่ขว้างไหทุบขวดให้แตกอย่างกำเริบเสิบสานก็มักจะผ่อนคลายกว่าคนที่ต้องคอยเฝ้าปกป้องขวดไหทุกใบอยู่เสมอ

ส่วนคำกล่าวที่สวี่จวินบอกว่าไปขโมยภาพค้นภูเขามา ซิ่วไฉเฒ่าแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน

ทักษินาตยทวีปที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของคนทั้งสองในเวลานี้ เฉินฉุนอันผู้รอบรู้ที่แบกตะวันจันทราไว้บนบ่านั้นอยู่ในที่แจ้ง หอสยบกระบี่หนึ่งในเก้าหอพิทักษ์เมืองก็เช่นกัน ไหวอินเหล่าซ่วนผานที่เป็นอันดับสุดท้ายของสิบคนในแผ่นดินกลาง ลู่จือเซียนกระบี่ใหญ่หญิงแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ ล้วนเป็นกำลังการต่อสู้ของหนึ่งทวีปที่วางแผ่ไว้ให้เห็นบนโต๊ะกันอย่างชัดเจน เรือข้ามทวีปที่ไปกลับระหว่างทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางกับทักษินาตยทวีปได้ทำการขนส่งทรัพยากรมานานสิบกว่าปีแล้ว

นอกจากนี้ยังมีสวี่จวินกับภาพค้นภูเขานั้นอยู่ในที่ลับ อีกทั้งทักษินาตยทวีปก็ไม่มีทางมีแค่จื่อเซิ่งสวี่จวินคนเดียวเท่านั้นที่รอลงมือ ยังมีจวี้จื่อแห่งสำนักโม่ที่เดินทางมายังทวีปแห่งนี้เพียงลำพัง รับผิดชอบเฝ้าพิทักษ์แนวเส้นรบเส้นหนึ่งคนเดียวอีกด้วย

ใต้หล้าเปลี่ยวร้างโจมตีทักษินาตยทวีป ทว่าใต้หล้าไพศาลกลับปกป้องทักษินาตยทวีปไว้อย่างแน่นหนา มองดูเหมือนสามารถตัดสินสูงต่ำได้ทันที แต่แท้จริงแล้วกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น

สวี่จวินถาม “หลี่เซิ่งอยู่นอกฟ้า เรื่องนี้ข้ารู้ชัดเจนดี แต่หย่าเซิ่งล่ะอยู่ที่ไหน?”

ซิ่วไฉเฒ่าตอบด้วยเสียงในใจ “เตรียมทางหนีทีไล่”

สวี่จวินส่ายหน้า “อาศัยหย่าเซิ่งเพียงคนเดียว ยังคงยากที่จะทำได้สำเร็จ”

ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ย “ใครบอกว่ามีแค่เขาคนเดียว”

สวี่จวินพลันกระจ่างแจ้ง “มิน่าเล่าถึงจะยืมตัวอักษรจากคนอื่น แล้วไปขอตำแหน่งเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาจากศาลบุ๋นมาอีกที ซิ่วหู่มีฝีมือยอดเยี่ยมนัก พละกำลังดีเยี่ยม สมกับคำว่าพลิกน้ำคว่ำภูเขาจริงๆ”

ภูเขาทัวเยว่แห่งหนึ่ง กำแพงเมืองปราณกระบี่ที่เหลืออยู่ครึ่งเดียว แล้วนับประสาอะไรกับที่ระหว่างสองฝ่ายยังมีขุนเขาใหญ่แสนลี้ อาศัยการวางแผนของใครบางคน แน่ว่าเฒ่าตาบอดอาจยอมเปลี่ยนความตั้งใจที่จะไม่ช่วยทั้งสองฝ่ายเลยก็เป็นได้

ยกตัวอย่างเช่นเฒ่าตาบอดเจ้าจะย้ายภูเขาทัวเยว่ไปไว้ที่บ้านหรือไม่? นี่เป็นเพียงแค่หนึ่งในความเป็นไปได้เท่านั้น ชุยฉานเชี่ยวชาญการคิดคำนวณจิตใจคนอย่างแท้จริง

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+