กระบี่จงมา 725.3 ฟันแล้วฟันอีก มีเพียงข้าที่ภาคภูมิใจ

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 725.3 ฟันแล้วฟันอีก มีเพียงข้าที่ภาคภูมิใจ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

อู่เยว่ค้อมเอวลงเล็กน้อย กระทืบเท้าลงพื้นหนักๆ ไม่ได้ร่ายวิชาอภินิหารหดย่อพื้นที่อะไร แต่พุ่งทะยานขึ้นตรงไปเบื้องบน ทุกครั้งที่เหยียบลงบนความว่างเปล่า ฟ้าดินก็จะเกิดริ้วกระเพื่อมตามมา ปราณวิญญาณฟ้าดินในรัศมีร้อยลี้ก็กระเพื่อมแหลกสลายจนว่างเปล่าตามไปด้วย

ดาบหนึ่งตัดหัวของ ‘อู่เยว่’ ที่ถือกระบี่ให้ร่วงลง ร่างกายแหลกสลายไปแล้วก็ไปรวมร่างขึ้นใหม่ในจุดอื่น ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ทั้งหกคนที่จำแลงมาจากจิตของป๋ายเหย่พากันล้อมฆ่าอู่เยว่

อู่เยว่ถูกสกัดขวางจึงยังไม่อาจขยับเข้าใกล้ร่างจริงของป๋ายเหย่ได้ สามเศียรหกกร เรือนร่างพุ่งทะยานว่องไวดุจสายฟ้าแล่บ ยากที่จะจับจุดได้อย่างแน่นอน คอยโจมตีทำลายกายธรรมเหล่านั้นให้แหลกสลาย เป็นฝ่ายแว้งกลับมาสังหารกายธรรมทั้งหกแทน

อู่เยว่เองก็อยากจะลองดูเหมือนกันว่ากายธรรมจากจิตของป๋ายเหย่เหล่านี้จะสามารถประคับประคองตัวได้นานแค่ไหนกันแน่ อีกทั้งต้องการยืนยันให้แน่ใจว่าป๋ายเหย่ต้องเผาผลาญปราณวิญญาณไปหรือไม่

เชี่ยอวิ้นหลุดหัวเราะพรืด ใช้นิ้วหัวแม่มือถูน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เบาๆ สมกับเป็นเซียนกระบี่ป๋ายเหย่จริงๆ

เลื่อมใสๆ ชื่นชมจากใจจริง

น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนี้ของเชี่ยอวิ้น ตราประทับด้านล่างเป็นตัวอักษรที่ยาวเหยียด

ยินดีเอาเงินเทพเซียนสามล้านมาคบหาปัญญาชนและสามงามทุกคน ยิ่งยินดีผูกมิตรกับเซียนกระบี่ทุกท่านในโลกมนุษย์ร่วมดื่มเหล้าหมักพันชั่งอย่างสำราญ

หากวันนี้ป๋ายเหย่ตายไป ถ้าอย่างนั้นโลกมนุษย์ในอีกหมื่นปีให้หลัง เกรงว่าคงไม่มีใครที่เหมือนป๋ายเหย่ได้อีกแล้ว

ส่วนอู่เยว่ผู้นั้น อันที่จริงก็ไม่ได้น่าประหลาดใจอะไร

บนเส้นทางการเรียนวรยุทธ เผ่าปีศาจเกิดมาก็ช่วงชิงความได้เปรียบอย่างใหญ่หลวงไปก่อนแล้ว ทว่าแม้จะฝึกขั้นต้นได้ง่าย เดินขึ้นสู่ที่สูงก็ยิ่งเดินได้เร็ว แต่มีเพียงการขึ้นไปยังยอดบนสุดเท่านั้นที่ทำได้ยากยิ่งกว่าเผ่ามนุษย์ เพราะถึงอย่างไรใต้หล้านี้ก็ไม่มีเรื่องดีที่จะได้ยึดครองผลประโยชน์ไปคนเดียวทั้งหมด

เพราะเมื่อเทียบกับเผ่ามนุษย์แล้ว เผ่าปีศาจฝึกวรยุทธ์จะถูกสยบกำราบที่มองไม่เห็นจากมหามรรคาน้อยกว่า ขณะเดียวกันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ขาดการขัดเกลาประสบการณ์ จำนวนของผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบในใต้หล้าเปลี่ยวร้างจึงเทียบกับใต้หล้าไพศาลไม่ได้

อันที่จริงวิถีทางโลกในทุกวันนี้ก็คือเส้นทางการกลายเป็นเซียนครึ่งทางของในอดีต

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ร่ายตราผนึกมากมายไว้ให้กับโลกมนุษย์ จิตใจมนุษย์ขึ้นๆ ลงๆ ความคิดวุ่นวายซับซ้อน จิตวิญญาณล่องลอยไม่หยุดนิ่ง ยังเป็นเพียงแค่เหตุผลหนึ่งเท่านั้น

เกิดมาก็มีร่างกายอ่อนแอ เพราะถูกกำหนดมาตั้งแต่แรกแล้วว่าไม่อาจอ้อมผ่านแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายนั้นไปได้ แม่น้ำแห่งกาลเวลาคอยชำระล้างกัดเซาะเรือนกายที่มีเนื้อหนังอย่างที่มองไม่เห็นอยู่ตลอดเวลา เป็นเหตุให้อายุขัยของเผ่ามนุษย์สั้น นี่ก็คือขีดจำกัดที่ใหญ่ยิ่งกว่า

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสรวงสวรรค์ยุคบรรพกาลมากมาย มดตัวน้อยเผ่ามนุษย์ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตาหรือเรือนกายก่อนกำเนิด แม้จะถูกกำหนดมาให้ใกล้เคียงกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากที่สุด แต่ก็ยังอ่อนแอเปราะบางกว่ามาก เป็นเหตุให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ส่วนหนึ่งที่เคยชินกับการได้รับควันธูปแล้วยิ่งไม่พอใจ ต่อให้จะจงใจปล่อยให้ฝูงมดพวกนั้นมารวมตัวกัน ทว่าครั้งแรกที่จำนวนของเผ่ามนุษย์รวมกันได้มากนับล้าน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ลงมาเยือนโลกมนุษย์ เพียงชั่วพริบตาพื้นดินก็แตกเป็นผุยผง ขุนเขาสายน้ำล่มสลาย ผู้คนตายสิ้น นี่มิอาจเทียบได้กับการเข่นฆ่ากันเองระหว่างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือการสังหารเผ่าปีศาจที่ตัวค่อนข้างใหญ่เลย

ดังนั้นสิ่งที่มาถึงพื้นดินของโลกมนุษย์เร็วยิ่งกว่าวิชาอภินิหาร ก็คือวิถีวรยุทธที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์มอบให้เผ่ามนุษย์ใช้ฝึกขัดเกลาเรือนกายให้แข็งแกร่ง แรกเริ่มสุดขอบเขตร่างทองก็คือคอขวด ก็คือปลายทางของเส้นทางหัวขาด

เพียงแต่ว่าเผ่ามนุษย์มีผู้มีความสามารถมากมาย บรรพบุรุษคนแรกสำนักทหารกลายเป็นคนแรกที่ฝ่าคอขวดขอบเขตร่างทองไปได้ จากนั้นตลอดเส้นทางก็เหมือนผ่าลำไม้ไผ่ เดินขึ้นสู่ที่สูงไม่หยุด ด้านหลังมีผู้ติดตามมามากมาย พอสิ่งศักดิ์สิทธิ์สังเกตเห็นก็สังหารเผ่ามนุษย์ที่ฝ่าคอขวดขอบเขตร่างทองจนเกือบสิ้นซาก จากนั้นก็มีเพียงคนผู้นี้เท่านั้นที่ได้รับการปกป้องจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุด จึงหนีพ้นจากการตรวจตราของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปได้ และได้ตั้งชื่อให้กับสามขั้นของขอบเขตปลายทางไว้ด้วยตัวเองว่าปราณโชติช่วง หวนคืนความจริงและเทพมาเยือน เพียงแต่สุดท้ายไม่รู้ว่าทำไมความสำเร็จบนวิถีวรยุทธถึงได้หยุดลงแต่เพียงเท่านี้ นับแต่นั้นมาก็กลายเป็นขอบเขตปลายทางของวิถีวรยุทธจริงๆ

ช่วงเวลาระหว่างนี้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์บางส่วนที่มองมนุษย์เป็นดั่งคนบนเส้นทางเดียวกันครึ่งตัว สิ่งศักดิ์สิทธิ์บางส่วนมองดูดายอยู่ด้านข้าง แต่พวกที่ละโมบในควันธูปของโลกมนุษย์กลับมีมากยิ่งกว่า พอวิถีวรยุทธของเผ่ามนุษย์สูงขึ้น ควันธูปก็จะยิ่งบริสุทธิ์มากขึ้น และน้ำหนักก็หนักมากขึ้นตามไปด้วย

ดังนั้นสำนักการทหารจึงมีคุณความชอบยิ่งใหญ่นี้ติดกาย เป็นเหตุให้ผู้ฝึกตนของสำนักการทหารในรุ่นหลังคล้ายคลึงกับปรมาจารย์วิถีวรยุทธที่มีโชคชะตาบู๊ติดตัว เมื่อเทียบกับผู้ฝึกลมปราณประเภทอื่นแล้วเป็นพวกที่มองข้ามผลบุญผลกรรมได้มากที่สุด สืบสาวราวเรื่องกันแล้วก็ยังเป็นเพราะเกิดมาผู้ฝึกตนสำนักการทหารก็สามารถอยู่ห่างไกลจากแม่น้ำแห่งกาลเวลาได้มากที่สุด ส่วนผู้ฝึกยุทธเต็มตัวกับผู้ฝึกตนสำนักการทหารก็ยิ่งมีความเกี่ยวพันลึกล้ำ

ในเมื่อเผ่ามนุษย์ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่สามารถหลบเลี่ยงแม่น้ำแห่งกาลเวลาได้ ถ้าอย่างนั้นก็ได้แต่หันไป ‘ดื่มน้ำ’ แทนแล้ว

เดิมทีนี่ก็เป็นทางเลือกที่จนใจที่สุดของเผ่ามนุษย์ในปีนั้น เพียงแต่ว่าพอเวลานานวันเข้า กลับกลายเป็นว่าได้ถือกำเนิดขึ้นมาตามโชคชะตา ผู้ฝึกลมปราณที่แทบไม่ต่างจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายมีเพิ่มมากขึ้น บวกกับที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดท่านหนึ่งโปรดปรานเผ่ามนุษย์จึงถ่ายทอดเวทกระบี่จากฟ้าลงมายังโลกมนุษย์ ตัวของเผ่ามนุษย์เองก็เดินขึ้นสู่ที่สูงอย่างต่อเนื่อง เป็นเหตุให้ยิ่งนานวันวิชาอภินิหารก็ยิ่งถูกปล่อยลงมายังโลกมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ กลับกลายเป็นว่าแม่น้ำแห่งกาลเวลาคือหนึ่งในเรื่องไม่คาดคิดใหญ่สุดที่ทำให้วิถีเทพพังทลาย สรวงสวรรค์ปริแตก

หยวนโส่วใช้เสียงในใจสอบถามป๋ายอิ๋ง “จิตวิญญาณน้อยนิดของกวนจ้าวนั่นมองเบาะแสอะไรออกบ้างไหม?”

ป๋ายอิ๋งยิ้มตอบ “สืบสาวไปถึงต้นกำเนิด พอจะมีหวังอยู่บ้างนิดๆ กลัวก็แต่ว่าป๋ายเหย่จงใจทำเช่นนี้น่ะสิ”

หยวนโซ่วเริ่มหงุดหงิด “ไม่สะใจเอาซะเลย ป๋ายเหย่คือลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่สักหน่อย ถึงอย่างไรร่างจริงก็อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบพวกเราได้ รุมเข้าไปฆ่า ยังต้องกลัวว่าขอบเขตสิบสี่อย่างเขาจะไม่เผยพิรุธในการผสานมรรคาให้เห็นอีกหรือ? อู่เยว่สนิทกับเจ้า เจ้าบอกกล่าวกับเขาสักคำก่อน เขาลงมือเล่นงานเขา ข้าก็หาโอกาสฟาดกระบองใส่เขาป๋ายเหย่ ตีให้น้ำสมองกระจาย ดูสิว่าเขายังจะทำอย่างไรได้อีก”

ป๋ายอิ๋งกลั้นขำ เอ่ยว่า “บอกแล้วว่ารออีกครึ่งก้านธูป จะร้อนใจอะไร ขนาดป๋ายเหย่ยังไม่ร้อนใจ พวกเราก็ยิ่งไม่มีความจำเป็นให้ต้องรีบร้อนกระมัง”

หยวนโส่วที่เกิดมาก็มีนิสัยฉุนเฉียวขี้หงุดหงิดกำลังจะพูดต่อก็ต้องถอนหายใจหนึ่งที

ป๋ายเหย่ผู้นี้ไม่รู้จักกลัวตายจริงๆ ปล่อยให้ป๋ายอิ๋งและหย่างจื่อดักชิงปราณวิญญาณมาโดยไม่ขัดขวาง แล้วก็ไม่คิดจะแย่งเอาคืน แต่ดันหันมาเล่นงานตนแทนเสียนี่

คราวนี้แสงกระบี่สิบแปดเส้นมาลอยตัวอยู่รอบกายของหยวนโส่ว ในรัศมีพันลี้รอบด้าน ปราณกระบี่อึมครึมน่าสะพรึงกลัว ปลายกระบี่ล้วนชี้เข้าหาผู้เฒ่าขี่กระบี่

ท่ามกลางแสงกระบี่มีตัวอักษรสีทอง

บทกวีของป๋ายเหย่ไร้ผู้ใดเทียมทาน แต่งบทความต่างกระบี่บิน

แสงกระบี่สิบแปดเส้น พลังอำนาจของปณิธานกระบี่ที่อยู่ภายในเหนือกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก ประหนึ่งขุนเขาใหญ่ที่ทอดขวางอยู่ระหว่างฟ้าดิน

เป็นครั้งแรกที่หยวนโส่วได้เห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้ ไม่เพียงแต่ไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย กลับกันยังรู้สึกว่าต่อสู้ได้อย่างเต็มคราบ ถึงขั้นกระชากชุดคลุมอาคมบนร่างออกมาเก็บไว้ในจักรวาลชายแขนเสื้อ จากนั้นก็สวมหนึ่งในเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างที่เก่าแก่ที่สุดตัวหนึ่งอย่าง ซานกุ่ย

เจ้าป๋ายเหย่ผู้นี้เห็นท่านปู่เป็นมะพลับนิ่มจริงๆ หรือไร?!

ข้อต่อกระดูกทั่วร่างของหยวนโส่วส่งเสียงลั่นเหมือนฟ้าผ่า เก็บกระบี่ยาว ‘ฉวินเจิน’ มา ไม่ขี่กระบี่อีกต่อไป ถือกระบองไว้มือเดียว ทิ่มเข้าไปตรงความว่างเปล่าข้างฝ่าเท้าแรงๆ ร่างจริงพันจั้งที่ยังคงไม่อยู่ในระดับยอดเขาสมบูรณ์แบบก็โผล่ออกมา

ซานกุ่ยบนร่างของหยวนโส่ว บวกกับชุดหลากสีที่เซอเยว่สวมใส่ตอนอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ รวมไปถึงซีเยว่ที่เฉินผิงอันให้เว่ยเซี่ยนยืมชั่วคราว เสื้อเกราะวิเศษเจ็ดตัวนี้ต่างก็เคยสวมห่มอยู่บนร่างของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตำแหน่งสูงของยุคบรรพกาลมาก่อน ประกายแสงสาดสะท้อนหมื่นลี้ เป็นเหตุให้ในยุคบรรพกาล ทุกครั้งที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ออกลาดตระเวนตรวจตราพื้นที่ห่างไกลจึงส่องแสงสว่างประหนึ่งดาวตกที่พุ่งผ่านผืนฟ้า

เสื้อเกราะน้ำค้างหวานที่สำนักการทหารสร้างขึ้นในยุคหลัง อันที่จริงล้วนเป็นของเลียนแบบทั้งหมด ไม่ใช่ว่าฝีมืออาจารย์หล่อหลอมไม่ยอดเยี่ยมมากพอ แต่ในความเป็นจริงแล้วเสื้อเกราะน้ำค้างหวานของยุคหลัง หากพูดถึงแค่ระดับความแน่นหนาก็ไม่แพ้ให้กับฝีมือการสร้างของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสื้อเกราะจินอูและเสื้อเกราะจิงเหว่ยของสำนักการทหารที่ระดับขั้นสูงยิ่งกว่าที่ต่างก็ทำได้เหนือว่ายุคบรรพกาล ข้อเสียเพียงอย่างเดียว อีกทั้งเป็นข้อเสียที่อันตรายถึงชีวิตก็คือวัตถุดิบที่ใช้จำเป็นต้องหลอมเอามาจากร่างทองของสิ่งศักดิ์สิทธิ์!

ยุคบรรพกาลอันห่างไกล การลงทัณฑ์หลายรูปแบบของสรวงสวรรค์ล้วนโหดเหี้ยมทารุณอย่างมาก แท่นสังหารมังกรเป็นเพียงแค่หนึ่งในนั้นเท่านั้น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่รับหน้าที่ลงทัณฑ์ วิธีการที่ใช้รับมือกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นตัวการร้ายทั้งหลายก็ยิ่งน่าอกสั่นขวัญผวายิ่งกว่า

สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำในยุคหลัง เทพอภิบาลเมืองและวิญญาณวีรบุรุษศาลบุ๋นบู๊ อันดับแรกต้องได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องเสียก่อน แล้วค่อยสร้างร่างทอง อันที่จริงเมื่อเทียบกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลแล้ว ได้ถูกลดทอนไปมากมาตั้งนานแล้ว อีกทั้งยังต้องคอยอาบย้อมอยู่ในควันธูปของโลกมนุษย์ หากสูญเสียควันธูปไป ร่างทองก็จะโงนเงนใกล้ล้มมิล้มแหล่ หันกลับไปมองพวกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลที่อยู่สูงส่งเหนือผู้ใดทั้งหลาย ควันธูปที่ลอยโชยกรุ่นมาจากพื้นดินของโลกมนุษย์นั้นสำคัญยิ่ง สามารถทำให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์หล่อหลอมร่างทองได้มากขึ้น แต่กลับไม่ใช่สิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้ ไม่มีควันธูปก็ยังเป็นอมตะไม่เสื่อมสลายได้เช่นเดิม กระทั่งทัณฑ์ใหญ่ที่ผูกพันธะสัญญากับโชคชะตามาแต่กำเนิดมาถึง หากผ่านไปได้ ระดับขั้นก็จะได้เลื่อนสูงขึ้น ผ่านไปไม่ได้ เลือดสดสีทองของทั้งร่างก็จะผสานรวมเข้าไปในแม่น้ำแห่งกาลเวลา

โครงกระดูกกลายไปเป็นดวงดาว

เงียบเหงานานหมื่นปี

ป๋ายเหย่ชำเลืองตามองขุนเขาแม่น้ำของปลอมที่อยู่บนม้วนภาพลายเส้นขาวดำ แล้วค่อยมองปีศาจใหญ่หย่างจื่อ

ก่อนหน้านี้ดวงจันทร์กลายเป็นเส้นเส้นหนึ่งที่ถามกระบี่แก่หกบัลลังก์ มีแสงกระบี่ที่ปณิธานพุ่งตรงไปฟันงูยักษ์ เป็นเหตุให้สัญชาติญาณของหย่างจื่อที่เป็นเผ่าพันธุ์เจียวหลงหวาดกลัวที่สุด ส่วนปีศาจบนบัลลังก์ตนอื่นกลับยังนับว่าสกัดขวางกระบี่ไว้ได้อย่างสบายๆ

ป๋ายเหย่มองแม่น้ำลำคลองสายใหญ่ที่ดื่มปราณวิญญาณไปเสียจนเต็มอิ่มสายนั้นแล้วก็คลี่ยิ้ม เวทคาถาน้ำ ข้าไม่เชี่ยวชาญ เพียงแต่ทลายคาถาน้ำ หนึ่งกระบี่ฟันถ้ำสวรรค์ให้ปริแตก

จิตของป๋ายเหย่พุ่งไปถึง แม่น้ำลำคลองแต่ละสายก็ถึงขั้นพากันหลุดลอยออกมาจากท้องน้ำ สุดท้ายกลายเป็นกระบี่ใหญ่หลายเล่มที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศก่อนแล้วค่อยทิ้งดิ่งลงไปเป็นเส้นตรง ชูกระบี่ขึ้นในโลกมนุษย์ ฟาดกระบี่ฟันเข้าใส่จุดสูงอย่างอุตลุด เล่นงานหย่างจื่อที่เป็นหนึ่งในผู้ที่เชี่ยวชาญมหามรรคาเวทน้ำที่สุดในฟ้าดิน

หย่างจื่อแค่นเสียงเย็นชา กระบี่ยาวแม่น้ำลำคลองพวกนั้นอยู่ใกล้นางในระยะร้อยลี้ก็ระเบิดแตกกลายเป็นฝนห่าใหญ่หวนกลับคืนไปยังโลกมนุษย์อีกครั้ง

ป๋ายเหย่ผู้นี้ยังไม่ออกกระบี่อย่างแท้จริงอีกหรือ?!

ป๋ายเหย่หันไปมองป๋ายอิ๋ง ได้ยินมาว่าปีศาจใหญ่ตนนี้เชี่ยวชาญการควบคุมกองทัพใหญ่กระดูกขาวอย่างยิ่ง

ในใจของป๋ายเหย่ท่องตัวอักษรที่แท้จริงห้าคำ เต้า เทียน ตี้ เจียง ฝ่า

ท่านเคยเห็นเพียงบทกวีชายแดนของป๋ายเหย่บนตำรา ท่านมิเคยเห็นม้าเร็วพกดาบไล่ตามเมฆขาว

ป๋ายเหย่ ‘พอจะเข้าใจตำราพิชัยยุทธอย่างผิวเผิน’ เป็นเรื่องที่คนทั้งโลกล้วนรับรู้

ป๋ายเหย่พึมพำ “ต่อให้ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ ก็ยังรู้สึกว่าพูดได้ไม่คล่องปากเท่าเทียนตี้เต้าฝ่าเจียง”

ปีศาจใหญ่โครงกระดูกป๋ายอิ๋งยิ้มน้อยๆ ในที่สุดก็เรียกวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นหนึ่งออกมา ธงผืนใหญ่ปักตระหง่านอยู่เบื้องหลัง กองทัพใหญ่กระดูกขาวพุ่งเข้าเข่นฆ่ากองทัพใหญ่วิญญาณวีรบุรุษที่ควบม้าห้อตะบึงเหล่านั้นอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกร

จากนั้นเพียงชั่วพริบตา ไม่ว่าจะเป็นปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ที่ลงมือแล้วหรือยังไม่ลงมือก็ล้วนสัมผัสได้ถึงลางสังหรณ์อันเลือนรางเสี้ยวหนึ่ง

ป๋ายเหย่ใช้หนึ่งกระบี่ฟันเกราะวิเศษของเทพเกราะทองหนิวเตาพร้อมกับเรือนกายของอีกฝ่ายให้ขาดออกเป็นสองท่อน

สภาพของเชี่ยอวิ้นที่อยู่ด้านหลังป๋ายเหย่ก็เหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน โดนไปหนึ่งกระบี่ เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับเทพเกราะทองแล้ว ดูเหมือนว่าเชี่ยอวิ้นจะถูกผ่าแค่จากหว่างคิ้วตรงลงไป ปรากฏเป็นรอยกระบี่เล็กบางเส้นหนึ่ง และดูเหมือนว่าเชี่ยอวิ้นก็จะฝืนรับกระบี่นั้นไว้เพราะมิอาจตัดใจทิ้งเนื้อหนังมังสาร่างนี้ไปได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นป๋ายเหย่ที่ในที่สุดก็ส่งกระบี่ออกไปอย่างแท้จริง เชี่ยอวิ้นรู้ว่าตัวเองมิอาจหลบเลี่ยงจึงฉีกร่างของตัวเองออก ถึงจะหลบกระบี่ไท่ป๋ายเล่มนั้นมาได้

และนี่ยังเป็นสองกระบี่ที่แบ่งสมาธิปล่อยออกไปด้วย

หากเป็นกระบี่ที่ป๋ายเหย่ทุ่มสมาธิออกแรงอย่างเต็มกำลังเล่า?

ต่อให้กระบี่นั้นจะผ่านไปแล้ว เชี่ยอวิ้นก็ยังไม่รีบร้อนประกบเรือนกายกลับมา ปราณกระบี่ของกระบี่เซียนเล่มนั้นยังหลงเหลืออยู่ น่าพรั่นพรึงเกินไป หากเชี่ยอวิ้นประกบร่างสองส่วนให้รวมเป็นหนึ่งเดียวก็จะต้องถูกปราณกระบี่เหล่านั้นบีบเค้นสังหาร ได้ไม่คุ้มเสีย

เชี่ยอวิ้นถอนหายใจในใจหนึ่งที ดูเหมือนว่าใต้หล้าไพศาลแห่งนี้ยังมีกระบี่เซียนอีกเล่มหนึ่งที่อยู่ในจวนเทียนซือของภูเขามังกรพยัคฆ์ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง

เล่าลือกันว่าเทพอัคคียุคบรรพกาลกับเทพวารีได้ครอบครองคฤหาสน์หลบร้อนมากมาย มีอาณาเขตใต้การปกครองกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุดเหมือนกัน หนึ่งในบัลลังก์เทพมากมายของเทพอัคคี ตำแหน่งตั้งอยู่ที่อิ๋งฮว่อ (อีกชื่อหนึ่งของดาวอังคาร)

และยิ่งเล่าลือกันว่าในอิ๋งฮว่อมีข้ารับใช้คนหนึ่งที่เชี่ยวชาญด้านการหล่อหลอม ใช้อิ๋งฮว่อเป็นเตาหลอม ดึงเอาแก่นเพลิงมาเป็นถ่าน ใช้แม่น้ำแห่งกาลเวลามาเป็นไฟ มือกำดาวแต่ละดวงมาทำเป็นค้อนกลม หากทุบจนแตกก็โยนทิ้งเปลี่ยนดวงใหม่ สุดท้ายสร้างกระบี่ยาวหลายเล่มให้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดบนสรวงสวรรค์ยุคบรรพกาล

ดูเหมือนว่าความสง่างามมีเสน่ห์ทั้งหมดของบนโลกล้วนถูกใต้หล้าไพศาลยึดครองไปจนสิ้นแล้ว

เชี่ยอวิ้นถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ควรเป็นเช่นนี้เลย

เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน เมื่อการหารือที่ริมแม่น้ำผ่านไป อันที่จริงยังมีการประชุมลับเกิดขึ้นอีกสองครั้ง ครั้งหนึ่งเป็นการถกปัญหากันระหว่างบรรพจารย์สามลัทธิ อีกครั้งหนึ่งเป็นการโต้เถียงกันภายในของเผ่าปีศาจ บรรพบุรุษใหญ่กับป๋ายเจ๋อจึงแยกย้ายกันไปคนละทางด้วยเหตุนี้

หมื่นปีให้หลัง ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง กลุ่มผู้กล้าแยกดินแดนตั้งตัวเป็นอิสระ ปัญหาความขัดแย้งเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ในบรรดาผู้ฝึกตนท้องถิ่นของใต้หล้าไพศาล ผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่นอกจากหลี่เซิ่ง หย่าเซิ่ง และเหวินเซิ่งที่เป็นขอบเขตสิบสี่เพราะผสานมรรคากับสามทวีปแล้ว ยังมีป๋ายเหย่ ตอนนี้ก็มีผู้ฝึกกระบี่อาเหลียงอีกคน

ส่วนป๋ายเจ๋อก็ดี นักพรตเฒ่าอารามกวานเต๋าก็ช่าง และยังมีภิกษุน้ำแกงไก่ อันที่จริงล้วนเป็นคนนอกของใต้หล้าไพศาลทั้งสิ้น

ห้านครสิบสองหอเรือนของป๋ายอวี้จิงในใต้หล้ามืดสลัว ในบรรดานั้นมีเจ้าลัทธิสามท่านที่ผลัดกันมาดูแลป๋ายอวี้จิง ซึ่งล้วนได้รับการยอมรับว่าเป็นขอบเขตสิบสี่

ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง จะมีแค่เฒ่าตาบอดคนต่างถิ่นคนเดียวเท่านั้นเองหรือ?

จากนั้นใต้หล้าแห่งหนึ่งต้องรอคอยอย่างยากลำบากนานนับหมื่นปี กลับมีแค่เซียวสวิ้นที่ทรยศออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่คนเดียวเท่านั้น?

อวี่ซื่อผู้ฝึกกระบี่กระโจมเจี่ยเซิน เหตุให้ถึงถูกเฟยเฟยเรียกอย่างให้ความเคารพว่าคุณชาย ถ้าอย่างนั้นนายท่านของนางล่ะคือใคร?

ศิษย์พี่เชี่ยอวิ้น ศิษย์น้องเฝ่ยหราน เชี่ยอวิ้นรับลูกศิษย์แทนอาจารย์ เป็นเหตุให้ในบรรดาคนของสำนักมีศิษย์น้องเล็กเฝ่ยหรานเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ของทั้งสองคนเล่าคือใคร? ยังมีชีวิตอยู่บนโลกหรือไม่?

ภาพค้นภูเขาที่ป๋ายเจ๋อมอบให้กับซิ่วไฉเฒ่า อันที่จริงไม่ได้ร่ายรายชื่อเผ่าปีศาจที่เป็นคนรุ่นเดียวกันออกมาครบทั้งหมด สำหรับเรื่องนี้ซิ่วไฉเฒ่าไม่ได้มีคำบ่นหรือไม่พอใจใดๆ เห็นว่าป๋ายเจ๋อที่พอพบหลี่เซิ่งก็ยังเรียกแค่ว่า ‘อาจารย์น้อย’ นิสัยดีจริงๆ หรือไร? ก่อนที่ป๋ายเจ๋อจะเข้าร่วมการประชุมริมน้ำครั้งนั้น ระหว่างเส้นทางเดินขึ้นฟ้า คุณความชอบในการรบของเขาเหนือกว่าบรรพบุรุษใหญ่ของภูเขาทัวเยว่ไประดับใหญ่ด้วยซ้ำ ผู้ฝึกกระบี่แตกแยกกันเอง ป๋ายเจ๋อก็ลงมือสังหารผู้ฝึกกระบี่ไปนับไม่ถ้วนเช่นกัน

หลังจากที่ป๋ายเหย่ออกกระบี่อย่างแท้จริงแล้วก็แค่ฟันกระบี่ครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่มีมาดสง่างามแม้แต่น้อย

ฟันเทพเกราะทองไปก่อน ผ่าเสื้อเกราะสีทองบนร่างของปีศาจใหญ่หนิวเตา เลี่ยงไม่ให้อีกฝ่ายต้องทุกข์ทนกับการรอคอย

แล้วค่อยฟันเชี่ยอวิ้น บีบให้เชียอวิ้นเป็นฝ่ายแยกเนื้อหนังมังสาออกเป็นสองส่วน ได้แต่หลบเลี่ยงประกายคมกริบเท่านั้น

ฟันหางงูของหย่างจื่อ ฟันหัวข้ารับใช้ถือกระบี่ที่อยู่ตรงหน้าป๋ายอิ๋ง ฟันกระบองยาวในมือหยวนโส่ว ฟันแขนสองข้างของอู่เยว่

ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์หกตน ต่างฝ่ายต่างร่ายเวทคาถา บ้างก็เป็นวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิต กลับคืนสู่ร่างจริงแทบจะพร้อมเพรียงกัน ต่างก็เหมือนว่ายังไม่เคยถูกกระบี่ฟันมาก่อน

ถ้าอย่างนั้นก็ฟันอีกกระบี่

โลกมนุษย์ยังคงมองไม่เห็นว่าสรุปแล้วป๋ายเหย่ออกกระบี่อย่างไรกันแน่

เห็นเพียงแสงกระบี่ที่อยู่ระหว่างฟ้าดิน

ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ทั้งหก ต่อให้เป็นป๋ายอิ๋งก็ไม่คิดจะทำตัวเลอะเลือนอีกต่อไป พากันปรากฏร่างจริงและกายธรรม ปล่อยจิตหยินออกเดินทางไกล วัตถุแห่งชะตาชีวิตก็ยิ่งออกมาอย่างพร้อมเพรียง ส่องประกายแสงเจิดจ้า มืดฟ้ามัวดิน

ผู้เฒ่าเปลือยเท้าผมขาวสวมชุดม่วงคนหนึ่งทะลุลอดฟ้าดินสามแห่งเข้ามาได้อย่างยากลำบากแล้วก็ต้องอึ้งตะลึงไป ถามเสียงเบา “นี่มันอะไรกัน?”

บัณฑิตชุดเขียวคนหนึ่ง ถือกระบี่ไท่ป๋าย รู้สึกว่ามีเพียงข้าป๋ายเหย่คนเดียวที่เป็นที่ภาคภูมิใจที่สุดในโลกมนุษย์อีกครั้ง

ฝูลู่อวี๋เสวียนได้ยินเพียงบัณฑิตคนนั้นยิ้มกล่าวว่า “รอข้าใช้กระบี่ฟันหลิวชา”

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 725.3 ฟันแล้วฟันอีก มีเพียงข้าที่ภาคภูมิใจ

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 725.3 ฟันแล้วฟันอีก มีเพียงข้าที่ภาคภูมิใจ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

อู่เยว่ค้อมเอวลงเล็กน้อย กระทืบเท้าลงพื้นหนักๆ ไม่ได้ร่ายวิชาอภินิหารหดย่อพื้นที่อะไร แต่พุ่งทะยานขึ้นตรงไปเบื้องบน ทุกครั้งที่เหยียบลงบนความว่างเปล่า ฟ้าดินก็จะเกิดริ้วกระเพื่อมตามมา ปราณวิญญาณฟ้าดินในรัศมีร้อยลี้ก็กระเพื่อมแหลกสลายจนว่างเปล่าตามไปด้วย

ดาบหนึ่งตัดหัวของ ‘อู่เยว่’ ที่ถือกระบี่ให้ร่วงลง ร่างกายแหลกสลายไปแล้วก็ไปรวมร่างขึ้นใหม่ในจุดอื่น ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ทั้งหกคนที่จำแลงมาจากจิตของป๋ายเหย่พากันล้อมฆ่าอู่เยว่

อู่เยว่ถูกสกัดขวางจึงยังไม่อาจขยับเข้าใกล้ร่างจริงของป๋ายเหย่ได้ สามเศียรหกกร เรือนร่างพุ่งทะยานว่องไวดุจสายฟ้าแล่บ ยากที่จะจับจุดได้อย่างแน่นอน คอยโจมตีทำลายกายธรรมเหล่านั้นให้แหลกสลาย เป็นฝ่ายแว้งกลับมาสังหารกายธรรมทั้งหกแทน

อู่เยว่เองก็อยากจะลองดูเหมือนกันว่ากายธรรมจากจิตของป๋ายเหย่เหล่านี้จะสามารถประคับประคองตัวได้นานแค่ไหนกันแน่ อีกทั้งต้องการยืนยันให้แน่ใจว่าป๋ายเหย่ต้องเผาผลาญปราณวิญญาณไปหรือไม่

เชี่ยอวิ้นหลุดหัวเราะพรืด ใช้นิ้วหัวแม่มือถูน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เบาๆ สมกับเป็นเซียนกระบี่ป๋ายเหย่จริงๆ

เลื่อมใสๆ ชื่นชมจากใจจริง

น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนี้ของเชี่ยอวิ้น ตราประทับด้านล่างเป็นตัวอักษรที่ยาวเหยียด

ยินดีเอาเงินเทพเซียนสามล้านมาคบหาปัญญาชนและสามงามทุกคน ยิ่งยินดีผูกมิตรกับเซียนกระบี่ทุกท่านในโลกมนุษย์ร่วมดื่มเหล้าหมักพันชั่งอย่างสำราญ

หากวันนี้ป๋ายเหย่ตายไป ถ้าอย่างนั้นโลกมนุษย์ในอีกหมื่นปีให้หลัง เกรงว่าคงไม่มีใครที่เหมือนป๋ายเหย่ได้อีกแล้ว

ส่วนอู่เยว่ผู้นั้น อันที่จริงก็ไม่ได้น่าประหลาดใจอะไร

บนเส้นทางการเรียนวรยุทธ เผ่าปีศาจเกิดมาก็ช่วงชิงความได้เปรียบอย่างใหญ่หลวงไปก่อนแล้ว ทว่าแม้จะฝึกขั้นต้นได้ง่าย เดินขึ้นสู่ที่สูงก็ยิ่งเดินได้เร็ว แต่มีเพียงการขึ้นไปยังยอดบนสุดเท่านั้นที่ทำได้ยากยิ่งกว่าเผ่ามนุษย์ เพราะถึงอย่างไรใต้หล้านี้ก็ไม่มีเรื่องดีที่จะได้ยึดครองผลประโยชน์ไปคนเดียวทั้งหมด

เพราะเมื่อเทียบกับเผ่ามนุษย์แล้ว เผ่าปีศาจฝึกวรยุทธ์จะถูกสยบกำราบที่มองไม่เห็นจากมหามรรคาน้อยกว่า ขณะเดียวกันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ขาดการขัดเกลาประสบการณ์ จำนวนของผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบในใต้หล้าเปลี่ยวร้างจึงเทียบกับใต้หล้าไพศาลไม่ได้

อันที่จริงวิถีทางโลกในทุกวันนี้ก็คือเส้นทางการกลายเป็นเซียนครึ่งทางของในอดีต

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ร่ายตราผนึกมากมายไว้ให้กับโลกมนุษย์ จิตใจมนุษย์ขึ้นๆ ลงๆ ความคิดวุ่นวายซับซ้อน จิตวิญญาณล่องลอยไม่หยุดนิ่ง ยังเป็นเพียงแค่เหตุผลหนึ่งเท่านั้น

เกิดมาก็มีร่างกายอ่อนแอ เพราะถูกกำหนดมาตั้งแต่แรกแล้วว่าไม่อาจอ้อมผ่านแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายนั้นไปได้ แม่น้ำแห่งกาลเวลาคอยชำระล้างกัดเซาะเรือนกายที่มีเนื้อหนังอย่างที่มองไม่เห็นอยู่ตลอดเวลา เป็นเหตุให้อายุขัยของเผ่ามนุษย์สั้น นี่ก็คือขีดจำกัดที่ใหญ่ยิ่งกว่า

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสรวงสวรรค์ยุคบรรพกาลมากมาย มดตัวน้อยเผ่ามนุษย์ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตาหรือเรือนกายก่อนกำเนิด แม้จะถูกกำหนดมาให้ใกล้เคียงกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากที่สุด แต่ก็ยังอ่อนแอเปราะบางกว่ามาก เป็นเหตุให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ส่วนหนึ่งที่เคยชินกับการได้รับควันธูปแล้วยิ่งไม่พอใจ ต่อให้จะจงใจปล่อยให้ฝูงมดพวกนั้นมารวมตัวกัน ทว่าครั้งแรกที่จำนวนของเผ่ามนุษย์รวมกันได้มากนับล้าน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ลงมาเยือนโลกมนุษย์ เพียงชั่วพริบตาพื้นดินก็แตกเป็นผุยผง ขุนเขาสายน้ำล่มสลาย ผู้คนตายสิ้น นี่มิอาจเทียบได้กับการเข่นฆ่ากันเองระหว่างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือการสังหารเผ่าปีศาจที่ตัวค่อนข้างใหญ่เลย

ดังนั้นสิ่งที่มาถึงพื้นดินของโลกมนุษย์เร็วยิ่งกว่าวิชาอภินิหาร ก็คือวิถีวรยุทธที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์มอบให้เผ่ามนุษย์ใช้ฝึกขัดเกลาเรือนกายให้แข็งแกร่ง แรกเริ่มสุดขอบเขตร่างทองก็คือคอขวด ก็คือปลายทางของเส้นทางหัวขาด

เพียงแต่ว่าเผ่ามนุษย์มีผู้มีความสามารถมากมาย บรรพบุรุษคนแรกสำนักทหารกลายเป็นคนแรกที่ฝ่าคอขวดขอบเขตร่างทองไปได้ จากนั้นตลอดเส้นทางก็เหมือนผ่าลำไม้ไผ่ เดินขึ้นสู่ที่สูงไม่หยุด ด้านหลังมีผู้ติดตามมามากมาย พอสิ่งศักดิ์สิทธิ์สังเกตเห็นก็สังหารเผ่ามนุษย์ที่ฝ่าคอขวดขอบเขตร่างทองจนเกือบสิ้นซาก จากนั้นก็มีเพียงคนผู้นี้เท่านั้นที่ได้รับการปกป้องจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุด จึงหนีพ้นจากการตรวจตราของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปได้ และได้ตั้งชื่อให้กับสามขั้นของขอบเขตปลายทางไว้ด้วยตัวเองว่าปราณโชติช่วง หวนคืนความจริงและเทพมาเยือน เพียงแต่สุดท้ายไม่รู้ว่าทำไมความสำเร็จบนวิถีวรยุทธถึงได้หยุดลงแต่เพียงเท่านี้ นับแต่นั้นมาก็กลายเป็นขอบเขตปลายทางของวิถีวรยุทธจริงๆ

ช่วงเวลาระหว่างนี้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์บางส่วนที่มองมนุษย์เป็นดั่งคนบนเส้นทางเดียวกันครึ่งตัว สิ่งศักดิ์สิทธิ์บางส่วนมองดูดายอยู่ด้านข้าง แต่พวกที่ละโมบในควันธูปของโลกมนุษย์กลับมีมากยิ่งกว่า พอวิถีวรยุทธของเผ่ามนุษย์สูงขึ้น ควันธูปก็จะยิ่งบริสุทธิ์มากขึ้น และน้ำหนักก็หนักมากขึ้นตามไปด้วย

ดังนั้นสำนักการทหารจึงมีคุณความชอบยิ่งใหญ่นี้ติดกาย เป็นเหตุให้ผู้ฝึกตนของสำนักการทหารในรุ่นหลังคล้ายคลึงกับปรมาจารย์วิถีวรยุทธที่มีโชคชะตาบู๊ติดตัว เมื่อเทียบกับผู้ฝึกลมปราณประเภทอื่นแล้วเป็นพวกที่มองข้ามผลบุญผลกรรมได้มากที่สุด สืบสาวราวเรื่องกันแล้วก็ยังเป็นเพราะเกิดมาผู้ฝึกตนสำนักการทหารก็สามารถอยู่ห่างไกลจากแม่น้ำแห่งกาลเวลาได้มากที่สุด ส่วนผู้ฝึกยุทธเต็มตัวกับผู้ฝึกตนสำนักการทหารก็ยิ่งมีความเกี่ยวพันลึกล้ำ

ในเมื่อเผ่ามนุษย์ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่สามารถหลบเลี่ยงแม่น้ำแห่งกาลเวลาได้ ถ้าอย่างนั้นก็ได้แต่หันไป ‘ดื่มน้ำ’ แทนแล้ว

เดิมทีนี่ก็เป็นทางเลือกที่จนใจที่สุดของเผ่ามนุษย์ในปีนั้น เพียงแต่ว่าพอเวลานานวันเข้า กลับกลายเป็นว่าได้ถือกำเนิดขึ้นมาตามโชคชะตา ผู้ฝึกลมปราณที่แทบไม่ต่างจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายมีเพิ่มมากขึ้น บวกกับที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดท่านหนึ่งโปรดปรานเผ่ามนุษย์จึงถ่ายทอดเวทกระบี่จากฟ้าลงมายังโลกมนุษย์ ตัวของเผ่ามนุษย์เองก็เดินขึ้นสู่ที่สูงอย่างต่อเนื่อง เป็นเหตุให้ยิ่งนานวันวิชาอภินิหารก็ยิ่งถูกปล่อยลงมายังโลกมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ กลับกลายเป็นว่าแม่น้ำแห่งกาลเวลาคือหนึ่งในเรื่องไม่คาดคิดใหญ่สุดที่ทำให้วิถีเทพพังทลาย สรวงสวรรค์ปริแตก

หยวนโส่วใช้เสียงในใจสอบถามป๋ายอิ๋ง “จิตวิญญาณน้อยนิดของกวนจ้าวนั่นมองเบาะแสอะไรออกบ้างไหม?”

ป๋ายอิ๋งยิ้มตอบ “สืบสาวไปถึงต้นกำเนิด พอจะมีหวังอยู่บ้างนิดๆ กลัวก็แต่ว่าป๋ายเหย่จงใจทำเช่นนี้น่ะสิ”

หยวนโซ่วเริ่มหงุดหงิด “ไม่สะใจเอาซะเลย ป๋ายเหย่คือลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่สักหน่อย ถึงอย่างไรร่างจริงก็อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบพวกเราได้ รุมเข้าไปฆ่า ยังต้องกลัวว่าขอบเขตสิบสี่อย่างเขาจะไม่เผยพิรุธในการผสานมรรคาให้เห็นอีกหรือ? อู่เยว่สนิทกับเจ้า เจ้าบอกกล่าวกับเขาสักคำก่อน เขาลงมือเล่นงานเขา ข้าก็หาโอกาสฟาดกระบองใส่เขาป๋ายเหย่ ตีให้น้ำสมองกระจาย ดูสิว่าเขายังจะทำอย่างไรได้อีก”

ป๋ายอิ๋งกลั้นขำ เอ่ยว่า “บอกแล้วว่ารออีกครึ่งก้านธูป จะร้อนใจอะไร ขนาดป๋ายเหย่ยังไม่ร้อนใจ พวกเราก็ยิ่งไม่มีความจำเป็นให้ต้องรีบร้อนกระมัง”

หยวนโส่วที่เกิดมาก็มีนิสัยฉุนเฉียวขี้หงุดหงิดกำลังจะพูดต่อก็ต้องถอนหายใจหนึ่งที

ป๋ายเหย่ผู้นี้ไม่รู้จักกลัวตายจริงๆ ปล่อยให้ป๋ายอิ๋งและหย่างจื่อดักชิงปราณวิญญาณมาโดยไม่ขัดขวาง แล้วก็ไม่คิดจะแย่งเอาคืน แต่ดันหันมาเล่นงานตนแทนเสียนี่

คราวนี้แสงกระบี่สิบแปดเส้นมาลอยตัวอยู่รอบกายของหยวนโส่ว ในรัศมีพันลี้รอบด้าน ปราณกระบี่อึมครึมน่าสะพรึงกลัว ปลายกระบี่ล้วนชี้เข้าหาผู้เฒ่าขี่กระบี่

ท่ามกลางแสงกระบี่มีตัวอักษรสีทอง

บทกวีของป๋ายเหย่ไร้ผู้ใดเทียมทาน แต่งบทความต่างกระบี่บิน

แสงกระบี่สิบแปดเส้น พลังอำนาจของปณิธานกระบี่ที่อยู่ภายในเหนือกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก ประหนึ่งขุนเขาใหญ่ที่ทอดขวางอยู่ระหว่างฟ้าดิน

เป็นครั้งแรกที่หยวนโส่วได้เห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้ ไม่เพียงแต่ไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย กลับกันยังรู้สึกว่าต่อสู้ได้อย่างเต็มคราบ ถึงขั้นกระชากชุดคลุมอาคมบนร่างออกมาเก็บไว้ในจักรวาลชายแขนเสื้อ จากนั้นก็สวมหนึ่งในเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างที่เก่าแก่ที่สุดตัวหนึ่งอย่าง ซานกุ่ย

เจ้าป๋ายเหย่ผู้นี้เห็นท่านปู่เป็นมะพลับนิ่มจริงๆ หรือไร?!

ข้อต่อกระดูกทั่วร่างของหยวนโส่วส่งเสียงลั่นเหมือนฟ้าผ่า เก็บกระบี่ยาว ‘ฉวินเจิน’ มา ไม่ขี่กระบี่อีกต่อไป ถือกระบองไว้มือเดียว ทิ่มเข้าไปตรงความว่างเปล่าข้างฝ่าเท้าแรงๆ ร่างจริงพันจั้งที่ยังคงไม่อยู่ในระดับยอดเขาสมบูรณ์แบบก็โผล่ออกมา

ซานกุ่ยบนร่างของหยวนโส่ว บวกกับชุดหลากสีที่เซอเยว่สวมใส่ตอนอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ รวมไปถึงซีเยว่ที่เฉินผิงอันให้เว่ยเซี่ยนยืมชั่วคราว เสื้อเกราะวิเศษเจ็ดตัวนี้ต่างก็เคยสวมห่มอยู่บนร่างของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตำแหน่งสูงของยุคบรรพกาลมาก่อน ประกายแสงสาดสะท้อนหมื่นลี้ เป็นเหตุให้ในยุคบรรพกาล ทุกครั้งที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ออกลาดตระเวนตรวจตราพื้นที่ห่างไกลจึงส่องแสงสว่างประหนึ่งดาวตกที่พุ่งผ่านผืนฟ้า

เสื้อเกราะน้ำค้างหวานที่สำนักการทหารสร้างขึ้นในยุคหลัง อันที่จริงล้วนเป็นของเลียนแบบทั้งหมด ไม่ใช่ว่าฝีมืออาจารย์หล่อหลอมไม่ยอดเยี่ยมมากพอ แต่ในความเป็นจริงแล้วเสื้อเกราะน้ำค้างหวานของยุคหลัง หากพูดถึงแค่ระดับความแน่นหนาก็ไม่แพ้ให้กับฝีมือการสร้างของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสื้อเกราะจินอูและเสื้อเกราะจิงเหว่ยของสำนักการทหารที่ระดับขั้นสูงยิ่งกว่าที่ต่างก็ทำได้เหนือว่ายุคบรรพกาล ข้อเสียเพียงอย่างเดียว อีกทั้งเป็นข้อเสียที่อันตรายถึงชีวิตก็คือวัตถุดิบที่ใช้จำเป็นต้องหลอมเอามาจากร่างทองของสิ่งศักดิ์สิทธิ์!

ยุคบรรพกาลอันห่างไกล การลงทัณฑ์หลายรูปแบบของสรวงสวรรค์ล้วนโหดเหี้ยมทารุณอย่างมาก แท่นสังหารมังกรเป็นเพียงแค่หนึ่งในนั้นเท่านั้น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่รับหน้าที่ลงทัณฑ์ วิธีการที่ใช้รับมือกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นตัวการร้ายทั้งหลายก็ยิ่งน่าอกสั่นขวัญผวายิ่งกว่า

สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำในยุคหลัง เทพอภิบาลเมืองและวิญญาณวีรบุรุษศาลบุ๋นบู๊ อันดับแรกต้องได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องเสียก่อน แล้วค่อยสร้างร่างทอง อันที่จริงเมื่อเทียบกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลแล้ว ได้ถูกลดทอนไปมากมาตั้งนานแล้ว อีกทั้งยังต้องคอยอาบย้อมอยู่ในควันธูปของโลกมนุษย์ หากสูญเสียควันธูปไป ร่างทองก็จะโงนเงนใกล้ล้มมิล้มแหล่ หันกลับไปมองพวกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลที่อยู่สูงส่งเหนือผู้ใดทั้งหลาย ควันธูปที่ลอยโชยกรุ่นมาจากพื้นดินของโลกมนุษย์นั้นสำคัญยิ่ง สามารถทำให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์หล่อหลอมร่างทองได้มากขึ้น แต่กลับไม่ใช่สิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้ ไม่มีควันธูปก็ยังเป็นอมตะไม่เสื่อมสลายได้เช่นเดิม กระทั่งทัณฑ์ใหญ่ที่ผูกพันธะสัญญากับโชคชะตามาแต่กำเนิดมาถึง หากผ่านไปได้ ระดับขั้นก็จะได้เลื่อนสูงขึ้น ผ่านไปไม่ได้ เลือดสดสีทองของทั้งร่างก็จะผสานรวมเข้าไปในแม่น้ำแห่งกาลเวลา

โครงกระดูกกลายไปเป็นดวงดาว

เงียบเหงานานหมื่นปี

ป๋ายเหย่ชำเลืองตามองขุนเขาแม่น้ำของปลอมที่อยู่บนม้วนภาพลายเส้นขาวดำ แล้วค่อยมองปีศาจใหญ่หย่างจื่อ

ก่อนหน้านี้ดวงจันทร์กลายเป็นเส้นเส้นหนึ่งที่ถามกระบี่แก่หกบัลลังก์ มีแสงกระบี่ที่ปณิธานพุ่งตรงไปฟันงูยักษ์ เป็นเหตุให้สัญชาติญาณของหย่างจื่อที่เป็นเผ่าพันธุ์เจียวหลงหวาดกลัวที่สุด ส่วนปีศาจบนบัลลังก์ตนอื่นกลับยังนับว่าสกัดขวางกระบี่ไว้ได้อย่างสบายๆ

ป๋ายเหย่มองแม่น้ำลำคลองสายใหญ่ที่ดื่มปราณวิญญาณไปเสียจนเต็มอิ่มสายนั้นแล้วก็คลี่ยิ้ม เวทคาถาน้ำ ข้าไม่เชี่ยวชาญ เพียงแต่ทลายคาถาน้ำ หนึ่งกระบี่ฟันถ้ำสวรรค์ให้ปริแตก

จิตของป๋ายเหย่พุ่งไปถึง แม่น้ำลำคลองแต่ละสายก็ถึงขั้นพากันหลุดลอยออกมาจากท้องน้ำ สุดท้ายกลายเป็นกระบี่ใหญ่หลายเล่มที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศก่อนแล้วค่อยทิ้งดิ่งลงไปเป็นเส้นตรง ชูกระบี่ขึ้นในโลกมนุษย์ ฟาดกระบี่ฟันเข้าใส่จุดสูงอย่างอุตลุด เล่นงานหย่างจื่อที่เป็นหนึ่งในผู้ที่เชี่ยวชาญมหามรรคาเวทน้ำที่สุดในฟ้าดิน

หย่างจื่อแค่นเสียงเย็นชา กระบี่ยาวแม่น้ำลำคลองพวกนั้นอยู่ใกล้นางในระยะร้อยลี้ก็ระเบิดแตกกลายเป็นฝนห่าใหญ่หวนกลับคืนไปยังโลกมนุษย์อีกครั้ง

ป๋ายเหย่ผู้นี้ยังไม่ออกกระบี่อย่างแท้จริงอีกหรือ?!

ป๋ายเหย่หันไปมองป๋ายอิ๋ง ได้ยินมาว่าปีศาจใหญ่ตนนี้เชี่ยวชาญการควบคุมกองทัพใหญ่กระดูกขาวอย่างยิ่ง

ในใจของป๋ายเหย่ท่องตัวอักษรที่แท้จริงห้าคำ เต้า เทียน ตี้ เจียง ฝ่า

ท่านเคยเห็นเพียงบทกวีชายแดนของป๋ายเหย่บนตำรา ท่านมิเคยเห็นม้าเร็วพกดาบไล่ตามเมฆขาว

ป๋ายเหย่ ‘พอจะเข้าใจตำราพิชัยยุทธอย่างผิวเผิน’ เป็นเรื่องที่คนทั้งโลกล้วนรับรู้

ป๋ายเหย่พึมพำ “ต่อให้ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ ก็ยังรู้สึกว่าพูดได้ไม่คล่องปากเท่าเทียนตี้เต้าฝ่าเจียง”

ปีศาจใหญ่โครงกระดูกป๋ายอิ๋งยิ้มน้อยๆ ในที่สุดก็เรียกวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นหนึ่งออกมา ธงผืนใหญ่ปักตระหง่านอยู่เบื้องหลัง กองทัพใหญ่กระดูกขาวพุ่งเข้าเข่นฆ่ากองทัพใหญ่วิญญาณวีรบุรุษที่ควบม้าห้อตะบึงเหล่านั้นอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกร

จากนั้นเพียงชั่วพริบตา ไม่ว่าจะเป็นปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ที่ลงมือแล้วหรือยังไม่ลงมือก็ล้วนสัมผัสได้ถึงลางสังหรณ์อันเลือนรางเสี้ยวหนึ่ง

ป๋ายเหย่ใช้หนึ่งกระบี่ฟันเกราะวิเศษของเทพเกราะทองหนิวเตาพร้อมกับเรือนกายของอีกฝ่ายให้ขาดออกเป็นสองท่อน

สภาพของเชี่ยอวิ้นที่อยู่ด้านหลังป๋ายเหย่ก็เหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน โดนไปหนึ่งกระบี่ เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับเทพเกราะทองแล้ว ดูเหมือนว่าเชี่ยอวิ้นจะถูกผ่าแค่จากหว่างคิ้วตรงลงไป ปรากฏเป็นรอยกระบี่เล็กบางเส้นหนึ่ง และดูเหมือนว่าเชี่ยอวิ้นก็จะฝืนรับกระบี่นั้นไว้เพราะมิอาจตัดใจทิ้งเนื้อหนังมังสาร่างนี้ไปได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นป๋ายเหย่ที่ในที่สุดก็ส่งกระบี่ออกไปอย่างแท้จริง เชี่ยอวิ้นรู้ว่าตัวเองมิอาจหลบเลี่ยงจึงฉีกร่างของตัวเองออก ถึงจะหลบกระบี่ไท่ป๋ายเล่มนั้นมาได้

และนี่ยังเป็นสองกระบี่ที่แบ่งสมาธิปล่อยออกไปด้วย

หากเป็นกระบี่ที่ป๋ายเหย่ทุ่มสมาธิออกแรงอย่างเต็มกำลังเล่า?

ต่อให้กระบี่นั้นจะผ่านไปแล้ว เชี่ยอวิ้นก็ยังไม่รีบร้อนประกบเรือนกายกลับมา ปราณกระบี่ของกระบี่เซียนเล่มนั้นยังหลงเหลืออยู่ น่าพรั่นพรึงเกินไป หากเชี่ยอวิ้นประกบร่างสองส่วนให้รวมเป็นหนึ่งเดียวก็จะต้องถูกปราณกระบี่เหล่านั้นบีบเค้นสังหาร ได้ไม่คุ้มเสีย

เชี่ยอวิ้นถอนหายใจในใจหนึ่งที ดูเหมือนว่าใต้หล้าไพศาลแห่งนี้ยังมีกระบี่เซียนอีกเล่มหนึ่งที่อยู่ในจวนเทียนซือของภูเขามังกรพยัคฆ์ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง

เล่าลือกันว่าเทพอัคคียุคบรรพกาลกับเทพวารีได้ครอบครองคฤหาสน์หลบร้อนมากมาย มีอาณาเขตใต้การปกครองกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุดเหมือนกัน หนึ่งในบัลลังก์เทพมากมายของเทพอัคคี ตำแหน่งตั้งอยู่ที่อิ๋งฮว่อ (อีกชื่อหนึ่งของดาวอังคาร)

และยิ่งเล่าลือกันว่าในอิ๋งฮว่อมีข้ารับใช้คนหนึ่งที่เชี่ยวชาญด้านการหล่อหลอม ใช้อิ๋งฮว่อเป็นเตาหลอม ดึงเอาแก่นเพลิงมาเป็นถ่าน ใช้แม่น้ำแห่งกาลเวลามาเป็นไฟ มือกำดาวแต่ละดวงมาทำเป็นค้อนกลม หากทุบจนแตกก็โยนทิ้งเปลี่ยนดวงใหม่ สุดท้ายสร้างกระบี่ยาวหลายเล่มให้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดบนสรวงสวรรค์ยุคบรรพกาล

ดูเหมือนว่าความสง่างามมีเสน่ห์ทั้งหมดของบนโลกล้วนถูกใต้หล้าไพศาลยึดครองไปจนสิ้นแล้ว

เชี่ยอวิ้นถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ควรเป็นเช่นนี้เลย

เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน เมื่อการหารือที่ริมแม่น้ำผ่านไป อันที่จริงยังมีการประชุมลับเกิดขึ้นอีกสองครั้ง ครั้งหนึ่งเป็นการถกปัญหากันระหว่างบรรพจารย์สามลัทธิ อีกครั้งหนึ่งเป็นการโต้เถียงกันภายในของเผ่าปีศาจ บรรพบุรุษใหญ่กับป๋ายเจ๋อจึงแยกย้ายกันไปคนละทางด้วยเหตุนี้

หมื่นปีให้หลัง ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง กลุ่มผู้กล้าแยกดินแดนตั้งตัวเป็นอิสระ ปัญหาความขัดแย้งเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ในบรรดาผู้ฝึกตนท้องถิ่นของใต้หล้าไพศาล ผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่นอกจากหลี่เซิ่ง หย่าเซิ่ง และเหวินเซิ่งที่เป็นขอบเขตสิบสี่เพราะผสานมรรคากับสามทวีปแล้ว ยังมีป๋ายเหย่ ตอนนี้ก็มีผู้ฝึกกระบี่อาเหลียงอีกคน

ส่วนป๋ายเจ๋อก็ดี นักพรตเฒ่าอารามกวานเต๋าก็ช่าง และยังมีภิกษุน้ำแกงไก่ อันที่จริงล้วนเป็นคนนอกของใต้หล้าไพศาลทั้งสิ้น

ห้านครสิบสองหอเรือนของป๋ายอวี้จิงในใต้หล้ามืดสลัว ในบรรดานั้นมีเจ้าลัทธิสามท่านที่ผลัดกันมาดูแลป๋ายอวี้จิง ซึ่งล้วนได้รับการยอมรับว่าเป็นขอบเขตสิบสี่

ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง จะมีแค่เฒ่าตาบอดคนต่างถิ่นคนเดียวเท่านั้นเองหรือ?

จากนั้นใต้หล้าแห่งหนึ่งต้องรอคอยอย่างยากลำบากนานนับหมื่นปี กลับมีแค่เซียวสวิ้นที่ทรยศออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่คนเดียวเท่านั้น?

อวี่ซื่อผู้ฝึกกระบี่กระโจมเจี่ยเซิน เหตุให้ถึงถูกเฟยเฟยเรียกอย่างให้ความเคารพว่าคุณชาย ถ้าอย่างนั้นนายท่านของนางล่ะคือใคร?

ศิษย์พี่เชี่ยอวิ้น ศิษย์น้องเฝ่ยหราน เชี่ยอวิ้นรับลูกศิษย์แทนอาจารย์ เป็นเหตุให้ในบรรดาคนของสำนักมีศิษย์น้องเล็กเฝ่ยหรานเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ของทั้งสองคนเล่าคือใคร? ยังมีชีวิตอยู่บนโลกหรือไม่?

ภาพค้นภูเขาที่ป๋ายเจ๋อมอบให้กับซิ่วไฉเฒ่า อันที่จริงไม่ได้ร่ายรายชื่อเผ่าปีศาจที่เป็นคนรุ่นเดียวกันออกมาครบทั้งหมด สำหรับเรื่องนี้ซิ่วไฉเฒ่าไม่ได้มีคำบ่นหรือไม่พอใจใดๆ เห็นว่าป๋ายเจ๋อที่พอพบหลี่เซิ่งก็ยังเรียกแค่ว่า ‘อาจารย์น้อย’ นิสัยดีจริงๆ หรือไร? ก่อนที่ป๋ายเจ๋อจะเข้าร่วมการประชุมริมน้ำครั้งนั้น ระหว่างเส้นทางเดินขึ้นฟ้า คุณความชอบในการรบของเขาเหนือกว่าบรรพบุรุษใหญ่ของภูเขาทัวเยว่ไประดับใหญ่ด้วยซ้ำ ผู้ฝึกกระบี่แตกแยกกันเอง ป๋ายเจ๋อก็ลงมือสังหารผู้ฝึกกระบี่ไปนับไม่ถ้วนเช่นกัน

หลังจากที่ป๋ายเหย่ออกกระบี่อย่างแท้จริงแล้วก็แค่ฟันกระบี่ครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่มีมาดสง่างามแม้แต่น้อย

ฟันเทพเกราะทองไปก่อน ผ่าเสื้อเกราะสีทองบนร่างของปีศาจใหญ่หนิวเตา เลี่ยงไม่ให้อีกฝ่ายต้องทุกข์ทนกับการรอคอย

แล้วค่อยฟันเชี่ยอวิ้น บีบให้เชียอวิ้นเป็นฝ่ายแยกเนื้อหนังมังสาออกเป็นสองส่วน ได้แต่หลบเลี่ยงประกายคมกริบเท่านั้น

ฟันหางงูของหย่างจื่อ ฟันหัวข้ารับใช้ถือกระบี่ที่อยู่ตรงหน้าป๋ายอิ๋ง ฟันกระบองยาวในมือหยวนโส่ว ฟันแขนสองข้างของอู่เยว่

ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์หกตน ต่างฝ่ายต่างร่ายเวทคาถา บ้างก็เป็นวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิต กลับคืนสู่ร่างจริงแทบจะพร้อมเพรียงกัน ต่างก็เหมือนว่ายังไม่เคยถูกกระบี่ฟันมาก่อน

ถ้าอย่างนั้นก็ฟันอีกกระบี่

โลกมนุษย์ยังคงมองไม่เห็นว่าสรุปแล้วป๋ายเหย่ออกกระบี่อย่างไรกันแน่

เห็นเพียงแสงกระบี่ที่อยู่ระหว่างฟ้าดิน

ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ทั้งหก ต่อให้เป็นป๋ายอิ๋งก็ไม่คิดจะทำตัวเลอะเลือนอีกต่อไป พากันปรากฏร่างจริงและกายธรรม ปล่อยจิตหยินออกเดินทางไกล วัตถุแห่งชะตาชีวิตก็ยิ่งออกมาอย่างพร้อมเพรียง ส่องประกายแสงเจิดจ้า มืดฟ้ามัวดิน

ผู้เฒ่าเปลือยเท้าผมขาวสวมชุดม่วงคนหนึ่งทะลุลอดฟ้าดินสามแห่งเข้ามาได้อย่างยากลำบากแล้วก็ต้องอึ้งตะลึงไป ถามเสียงเบา “นี่มันอะไรกัน?”

บัณฑิตชุดเขียวคนหนึ่ง ถือกระบี่ไท่ป๋าย รู้สึกว่ามีเพียงข้าป๋ายเหย่คนเดียวที่เป็นที่ภาคภูมิใจที่สุดในโลกมนุษย์อีกครั้ง

ฝูลู่อวี๋เสวียนได้ยินเพียงบัณฑิตคนนั้นยิ้มกล่าวว่า “รอข้าใช้กระบี่ฟันหลิวชา”

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+