กระบี่จงมา 727.2 ไร้เทียมทานที่แท้จริง

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 727.2 ไร้เทียมทานที่แท้จริง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ใต้หล้าไพศาล สามลัทธิร้อยสำนัก มหามรรคามีความแตกต่าง จิตใจคนแน่นอนว่าไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่แบ่งแยกเป็นดีกับเลวเท่านั้น

เต๋าเหล่าเอ้อถาม “ปีนั้นอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู เหตุใดต้องเลือกเฉินผิงอัน หวังให้เขามาเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของเจ้าแค่คนเดียว?”

ได้ยินว่าทุกวันนี้หนึ่งในลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศิษย์น้องเล็กอย่างเฮ้อเสี่ยวเหลียงเจ้าสำนักชิงเหลียงก็มีความสัมพันธ์อันซับซ้อนวุ่นวายกับเฉินผิงอันอยู่ด้วย

ในความเป็นจริงแล้ว มองดูท่าทางของศิษย์น้องจอมขี้เกียจข้างกายที่ปีนั้นกว่าจะจริงจังสักครั้งไม่ใช่เรื่องง่าย ขอแค่เฉินผิงอันยินดีต่อรองราคา จะให้ลู่เฉินยกลำดับศักดิ์ของเขาสูงขึ้นไปอีกขั้นก็ล้วนสามารถพูดคุยปรึกษากันได้

ลู่เฉินยิ้มเอ่ย “ตอนอยู่ใกล้กับร่องเจียวหลง เฉินผิงอันก็เคยพูดเปิดโปงความลับสวรรค์มาตั้งนานแล้ว ข้าหมายตาในตัวเฉินผิงอันที่มีหวังว่าจะเป็นลูกศิษย์ของข้า ยินดีจะสละเส้นทางสายเดิม ไม่ใช่เพราะตัวเฉินผิงอันเองเป็นอย่างไร ทำให้ข้าลู่เฉินรู้สึกโปรดปรานได้อย่างไร ไม่อย่างนั้นเฉินผิงอันคนเดียวอยากทำอย่างไรแล้วจะทำอย่างไรได้? มองดูเหมือนว่าให้ทางเลือกเขามากมาย อันที่จริงกลับไม่มีทางให้เลือก บนเส้นทางของชีวิตคนก็เป็นเช่นนี้ไม่ใช่หรือ? ไม่เพียงแค่เฉินผิงอันเท่านั้นที่ต้องตกอยู่ในทางตันเช่นนี้”

ลู่เฉินเอ่ยอีกว่า “หลักการเหตุผลเดียวกัน พวกบุคคลในยุคบรรพกาลที่ไม่มีเหตุผลเหล่านั้น การที่เลือกเขาเฉินผิงอันไม่ใช่เพราะตัวเฉินผิงอันเองยินดี เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ไม่รู้ประสา ปีนั้นสามารถรู้อะไรได้บ้าง อันที่จริงก็ยังเป็นเพราะฉีจิ้งชุนอยากให้เขารู้อะไร เพียงแต่ว่าหนึ่งก่อเกิดสอง สองก่อเกิดสาม สามก่อเกิดหมื่นสรรพสิ่ง จนค่อยๆ เปลี่ยนเป็นมากมายน่าดูชม สุดท้ายเปลี่ยนจากความหวังน้อยนิดของฉีจิ้งชุนกลายมาเป็นชีวิตทั้งหมดของเฉินผิงอัน เพียงแต่ไม่รู้ว่าสุดท้ายฉีจิ้งชุนออกเดินทางไกลไปเยือนถ้ำสวรรค์เล็กเหลียนฮวา ถามมรรคาแก่อาจารย์ สรุปแล้วเขาถามอะไรกันแน่ ข้าเคยถามอาจารย์ แต่อาจารย์กลับไม่ได้บอกอย่างละเอียด”

หวนนึกถึงอดีตอันห่างไกล เด็กหนุ่มสวมรองเท้าสานของตรอกหนีผิงที่เหยียบลงบนถนนปูหินสีเขียวของถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่เป็นครั้งแรก ลูกศิษย์เตาเผาที่ตอนยืนอยู่นอกโรงเรียน ก่อนจะหยิบจดหมายออกมายังต้องเช็ดฝ่ามือก่อนตามจิตใต้สำนึก ในเวลานั้นเด็กหนุ่มจะต้องคิดไม่ถึงแน่นอนว่าอนาคตของตัวเองจะมีชีวิตที่เป็นอย่างในทุกวันนี้ จะต้องเดินทีละก้าวข้ามผ่านขุนเขาสายน้ำมากมายขนาดนั้น ได้เห็นคลื่นที่ซัดโหมและการจากเป็นจากตายมากมายขนาดนั้นกับตาตัวเอง

เต๋าเหล่าเอ้อถาม “ดูเหมือนว่าชุยฉานจะเปลี่ยนท่าไม้ตายในการรับมือกับใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้ว ไม่อย่างนั้นหากชุยฉานอาศัยกลียุคที่เกิดขึ้นก็สามารถหลีกเลี่ยงการถูกมัดมือมัดเท้ามากมายไปได้”

ลู่เฉินยิ้มเอ่ย “เขาไม่กล้า หากเรียกออกมา ยังเนรคุณยิ่งกว่าการหลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชนอะไรนั่นเสียอีก อีกทั้งเรื่องก็เกิดขึ้นอย่างฉุกละหุก เวลาไม่คอยใครนี่นะ ใต้หล้านี้จะมีเรื่องอะไรที่สามารถปรึกษากันดีๆ ได้อีกเล่า”

ลู่เฉินถอนหายใจ “ในอดีตวิชาคำนวณของชุยฉานเอาชนะบรรพบุรุษผู้บุกเบิกสำนักคำนวณไปได้ระดับใหญ่ ทำให้ฝ่ายหลังคิดว่าตัวเองได้ ‘สิบ’ ไป ผู้ฝึกตนบนยอดเขาส่วนใหญ่ของหลายใต้หล้าในตอนนี้ไม่รู้ถึงรากฐานความรู้ในเรื่องนี้แม้แต่น้อย ก็ความรู้ใหญ่นี่นะ หากวันหนึ่งยุคเสื่อมที่ผู้คนต่างพากันหวาดกลัวมาถึงจริงๆ ถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่ว่าใครก็ขัดขวางไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นต่อให้บนโลกไม่มีผู้ฝึกตนสำนักคำนวณ ไม่มีผู้ฝึกตนทุกคน ทุกคนก็ล้วนอยู่ด้านล่างภูเขากันหมดแล้ว”

แผ่นดินจมลง (ลู่เฉิน)

“ถึงเวลานั้นมีเพียงเป้าประสงค์ความรู้ที่สำนักคำนวณทิ้งไว้อย่างเดียวเท่านั้นที่ยังคงสามารถอาศัยสิ่งนี้มาบรรลุมรรคาได้มากที่สุด ไม่แน่ว่าอาจทำให้เรื่องที่เป็นความกังวลใหญ่ในใจชุยฉาน ยกตัวอย่างเช่น…เผ่ามนุษย์สูญสิ้นไปนับแต่นี้ กลายไปเป็นกองงานเก่าของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งสรวงสวรรค์กลุ่มใหม่อย่างสิ้นเชิง ก็ล้วนมีความเป็นได้มาก ดูเหมือนว่าชุยฉานจะเชื่อมาโดยตลอดว่าวันนั้นจะต้องมาถึง ดังนั้นต่อให้สถานการณ์ของแจกันสมบัติทวีปจะอันตราย แต่ชุยฉานก็ยังไม่กล้าร่วมมือกับสำนักโม่อย่างแท้จริง”

“ดังนั้นจวี้จื่อแห่งสำนักโม่จึงอดผิดหวังอย่างใหญ่หลวงไม่ได้ ไม่รู้จะเอาหน้าไปวางไว้ที่ไหน รู้สึกว่าถูกซิ่วหู่ขุดหลุมหลอกเข้าให้แล้ว จึงหันไปช่วยเฉินฉุนอันแห่งทักษินาตยทวีปแทน เพียงแต่ว่าสำนักโม่ถึงอย่างไรก็คือสำนักโม่ จอมยุทธพเนจรมีมาดในยุคโบราณเก่าแก่ ยังยอมทุ่มทั้งตระกูลลงเดิมพันกับแจกันสมบัติทวีป แล้วนับประสาอะไรกับที่การค้าครั้งนี้ของสำนักโม่ก็ได้กำไรจริงๆ สำนักโม่ สำนักการค้า มีพละกำลังมากกว่าพวกสำนักกสิกรรมและสำนักโอสถจริงๆ”

เต๋าเหล่าเอ้อนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ลูกหลานสกุลลู่ผู้นั้น เจ้าคิดจะจัดการอย่างไร?”

พื้นที่มงคลดอกบัวของใบถงทวีปใต้หล้าไพศาลถูกเจ้าอารามผู้เฒ่าใช้วิชาอภินิหารที่ควบทั้งลายเส้นขาวดำและการลงสีเข้มแบ่งหนึ่งออกเป็นสี่ พื้นที่มงคลดอกบัวสามส่วนในนั้นล้วนติดตามเจ้าอารามผู้เฒ่าบินทะยานไปยังใต้หล้ามืดสลัวด้วยกัน

หนึ่งในนั้นมีลู่ไถที่ได้ครอบครอง อีกทั้งยัง ‘บินทะยาน’ ออกมาจากพื้นที่มงคลได้สำเร็จ แล้วก็เริ่มฉายประกายพรสวรรค์อยู่ในใต้หล้ามืดสลัว มีความสัมพันธ์ไม่เลวกับนักพรตหญิงคนหนึ่งที่อยู่ในขอบเขตรั้งคนเดินขึ้นสวรรค์ในก้าวเดียว ไม่ใช่คู่รักแต่ก็ยิ่งกว่าคู่รัก

ลู่เฉินเอ่ยอย่างจนใจ “ทำไม อยากรับเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายหรือ? ไม่กลัวว่าจะทำให้โจวจื่อผู้นั้นได้สมใจปรารถนาหรือไร?”

สำหรับศิษย์ลูกศิษย์หลานที่เปลี่ยนชื่อโดยพลการอีกครั้งโดยใช้ชื่อว่า ‘ลู่ไถ’ ผู้นี้ เกิดมาก็มีเรือนกายของปลาหยินหยางที่หาได้ยาก คือเมล็ดพันธ์เทพเซียนที่สมชื่ออย่างแท้จริง แต่ลู่เฉินกลับไม่ค่อยยินดีจะไปพบหน้าเขานัก คนรุ่นหลังมักจะเข้าใจคำกล่าวที่ว่าเมล็ดพันธ์เทพเซียนแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น ไม่รู้ว่าต้องมีเทพก่อนเซียนถึงจะเป็นเมล็ดพันธ์เต๋าที่แท้จริง อันที่จริงไม่ใช่ว่าคุณสมบัติในการฝึกตนไม่เลวก็สามารถถูกมองเป็นเมล็ดพันธ์เทพเซียนได้แล้ว อย่างมากก็เป็นได้แค่ตัวอ่อนของการฝึกตนเท่านั้น

เจียงอวิ๋นเซิงที่อยู่ด้านข้างปากอ้าตาค้าง ปีนั้นอยู่ในภูเขาห้อยหัว นักพรตน้อยคนนี้คือคนที่ใช้ฝ่ามือตบให้ลู่ไถกระเด็นออกมาจากหอซ่างเซียง

ทุกวันนี้ลู่ไถมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับนักพรตจมูกโคหน้าเหม็น หากยังกลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของอาจารย์อาเจ้าลัทธิรอง และในอนาคตได้มานั่งพิทักษ์หนึ่งในห้านครสิบสองหอเรือนอีกล่ะก็ ด้วยนิสัยใจคอคับแคบของลู่ไถที่เหมือนกับบรรพจารย์บ้านตนแล้ว จะไม่กัดตนไม่ปล่อยนานร้อยปีพันปีเลยหรือ? ป๋ายอวี้จิงแห่งหนึ่ง เจ้าลัทธิที่เป็นอาจารย์ของตนท่านนั้นไม่ได้ปรากฎตัวมานานมากแล้ว อาจารย์อาสองท่านผลัดกันเฝ้าดูแลมาร้อยปี เป็นเหตุให้การเข่นฆ่าในใต้หล้ามืดสลัวมีเพิ่มมากขึ้น หากไม่เป็นเพราะการบุกเบิกใต้หล้าแห่งที่ห้า เจียงอวิ๋นเซิงก็คงคิดว่าบ้านเกิดที่เดิมทีค่อนข้างจะสงบสุขกลายไปเป็นใต้หล้าไพศาลที่มีภูเขาห้อยหัวอยู่แล้ว

ตอนนี้ภูเขาห้อยหัวลูกนั้นได้กลายมาเป็นตราประทับอักษรภูเขาที่สามารถถูกคนนำไปพกแขวนไว้ตรงเอว ถึงขั้นสามารถนำไปหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตได้อีกครั้งหนึ่งแล้ว

ว่ากันว่าเจ้าลัทธิรองได้ไหว้วานคนให้นำไปมอบให้กับซานชิงอาจารย์อาน้อย

อันที่จริงเจียงอวิ๋นเซิงค่อนข้างสงสัยใคร่รู้ในตัวของอาจารย์อาน้อยที่ยังไม่เคยพบเจอหน้ากันมาก่อนคนนั้น เพียงแต่ว่าเก้าสิบปีต่อจากนี้ ทั้งสองฝ่ายได้ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่อาจได้พบเจอกัน

เต๋าเหล่าเอ้อเอ่ย “ไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้ คำนวณฟ้าคำนวณดิน ปล่อยให้เขาคำนวณไป ข้าเดินไปบนเส้นทางของข้า”

ลู่เฉินส่ายหน้า “ความคิดของโจวจื่อช่าง…ประหลาดนัก ตั้งแต่แรกเขาก็อนุมานคำนวณวิถีทางโลกในทุกวันนี้ให้เป็นยุคเสื่อมแล้ว สำนักคำนวณแค่นั่งคอยให้ยุคเสื่อมมาถึง ทว่าโจวจื่อกลับวางแผนรับมือไว้ล่วงหน้าแล้ว ถึงขั้นที่ว่ามองข้ามบรรพจารย์ของสามลัทธิไป การไม่เห็นนี้ หาใช่การไม่เห็นเพราะมีใบไม้บังตาจึงมองภาพรวมไม่เห็นไม่ แต่เป็นการ…แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ดังนั้นถึงได้บอกว่าใต้หล้าไพศาลใช้กำลังของคนคนเดียวข่มสกุลลู่ทั้งหมด นับว่าเป็นเรื่องปกติจริงๆ”

อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูแห่งนั้น ลู่เฉินกับโจวจื่อไม่เคยเจอหน้าทักทายกันจริงๆ คนหนึ่งตั้งแผง อีกคนหนึ่งก็ตั้งแผงเหมือนกัน ต่างคนต่างคำนวณชะตาของใครของมัน

ทั้งสองฝ่ายมองดูเหมือนเป็นน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลอง แต่แท้จริงแล้วกลับไม่ต่างจากการตั้งชื่อให้กับ ‘กระบี่บินแห่งชะตาชีวิต’ สองเล่มของลูกศิษย์ผู้สืบทอดของโจวจื่อและลูกหลานของลู่เฉินที่ฉายประกายคมกริบ

การคุยเล่นของศิษย์พี่ศิษย์น้องสองคน น่าสงสารก็แต่นักพรตน้อยแห่งนครชิงชุ่ย อาจารย์อาเจ้าลัทธิสองท่านพร่ำพูดถึงยุคเสื่อมไม่ขาดปาก ทำเอาเจียงอวิ๋นเซิงที่ได้ฟังอกสั่นขวัญผวา จิตแห่งเต๋าถึงขั้นไม่มั่นคง

ลู่เฉินพลันยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “อวิ๋นเซิง บรรพจารย์ของเจ้าคนนั้น ปีนั้นปล่อยหมัดต่อยให้ทะเลเมฆเปิดออก หมัดกระแทกเข้าใส่ถ้ำสวรรค์หลีจู ช่างเปี่ยมไปด้วยมาดน่าเกรงขามยิ่งนัก น่าเสียดายที่ตอนนั้นเจ้าอยู่ไกลถึงภูเขาห้อยหัว อีกทั้งตบะยังไม่ได้เรื่อง จึงไม่ได้เห็นภาพนี้กับตาตัวเอง ไม่เป็นไร ที่ข้ามีม้วนภาพแห่งกาลเวลาที่เก็บรักษามานานหลายปีอยู่ม้วนหนึ่ง มอบให้เจ้าแล้ว เอากลับไปที่หอจื่อชี่ ไปอัดกรอบให้ดี บรรพบุรุษของเจ้าต้องดีใจแน่ เรื่องที่จะสนับสนุนให้เจ้าได้เป็นเจ้านครชิงชุ่ยก็คงไม่แอบทำลับๆ ล่อๆ อีกแล้ว มีแต่จะทำอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา…”

นักพรตน้อยตามองจมูก จมูกมองใจ แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน

เต๋าเหล่าเอ้อขมวดคิ้วเอ่ย “พอเถอะ เลิกขอร้องแทนเจ้าลูกกระต่ายน้อยอย่างอ้อมค้อมเสียที ข้าไม่มีความคิดเห็นอะไรต่อเจียงอวิ๋นเซิงและนครชิงชุ่ย หากใครมีความเห็นอะไรต่อตำแหน่งเจ้านครก็อาศัยความสามารถไปแย่งชิงกันเอาเอง ถูกเจียงอวิ๋นเซิงเก็บเข้ามาไว้ในกระเป๋า ข้าก็ไม่คิดมาก แต่ไหนแต่ไรมานครชิงชุ่ยก็ถูกมองเป็นพื้นที่อิทธิพลของศิษย์พี่ใหญ่มาโดยตลอดอยู่แล้ว ใครจะมาเป็นคนเฝ้าประตู ข้าไม่มีความเห็น เรื่องเดียวที่มีความเห็นก็คือใครที่เฝ้าประตูแล้วทำให้เกิดเรื่องเละเทะ ถึงเวลานั้นก็เหลือเรื่องเละเทะให้ศิษย์พี่เป็นคนเก็บกวาดแล้วกัน”

ลู่เฉินส่ายหน้า “ศิษย์พี่หนอศิษย์พี่ ท่านและข้าอยู่ในจุดสูง แค่สะบัดชายแขนเสื้อ แค่ขมวดคิ้วหรือหาวสักที พวกเซียนที่อยู่ด้านล่างก็ต้องตั้งใจใคร่ครวญอย่างละเอียดเป็นครึ่งๆ วันแล้ว แย่งชิง? เจียงอวิ๋นเซียงจะแย่งชิงอย่างไร วันนี้กว่าจะปลุกความกล้ามาพูดคุยเรื่องเก่าๆ กับอาจารย์อาทั้งสองได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ผลกลับกลายเป็นว่าตั้งแต่ต้นจนจบเจ้าลัทธิรองกลับไม่มองเขาเต็มๆ ตาสักครั้ง ท่านคิดว่าห้านครสิบสองหอเรือนจะมองเจียงอวิ๋นเซิงอย่างไร? จะว่าไปแล้วคำว่าไม่คิดมากของศิษย์พี่กลับเป็นมหามรรคาที่ต่อให้เจียงอวิ๋นเซิงทุ่มสุดชีวิตก็ยังไม่มีอิสระเป็นของตัวเอง แน่นอนว่าศิษย์พี่จะไม่สนใจก็ได้ รู้สึกว่าเป็นธรรมชาติของมหามรรคา หมื่นคาถากลับคืนเป็นหนึ่งก็เท่านั้น…”

เต๋าเหล่าเอ้อรับท่าทีเช่นนี้ของลู่เฉินไม่ได้มากที่สุด ทั้งไม่ได้เป็นธรรมชาติอย่างอาจารย์ แล้วก็ไม่ตรงไปตรงมาอย่างศิษย์พี่ ด้วยรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยจึงพูดโพล่งไปตามตรงว่า “สรุปแล้วเจ้าอยากให้ซานชิงรับนครชิงชุ่ยมาดูแลหรืออยากให้เจียงอวิ๋นเซิงเป็นคนรับช่วงต่อกันแน่?”

เจียงอวิ๋นเซิงทอดถอนใจ ดีนักนะ เจ้าลัทธิสามพูดจาไร้สาระอยู่ตรงนี้ เดือดร้อนให้ตนต้องจบเห่ไปด้วยแล้ว

ไม่รู้จริงๆ ว่าอาจารย์อาเจ้าลัทธิสามกำลังช่วยตนหรือกำลังทำร้ายตนกันแน่ หากอาจารย์อาเจ้าลัทธิรองไม่อยู่ นักพรตน้อยเช่นข้าคงเปิดปากด่าคนไปนานแล้ว

อันที่จริงสำหรับเรื่องที่ว่านครชิงชุ่ยจะตกเป็นของใคร เจียงอวิ๋นเซิงไม่สนใจเลยจริงๆ วันนี้แข็งใจบากหน้ามาที่นี่เพราะสังเกตเห็นเงาร่างของอาจารย์อาลู่อย่างที่หาได้ยาก หากนครชิงชุ่ยตกเป็นของอาจารย์อาน้อยคนใหม่ล่าสุดนั้นได้ย่อมดีที่สุด หลีกเลี่ยงไม่ให้ตนถูกบังคับให้ต้องต้อนเป็ดขึ้นชั้น (เปรียบเปรยว่าฝืนทำเรื่องที่ความสามารถไม่ถึง) เพราะหากรับหน้าที่เป็นเจ้านครชิงชุ่ยต่อจะต้องยุ่งมากแน่ๆ และเรื่องพิพาทก็จะต้องมีเยอะมาก เจียงอวิ๋นเซิงอยู่ที่ภูเขาห้อยหัวมานานแล้ว เคยชินกับชีวิตที่สุขสบายผ่อนคลายในทุกวันมากกว่า มีธุระก็ฝึกตน ไม่มีธุระก็อ่านหนังสือ แล้วนับประสาอะไรกับที่ขอบเขตและชื่อเสียงของเจียงอวิ๋นเซิงก็ไม่ได้โดดเด่นจนสามารถมาเป็นผู้ควบคุมดูแลนครชิงชุ่ยที่ถูกขนานนามว่าเป็นป๋ายอวี้จิงเล็กได้อยู่แล้ว

ลู่เฉินหัวเราะร่าพลางลูบหัวของนักพรตน้อย “กลับไปเถอะ”

นักพรตน้อยรีบกราบคำนับแล้วเอ่ยขอตัวลาจากไป ทะยานลมกลับไปยังนครชิงชุ่ย

เต๋าเหล่าเอ้อใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “เจ้าปล่อยเทวบุตรมารนอกโลกตนหนึ่งไว้ในจิตแห่งเต๋าของเจียงอวิ๋นเซิงง่ายๆ แบบนี้เลยหรือ?”

ลู่เฉินยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ก็เบื่อนี่นา”

เต๋าเหล่าเอ้อเอ่ยเตือน “เจ้าควรกลับไปฟ้านอกฟ้าได้แล้ว”

ลู่เฉินเพียงแค่ทำเฉยแกล้งโง่ เงียบไปนานพักใหญ่ จู่ๆ ก็เอ่ยว่า “ศิษย์พี่ ท่านเคยคิดหรือไม่ว่าวันใดวันหนึ่งจะมีคนมาถามกระบี่แก่ท่าน”

เต๋าเหล่าเอ้อเอ่ย “ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้บ่อยๆ”

ต่อให้จะถูกขนานนามว่าเป็นผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริง ในใต้หล้ามืดสลัว คนที่มาถามกระบี่ถามมรรคาต่อเจ้าลัทธิรองของป๋ายอวี้จิงผู้นี้ อันที่จริงก็ยังคงมีอยู่

ลู่เฉินยิ้มเอ่ย “ข้าหมายถึงการถามกระบี่ที่ทำให้ท่านออกกระบี่อย่างเต็มกำลัง”

“อาเหลียง? ป๋ายเหย่? หรือจะหมายถึงเฉินผิงอันที่บินทะยานมาถึงที่นี่?”

เต๋าเหล่าเอ้อถาม “ถ้าอย่างนั้นต้องรออีกนานแค่ไหน แล้วนับประสาอะไรกับที่ว่าจะรอจนมีวันนั้นจริงหรือไม่ก็ยังเป็นอีกเรื่อง”

ลู่เฉินยกสองมือขึ้น ใช้สองนิ้วเคาะกวานดอกบัวเบาๆ พูดด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “ศิษย์พี่ท่านเป็นคนพูดเองนะ ข้าไม่ได้พูด”

เต๋าเหล่าเอ้อคลี่ยิ้ม “เจ้านี่มันน่าเบื่อจริงๆ เสียด้วย”

ลู่เฉินฟุบตัวลงบนราวรั้ว “รอคอยจะได้เห็นวันที่เฉินผิงอันมาท่องใต้หล้าแห่งนี้อย่างมาก ไม่แน่ว่าถึงเวลานั้นเขาที่มาตั้งแผงดูดวงอาจจะทำได้คล่องยิ่งกว่าข้าเสียอีก”

เต๋าเหล่าเอ้อเอ่ย “คงต้องมีเรือนกายเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบเทพมาเยือนเสียก่อน บวกกับปราณวิญญาณของผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานที่ช่วยประคับประคอง เขาถึงจะสามารถถือกระบี่ได้อย่างแท้จริง ทำหน้าที่เป็นคนถือกระบี่ได้อย่างถูไถ”

ลู่เฉินกล่าว “ไม่ต้องยุ่งยากขนาดนั้น แค่เลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ก็พอแล้ว ไม่ใช่คนถือกระบี่ แต่เป็นเจ้านายของนายแห่งกระบี่ แน่นอนว่ายังต้องมีชีวิตอยู่รอดก่อนถึงจะได้”

เต๋าเหล่าเอ้อหัวเราะร่าเสียงดัง “เริ่มรอคอยนิดๆ แล้ว ฝึกตนแปดพันปี พลาดสนามรบบรรพกาลมาแล้ว ความปราชัยหาได้ยากนัก”

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 727.2 ไร้เทียมทานที่แท้จริง

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 727.2 ไร้เทียมทานที่แท้จริง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ใต้หล้าไพศาล สามลัทธิร้อยสำนัก มหามรรคามีความแตกต่าง จิตใจคนแน่นอนว่าไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่แบ่งแยกเป็นดีกับเลวเท่านั้น

เต๋าเหล่าเอ้อถาม “ปีนั้นอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู เหตุใดต้องเลือกเฉินผิงอัน หวังให้เขามาเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของเจ้าแค่คนเดียว?”

ได้ยินว่าทุกวันนี้หนึ่งในลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศิษย์น้องเล็กอย่างเฮ้อเสี่ยวเหลียงเจ้าสำนักชิงเหลียงก็มีความสัมพันธ์อันซับซ้อนวุ่นวายกับเฉินผิงอันอยู่ด้วย

ในความเป็นจริงแล้ว มองดูท่าทางของศิษย์น้องจอมขี้เกียจข้างกายที่ปีนั้นกว่าจะจริงจังสักครั้งไม่ใช่เรื่องง่าย ขอแค่เฉินผิงอันยินดีต่อรองราคา จะให้ลู่เฉินยกลำดับศักดิ์ของเขาสูงขึ้นไปอีกขั้นก็ล้วนสามารถพูดคุยปรึกษากันได้

ลู่เฉินยิ้มเอ่ย “ตอนอยู่ใกล้กับร่องเจียวหลง เฉินผิงอันก็เคยพูดเปิดโปงความลับสวรรค์มาตั้งนานแล้ว ข้าหมายตาในตัวเฉินผิงอันที่มีหวังว่าจะเป็นลูกศิษย์ของข้า ยินดีจะสละเส้นทางสายเดิม ไม่ใช่เพราะตัวเฉินผิงอันเองเป็นอย่างไร ทำให้ข้าลู่เฉินรู้สึกโปรดปรานได้อย่างไร ไม่อย่างนั้นเฉินผิงอันคนเดียวอยากทำอย่างไรแล้วจะทำอย่างไรได้? มองดูเหมือนว่าให้ทางเลือกเขามากมาย อันที่จริงกลับไม่มีทางให้เลือก บนเส้นทางของชีวิตคนก็เป็นเช่นนี้ไม่ใช่หรือ? ไม่เพียงแค่เฉินผิงอันเท่านั้นที่ต้องตกอยู่ในทางตันเช่นนี้”

ลู่เฉินเอ่ยอีกว่า “หลักการเหตุผลเดียวกัน พวกบุคคลในยุคบรรพกาลที่ไม่มีเหตุผลเหล่านั้น การที่เลือกเขาเฉินผิงอันไม่ใช่เพราะตัวเฉินผิงอันเองยินดี เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ไม่รู้ประสา ปีนั้นสามารถรู้อะไรได้บ้าง อันที่จริงก็ยังเป็นเพราะฉีจิ้งชุนอยากให้เขารู้อะไร เพียงแต่ว่าหนึ่งก่อเกิดสอง สองก่อเกิดสาม สามก่อเกิดหมื่นสรรพสิ่ง จนค่อยๆ เปลี่ยนเป็นมากมายน่าดูชม สุดท้ายเปลี่ยนจากความหวังน้อยนิดของฉีจิ้งชุนกลายมาเป็นชีวิตทั้งหมดของเฉินผิงอัน เพียงแต่ไม่รู้ว่าสุดท้ายฉีจิ้งชุนออกเดินทางไกลไปเยือนถ้ำสวรรค์เล็กเหลียนฮวา ถามมรรคาแก่อาจารย์ สรุปแล้วเขาถามอะไรกันแน่ ข้าเคยถามอาจารย์ แต่อาจารย์กลับไม่ได้บอกอย่างละเอียด”

หวนนึกถึงอดีตอันห่างไกล เด็กหนุ่มสวมรองเท้าสานของตรอกหนีผิงที่เหยียบลงบนถนนปูหินสีเขียวของถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่เป็นครั้งแรก ลูกศิษย์เตาเผาที่ตอนยืนอยู่นอกโรงเรียน ก่อนจะหยิบจดหมายออกมายังต้องเช็ดฝ่ามือก่อนตามจิตใต้สำนึก ในเวลานั้นเด็กหนุ่มจะต้องคิดไม่ถึงแน่นอนว่าอนาคตของตัวเองจะมีชีวิตที่เป็นอย่างในทุกวันนี้ จะต้องเดินทีละก้าวข้ามผ่านขุนเขาสายน้ำมากมายขนาดนั้น ได้เห็นคลื่นที่ซัดโหมและการจากเป็นจากตายมากมายขนาดนั้นกับตาตัวเอง

เต๋าเหล่าเอ้อถาม “ดูเหมือนว่าชุยฉานจะเปลี่ยนท่าไม้ตายในการรับมือกับใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้ว ไม่อย่างนั้นหากชุยฉานอาศัยกลียุคที่เกิดขึ้นก็สามารถหลีกเลี่ยงการถูกมัดมือมัดเท้ามากมายไปได้”

ลู่เฉินยิ้มเอ่ย “เขาไม่กล้า หากเรียกออกมา ยังเนรคุณยิ่งกว่าการหลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชนอะไรนั่นเสียอีก อีกทั้งเรื่องก็เกิดขึ้นอย่างฉุกละหุก เวลาไม่คอยใครนี่นะ ใต้หล้านี้จะมีเรื่องอะไรที่สามารถปรึกษากันดีๆ ได้อีกเล่า”

ลู่เฉินถอนหายใจ “ในอดีตวิชาคำนวณของชุยฉานเอาชนะบรรพบุรุษผู้บุกเบิกสำนักคำนวณไปได้ระดับใหญ่ ทำให้ฝ่ายหลังคิดว่าตัวเองได้ ‘สิบ’ ไป ผู้ฝึกตนบนยอดเขาส่วนใหญ่ของหลายใต้หล้าในตอนนี้ไม่รู้ถึงรากฐานความรู้ในเรื่องนี้แม้แต่น้อย ก็ความรู้ใหญ่นี่นะ หากวันหนึ่งยุคเสื่อมที่ผู้คนต่างพากันหวาดกลัวมาถึงจริงๆ ถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่ว่าใครก็ขัดขวางไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นต่อให้บนโลกไม่มีผู้ฝึกตนสำนักคำนวณ ไม่มีผู้ฝึกตนทุกคน ทุกคนก็ล้วนอยู่ด้านล่างภูเขากันหมดแล้ว”

แผ่นดินจมลง (ลู่เฉิน)

“ถึงเวลานั้นมีเพียงเป้าประสงค์ความรู้ที่สำนักคำนวณทิ้งไว้อย่างเดียวเท่านั้นที่ยังคงสามารถอาศัยสิ่งนี้มาบรรลุมรรคาได้มากที่สุด ไม่แน่ว่าอาจทำให้เรื่องที่เป็นความกังวลใหญ่ในใจชุยฉาน ยกตัวอย่างเช่น…เผ่ามนุษย์สูญสิ้นไปนับแต่นี้ กลายไปเป็นกองงานเก่าของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งสรวงสวรรค์กลุ่มใหม่อย่างสิ้นเชิง ก็ล้วนมีความเป็นได้มาก ดูเหมือนว่าชุยฉานจะเชื่อมาโดยตลอดว่าวันนั้นจะต้องมาถึง ดังนั้นต่อให้สถานการณ์ของแจกันสมบัติทวีปจะอันตราย แต่ชุยฉานก็ยังไม่กล้าร่วมมือกับสำนักโม่อย่างแท้จริง”

“ดังนั้นจวี้จื่อแห่งสำนักโม่จึงอดผิดหวังอย่างใหญ่หลวงไม่ได้ ไม่รู้จะเอาหน้าไปวางไว้ที่ไหน รู้สึกว่าถูกซิ่วหู่ขุดหลุมหลอกเข้าให้แล้ว จึงหันไปช่วยเฉินฉุนอันแห่งทักษินาตยทวีปแทน เพียงแต่ว่าสำนักโม่ถึงอย่างไรก็คือสำนักโม่ จอมยุทธพเนจรมีมาดในยุคโบราณเก่าแก่ ยังยอมทุ่มทั้งตระกูลลงเดิมพันกับแจกันสมบัติทวีป แล้วนับประสาอะไรกับที่การค้าครั้งนี้ของสำนักโม่ก็ได้กำไรจริงๆ สำนักโม่ สำนักการค้า มีพละกำลังมากกว่าพวกสำนักกสิกรรมและสำนักโอสถจริงๆ”

เต๋าเหล่าเอ้อนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ลูกหลานสกุลลู่ผู้นั้น เจ้าคิดจะจัดการอย่างไร?”

พื้นที่มงคลดอกบัวของใบถงทวีปใต้หล้าไพศาลถูกเจ้าอารามผู้เฒ่าใช้วิชาอภินิหารที่ควบทั้งลายเส้นขาวดำและการลงสีเข้มแบ่งหนึ่งออกเป็นสี่ พื้นที่มงคลดอกบัวสามส่วนในนั้นล้วนติดตามเจ้าอารามผู้เฒ่าบินทะยานไปยังใต้หล้ามืดสลัวด้วยกัน

หนึ่งในนั้นมีลู่ไถที่ได้ครอบครอง อีกทั้งยัง ‘บินทะยาน’ ออกมาจากพื้นที่มงคลได้สำเร็จ แล้วก็เริ่มฉายประกายพรสวรรค์อยู่ในใต้หล้ามืดสลัว มีความสัมพันธ์ไม่เลวกับนักพรตหญิงคนหนึ่งที่อยู่ในขอบเขตรั้งคนเดินขึ้นสวรรค์ในก้าวเดียว ไม่ใช่คู่รักแต่ก็ยิ่งกว่าคู่รัก

ลู่เฉินเอ่ยอย่างจนใจ “ทำไม อยากรับเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายหรือ? ไม่กลัวว่าจะทำให้โจวจื่อผู้นั้นได้สมใจปรารถนาหรือไร?”

สำหรับศิษย์ลูกศิษย์หลานที่เปลี่ยนชื่อโดยพลการอีกครั้งโดยใช้ชื่อว่า ‘ลู่ไถ’ ผู้นี้ เกิดมาก็มีเรือนกายของปลาหยินหยางที่หาได้ยาก คือเมล็ดพันธ์เทพเซียนที่สมชื่ออย่างแท้จริง แต่ลู่เฉินกลับไม่ค่อยยินดีจะไปพบหน้าเขานัก คนรุ่นหลังมักจะเข้าใจคำกล่าวที่ว่าเมล็ดพันธ์เทพเซียนแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น ไม่รู้ว่าต้องมีเทพก่อนเซียนถึงจะเป็นเมล็ดพันธ์เต๋าที่แท้จริง อันที่จริงไม่ใช่ว่าคุณสมบัติในการฝึกตนไม่เลวก็สามารถถูกมองเป็นเมล็ดพันธ์เทพเซียนได้แล้ว อย่างมากก็เป็นได้แค่ตัวอ่อนของการฝึกตนเท่านั้น

เจียงอวิ๋นเซิงที่อยู่ด้านข้างปากอ้าตาค้าง ปีนั้นอยู่ในภูเขาห้อยหัว นักพรตน้อยคนนี้คือคนที่ใช้ฝ่ามือตบให้ลู่ไถกระเด็นออกมาจากหอซ่างเซียง

ทุกวันนี้ลู่ไถมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับนักพรตจมูกโคหน้าเหม็น หากยังกลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของอาจารย์อาเจ้าลัทธิรอง และในอนาคตได้มานั่งพิทักษ์หนึ่งในห้านครสิบสองหอเรือนอีกล่ะก็ ด้วยนิสัยใจคอคับแคบของลู่ไถที่เหมือนกับบรรพจารย์บ้านตนแล้ว จะไม่กัดตนไม่ปล่อยนานร้อยปีพันปีเลยหรือ? ป๋ายอวี้จิงแห่งหนึ่ง เจ้าลัทธิที่เป็นอาจารย์ของตนท่านนั้นไม่ได้ปรากฎตัวมานานมากแล้ว อาจารย์อาสองท่านผลัดกันเฝ้าดูแลมาร้อยปี เป็นเหตุให้การเข่นฆ่าในใต้หล้ามืดสลัวมีเพิ่มมากขึ้น หากไม่เป็นเพราะการบุกเบิกใต้หล้าแห่งที่ห้า เจียงอวิ๋นเซิงก็คงคิดว่าบ้านเกิดที่เดิมทีค่อนข้างจะสงบสุขกลายไปเป็นใต้หล้าไพศาลที่มีภูเขาห้อยหัวอยู่แล้ว

ตอนนี้ภูเขาห้อยหัวลูกนั้นได้กลายมาเป็นตราประทับอักษรภูเขาที่สามารถถูกคนนำไปพกแขวนไว้ตรงเอว ถึงขั้นสามารถนำไปหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตได้อีกครั้งหนึ่งแล้ว

ว่ากันว่าเจ้าลัทธิรองได้ไหว้วานคนให้นำไปมอบให้กับซานชิงอาจารย์อาน้อย

อันที่จริงเจียงอวิ๋นเซิงค่อนข้างสงสัยใคร่รู้ในตัวของอาจารย์อาน้อยที่ยังไม่เคยพบเจอหน้ากันมาก่อนคนนั้น เพียงแต่ว่าเก้าสิบปีต่อจากนี้ ทั้งสองฝ่ายได้ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่อาจได้พบเจอกัน

เต๋าเหล่าเอ้อเอ่ย “ไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้ คำนวณฟ้าคำนวณดิน ปล่อยให้เขาคำนวณไป ข้าเดินไปบนเส้นทางของข้า”

ลู่เฉินส่ายหน้า “ความคิดของโจวจื่อช่าง…ประหลาดนัก ตั้งแต่แรกเขาก็อนุมานคำนวณวิถีทางโลกในทุกวันนี้ให้เป็นยุคเสื่อมแล้ว สำนักคำนวณแค่นั่งคอยให้ยุคเสื่อมมาถึง ทว่าโจวจื่อกลับวางแผนรับมือไว้ล่วงหน้าแล้ว ถึงขั้นที่ว่ามองข้ามบรรพจารย์ของสามลัทธิไป การไม่เห็นนี้ หาใช่การไม่เห็นเพราะมีใบไม้บังตาจึงมองภาพรวมไม่เห็นไม่ แต่เป็นการ…แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ดังนั้นถึงได้บอกว่าใต้หล้าไพศาลใช้กำลังของคนคนเดียวข่มสกุลลู่ทั้งหมด นับว่าเป็นเรื่องปกติจริงๆ”

อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูแห่งนั้น ลู่เฉินกับโจวจื่อไม่เคยเจอหน้าทักทายกันจริงๆ คนหนึ่งตั้งแผง อีกคนหนึ่งก็ตั้งแผงเหมือนกัน ต่างคนต่างคำนวณชะตาของใครของมัน

ทั้งสองฝ่ายมองดูเหมือนเป็นน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลอง แต่แท้จริงแล้วกลับไม่ต่างจากการตั้งชื่อให้กับ ‘กระบี่บินแห่งชะตาชีวิต’ สองเล่มของลูกศิษย์ผู้สืบทอดของโจวจื่อและลูกหลานของลู่เฉินที่ฉายประกายคมกริบ

การคุยเล่นของศิษย์พี่ศิษย์น้องสองคน น่าสงสารก็แต่นักพรตน้อยแห่งนครชิงชุ่ย อาจารย์อาเจ้าลัทธิสองท่านพร่ำพูดถึงยุคเสื่อมไม่ขาดปาก ทำเอาเจียงอวิ๋นเซิงที่ได้ฟังอกสั่นขวัญผวา จิตแห่งเต๋าถึงขั้นไม่มั่นคง

ลู่เฉินพลันยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “อวิ๋นเซิง บรรพจารย์ของเจ้าคนนั้น ปีนั้นปล่อยหมัดต่อยให้ทะเลเมฆเปิดออก หมัดกระแทกเข้าใส่ถ้ำสวรรค์หลีจู ช่างเปี่ยมไปด้วยมาดน่าเกรงขามยิ่งนัก น่าเสียดายที่ตอนนั้นเจ้าอยู่ไกลถึงภูเขาห้อยหัว อีกทั้งตบะยังไม่ได้เรื่อง จึงไม่ได้เห็นภาพนี้กับตาตัวเอง ไม่เป็นไร ที่ข้ามีม้วนภาพแห่งกาลเวลาที่เก็บรักษามานานหลายปีอยู่ม้วนหนึ่ง มอบให้เจ้าแล้ว เอากลับไปที่หอจื่อชี่ ไปอัดกรอบให้ดี บรรพบุรุษของเจ้าต้องดีใจแน่ เรื่องที่จะสนับสนุนให้เจ้าได้เป็นเจ้านครชิงชุ่ยก็คงไม่แอบทำลับๆ ล่อๆ อีกแล้ว มีแต่จะทำอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา…”

นักพรตน้อยตามองจมูก จมูกมองใจ แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน

เต๋าเหล่าเอ้อขมวดคิ้วเอ่ย “พอเถอะ เลิกขอร้องแทนเจ้าลูกกระต่ายน้อยอย่างอ้อมค้อมเสียที ข้าไม่มีความคิดเห็นอะไรต่อเจียงอวิ๋นเซิงและนครชิงชุ่ย หากใครมีความเห็นอะไรต่อตำแหน่งเจ้านครก็อาศัยความสามารถไปแย่งชิงกันเอาเอง ถูกเจียงอวิ๋นเซิงเก็บเข้ามาไว้ในกระเป๋า ข้าก็ไม่คิดมาก แต่ไหนแต่ไรมานครชิงชุ่ยก็ถูกมองเป็นพื้นที่อิทธิพลของศิษย์พี่ใหญ่มาโดยตลอดอยู่แล้ว ใครจะมาเป็นคนเฝ้าประตู ข้าไม่มีความเห็น เรื่องเดียวที่มีความเห็นก็คือใครที่เฝ้าประตูแล้วทำให้เกิดเรื่องเละเทะ ถึงเวลานั้นก็เหลือเรื่องเละเทะให้ศิษย์พี่เป็นคนเก็บกวาดแล้วกัน”

ลู่เฉินส่ายหน้า “ศิษย์พี่หนอศิษย์พี่ ท่านและข้าอยู่ในจุดสูง แค่สะบัดชายแขนเสื้อ แค่ขมวดคิ้วหรือหาวสักที พวกเซียนที่อยู่ด้านล่างก็ต้องตั้งใจใคร่ครวญอย่างละเอียดเป็นครึ่งๆ วันแล้ว แย่งชิง? เจียงอวิ๋นเซียงจะแย่งชิงอย่างไร วันนี้กว่าจะปลุกความกล้ามาพูดคุยเรื่องเก่าๆ กับอาจารย์อาทั้งสองได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ผลกลับกลายเป็นว่าตั้งแต่ต้นจนจบเจ้าลัทธิรองกลับไม่มองเขาเต็มๆ ตาสักครั้ง ท่านคิดว่าห้านครสิบสองหอเรือนจะมองเจียงอวิ๋นเซิงอย่างไร? จะว่าไปแล้วคำว่าไม่คิดมากของศิษย์พี่กลับเป็นมหามรรคาที่ต่อให้เจียงอวิ๋นเซิงทุ่มสุดชีวิตก็ยังไม่มีอิสระเป็นของตัวเอง แน่นอนว่าศิษย์พี่จะไม่สนใจก็ได้ รู้สึกว่าเป็นธรรมชาติของมหามรรคา หมื่นคาถากลับคืนเป็นหนึ่งก็เท่านั้น…”

เต๋าเหล่าเอ้อรับท่าทีเช่นนี้ของลู่เฉินไม่ได้มากที่สุด ทั้งไม่ได้เป็นธรรมชาติอย่างอาจารย์ แล้วก็ไม่ตรงไปตรงมาอย่างศิษย์พี่ ด้วยรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยจึงพูดโพล่งไปตามตรงว่า “สรุปแล้วเจ้าอยากให้ซานชิงรับนครชิงชุ่ยมาดูแลหรืออยากให้เจียงอวิ๋นเซิงเป็นคนรับช่วงต่อกันแน่?”

เจียงอวิ๋นเซิงทอดถอนใจ ดีนักนะ เจ้าลัทธิสามพูดจาไร้สาระอยู่ตรงนี้ เดือดร้อนให้ตนต้องจบเห่ไปด้วยแล้ว

ไม่รู้จริงๆ ว่าอาจารย์อาเจ้าลัทธิสามกำลังช่วยตนหรือกำลังทำร้ายตนกันแน่ หากอาจารย์อาเจ้าลัทธิรองไม่อยู่ นักพรตน้อยเช่นข้าคงเปิดปากด่าคนไปนานแล้ว

อันที่จริงสำหรับเรื่องที่ว่านครชิงชุ่ยจะตกเป็นของใคร เจียงอวิ๋นเซิงไม่สนใจเลยจริงๆ วันนี้แข็งใจบากหน้ามาที่นี่เพราะสังเกตเห็นเงาร่างของอาจารย์อาลู่อย่างที่หาได้ยาก หากนครชิงชุ่ยตกเป็นของอาจารย์อาน้อยคนใหม่ล่าสุดนั้นได้ย่อมดีที่สุด หลีกเลี่ยงไม่ให้ตนถูกบังคับให้ต้องต้อนเป็ดขึ้นชั้น (เปรียบเปรยว่าฝืนทำเรื่องที่ความสามารถไม่ถึง) เพราะหากรับหน้าที่เป็นเจ้านครชิงชุ่ยต่อจะต้องยุ่งมากแน่ๆ และเรื่องพิพาทก็จะต้องมีเยอะมาก เจียงอวิ๋นเซิงอยู่ที่ภูเขาห้อยหัวมานานแล้ว เคยชินกับชีวิตที่สุขสบายผ่อนคลายในทุกวันมากกว่า มีธุระก็ฝึกตน ไม่มีธุระก็อ่านหนังสือ แล้วนับประสาอะไรกับที่ขอบเขตและชื่อเสียงของเจียงอวิ๋นเซิงก็ไม่ได้โดดเด่นจนสามารถมาเป็นผู้ควบคุมดูแลนครชิงชุ่ยที่ถูกขนานนามว่าเป็นป๋ายอวี้จิงเล็กได้อยู่แล้ว

ลู่เฉินหัวเราะร่าพลางลูบหัวของนักพรตน้อย “กลับไปเถอะ”

นักพรตน้อยรีบกราบคำนับแล้วเอ่ยขอตัวลาจากไป ทะยานลมกลับไปยังนครชิงชุ่ย

เต๋าเหล่าเอ้อใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “เจ้าปล่อยเทวบุตรมารนอกโลกตนหนึ่งไว้ในจิตแห่งเต๋าของเจียงอวิ๋นเซิงง่ายๆ แบบนี้เลยหรือ?”

ลู่เฉินยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ก็เบื่อนี่นา”

เต๋าเหล่าเอ้อเอ่ยเตือน “เจ้าควรกลับไปฟ้านอกฟ้าได้แล้ว”

ลู่เฉินเพียงแค่ทำเฉยแกล้งโง่ เงียบไปนานพักใหญ่ จู่ๆ ก็เอ่ยว่า “ศิษย์พี่ ท่านเคยคิดหรือไม่ว่าวันใดวันหนึ่งจะมีคนมาถามกระบี่แก่ท่าน”

เต๋าเหล่าเอ้อเอ่ย “ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้บ่อยๆ”

ต่อให้จะถูกขนานนามว่าเป็นผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริง ในใต้หล้ามืดสลัว คนที่มาถามกระบี่ถามมรรคาต่อเจ้าลัทธิรองของป๋ายอวี้จิงผู้นี้ อันที่จริงก็ยังคงมีอยู่

ลู่เฉินยิ้มเอ่ย “ข้าหมายถึงการถามกระบี่ที่ทำให้ท่านออกกระบี่อย่างเต็มกำลัง”

“อาเหลียง? ป๋ายเหย่? หรือจะหมายถึงเฉินผิงอันที่บินทะยานมาถึงที่นี่?”

เต๋าเหล่าเอ้อถาม “ถ้าอย่างนั้นต้องรออีกนานแค่ไหน แล้วนับประสาอะไรกับที่ว่าจะรอจนมีวันนั้นจริงหรือไม่ก็ยังเป็นอีกเรื่อง”

ลู่เฉินยกสองมือขึ้น ใช้สองนิ้วเคาะกวานดอกบัวเบาๆ พูดด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “ศิษย์พี่ท่านเป็นคนพูดเองนะ ข้าไม่ได้พูด”

เต๋าเหล่าเอ้อคลี่ยิ้ม “เจ้านี่มันน่าเบื่อจริงๆ เสียด้วย”

ลู่เฉินฟุบตัวลงบนราวรั้ว “รอคอยจะได้เห็นวันที่เฉินผิงอันมาท่องใต้หล้าแห่งนี้อย่างมาก ไม่แน่ว่าถึงเวลานั้นเขาที่มาตั้งแผงดูดวงอาจจะทำได้คล่องยิ่งกว่าข้าเสียอีก”

เต๋าเหล่าเอ้อเอ่ย “คงต้องมีเรือนกายเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบเทพมาเยือนเสียก่อน บวกกับปราณวิญญาณของผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานที่ช่วยประคับประคอง เขาถึงจะสามารถถือกระบี่ได้อย่างแท้จริง ทำหน้าที่เป็นคนถือกระบี่ได้อย่างถูไถ”

ลู่เฉินกล่าว “ไม่ต้องยุ่งยากขนาดนั้น แค่เลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ก็พอแล้ว ไม่ใช่คนถือกระบี่ แต่เป็นเจ้านายของนายแห่งกระบี่ แน่นอนว่ายังต้องมีชีวิตอยู่รอดก่อนถึงจะได้”

เต๋าเหล่าเอ้อหัวเราะร่าเสียงดัง “เริ่มรอคอยนิดๆ แล้ว ฝึกตนแปดพันปี พลาดสนามรบบรรพกาลมาแล้ว ความปราชัยหาได้ยากนัก”

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+