กระบี่จงมา 730.5 ชีวิตคนราวกับคอยวนเวียนอยู่ในตรอกทรุดโทรม

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 730.5 ชีวิตคนราวกับคอยวนเวียนอยู่ในตรอกทรุดโทรม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในห้องหนังสือแห่งหนึ่ง

หลินจวินปี้เดินข้ามธรณีประตูเข้ามาแล้ว ผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินคนหนึ่งก็ปิดประตูลงเบาๆ

ในห้องหนังสือมีผู้เฒ่าอยู่แค่คนเดียว เขาหิ้วม้านั่งไปนั่งพิงหลังอยู่ตรงหน้าต่าง

หลินจวินปี้ก้าวเดินเร็วๆ ไปด้านหน้าสองสามก้าวก่อนประสานมือคารวะ

อยู่ในศาลาอิ่งป่ายสามารถนั่งลงได้ แต่อยู่ในห้องหนังสือแห่งนี้ก็อย่าได้หวังเลย

บรรพจารย์ตระกูลอวี๋ที่นั่งไขว่ห้างอยู่ตรงหน้าผู้นี้ร่างอ้วนท้วนเหมือนเศรษฐีเฒ่าที่ใช้ชีวิตหรูหราสุขสบาย พอหรี่ตาลง ดวงตายิ่งเล็กก็ยิ่งขับให้ใบหน้าดูใหญ่ เพิ่มความบวมฉุขึ้นมาอีกหลายส่วน

ยากจะจินตนาการได้ว่าหลังจากที่ราชวงศ์ต้าเฉิงล่มสลาย ผู้เฒ่าซึ่งมีตบะแค่ขอบเขตหยกดิบคนนี้จะสามารถประคับประคองราชวงศ์เสวียนมี่ที่กองกำลังแคว้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าขึ้นมาได้ และไม่ว่าจะเป็นต้าเฉิงหรือเสวียนมี่ก็ล้วนอยู่ในลำดับที่สูงกว่าราชวงศ์เส้าหยวนในทุกวันนี้

อยู่ในห้องหนังสือที่มืดสลัวเงียบสงบแห่งนี้

หากผู้เฒ่าไม่เอ่ยปาก หลินจวินปี้ก็ได้แต่ยืนอยู่อย่างนั้น

ในที่สุดอวี้พ่านสุ่ยก็เปิดปากยิ้มเอ่ยว่า “ได้ยินมาว่าเจ้าเชี่ยวชาญการเล่นหมากล้อมจนใกล้จะเก่งกาจกว่าอาจารย์เจ้าแล้วรึ?”

“ฝีมือการเล่นหมากล้อมของจวินปี้ยังคงไม่แน่นลึกซึ้งเหมือนของอาจารย์”

“ประโยคแบบนี้ฟังมาจนเอียนแล้ว ข้าถามถึงแพ้ชนะ ไม่ได้ถามนิสัยในการเล่นหมากล้อม หากอิงตามคำกล่าวของเจ้า ข้ายังเล่นหมากล้อมเผด็จการกว่าซิ่วหู่เสียอีก แล้วมันมีความหมายหรือ?”

“จวินปี้ประลองกับอาจารย์มีทั้งแพ้และชนะ”

“เจ้าเด็กน้อยช่างฉลาดนัก ฝีมือในการสร้างชื่อเสียงจอมปลอมสูงกว่าฝีมือการเล่นหมากล้อม ราชครูแคว้นเส้าหยวนสอนลูกศิษย์ออกมาได้ดีจริงๆ”

“อะไรที่สมควรได้ ส่วนของข้าต้องไม่ขาดแม้แต่เสี้ยวเดียว อะไรที่ไม่สมควรได้ ต่อให้มอบให้ข้า ข้าก็จะเอาคืนกลับไป”

“จะคืนอย่างไร? ก็มองใจคน มองชื่อเสียงเป็นเงินทองเสียสิ เอียนแล้วเอียนแล้ว อายุน้อยๆ ก็โชกโชนจนคนเอือม วางตัวอยู่ร่วมกับสังคมก็ยิ่งทำให้คนเอียน”

“ในกฎเกณฑ์ ข้าถามใจข้า ข้าทำเรื่องของข้า”

“เจ้าไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ความตั้งใจเดิมก็ไม่ใช่เพื่ออวี้เจวี้ยนฟูหรอกหรือ? เป็นเพราะหมดอาลัยตายอยาก รู้ว่าต้องเจอกับความลำบากจึงยอมถอย หรือว่ายังคงไม่ถอดใจ คิดจะปล่อยเบ็ดยาวเพื่อตกปลาตัวใหญ่? คำถามนี้ตอบได้ยาก หากเจ้าไม่ยอมรับว่าตัวเองมีเจตนาไม่ซื่อ ถ้าอย่างนั้นก็ยอมรับว่าจิตใจของอาจารย์เจ้าสกปรกเกินไป วางหมากนอกกระดานล้วนใช้วิธีชั่วร้าย ดังนั้นไม่สู้ให้ข้าช่วยเจ้าหาเหตุผล สาวงามเพียบพร้อมไปด้วยคุณธรรม ย่อมคู่ควรกับวิญญูชน? แบบนี้ออกจะเสียภาพลักษณ์ไปหน่อยหรือไม่?”

ผู้เฒ่ากำหยกก้อนหนึ่งที่แข็งเหมือนไขมันจับตัว มีรอยสลักนูนบางๆ การลงมีดตื้นมาก มีเพียงสองจุดที่การแกะสลักค่อนข้างลึก ล้วนเป็นการแกะสลักแบบตัวอักษรตราประทับ หนึ่งคืออักษรคำว่า ‘อวี้เสวียน’ อีกคำหนึ่งคือคำว่า ‘จั๋ว’

เป่าลมใส่หยกที่มีไว้ถือเล่น แล้วเปลี่ยนมาใช้สองมือกำแน่น บิดหมุนเบาๆ จากนั้นก็เอามาถูใบหน้าตามความเคยชิน

หลินจวินปี้แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นภาพนี้ เอ่ยว่า “อวี้เจวี้ยนฟูไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา ข้ากับอวี้ชิงชิงก็ไม่เหมาะสมกัน”

อวี้พ่านสุ่ยยิ้มหยัน “แล้วแม่นางน้อยไปถูกใจเฉินผิงอันได้อย่างไร?”

หลินจวินปี้ถามกลับ “ทำไมอวี้เจวี้ยนฟูถึงจะชอบอิ่นกวานไม่ได้?”

อวี้พ่านสุ่ยหรี่ตาลง ยกข้อมือขึ้นทำท่ากำอากาศว่างเปล่าเบาๆ นาทีถัดมากลางฝ่ามือก็มีตราประทับชิ้นหนึ่งเพิ่มขึ้นมา ครั้นจึงใช้สองนิ้วคีบมันเอาไว้

ตรงริมขอบของตราประทับสลักคำว่า หินอยู่ในลำธาร จะไม่ใช่เสาหลักกลางกระแสน้ำได้อย่างไร ก้อนเมฆงดงามอยู่บนฟ้า หมัดยังคงอยู่บนฟ้าเหนือฟ้า ตัวอักษรบนตราประทับคือ เทพีแห่งการต่อสู้ เฉินเฉาอยู่ข้างกาย

อวี้พ่านสุ่ยถามว่า “เจ้าเล่นหมากล้อมแล้วแพ้ให้คนผู้นี้งั้นหรือ? รู้หรือไม่ว่าเขาเป็นใคร?”

หลินจวินปี้กล่าว “แค่อาจารย์อวี้รู้ก็พอแล้ว”

อวี้พ่านสุ่ยชูหยกสำหรับถือเล่นที่อยู่ในมืออีกข้างขึ้นมา เอ่ยว่า “หากเจ้าด่าไอ้หมอนี่สองสามคำ ข้าจะมอบของชิ้นนี้ให้เจ้า ฟ้ารู้ดินรู้ เจ้ารู้ข้ารู้ ข้าไม่พูด เจ้าไม่พูด จะต้องกลัวอะไร เตือนเจ้าคำหนึ่งก่อนว่า ของที่อยู่ในมือข้าชิ้นนี้เป็นของเก่าแก่ของสวนสุ่ยฮุ่ย เท่ากับสวนสุ่ยฮุ่ยครึ่งหนึ่ง อย่าว่าแต่เจ้าต้องการเลย แม้แต่อาจารย์ของเจ้าก็ไม่มีทางรังเกียจ”

ของชิ้นนี้มาจากพื้นที่มงคลเหล่าคัง หินประหลาดชนิดนี้คือวัตถุที่รวบรวมแก่นขุนเขาสายน้ำของพื้นที่มงคลเหล่าคังเอาไว้ คือวัตถุที่มีเฉพาะในพื้นที่มงคล มูลค่าควรเมือง หินเหล่าคังหนึ่งถึงสองก้อนราคาหนึ่งถึงสองเหรียญเงินฝนธัญพืช และยิ่งมีคำกล่าวที่บอกว่า ‘ตราประทับแท่นฝนหมึกในใต้หล้า ครึ่งหนึ่งล้วนมาจากพื้นที่มงคลเหล่าคัง’

คือพื้นที่มงคลระดับบนแห่งหนึ่งที่เงินทองไหลมาเทมา สำนักเบื้องล่างแห่งหนึ่งของสำนักฝูลู่อวี๋เสวียนเป็นผู้ควบคุมดูแล

ฝูลู่อวี๋เสวียน หนึ่งภูเขาห้าสำนัก ในมือครอบครองพื้นที่มงคลระดับสูงหนึ่งแห่ง ถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กหนึ่งแห่งและพื้นที่มงคลระดับกลางสองแห่ง หนึ่งในนั้นคือถ้ำสวรรค์เล็กอวิ๋นเมิ่ง มีทะเลสาบชิงฉ่าวที่ลำพังเพียงแค่ถ้ำเจียวหลงก็มีอยู่หลายแห่ง พวกภูตเผ่าพันธุ์น้ำก็ยิ่งมีมากมายนับไม่ถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังมีนิสัยอ่อนโยนว่าง่ายแต่กำเนิดซึ่งนับว่าหาได้ยากยิ่ง เป็นที่ชื่นชอบของเทพธิดาบนภูเขาอย่างมาก

นี่ต้องยกคุณความชอบให้กับรายงานขุนเขาสายน้ำมากมายของใต้หล้าไพศาลที่ช่วยประเมินสิ่งของบนภูเขาที่จำเป็นต้องมีให้กับพวกเทพธิดา กระโปรงเซียงสุ่ยชุดเซียนมังกรสาวเอย กำไลข้อมือ ‘ไข่มุกบนฝ่ามือ’ ที่ต้องมีไข่มุกฉิวจูสิบสองเม็ดเป็นอย่างต่ำเอย กระจกแต่งหน้าที่หอแก้วใสของนครจักรพรรดิขาวเป็นผู้หล่อหลมเอย เทียบลอกลายเหนือเมฆหรือเทียบบุปผาที่ถูกขนานนามว่า ‘ลายมือที่แท้จริงระดับล่าง’ เอย ขวดอวี้ชุนของหลิวเสียทวีปเอย ปักดอกเหมยกิ่งหนึ่งที่มาจากพื้นที่มงคลร้อยบุปผา…

อวี๋เสวียนผู้นั้นจะไม่มีเงินได้หรือ? ยันต์จะมีน้อยได้หรือ?

ต่อให้เป็นอวี้พ่านสุ่ยตระกูลอวี้ที่ในมือครอบครองท้องพระคลังของราชวงศ์เสวียนมี่ก็ยังละอายใจที่สู้ไม่ได้

เทพเจ้าแห่งโชคลาภหลิวธวัลทวีปที่เวลานี้ ‘เผยตัว’ อยู่ในสวนดอกไม้บ้านตนเคยเป็นฝ่ายเสนอราคา ขอซื้อพื้นที่มงคลเหล่าคังครึ่งหนึ่งจากฝูลู่อวี๋เสวียน ว่ากันว่าตอนนั้นบนร่างของหลิวจวี้เป่าพกวัตถุจื่อชื่อมาด้วยกองโต ด้านในเต็มไปด้วยเงินฝนธัญพืช นอกจากเงินเทพเซียนที่กองกันเป็นพะเนินเหมือนภูเขาแล้ว สกุลหลิวยังยินดีจะมอบพื้นที่มงคลลวี่อินของบ้านตนครึ่งหนึ่งให้กับอวี๋เสวียนด้วย

อวี๋เสวียนไม่ตอบตกลง

บอกว่าเจ้าหลิวจวี้เป่ามีเงินแล้วอย่างไร ข้าเหมือนคนขาดเงินงั้นหรือ?

จะว่าไปแล้ว พื้นที่มงคลเหล่าคังครึ่งหนึ่ง พื้นที่มงคลลวี่อินครึ่งหนึ่ง หรือหลิวจวี้เป่ามอบเงินให้อวี๋เสวียนอะไรนั่น ล้วนเป็นแค่การแสดงให้เห็นภายนอกเท่านั้น คล้ายคลึงกับการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กันของวงศ์ตระกูลด้านล่างภูเขา

อันที่จริงสกุลหลิวธวัลทวีปก็แค่ต้องการกอดขาใหญ่เพิ่มอีกขาหนึ่งเท่านั้น แน่นอนว่าทั้งสองฝ่ายสามารถร่วมกันหาเงินก้อนใหญ่ในระยะยาวได้

การค้าที่ด้านหนึ่งหาเงินด้านหนึ่งขาดทุน มิอาจทำได้ยาวนาน เพียงแต่ว่าเส้นทางเงินทอง ‘สายน้ำไหล’ เส้นหนึ่งนึกจะไปก็ไป นึกจะหายก็หายไปเสียอย่างนั้น

ดูเหมือนว่าหลินจวินปี้จะเตรียมคำพูดมาไว้ก่อนนานแล้ว เขาทำเหมือนกับท่องหนังสือ ด่า “ชุยตงซาน” จริงๆ อย่างไม่ลังเล

อวี้พ่านสุ่ยหัวเราะฮ่าๆ อย่างอารมณ์ดี โยนของถือเล่นชิ้นนั้นให้หลินจวินปี้ หลินจวินปี้เก็บไปไว้ในชายแขนเสื้อ เอ่ยว่า “น่าเสียดายที่ไม่อาจแกะหินให้กลายเป็นตราประทับชิ้นหนึ่งได้”

อวี้พ่านสุ่ยหันหน้ามาเอ่ย “วันหน้าเจ้าไปบอกกับซิ่วหู่ผู้นั้น”

น้ำเสียงใสกระจ่างเสียงหนึ่งดังขึ้น “บ่าวน้อมรับคำสั่ง”

สายตาหลินจวินปี้ไม่วอกแวก แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน

เกี่ยวกับข่าวลือของบรรพจารย์ตระกูลอวี้ท่านนี้ มีมากมายยิ่งนัก และเรื่องนิสัยของเขาก็ต้องไม่ใช่แค่หนึ่งในเรื่องเหล่านั้นอย่างแน่นอน

อวี้พ่านสุ่ยพลันถามว่า “อิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นทำให้เจ้าหลินจวินปี้นับถือได้จริงๆ หรือ?”

หลินจวินปี้พยักหน้า “มิอาจเป็นเหมือนเขาได้ เลื่อมใสจากใจจริง”

อวี้พ่านสุ่ยยิ้มเอ่ย “พวกเรามาเล่นหมากล้อมกันสักตาดีไหม?”

หลินจวินปี้กล่าว “แพ้ชนะล้วนให้อาจารย์อวี้เป็นผู้ตัดสิน”

อวี้พ่านสุ่ยสะบัดข้อมือวางตราประทับชิ้นนั้นกลับไปไว้ที่เดิม ลุกขึ้นยืน “ไป ไปพิฆาตกันที่ศาลาอิ่งป่ายสักตา เจ้าหนุ่มพูดจาใหญ่โตนัก พูดอย่างกับว่าจะเอาชนะข้าได้อย่างไรอย่างนั้น”

ทางฝั่งท่าเรือของเมืองหลวง เผยเฉียนและอวี้เจวี้ยนฟูนั่งโดยสารเรือข้ามฟากตระกูลเซียนลำหนึ่งไปยังธวัลทวีปด้วยกัน อาหมานยืนอยู่ตรงราวระเบียงของดาดฟ้าชมทัศนียภาพ เหม่อมองเมืองหลวงใหญ่โตโอฬารที่ค่อยๆ มีขนาดใหญ่เหลือแค่ฝ่ามือ ใหญ่เท่าเมล็ดงา สุดท้ายก็หายวับไปไม่เห็นอีก

เผยเฉียนถาม “เจ้ามาฝึกวิชาหมัดจากเมื่อวานที่ติดค้างไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นเจ้าต้องคืนเงินเกล็ดหิมะมาให้ข้าเหรียญหนึ่ง”

เด็กชายเพียงแค่เขย่งปลายเท้า สายตามองไปยังแผ่นดินที่อยู่ห่างไปไกลตลอดเวลา

เผยเฉียนไม่ขุ่นเคือง ยิ่งไม่มีคำตำหนิดุด่า เพียงเอ่ยว่า “ตามสัญญา ไม่เดินนิ่งติดต่อกันสองวัน ต้องคืนเงินเกล็ดหิมะให้ข้าครึ่งเหรียญ หากรวมกันสามวันแล้วยังไม่ฝึกวิชาหมัด ต้องคืนให้ข้าทั้งหมด”

เด็กชายถึงพูดเสียงอู้อี้ฟังไม่ชัดเจนว่า “ขอดูอีกหน่อย”

……

เฉินหลิงจวินเดินลงน้ำ ในที่สุดก็มาถึงปากทางที่ลำน้ำใหญ่ไหลลงสู่มหาสมุทรซึ่งอยู่ใกล้กับสวนน้ำค้างวสันต์ หลุดพ้นจากพันธนาการการถูกสยบกำราบของโชคชะตาขุนเขาสายน้ำในหนึ่งทวีปได้สำเร็จ พลังอำนาจนั้นยิ่งใหญ่ไพศาล เจียวยักษ์เรือนกายใหญ่โตมโหฬารประหนึ่งมังกรที่เลื้อยลงสู่ทะเล ก่อให้เกิดคลื่นยักษ์เทียมฟ้าถาโถม

เพียงแต่ว่าเฉินหลิงจวินกำลังจะฉวยโอกาสกัดฟันพุ่งไปข้างหน้าอีกร้อยพันลี้ คิดไม่ถึงว่าแค่ชูศีรษะใหญ่โตมโหฬารขึ้นมาเล็กน้อยก็เห็นว่าบนทะเลเมฆที่ห่างไปไกลมีคนชุดเขียวผู้หนึ่งยืนเอาสองมือไพล่หลังอยู่บนหัวเรือ ท่าทางสง่างามอย่างมาก เขากลับคืนสู่สภาพเดิมท่ามกลางคลื่นลูกยักษ์ทันที ขว้างเวทคาถาออกไปมั่วซั่วก็ยังมิอาจสะกดคลื่นลูกยักษ์ที่ถูกชักนำจากโชคชะตาน้ำพุ่งซัดกรากได้ นี่ทำให้หัวใจของเฉินหลิงจวินบีบรัดตัวแน่น

สองฝากฝั่งเลียบเส้นทางที่ลำน้ำใหญ่ไหลลงสู่มหาสมุทรยาวไกลหลายพันลี้ล้วนมีเซียนซือของหลายสำนักมาคอยช่วยสยบพลังอำนาจของสายน้ำให้ ไม่ให้พวกมันลามมาถึงชายฝั่ง หลีกเลี่ยงไม่ให้เดือดร้อนไปถึงผู้บริสุทธิ์ คิดไม่ถึงว่าพอถึงเวลาเข้าจริงๆ ก็ยังมีปลาหลุดรอดตาข่ายที่โชคไม่ดี เฉินหลิงจวินเห็นว่าสุดท้ายแล้วเซียนซือหนุ่มผู้นั้นก็อึ้งงันเหมือนไก่ไม้ เขาพลันตัดสินใจเด็ดขาด ส่ายสะบัดหางเจียวที่เลือดโชกจนมองเห็นกระดูกขาวโพลน เปลี่ยนทิศทางพุ่งตัวไปยังจุดลึกของมหาสมุทร ทั้งศีรษะกระแทกลงบนท้องน้ำ

ก้อนหิน หน้าผา สะพาน ทำนบสันเขื่อน หมื่นสรรพสิ่งที่อยู่บนบก ล้วนถือเป็นเผ่าพันธุ์เจียวหลง คืออุปสรรคขัดขวางบนมหามรรคาที่มองไม่เห็นยามเดินลงน้ำ เจียวหลงลงน้ำพิถีพิถันในเรื่องบุกรุดหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง ดูดดึงเอาโชคชะตาน้ำมาอย่างบ้าคลั่ง น้ำท่วมโถมเทียมฟ้า ยิ่งเดินได้เร็วเท่าไรก็ยิ่งผ่อนคลายมากขึ้นเท่านั้น ทว่าตลอดทางที่ผ่านมาเฉินหลิงจวินกลับลุ่มๆ ดอนๆ กว่าจะประคับประคองตัวให้มาถึงที่นี่ได้ในรวดเดียวไม่ใช่เรื่องง่าย ในที่สุดก็หมดเรี่ยวแรงอย่างสิ้นเชิง หากไม่เป็นเพราะมีเรือน้อยลำนั้นมาขวางทาง อันที่จริงเฉินหลิงจวินยังสามารถพุ่งออกไปนอกน่านน้ำมหาสมุทรได้อย่างน้อยอีกพันลี้ เฉินหลิงจวินชูหัวที่มึนๆ งงๆ ขึ้นมา เรื่องมาถึงขั้นนี้ ต่อให้เดินลงทะเลไปอีกก็ไม่ได้รับผลประโยชน์อะไรแล้ว เขาจึงข่มกลั้นความเจ็บปวดรวดร้าวทั่วทุกอณูของร่างกาย รวมร่างกลายเป็นมนุษย์ หาเสื้อผ้าจากในวัตถุฟางชุ่นมาสวมบนร่าง สะพายหีบไม้ไผ่ถือไม้เท้าเดินป่า เดินโซเซฝ่าลูกคลื่นมา ไปหาเจ้าไก่ตกน้ำผู้นั้น กวาดตามองรอบด้าน เห็นว่าร่างครึ่งบนของเจ้าไก่ตกน้ำผู้นั้นพังพาบอยู่บนเรือลำน้อยก็ตะโกนดังลั่น “น้ำซัดแรงนัก เกิดอะไรขึ้น?!”

เห็นว่าคนผู้นั้นไม่เป็นไร เฉินหลิงจวินก็ถอนหายใจโล่งอก จากนั้นก็ทั้งดีใจทั้งเศร้าใจ สุดท้ายข่มกลั้นไม่ไหวจึงแผดเสียงร้องไห้ดังลั่น

ชั่วชีวิตนี้ข้าผู้อาวุโสจะไม่เดินลงน้ำอีกแล้ว ไม่ว่าใครโน้มน้าวก็ไม่ทำแล้ว ต่อให้นายท่านเป็นคนสั่งก็ไม่ได้เหมือนกัน!

เพียงแต่ว่าตะเบ็งเสียงร้องไปได้สองสามที เฉินหลิงจวินที่นั่งแปะลงบนพื้นก็หัวเราะออกมา แม้จะลุ่มๆ ดอนๆ แต่ก็ถือว่าเดินลงน้ำสำเร็จแล้วนี่นะ ก็เพียงแค่เพราะสหายรักอย่างพวกนักพรตเฒ่า ป๋ายหมางไม่อยู่ข้างกาย ไม่อย่างนั้นเวลานี้เฉินหลิงจวินคงลากพวกเขามาดื่มน้ำในลำน้ำแทนเหล้าให้หมดสายไปแล้ว

เฉินหลิงจวินรีบเช็ดหน้า เห็นว่าผู้ฝึกลมปราณที่มีขอบเขตแค่ถ้ำสถิตผู้นั้นกว่าจะพลิกเรือลำเล็กกลับมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย กำลังนั่งยองอยู่ตรงนั้น ใช้สองมือวักน้ำใส่กลับเข้าไปในทะเล คงเป็นเพราะก่อนหน้านี้ใช้เวทคาถาที่ไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวมาต้านทานคลื่นยักษ์ จึงเผาผลาญปราณวิญญาณหมดสิ้นแล้ว

ในใจเฉินหลิงจวินรู้สึกละอายใจอยู่บ้างจริงๆ คนเขาชมทัศนียภาพอยู่ดีๆ กลับต้องกลายมาเป็นไก่ตกน้ำ

บนทะเลเมฆ หลี่หยวนยกมือกุมขมับ “พี่น้องหลิงจวินของข้าผู้นี้ เดินลงน้ำเดินลงน้ำ เดินไปเดินมาน้ำก็เลยเข้าสมองใช่หรือไม่ มีใครเขาเดินลงน้ำกันแบบนี้บ้างเล่า”

เดินลงน้ำสำเร็จ แต่กลับได้แค่ทำให้เผ่าพันธุ์เจียวหลงขอบเขตโอสถทองมีแค่ทารกก่อกำเนิดในช่วงต้น ไม่ใช่คอขวดก่อกำเนิดอย่างที่หลี่หยวนและเสิ่นหลินคาดการณ์เอาไว้

ทารกเพิ่งก่อเกิดกับก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แบบ สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว ต่อให้จะอยู่ขอบเขตเดียวกัน แต่อันที่จริงกลับต่างกันราวฟ้ากับเหว สำหรับเผ่าพันธุ์เจียวหลงที่ขอบเขตเลื่อนขั้นได้ยากยิ่งกว่า สองฝ่ายนี้ก็ยิ่งต่างกันมาก และเรื่องอย่างการเดินลงน้ำนี้สามารถทำซ้ำได้หลายต่อหลายครั้งหรือ? หากโอกาสไม่มีแล้ว ชีวิตนี้ก็ทำไม่ได้อีกแล้ว ตามการอนุมานเดิมของหลงถิงโหวผู้นี้และหลิงหยวนกง ขอแค่เฉินหลิงจวินสามารถเดินลงน้ำได้สำเร็จ ผลลัพธ์เลวร้ายที่สุดก็ยังต้องเป็นก่อกำเนิดสมบูรณ์แบบยอดเขา หากโชคดีหน่อย สามารถฝ่าทะลุคอขวดก่อกำเนิดเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนได้โดยตรง ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

แต่เฉินหลิงจวินกลับดันสร้างเรื่องน่าอนาถเช่นนี้ออกมา

หลี่หยวนเริ่มเป็นกังวลกับอนาคตของตัวเองแล้ว ถึงเวลานั้นเฉินผิงอันคงไม่พานโกรธมายังตนหาว่าปกป้องคุ้มครองอีกฝ่ายได้ไม่ดีพอหรอกกระมัง?

เสิ่นหลิน เทพวารีตำหนักหนานซวินหรือหลิงหยวนกงในทุกวันนี้มายืนเคียงบ่าอยู่กับหลงถิงโหวหลี่หยวน นางยิ้มเอ่ยว่า “ข้ากลับรู้สึกว่าเป็นแบบนี้ก็ไม่เลว เริ่มจะเข้าใจเฉินผิงอันแล้วว่าทำไมถึงยินดีจะดูแลเฉินหลิงจวินเช่นนี้”

หลี่หยวนยังอดเสียดายความเสียหายบนมหามรรคาแทนพี่น้องคนสนิทของตนไม่ได้ “เป็นคนดีต้องจ่ายเงินเยอะจริงๆ”

หลี่หยวนขมวดคิ้วถาม “ผู้ฝึกลมปราณที่ทำให้ข้ารู้สึกว่ากลิ่นอายของเขาแปลกประหลาดผู้นี้ จู่ๆ ก็มาปรากฎตัวที่นี่อย่างประจวบเหมาะยิ่งนัก เดือดร้อนให้ขอบเขตของเฉินหลิงจวินถดถอยไปครึ่งหนึ่ง มีตบะแค่เซียนดินจริงๆ หรือ?”

เสิ่นหลินเองก็เป็นกังวลอยู่หลายส่วน “นอกจากผู้ฝึกตนของสวนน้ำค้างวสันต์ที่อยู่บนฝั่ง และยังมีขุนนางน้ำของเจ้าและข้าสองฝ่ายที่ออกลาดตระเวนไปตามหาสมุทร ตามหลักแล้วก็ไม่ควรมีคนมาปรากฏตัวที่นี่จริงๆ”

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 730.5 ชีวิตคนราวกับคอยวนเวียนอยู่ในตรอกทรุดโทรม

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 730.5 ชีวิตคนราวกับคอยวนเวียนอยู่ในตรอกทรุดโทรม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในห้องหนังสือแห่งหนึ่ง

หลินจวินปี้เดินข้ามธรณีประตูเข้ามาแล้ว ผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินคนหนึ่งก็ปิดประตูลงเบาๆ

ในห้องหนังสือมีผู้เฒ่าอยู่แค่คนเดียว เขาหิ้วม้านั่งไปนั่งพิงหลังอยู่ตรงหน้าต่าง

หลินจวินปี้ก้าวเดินเร็วๆ ไปด้านหน้าสองสามก้าวก่อนประสานมือคารวะ

อยู่ในศาลาอิ่งป่ายสามารถนั่งลงได้ แต่อยู่ในห้องหนังสือแห่งนี้ก็อย่าได้หวังเลย

บรรพจารย์ตระกูลอวี๋ที่นั่งไขว่ห้างอยู่ตรงหน้าผู้นี้ร่างอ้วนท้วนเหมือนเศรษฐีเฒ่าที่ใช้ชีวิตหรูหราสุขสบาย พอหรี่ตาลง ดวงตายิ่งเล็กก็ยิ่งขับให้ใบหน้าดูใหญ่ เพิ่มความบวมฉุขึ้นมาอีกหลายส่วน

ยากจะจินตนาการได้ว่าหลังจากที่ราชวงศ์ต้าเฉิงล่มสลาย ผู้เฒ่าซึ่งมีตบะแค่ขอบเขตหยกดิบคนนี้จะสามารถประคับประคองราชวงศ์เสวียนมี่ที่กองกำลังแคว้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าขึ้นมาได้ และไม่ว่าจะเป็นต้าเฉิงหรือเสวียนมี่ก็ล้วนอยู่ในลำดับที่สูงกว่าราชวงศ์เส้าหยวนในทุกวันนี้

อยู่ในห้องหนังสือที่มืดสลัวเงียบสงบแห่งนี้

หากผู้เฒ่าไม่เอ่ยปาก หลินจวินปี้ก็ได้แต่ยืนอยู่อย่างนั้น

ในที่สุดอวี้พ่านสุ่ยก็เปิดปากยิ้มเอ่ยว่า “ได้ยินมาว่าเจ้าเชี่ยวชาญการเล่นหมากล้อมจนใกล้จะเก่งกาจกว่าอาจารย์เจ้าแล้วรึ?”

“ฝีมือการเล่นหมากล้อมของจวินปี้ยังคงไม่แน่นลึกซึ้งเหมือนของอาจารย์”

“ประโยคแบบนี้ฟังมาจนเอียนแล้ว ข้าถามถึงแพ้ชนะ ไม่ได้ถามนิสัยในการเล่นหมากล้อม หากอิงตามคำกล่าวของเจ้า ข้ายังเล่นหมากล้อมเผด็จการกว่าซิ่วหู่เสียอีก แล้วมันมีความหมายหรือ?”

“จวินปี้ประลองกับอาจารย์มีทั้งแพ้และชนะ”

“เจ้าเด็กน้อยช่างฉลาดนัก ฝีมือในการสร้างชื่อเสียงจอมปลอมสูงกว่าฝีมือการเล่นหมากล้อม ราชครูแคว้นเส้าหยวนสอนลูกศิษย์ออกมาได้ดีจริงๆ”

“อะไรที่สมควรได้ ส่วนของข้าต้องไม่ขาดแม้แต่เสี้ยวเดียว อะไรที่ไม่สมควรได้ ต่อให้มอบให้ข้า ข้าก็จะเอาคืนกลับไป”

“จะคืนอย่างไร? ก็มองใจคน มองชื่อเสียงเป็นเงินทองเสียสิ เอียนแล้วเอียนแล้ว อายุน้อยๆ ก็โชกโชนจนคนเอือม วางตัวอยู่ร่วมกับสังคมก็ยิ่งทำให้คนเอียน”

“ในกฎเกณฑ์ ข้าถามใจข้า ข้าทำเรื่องของข้า”

“เจ้าไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ความตั้งใจเดิมก็ไม่ใช่เพื่ออวี้เจวี้ยนฟูหรอกหรือ? เป็นเพราะหมดอาลัยตายอยาก รู้ว่าต้องเจอกับความลำบากจึงยอมถอย หรือว่ายังคงไม่ถอดใจ คิดจะปล่อยเบ็ดยาวเพื่อตกปลาตัวใหญ่? คำถามนี้ตอบได้ยาก หากเจ้าไม่ยอมรับว่าตัวเองมีเจตนาไม่ซื่อ ถ้าอย่างนั้นก็ยอมรับว่าจิตใจของอาจารย์เจ้าสกปรกเกินไป วางหมากนอกกระดานล้วนใช้วิธีชั่วร้าย ดังนั้นไม่สู้ให้ข้าช่วยเจ้าหาเหตุผล สาวงามเพียบพร้อมไปด้วยคุณธรรม ย่อมคู่ควรกับวิญญูชน? แบบนี้ออกจะเสียภาพลักษณ์ไปหน่อยหรือไม่?”

ผู้เฒ่ากำหยกก้อนหนึ่งที่แข็งเหมือนไขมันจับตัว มีรอยสลักนูนบางๆ การลงมีดตื้นมาก มีเพียงสองจุดที่การแกะสลักค่อนข้างลึก ล้วนเป็นการแกะสลักแบบตัวอักษรตราประทับ หนึ่งคืออักษรคำว่า ‘อวี้เสวียน’ อีกคำหนึ่งคือคำว่า ‘จั๋ว’

เป่าลมใส่หยกที่มีไว้ถือเล่น แล้วเปลี่ยนมาใช้สองมือกำแน่น บิดหมุนเบาๆ จากนั้นก็เอามาถูใบหน้าตามความเคยชิน

หลินจวินปี้แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นภาพนี้ เอ่ยว่า “อวี้เจวี้ยนฟูไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา ข้ากับอวี้ชิงชิงก็ไม่เหมาะสมกัน”

อวี้พ่านสุ่ยยิ้มหยัน “แล้วแม่นางน้อยไปถูกใจเฉินผิงอันได้อย่างไร?”

หลินจวินปี้ถามกลับ “ทำไมอวี้เจวี้ยนฟูถึงจะชอบอิ่นกวานไม่ได้?”

อวี้พ่านสุ่ยหรี่ตาลง ยกข้อมือขึ้นทำท่ากำอากาศว่างเปล่าเบาๆ นาทีถัดมากลางฝ่ามือก็มีตราประทับชิ้นหนึ่งเพิ่มขึ้นมา ครั้นจึงใช้สองนิ้วคีบมันเอาไว้

ตรงริมขอบของตราประทับสลักคำว่า หินอยู่ในลำธาร จะไม่ใช่เสาหลักกลางกระแสน้ำได้อย่างไร ก้อนเมฆงดงามอยู่บนฟ้า หมัดยังคงอยู่บนฟ้าเหนือฟ้า ตัวอักษรบนตราประทับคือ เทพีแห่งการต่อสู้ เฉินเฉาอยู่ข้างกาย

อวี้พ่านสุ่ยถามว่า “เจ้าเล่นหมากล้อมแล้วแพ้ให้คนผู้นี้งั้นหรือ? รู้หรือไม่ว่าเขาเป็นใคร?”

หลินจวินปี้กล่าว “แค่อาจารย์อวี้รู้ก็พอแล้ว”

อวี้พ่านสุ่ยชูหยกสำหรับถือเล่นที่อยู่ในมืออีกข้างขึ้นมา เอ่ยว่า “หากเจ้าด่าไอ้หมอนี่สองสามคำ ข้าจะมอบของชิ้นนี้ให้เจ้า ฟ้ารู้ดินรู้ เจ้ารู้ข้ารู้ ข้าไม่พูด เจ้าไม่พูด จะต้องกลัวอะไร เตือนเจ้าคำหนึ่งก่อนว่า ของที่อยู่ในมือข้าชิ้นนี้เป็นของเก่าแก่ของสวนสุ่ยฮุ่ย เท่ากับสวนสุ่ยฮุ่ยครึ่งหนึ่ง อย่าว่าแต่เจ้าต้องการเลย แม้แต่อาจารย์ของเจ้าก็ไม่มีทางรังเกียจ”

ของชิ้นนี้มาจากพื้นที่มงคลเหล่าคัง หินประหลาดชนิดนี้คือวัตถุที่รวบรวมแก่นขุนเขาสายน้ำของพื้นที่มงคลเหล่าคังเอาไว้ คือวัตถุที่มีเฉพาะในพื้นที่มงคล มูลค่าควรเมือง หินเหล่าคังหนึ่งถึงสองก้อนราคาหนึ่งถึงสองเหรียญเงินฝนธัญพืช และยิ่งมีคำกล่าวที่บอกว่า ‘ตราประทับแท่นฝนหมึกในใต้หล้า ครึ่งหนึ่งล้วนมาจากพื้นที่มงคลเหล่าคัง’

คือพื้นที่มงคลระดับบนแห่งหนึ่งที่เงินทองไหลมาเทมา สำนักเบื้องล่างแห่งหนึ่งของสำนักฝูลู่อวี๋เสวียนเป็นผู้ควบคุมดูแล

ฝูลู่อวี๋เสวียน หนึ่งภูเขาห้าสำนัก ในมือครอบครองพื้นที่มงคลระดับสูงหนึ่งแห่ง ถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กหนึ่งแห่งและพื้นที่มงคลระดับกลางสองแห่ง หนึ่งในนั้นคือถ้ำสวรรค์เล็กอวิ๋นเมิ่ง มีทะเลสาบชิงฉ่าวที่ลำพังเพียงแค่ถ้ำเจียวหลงก็มีอยู่หลายแห่ง พวกภูตเผ่าพันธุ์น้ำก็ยิ่งมีมากมายนับไม่ถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังมีนิสัยอ่อนโยนว่าง่ายแต่กำเนิดซึ่งนับว่าหาได้ยากยิ่ง เป็นที่ชื่นชอบของเทพธิดาบนภูเขาอย่างมาก

นี่ต้องยกคุณความชอบให้กับรายงานขุนเขาสายน้ำมากมายของใต้หล้าไพศาลที่ช่วยประเมินสิ่งของบนภูเขาที่จำเป็นต้องมีให้กับพวกเทพธิดา กระโปรงเซียงสุ่ยชุดเซียนมังกรสาวเอย กำไลข้อมือ ‘ไข่มุกบนฝ่ามือ’ ที่ต้องมีไข่มุกฉิวจูสิบสองเม็ดเป็นอย่างต่ำเอย กระจกแต่งหน้าที่หอแก้วใสของนครจักรพรรดิขาวเป็นผู้หล่อหลมเอย เทียบลอกลายเหนือเมฆหรือเทียบบุปผาที่ถูกขนานนามว่า ‘ลายมือที่แท้จริงระดับล่าง’ เอย ขวดอวี้ชุนของหลิวเสียทวีปเอย ปักดอกเหมยกิ่งหนึ่งที่มาจากพื้นที่มงคลร้อยบุปผา…

อวี๋เสวียนผู้นั้นจะไม่มีเงินได้หรือ? ยันต์จะมีน้อยได้หรือ?

ต่อให้เป็นอวี้พ่านสุ่ยตระกูลอวี้ที่ในมือครอบครองท้องพระคลังของราชวงศ์เสวียนมี่ก็ยังละอายใจที่สู้ไม่ได้

เทพเจ้าแห่งโชคลาภหลิวธวัลทวีปที่เวลานี้ ‘เผยตัว’ อยู่ในสวนดอกไม้บ้านตนเคยเป็นฝ่ายเสนอราคา ขอซื้อพื้นที่มงคลเหล่าคังครึ่งหนึ่งจากฝูลู่อวี๋เสวียน ว่ากันว่าตอนนั้นบนร่างของหลิวจวี้เป่าพกวัตถุจื่อชื่อมาด้วยกองโต ด้านในเต็มไปด้วยเงินฝนธัญพืช นอกจากเงินเทพเซียนที่กองกันเป็นพะเนินเหมือนภูเขาแล้ว สกุลหลิวยังยินดีจะมอบพื้นที่มงคลลวี่อินของบ้านตนครึ่งหนึ่งให้กับอวี๋เสวียนด้วย

อวี๋เสวียนไม่ตอบตกลง

บอกว่าเจ้าหลิวจวี้เป่ามีเงินแล้วอย่างไร ข้าเหมือนคนขาดเงินงั้นหรือ?

จะว่าไปแล้ว พื้นที่มงคลเหล่าคังครึ่งหนึ่ง พื้นที่มงคลลวี่อินครึ่งหนึ่ง หรือหลิวจวี้เป่ามอบเงินให้อวี๋เสวียนอะไรนั่น ล้วนเป็นแค่การแสดงให้เห็นภายนอกเท่านั้น คล้ายคลึงกับการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กันของวงศ์ตระกูลด้านล่างภูเขา

อันที่จริงสกุลหลิวธวัลทวีปก็แค่ต้องการกอดขาใหญ่เพิ่มอีกขาหนึ่งเท่านั้น แน่นอนว่าทั้งสองฝ่ายสามารถร่วมกันหาเงินก้อนใหญ่ในระยะยาวได้

การค้าที่ด้านหนึ่งหาเงินด้านหนึ่งขาดทุน มิอาจทำได้ยาวนาน เพียงแต่ว่าเส้นทางเงินทอง ‘สายน้ำไหล’ เส้นหนึ่งนึกจะไปก็ไป นึกจะหายก็หายไปเสียอย่างนั้น

ดูเหมือนว่าหลินจวินปี้จะเตรียมคำพูดมาไว้ก่อนนานแล้ว เขาทำเหมือนกับท่องหนังสือ ด่า “ชุยตงซาน” จริงๆ อย่างไม่ลังเล

อวี้พ่านสุ่ยหัวเราะฮ่าๆ อย่างอารมณ์ดี โยนของถือเล่นชิ้นนั้นให้หลินจวินปี้ หลินจวินปี้เก็บไปไว้ในชายแขนเสื้อ เอ่ยว่า “น่าเสียดายที่ไม่อาจแกะหินให้กลายเป็นตราประทับชิ้นหนึ่งได้”

อวี้พ่านสุ่ยหันหน้ามาเอ่ย “วันหน้าเจ้าไปบอกกับซิ่วหู่ผู้นั้น”

น้ำเสียงใสกระจ่างเสียงหนึ่งดังขึ้น “บ่าวน้อมรับคำสั่ง”

สายตาหลินจวินปี้ไม่วอกแวก แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน

เกี่ยวกับข่าวลือของบรรพจารย์ตระกูลอวี้ท่านนี้ มีมากมายยิ่งนัก และเรื่องนิสัยของเขาก็ต้องไม่ใช่แค่หนึ่งในเรื่องเหล่านั้นอย่างแน่นอน

อวี้พ่านสุ่ยพลันถามว่า “อิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นทำให้เจ้าหลินจวินปี้นับถือได้จริงๆ หรือ?”

หลินจวินปี้พยักหน้า “มิอาจเป็นเหมือนเขาได้ เลื่อมใสจากใจจริง”

อวี้พ่านสุ่ยยิ้มเอ่ย “พวกเรามาเล่นหมากล้อมกันสักตาดีไหม?”

หลินจวินปี้กล่าว “แพ้ชนะล้วนให้อาจารย์อวี้เป็นผู้ตัดสิน”

อวี้พ่านสุ่ยสะบัดข้อมือวางตราประทับชิ้นนั้นกลับไปไว้ที่เดิม ลุกขึ้นยืน “ไป ไปพิฆาตกันที่ศาลาอิ่งป่ายสักตา เจ้าหนุ่มพูดจาใหญ่โตนัก พูดอย่างกับว่าจะเอาชนะข้าได้อย่างไรอย่างนั้น”

ทางฝั่งท่าเรือของเมืองหลวง เผยเฉียนและอวี้เจวี้ยนฟูนั่งโดยสารเรือข้ามฟากตระกูลเซียนลำหนึ่งไปยังธวัลทวีปด้วยกัน อาหมานยืนอยู่ตรงราวระเบียงของดาดฟ้าชมทัศนียภาพ เหม่อมองเมืองหลวงใหญ่โตโอฬารที่ค่อยๆ มีขนาดใหญ่เหลือแค่ฝ่ามือ ใหญ่เท่าเมล็ดงา สุดท้ายก็หายวับไปไม่เห็นอีก

เผยเฉียนถาม “เจ้ามาฝึกวิชาหมัดจากเมื่อวานที่ติดค้างไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นเจ้าต้องคืนเงินเกล็ดหิมะมาให้ข้าเหรียญหนึ่ง”

เด็กชายเพียงแค่เขย่งปลายเท้า สายตามองไปยังแผ่นดินที่อยู่ห่างไปไกลตลอดเวลา

เผยเฉียนไม่ขุ่นเคือง ยิ่งไม่มีคำตำหนิดุด่า เพียงเอ่ยว่า “ตามสัญญา ไม่เดินนิ่งติดต่อกันสองวัน ต้องคืนเงินเกล็ดหิมะให้ข้าครึ่งเหรียญ หากรวมกันสามวันแล้วยังไม่ฝึกวิชาหมัด ต้องคืนให้ข้าทั้งหมด”

เด็กชายถึงพูดเสียงอู้อี้ฟังไม่ชัดเจนว่า “ขอดูอีกหน่อย”

……

เฉินหลิงจวินเดินลงน้ำ ในที่สุดก็มาถึงปากทางที่ลำน้ำใหญ่ไหลลงสู่มหาสมุทรซึ่งอยู่ใกล้กับสวนน้ำค้างวสันต์ หลุดพ้นจากพันธนาการการถูกสยบกำราบของโชคชะตาขุนเขาสายน้ำในหนึ่งทวีปได้สำเร็จ พลังอำนาจนั้นยิ่งใหญ่ไพศาล เจียวยักษ์เรือนกายใหญ่โตมโหฬารประหนึ่งมังกรที่เลื้อยลงสู่ทะเล ก่อให้เกิดคลื่นยักษ์เทียมฟ้าถาโถม

เพียงแต่ว่าเฉินหลิงจวินกำลังจะฉวยโอกาสกัดฟันพุ่งไปข้างหน้าอีกร้อยพันลี้ คิดไม่ถึงว่าแค่ชูศีรษะใหญ่โตมโหฬารขึ้นมาเล็กน้อยก็เห็นว่าบนทะเลเมฆที่ห่างไปไกลมีคนชุดเขียวผู้หนึ่งยืนเอาสองมือไพล่หลังอยู่บนหัวเรือ ท่าทางสง่างามอย่างมาก เขากลับคืนสู่สภาพเดิมท่ามกลางคลื่นลูกยักษ์ทันที ขว้างเวทคาถาออกไปมั่วซั่วก็ยังมิอาจสะกดคลื่นลูกยักษ์ที่ถูกชักนำจากโชคชะตาน้ำพุ่งซัดกรากได้ นี่ทำให้หัวใจของเฉินหลิงจวินบีบรัดตัวแน่น

สองฝากฝั่งเลียบเส้นทางที่ลำน้ำใหญ่ไหลลงสู่มหาสมุทรยาวไกลหลายพันลี้ล้วนมีเซียนซือของหลายสำนักมาคอยช่วยสยบพลังอำนาจของสายน้ำให้ ไม่ให้พวกมันลามมาถึงชายฝั่ง หลีกเลี่ยงไม่ให้เดือดร้อนไปถึงผู้บริสุทธิ์ คิดไม่ถึงว่าพอถึงเวลาเข้าจริงๆ ก็ยังมีปลาหลุดรอดตาข่ายที่โชคไม่ดี เฉินหลิงจวินเห็นว่าสุดท้ายแล้วเซียนซือหนุ่มผู้นั้นก็อึ้งงันเหมือนไก่ไม้ เขาพลันตัดสินใจเด็ดขาด ส่ายสะบัดหางเจียวที่เลือดโชกจนมองเห็นกระดูกขาวโพลน เปลี่ยนทิศทางพุ่งตัวไปยังจุดลึกของมหาสมุทร ทั้งศีรษะกระแทกลงบนท้องน้ำ

ก้อนหิน หน้าผา สะพาน ทำนบสันเขื่อน หมื่นสรรพสิ่งที่อยู่บนบก ล้วนถือเป็นเผ่าพันธุ์เจียวหลง คืออุปสรรคขัดขวางบนมหามรรคาที่มองไม่เห็นยามเดินลงน้ำ เจียวหลงลงน้ำพิถีพิถันในเรื่องบุกรุดหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง ดูดดึงเอาโชคชะตาน้ำมาอย่างบ้าคลั่ง น้ำท่วมโถมเทียมฟ้า ยิ่งเดินได้เร็วเท่าไรก็ยิ่งผ่อนคลายมากขึ้นเท่านั้น ทว่าตลอดทางที่ผ่านมาเฉินหลิงจวินกลับลุ่มๆ ดอนๆ กว่าจะประคับประคองตัวให้มาถึงที่นี่ได้ในรวดเดียวไม่ใช่เรื่องง่าย ในที่สุดก็หมดเรี่ยวแรงอย่างสิ้นเชิง หากไม่เป็นเพราะมีเรือน้อยลำนั้นมาขวางทาง อันที่จริงเฉินหลิงจวินยังสามารถพุ่งออกไปนอกน่านน้ำมหาสมุทรได้อย่างน้อยอีกพันลี้ เฉินหลิงจวินชูหัวที่มึนๆ งงๆ ขึ้นมา เรื่องมาถึงขั้นนี้ ต่อให้เดินลงทะเลไปอีกก็ไม่ได้รับผลประโยชน์อะไรแล้ว เขาจึงข่มกลั้นความเจ็บปวดรวดร้าวทั่วทุกอณูของร่างกาย รวมร่างกลายเป็นมนุษย์ หาเสื้อผ้าจากในวัตถุฟางชุ่นมาสวมบนร่าง สะพายหีบไม้ไผ่ถือไม้เท้าเดินป่า เดินโซเซฝ่าลูกคลื่นมา ไปหาเจ้าไก่ตกน้ำผู้นั้น กวาดตามองรอบด้าน เห็นว่าร่างครึ่งบนของเจ้าไก่ตกน้ำผู้นั้นพังพาบอยู่บนเรือลำน้อยก็ตะโกนดังลั่น “น้ำซัดแรงนัก เกิดอะไรขึ้น?!”

เห็นว่าคนผู้นั้นไม่เป็นไร เฉินหลิงจวินก็ถอนหายใจโล่งอก จากนั้นก็ทั้งดีใจทั้งเศร้าใจ สุดท้ายข่มกลั้นไม่ไหวจึงแผดเสียงร้องไห้ดังลั่น

ชั่วชีวิตนี้ข้าผู้อาวุโสจะไม่เดินลงน้ำอีกแล้ว ไม่ว่าใครโน้มน้าวก็ไม่ทำแล้ว ต่อให้นายท่านเป็นคนสั่งก็ไม่ได้เหมือนกัน!

เพียงแต่ว่าตะเบ็งเสียงร้องไปได้สองสามที เฉินหลิงจวินที่นั่งแปะลงบนพื้นก็หัวเราะออกมา แม้จะลุ่มๆ ดอนๆ แต่ก็ถือว่าเดินลงน้ำสำเร็จแล้วนี่นะ ก็เพียงแค่เพราะสหายรักอย่างพวกนักพรตเฒ่า ป๋ายหมางไม่อยู่ข้างกาย ไม่อย่างนั้นเวลานี้เฉินหลิงจวินคงลากพวกเขามาดื่มน้ำในลำน้ำแทนเหล้าให้หมดสายไปแล้ว

เฉินหลิงจวินรีบเช็ดหน้า เห็นว่าผู้ฝึกลมปราณที่มีขอบเขตแค่ถ้ำสถิตผู้นั้นกว่าจะพลิกเรือลำเล็กกลับมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย กำลังนั่งยองอยู่ตรงนั้น ใช้สองมือวักน้ำใส่กลับเข้าไปในทะเล คงเป็นเพราะก่อนหน้านี้ใช้เวทคาถาที่ไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวมาต้านทานคลื่นยักษ์ จึงเผาผลาญปราณวิญญาณหมดสิ้นแล้ว

ในใจเฉินหลิงจวินรู้สึกละอายใจอยู่บ้างจริงๆ คนเขาชมทัศนียภาพอยู่ดีๆ กลับต้องกลายมาเป็นไก่ตกน้ำ

บนทะเลเมฆ หลี่หยวนยกมือกุมขมับ “พี่น้องหลิงจวินของข้าผู้นี้ เดินลงน้ำเดินลงน้ำ เดินไปเดินมาน้ำก็เลยเข้าสมองใช่หรือไม่ มีใครเขาเดินลงน้ำกันแบบนี้บ้างเล่า”

เดินลงน้ำสำเร็จ แต่กลับได้แค่ทำให้เผ่าพันธุ์เจียวหลงขอบเขตโอสถทองมีแค่ทารกก่อกำเนิดในช่วงต้น ไม่ใช่คอขวดก่อกำเนิดอย่างที่หลี่หยวนและเสิ่นหลินคาดการณ์เอาไว้

ทารกเพิ่งก่อเกิดกับก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แบบ สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว ต่อให้จะอยู่ขอบเขตเดียวกัน แต่อันที่จริงกลับต่างกันราวฟ้ากับเหว สำหรับเผ่าพันธุ์เจียวหลงที่ขอบเขตเลื่อนขั้นได้ยากยิ่งกว่า สองฝ่ายนี้ก็ยิ่งต่างกันมาก และเรื่องอย่างการเดินลงน้ำนี้สามารถทำซ้ำได้หลายต่อหลายครั้งหรือ? หากโอกาสไม่มีแล้ว ชีวิตนี้ก็ทำไม่ได้อีกแล้ว ตามการอนุมานเดิมของหลงถิงโหวผู้นี้และหลิงหยวนกง ขอแค่เฉินหลิงจวินสามารถเดินลงน้ำได้สำเร็จ ผลลัพธ์เลวร้ายที่สุดก็ยังต้องเป็นก่อกำเนิดสมบูรณ์แบบยอดเขา หากโชคดีหน่อย สามารถฝ่าทะลุคอขวดก่อกำเนิดเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนได้โดยตรง ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

แต่เฉินหลิงจวินกลับดันสร้างเรื่องน่าอนาถเช่นนี้ออกมา

หลี่หยวนเริ่มเป็นกังวลกับอนาคตของตัวเองแล้ว ถึงเวลานั้นเฉินผิงอันคงไม่พานโกรธมายังตนหาว่าปกป้องคุ้มครองอีกฝ่ายได้ไม่ดีพอหรอกกระมัง?

เสิ่นหลิน เทพวารีตำหนักหนานซวินหรือหลิงหยวนกงในทุกวันนี้มายืนเคียงบ่าอยู่กับหลงถิงโหวหลี่หยวน นางยิ้มเอ่ยว่า “ข้ากลับรู้สึกว่าเป็นแบบนี้ก็ไม่เลว เริ่มจะเข้าใจเฉินผิงอันแล้วว่าทำไมถึงยินดีจะดูแลเฉินหลิงจวินเช่นนี้”

หลี่หยวนยังอดเสียดายความเสียหายบนมหามรรคาแทนพี่น้องคนสนิทของตนไม่ได้ “เป็นคนดีต้องจ่ายเงินเยอะจริงๆ”

หลี่หยวนขมวดคิ้วถาม “ผู้ฝึกลมปราณที่ทำให้ข้ารู้สึกว่ากลิ่นอายของเขาแปลกประหลาดผู้นี้ จู่ๆ ก็มาปรากฎตัวที่นี่อย่างประจวบเหมาะยิ่งนัก เดือดร้อนให้ขอบเขตของเฉินหลิงจวินถดถอยไปครึ่งหนึ่ง มีตบะแค่เซียนดินจริงๆ หรือ?”

เสิ่นหลินเองก็เป็นกังวลอยู่หลายส่วน “นอกจากผู้ฝึกตนของสวนน้ำค้างวสันต์ที่อยู่บนฝั่ง และยังมีขุนนางน้ำของเจ้าและข้าสองฝ่ายที่ออกลาดตระเวนไปตามหาสมุทร ตามหลักแล้วก็ไม่ควรมีคนมาปรากฏตัวที่นี่จริงๆ”

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+