กระบี่จงมา 896.5 คืนนี้สดชื่น
ตามคำกล่าวของเจ้าขุนเขาก็คือเฉาเซียนซือที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้เป็นคนช่วยสานสะพานความสัมพันธ์ให้กับผูซานและตำหนักพยัคฆ์เขียว
เฉินผิงอันกุมหมัดยิ้มเอ่ย “ได้ยินมานานแล้วว่าผู้คุมกฎถานคือยอดฝีมือด้านหินทองบนภูเขา เก็บสะสมร่างแบบตราประทับพันเล่มกับตราประทับหมื่นชิ้น ผู้เยาว์ต้องขอใช้โอกาสอันดีนี้ไปเที่ยวชมเรือนพันทองหมื่นหินของผู้คุมกฎถานสักครั้งแน่นอน”
“คิดไม่ถึงว่าเฉาเซียนซือก็ชอบเรื่องพวกนี้ด้วย?”
รอยยิ้มบนใบหน้าของถานหรงยิ่งกดลึกมากกว่าเดิม ต้องรู้ว่าก่อกำเนิดผู้เฒ่าท่านนี้ มีเรื่องที่ภาคภูมิใจที่สุดในชีวิตอยู่สองเรื่อง หนึ่งคือตอนอายุครึ่งร้อยก็ได้เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอด ‘สองทอง’ ของศาลบรรพจารย์ผูซานแล้ว เป็นทั้งผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองแล้วยังเป็นผู้ฝึกยุทธร่างทองอีกด้วย เป็นเหตุให้เคยแกะลักตราประทับส่วนตัวด้วยตัวเองหนึ่งคู่ นอกจากนี้ก็เป็นเรื่องที่ถานหรงเก็บสะสมตำราตราประทับและตราประทับไว้มากมาย
ถานหรงนำแขกที่มาจากภูเขาเซียนตูกลุ่มนี้ทะยานลมไปยังจุดรับรองแขกของภูเขาผูซานด้วยกัน สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่เหนือทะเลเมฆนอกหน้าผาใกล้กับศาลบรรพจารย์บนยอดเขา
มีเพียงต้องรับรองแขกสูงศักดิ์เท่านั้น เรือนอวิ๋นฉ่าวถึงจะเลือกที่แห่งนี้ ตรงจุดลึกของเมฆขาวมีต้นไม้โบราณเสียดฟ้าพุ่มใบเขียวชอุ่มอยู่ต้นหนึ่ง ร่มเงาแผ่กว้างกินอาณาบริเวณหลายร้อยไร่ รอบด้านล้อมด้วยราวรั้วหยกขาว
ลูกศิษย์ของเรือนอวิ๋นฉ่าว ไม่ว่าจะชายหรือหญิง ล้วนเป็นพวกมากความสามารถ แทบทุกคนต่างก็เชี่ยวชาญศาสตร์พิณ หมากล้อม พู่กันจีน ภาพวาด คุณความชอบส่วนใหญ่ล้วนมาจากที่นี่
ระหว่างทางก่อนหน้านั้นพูดคุยกับเฉาเซียนซืออย่างถูกคอ ทีแรกยังนึกว่าเมื่ออีกฝ่ายพูดคุยถึงด้านหินทองแล้วจะพูดแค่ถ้อยคำตามมารยาทที่ได้ประโยชน์โดยไม่ต้องเสียเงินหมายกระชับความสัมพันธ์ คาดไม่ถึงว่ายิ่งสองฝ่ายพูดคุยกันกลับยิ่งถูกคอ พูดถึงร่างตราประทับบางอย่างที่มีคนรู้จักน้อยนิด คำวิจารณ์ของอีกฝ่ายมักจะเข้าเป้าตรงประเด็นเสมอ มีความคิดเป็นของตัวเองอย่างมาก ไม่มีทางเพิ่งคิดขึ้นมาได้ เพราะเป็นถ้อยคำของผู้เชี่ยวชาญที่ไม่ใช่แค่ว่าอ่านตำราตราประทับไม่กี่เล่มก็พูดออกมาได้
เสี่ยวโม่เข้าใจหลักการเหตุผลอีกข้อหนึ่ง มีสารพัดความรู้ติดตัว ย่อมไม่มีทางเสียเปล่า ต้องมีช่วงเวลาที่ได้ใช้งานเสมอ
เผยเฉียนเหล่ตามองคนบางคน คล้ายกำลังพูดว่าอาจารย์พ่อของข้าทำได้ เจ้าทำได้หรือไม่? เป็นลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจประสาอะไรกัน?
เฉาฉิงหล่างอ่อนใจยิ่งนัก อยู่ดีๆ ก็อดคิดถึงศิษย์น้องกวอขึ้นมาไม่ได้
หากกวอจู๋จิ่วอยู่ที่นี่ คนที่ต้องปวดหัวที่สุดก็ต้องเป็นเผยเฉียนแล้ว
ทุกครั้งที่ร้อยบุปผาเบ่งบานบนต้นไม้ เมื่อดอกไม้ผลิบานก็จะมีสาวงามตัวจิ๋วน่ารักน่าถนอมเผยกายอยู่ในนั้น พวกมันล้วนเป็นภูติพฤกษาที่หล่อหลอมเรือนกายสำเร็จ
สุดยอดแห่งทัศนียภาพอันงดงามบนตระกูลเซียนที่มีเฉพาะบนภูเขาประเภทนี้ไม่เพียงแต่เผาผลาญปราณวิญญาณฟ้าดินไปอย่างมหาศาล ต่อให้เป็นถานหรงกับเซวียไหวก็ไม่ใช่ว่าใครอยากเห็นก็ได้เห็น เจ้าประมุขของผูซานแต่ละยุคแต่ละสมัยต่างเคารพนอบน้อมต่อเจ้าตัวน้อยพวกนี้มาโดยตลอด ห้ามไม่ให้ใครไปรบกวนการฝึกตนอย่างสงบของพวกมัน ดังนั้นเจ้าพวกตัวน้อยจึงเจ้าอารมณ์กันไม่เบา มักจะเกียจคร้านเฉื่อยงานกันเสมอ หากดอกไม้บานแล้วเอาแต่นอนคว่ำอยู่ตรงนั้นไม่ยอมขยับไปไหน ก็จะกลายเป็นเรื่องตลกแล้ว แล้วก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยเกิดสถานการณ์อันน่ากระอักกระอ่วนเช่นนี้มาก่อน จะสั่งสอนก็สั่งสอนไม่ได้ จะตีจะด่าก็ยิ่งตัดใจไม่ลง ยังจะทำอย่างไรได้อีก ต้องรู้ว่าคราวก่อนแขกผู้สูงศักดิ์สองคนมาเยือน เป็นถึงสวินยวนเจ้าสำนักผู้เฒ่าของสำนักกุยหยกที่นำพาเจ้าสำนักคนใหม่อย่างเจียงซ่างเจินมาเยี่ยมเยือนภูเขาผูซานด้วยกัน
คราวก่อนที่ดอกไม้บาน เสียงด่าดังขรมไม่ขาดสาย ถึงขั้นที่ว่ายังมีภูตไม่น้อยที่บ้างก็เท้าเอว บ้างก็เต้นผางถ่มน้ำลายใส่เจียงซ่างเจิน
เจ้าสำนักคนใหม่ที่เป็นบุรุษเอ้อระเหยเสเพลได้แต่วิ่งวุ่นไปทั่ว ชูสองมือรองรับ ‘น้ำฝน’ เหล่านั้น แล้วยังทำหน้าตายิ้มแย้มพูดติดๆ กันว่าขอบคุณๆ อีกด้วย
สุดท้ายยังทิ้งประโยคหนึ่งไว้ว่า ‘ฝนดีรู้เวลาตก พบเจอข้าก็พรำลงมาพอดี’
แขกสูงศักดิ์ที่เป็นเช่นนี้ มาเยือนให้น้อยจะดีกว่า
ดังนั้นครั้งนี้ก่อนที่ผู้คุมกฎถานหรงจะลงจากภูเขาก็ได้ตั้งใจมาบอกกล่าวไว้ที่นี่ก่อนล่วงหน้า แล้วยังฝืนมโนธรรมในใจพูดด้วยว่าแขกสูงศักดิ์กลุ่มที่มากันในวันนี้ เฉาหรงที่อยู่ในกลุ่มคน แม้จะมีตำแหน่งเป็นเค่อชิงปลายแถวของสำนักกุยหยก แต่อันที่จริงเขาไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเจียงซ่างเจินเลยแม้แต่น้อย ผู้คุมกฎเฒ่ากังวลว่าจะเกิดเรื่องจึงพูดย้ำเรื่องยาลืมตนสองเตาของตำหนักพยัคฆ์เขียวซ้ำอีกรอบ รวมไปถึงเรื่องของ ‘เจิ้งเฉียน’ ด้วย พวกภูตน้อยมีสีหน้ากระตือรือร้น วาดฝันจินตนาการไว้มานานแล้ว
เมฆขาวเหมือนพรมที่ปูแผ่อยู่บนฟ้า แสงสว่างจ้าราวกับทิวากาล
ด้านข้างม้านั่งหินหยกขาวหลายสิบตัวที่เรียงตัวเหมือนดวงดาว ถานหรงรอให้แขกทุกคนนั่งลงเรียบร้อยแล้ว เซียนซือเฒ่าถึงได้หยิบชิ่ง (เครื่องดนตรีที่แขวนไว้สำหรับเคาะหรือตี) ทองสัมฤทธิ์ขนาดเล็ก สีเหมือนหยกมรกตชิ้นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ใช้นิ้วเคาะลงไปเบาๆ สามที เสียงดังกังวานก็ดังก้องไปไกล
บนต้นไม้ตั้งแต่สูงถึงต่ำ บุปผาเบ่งบานไล่ระดับ เหล่าสตรีที่อยู่ท่ามกลางดอกไม้ เรือนกายอรชรบ้างก็ร่ายรำ บ้างก็ดีดพิณ เป่าขลุ่ย บ้างก็ใช้ภาษาโบราณขับร้องบทเพลง พวกนางมีความสูงประมาณหนึ่งนิ้ว โฉมงามดุจเซียนเอ๋อเหมย มวยผมสูงแบบโบราณ สวมชุดกระโปรงบางแขนยาวและกว้าง กลิ่นหอมลอยอวลอยู่รอบด้าน ภาพบรรยากาศงดงามชวนเคลิบเคลิ้มทั้งยังมีกลิ่นอายเซียนล่องลอย
รอกระทั่งภาพเหตุการณ์นี้ยุติลง เฉินผิงอันจึงลุกขึ้นยืนกุมหมัดขอบคุณเหล่าเซียนเจินที่พักพิงอยู่ในต้นไม้โบราณเหล่านั้น พวกเสี่ยวโม่สามคนย่อมลุกขึ้นตามด้วย
มีสตรีร่างเล็กจิ๋วคนหนึ่งพกตราลัญจกรหยกขาว บนศีรษะสวมมงกุฎไท่เจินแบบโบราณ รูปโฉมงามพริ้ง บุคลิกสง่าแผ่ราศี นางขยับเท้าสองสามก้าวมายืนอยู่ข้างกลีบดอกไม้ ถามว่า “เฉาเซียนซือ ได้ยินผู้คุมกฎถานบอกว่าท่านมาจากสำนักกุยหยกหรือ? ท่านรู้จักอดีตเจ้าสำนักเจียงที่มีคุณความชอบทางการสู้รบเกริกก้องหรือไม่?”
ถานหรงเป็นกังวลยิ่งนัก เพียงแต่ว่าเรื่องแบบนี้ไม่สะดวกจะใช้เสียงในใจเอ่ยเตือนเฉาโม่
เฉินผิงอันกลับรู้ทันนานแล้ว ออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอก โดยเฉพาะอยู่ต่อหน้าสตรี ใครกล้าพูดว่าตัวเองเป็นสหายกับเจียงซ่างเจิน โง่หรือไร เขาจึงส่ายหน้ายิ้มกล่าวอย่างไม่ลังเลว่า “เฉาโม่เป็นเพียงแค่เค่อชิงปลายแถวของสำนักกุยหยก ไหนเลยจะโชคดีได้รู้จักกับอดีตเจ้าสำนักเจียง เขาอยู่สูงเกินกว่าที่ข้าจะปีนป่ายได้ถึงจริงๆ”
ภูเขาลั่วพั่วบ้านข้ามีแค่โจวเฝย โจวอันดับหนึ่ง ไม่เคยรู้จักเจียงซ่างเจินอะไรทั้งนั้น
สตรีผู้นั้นกึ่งเชื่อกึ่งกังขา สุดท้ายก็ได้แต่จุ๊ปากส่ายหน้า “บุรุษนี่นะ”
นางไม่ได้ถามอะไรต่ออีก
สุราของผูซานมีชื่อเสียงยิ่งกว่าชาเมฆหมอกมากนัก อยู่บนภูเขาก็ได้รับการขนานนามว่าเป็นเหล้าหมักร้อยบุปผาน้อย
แค่มอบให้ไม่มีขาย ผูซานไม่ได้ขาดเงิน
ลำพังเพียงแค่ค่าเช่าบนพื้นที่ขุนเขาสายน้ำนอกผูซานก็มีเจ็ดสิบกว่าแห่งแล้ว ดังนั้นบรรพจารย์ที่ดูแลเงินทองของผูซานจึงเป็นคนที่สบายที่สุด ก่อนหน้านี้มีการประชุมในศาลบรรพจารย์ครั้งหนึ่งปรึกษากันเรื่องเก็บเงินค่าเช่าในแต่ละสถานที่หลังสงครามใหญ่ผ่านพ้น เกี่ยวกับเรื่องนี้ เย่อวิ๋นอวิ๋นพูดจาอย่างเรียบง่าย เอ่ยแค่สองคำเท่านั้น ช่างมัน
โดยทั่วไปแล้วเย่อวิ๋นอวิ๋นจะไม่ค่อยเข้าร่วมดูแลกิจธุระทั้งหลายสักเท่าไร หาเงินใช้เงิน นางเป็นเถ้าแก่ที่สะบัดมือทิ้งร้านมาโดยตลอด ทว่าขอแค่นางปรากฏตัว แต่ไหนแต่ไรก็มักจะตัดสินใจอย่างเผด็จการเสมอ
เจ้าขุนเขาเอ่ยปากแล้ว ก็ไม่ต้องปรึกษาพูดคุยอะไรกันอีก เพียงไม่นานผูซานก็ประกาศออกไปว่าไม่ว่าจะเป็นมหาบรรพตที่มีชื่อเสียงหรือแม่น้ำทะเลสาบ ศาลแห่งใดก็ตาม ขอแค่เป็นผู้สืบทอดที่ถูกต้องชอบธรรมก็ล้วนได้รับการยกเว้นค่าเช่าร้อยปี
ขณะที่รอคอยให้เย่อวิ๋นอวิ๋นกลับมาที่ภูเขา ถานหรงก็เอ่ยขอบคุณเรื่องเม็ดชุดขนนกสองเตากับเฉาเซียนซืออีกครั้ง
หากไม่เป็นเพราะทุกวันนี้เจ้าเฒ่าโลภมากที่ดูแลเรื่องเงินทองยังเหน็ดเหนื่อยวิ่งเต้นอยู่ข้างนอก ยุ่งอยู่กับการซื้อหาภูเขาลูกใหม่ๆ ไม่อย่างนั้นครั้งนี้เฉาเซียนซือมาเยี่ยมเยือนเรือนอวิ๋นฉ่าว ด้วยนิสัยของตาแก่ที่หน้าไม่อายอย่างเขา เกรงว่าจะต้องค้อมตัวก้มต่ำขอบคุณถึงจะพอใจ เนื่องจากลูกศิษย์ผู้สืบทอดหลายคนของคนผู้นี้ต่างก็ได้เม็ดชุดขนนกไปคนละเม็ด เป็นเหตุให้เรื่องของการฝ่าทะลุขอบเขต หากไม่มีความมั่นใจยิ่งกว่าเดิมก็เริ่มมีความหวังกันขึ้นมาบ้างแล้ว
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ยว่าตอนนั้นตนก็แค่ช่วยพูดถึงให้เท่านั้น แค่บอกไปว่าผูซานอยากจะซื้อยานั่งลืมตนหนึ่งเตา คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าสุดท้ายแล้วตำหนักพยัคฆ์เขียวจะมอบให้เปล่าๆ คาดว่าคงเป็นเพราะเทพเซียนผู้เฒ่าลู่เลื่อมใสและยอมรับในขนบธรรมเนียมของผูซานจากใจจริง ไม่อย่างนั้นอย่างมากสุดก็เป็นแค่การได้ผลประโยชน์ในเรื่องของราคาซื้อขายเท่านั้น
ความจริงเป็นอย่างไร แน่นอนว่าถานหรงและเซวียไหวย่อมรู้กันดีอยู่แก่ใจ เพียงแต่อีกฝ่ายจงใจพูดเช่นนี้ ถือว่าช่วยยกยอภูเขาผูซาน ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องที่มีหน้ามีตา
ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันไปถึงลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของอู๋ซูอย่างกวอป๋ายลู่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทอง
สำหรับผู้เยาว์คนนี้ เซวียไหวไม่ขี้เหนียวคำชม มั่นใจว่าผลสำเร็จบนเส้นทางวิถีวรยุทธของกวอป๋ายลู่ในอนาคตจะต้องสูงมากอย่างแน่นอน ขอบเขตร่างทองที่อายุยี่สิบปีคนหนึ่ง ประเด็นสำคัญคืออายุน้อยๆ ก็ได้คำว่าแข็งแกร่งที่สุดมาถึงสองครั้งแล้ว โชคชะตาบู๊ย่อมอยู่ติดตัว
เฉินผิงอันพยักหน้าเอ่ยประโยคหนึ่งว่า อนาคตของกวอป๋ายลู่ต้องยาวไกลไร้ขีดจำกัดแน่นอน
เผยเฉียนนั่งตัวตรงอย่างสำรวม สีหน้าไร้อารมณ์
ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวหรือผู้ฝึกตนบนภูเขา ทุกวันนี้ต่างก็ยอมรับในเรื่องหนึ่ง
นั่นก็คือเฉาสือแห่งราชวงศ์ต้าตวนคือผู้นำ เขาคนเดียวเดินนำทุกคนอยู่ด้านหน้าสุด ทิ้งทุกคนไปไกลจนไม่เห็นฝุ่นบนเส้นทางของการเรียนวรยุทธ
นอกจากนี้ตามหลังเฉาสือแล้ว อย่างเจิ้งเฉียนแห่งแจกันสมบัติทวีปที่อยู่ตรงหน้านี้ อวี้เจวี้ยนฟูแห่งทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง รวมไปถึงกวอป๋ายลู่แห่งใบถงทวีป พวกคนที่ช่วงยี่สิบปีมานี้ต่างก็ได้รับคำว่า ‘แข็งแกร่งที่สุด’ ไปครอง ถือว่าเป็นคนรุ่นเยาว์ที่มีน้ำหนักมากที่สุด เพราะถึงอย่างไรในบางขอบเขตก็แข็งแกร่งที่สุดของทั้งใต้หล้าไพศาลและเปลี่ยวร้าง
เซวียไหวลังเล็กน้อย สุดท้ายก็ล้มเลิกความคิดที่จะประลองวิชาหมัดกับเจิ้งเฉียน ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นแขกสูงศักดิ์ คนทั้งกลุ่มยังไม่ทันเจอกับอาจารย์ ตนก็จะต่อยตีกับอีกฝ่ายแล้ว ไม่ถูกหลักมารยาท
อีกอย่าง เดิมทีก็เป็นการถามหมัดที่แพ้ชนะไม่มีอะไรให้ต้องลุ้นอยู่แล้ว
เซวียไหวไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถปล่อยกระบวนท่าได้เกินยี่สิบท่าภายใต้เงื้อมมือของเจิ้งเฉียนจริงๆ
จะทนได้เกินสิบกระบวนท่าหรือไม่? ก็ต้องลองดูถึงจะรู้
คุยเล่นกันไปแล้ว ดื่มสุราคารวะกันสามรอบ เจ้าขุนเขายังไม่รีบกลับมาที่ผูซาน มาช้ากว่าที่คาดการณ์เอาไว้มาก ถานหรงจึงได้แต่พากลุ่มของเฉาเซียนซือไปที่เรือนพันทองหมื่นหินของตน
แขกทั่วไปอย่าหวังว่าจะได้มาเหยียบที่แห่งนี้ ตราประทับแต่ละชิ้นที่เก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีประหนึ่งวีรบุรุษกลอกตามองฟ้า ตำราเหมือนสาวงาม ไยต้องชม้อยชม้ายชายตาให้คนตาบอดดูเล่า
เมื่อผู้คุมกฎผูซานพูดถึงตำราตราประทับร้อยเซียนกระบี่และตำราตราประทับสองร้อยเซียนกระบี่ว่าตนยังไม่อาจนำเก็บมาสะสมไว้ได้ ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก
พูดแค่ว่าได้บอกกล่าวกับผู้ดูแลเรือข้ามฟากสองลำจากต่างถิ่นที่เดินทางข้ามทวีปมาเรียบร้อยแล้ว ขอให้พวกเขาทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อมาจากภูเขาลูกนั้นของธวัลทวีปให้ตนให้ได้ คิดค่าเดินทางไปพร้อมกันได้เลย สรุปก็คือต่อให้ราคาแพงก็ยังไม่เป็นปัญหา
คนหนึ่งในนั้นคือผู้ดูแลเฒ่าที่เคยเดินทางไปเยือนภูเขาห้อยหัว ทุกครั้งที่พูดถึงอิ่นกวานหนุ่มแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่จะต้องเรียกว่า ‘อิ่นกวานคนใหม่’ ทุกคำ ไม่เคยเรียกว่า ‘อิ่นกวานคนสุดท้าย’ อะไรทั้งนั้น ผู้ดูแลเรือข้ามฟากคนนั้นต้องเรียกว่าหน้าบานเป็นกระด้ง บอกว่าแม้ตนจะไม่เคยปรึกษาพูดคุยกับอิ่นกวานคนใหม่ต่อหน้าตัวเองมาก่อน แต่ภายหลังยามที่อยู่ในเรือนชุนฟานภูเขาห้อยหัว เก้าอี้ตัวที่เขานั่งก็อยู่ห่างจากเก้าอี้ของอิ่นกวานแค่สองตัวเท่านั้น! หลังจากที่ประชุมกับพวกเส้าอวิ๋นเหยียน เซียนกระบี่เยี่ยนและน่าหลันไฉ่ฮ่วนเสร็จ เขาได้ไปลูบพนักเก้าอี้ตัวนั้นสัมผัสกลิ่นอายเซียนมาด้วย ผู้คุมกฎถานเจ้าอย่าได้หัวเราะ ตอนนั้นข้าก็แค่ลุกขึ้นช้าไปหน่อย ไม่ทันพวกเพื่อนร่วมอาชีพหน้าเหม็นกลุ่มนั้น ผลคือยังต้องไปเข้าแถวรอด้วย
คำพูดที่พูดจนน้ำลายแตกฟองทำเอาผู้คุมกฎผูซานไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี กำแพงเมืองปราณกระบี่ แน่นอนว่าเขารู้จัก เพียงแต่ข่าวที่มากกว่านั้นกลับไม่เคยรับรู้
แต่ไหนแต่ไรมาใบถงทวีปก็ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของทวีปอื่นในใต้หล้า
แต่ถึงอย่างไรก็มีเรื่องที่ต้องขอร้องผู้อื่น ตอนนั้นถานหรงจึงแค่ยิ้มพลางพยักหน้ารับพอเป็นพิธี รอกระทั่งอีกฝ่ายพูดว่าอย่าหัวเราะ ผู้คุมกฎเฒ่าก็ได้แต่ตีหน้าเคร่งไม่หัวเราะจริงๆ
สุดท้ายผู้ดูแลเฒ่าก็เริ่มคุยโวโดยไม่ต้องร่างคำพูดอีกครั้ง บอกว่าหากเจ้าขอตำราตราประทับสองเล่มนั้นเร็วกว่านี้ก็ดีน่ะสิ ข้าจะได้ปรึกษากับอิ่นกวานคนใหม่ มอบให้เจ้าเปล่าๆ ก็ยังอาจเป็นไปได้
ตอนนั้นถานหรงยังจะทำอย่างไรได้อีก ก็ได้แต่พยักหน้าเออออตามไปอีกครั้งเท่านั้น
ทว่าเวลานี้เซียนซือผู้เฒ่ากลับไม่สังเกตเห็นว่า นอกจากเฉาเซียนซือข้างกายที่สีหน้าเป็นปกติแล้ว แขกอีกสามคนล้วนมีสีหน้าพิกล
……
ริมอาณาเขตภูเขาผูซาน ในศาลเทพวารีแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ต้นน้ำของแม่น้ำเพ่ยเจียง ในห้องที่เงียบสงบห้องหนึ่งมีสตรีสวมชุดสีเหลืองกำลังดื่มชากับสหายอีกสองคน ก็คือชาสุ่ยเซียนเก่าแก่ที่ถูกส่งจากแจกันสมบัติทวีปนำมาขายไกลถึงใบถงทวีป ดื่มแล้วนางถึงกับขมวดคิ้วมุ่น ขนาดใช้น้ำพุชั้นยอดของแม่น้ำเพ่ยเจียงมาต้มชาแล้วกลับยังมีรสชาติเช่นนี้ ใครเป็นคนตั้งราคากันแน่ ในดวงตามีแต่เงินหรือไร
อีกสามคนที่เหลือในห้องล้วนมีแต่สตรี คนหนึ่งในนั้นก็คือเจ้าบ้านเจ้าของศาลแห่งนี้ ถูกเซียนซือบนภูเขาเรียกขานว่าเหนียงเนียงเทพวารี ‘ตงไห่ฟู่’ นามโค่วเซวี่ยนฉวี หากไม่เป็นเพราะหวงอีอวิ๋นบอกว่าต้องการดื่มชาเหยียนฉาจากต่างถิ่น นางก็ไม่กล้าเอาออกมารับรองแขกจริงๆ
ครั้งนี้เย่อวิ๋นอวิ๋นมาเยือนที่ศาลเพราะต้องการพูดคุยรายละเอียดบางอย่างเรื่องการเดินลงน้ำกับโค่วเซวี่ยนฉวี เนื่องจากเทพวารีแม่น้ำเพ่ยเจียงไม่มีเหตุผลให้ต้องเดินลงน้ำของแม่น้ำเพ่ยเจียง เพราะไม่ได้มีความหมายใดๆ เลยสักนิด ดังนั้นก่อนหน้านี้หวงอีอวิ๋นจึงพูดคุยกับทางราชวงศ์ต้าเฉวียนเรียบร้อยแล้วว่าจะเลือกลำคลองม่ายเหออันเป็นที่ตั้งของอดีตวังมังกรลำน้ำใหญ่ ยังเป็นฮ่องเต้เหยาจิ้นจือที่ออกหน้าพูดคุยด้วยตัวเอง ราบรื่นอย่างมาก
เทพวารีลำคลองม่ายเหอ หลิ่วโหรวเจ้าตำหนักวังปี้โหยวก็พูดคุยด้วยง่ายมาก เพียงไม่นานก็ส่งจดหมายฉบับหนึ่งตอบกลับมาที่วังหลวงนครเซิ่นจิ่ง แค่สองคำเท่านั้น ยินดีต้อนรับ
ฝั่งตรงข้ามของเย่อวิ๋นอวิ๋นมีเด็กสาวเรือนร่างบอบบางคนหนึ่งนั่งอยู่ สวมชุดกระโปรงสีชมพูแดงเหมือนแสงสายันต์รัดเข็มขัดสีรากบัว สวมทับด้วยเสื้อคลุมขนห่าน
นางแค่มีรูปโฉมเป็นดรุณีน้อยเท่านั้น เพราะแท้จริงเป็นขอบเขตก่อกำเนิดที่มีประสบการณ์โชกโชนของใบถงทวีปคนนหึ่ง
นางก็คือเจ้าของถ้ำวังมังกรขาวคนปัจจุบัน มีนามว่าสวี่ชิงจู่ ฉายารุ่นเยว่
รูปโฉมงดงาม ท่วงท่าองอาจ ผึ่งผายตรงไปตรงมา
สวี่ชิงจู่ชอบเดินเท้าเปล่ามาตั้งแต่เด็ก มีนิสัยประหลาดที่ว่า ‘ทั้งชีวิตจะไม่ยอมสวมรองเท้าถุงเท้า’
และการที่เรือนอวิ๋นฉ่าวผูซานเข้าร่วมพันธมิตรใบท้อก็เพราะคำแนะนำจากตู้หันหลิงแห่งอารามจินติ่ง ทั้งยังมีนางเป็นคนช่วยพูดโน้มน้าว แต่นางใช้แค่เหตุผลข้อเดียวก็สามารถโน้มน้าวหวงอีอวิ๋นสหายรักที่เดิมทีไม่ยินดีจะเข้าร่วมเรื่องนี้ได้แล้ว
ใบถงทวีปต้องการผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางคนหนึ่งที่ยินดีออกหมัด อีกทั้งยังไม่สนราคาที่ต้องจ่าย ไม่สนผลลัพธ์ที่จะตามมาเพื่อใช้สยบข่มขวัญผู้ฝึกตนของทวีปอื่น
ก่อนหน้านี้สวี่ชิงจู่ได้ไปเป็นแขกที่ภูเขาผูซาน ไปอยู่นานพักใหญ่ เนื่องจากอีกเดี๋ยวนางก็ต้องปิดด่านแล้ว เรื่องอย่างการฝ่าทะลุขอบเขต จะสำเร็จหรือล้มเหลวก็ยังไม่อาจรู้ได้
สตรีคนสุดท้ายมีอายุน้อยที่สุด ตบะต่ำที่สุด นางคือผู้เยาว์ของเย่อวิ๋นอวิ๋น เย่เสวียนจีลูกหลานสกุลเย่ บรรพบุรุษต้นตระกูลของผู้ฝึกตนหญิงคนนี้ก็คือศิษย์พี่ของเย่อวิ๋นอวิ๋น คอยดูแลเรื่องการคลังให้กับเรือนอวิ๋นฉ่าวมาโดยตลอด
ขอแค่เย่เสวียนจีออกไปอยู่ข้างนอกก็มักจะชอบสวมชุดอาคมกระโปรงมังกรสาว สวมกำไลไข่มุก ยามที่นางยกถ้วยชา ยกข้อมือขึ้นแล้วเหลือบไปเห็นกำไลข้อมือที่รักทะนุถนอมเส้นนั้นก็จะแอบหัวเราะกับตัวเอง
เนื่องจากตั้นตั้นฮูหยินที่ทุกวันนี้เป็นเจ้าแห่งชะตาน้ำบนพื้นดินของใต้หล้าได้ให้หลุมน้ำลู่ป่าวประกาศออกมาว่าในจวนไม่เหลือไข่มุกฉิวอีกแล้ว ไม่เหลือแม้แต่เม็ดเดียว กำไลไข่มุกเส้นนี้จึงกลายเป็นผลงานชั้นยอดไปแล้ว ราคากำไลบนภูเขาในทุกวันนี้จึงเพิ่มขึ้นพรวดพราด ราคาสูงจากเดิมมากกว่าสองเท่า น่าเสียดายที่ปีนั้นนางควักกระเป๋าเงินจนเกลี้ยง จากนั้นก็ขอยืมเงินจากสหายร่วมสำนัก ก็ยังซื้อกำไลไข่มุกบนฝ่ามือมาได้แค่สามเส้นเท่านั้น ดังนั้นทุกวันนี้บรรพบุรุษบ้านตนที่เป็นท่านเทพเจ้าแห่งโชคลาภอยู่ที่ผูซานจึงไม่กล้าพูดว่าวันๆ นางเอาแต่ใช้เงินส่งเดชอะไรอีกแล้ว
Comments