กระบี่จงมา 913.2 ถามกระบี่เช่นนี้
ขอแค่ใจสองดวงรักกันไม่แปรเปลี่ยน ก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันทุกวันเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกตนบนภูเขาที่มีหวังว่าจะเป็นอมตะได้อย่างแท้จริง เวลาแค่ไม่กี่สิบปีไม่นับเป็นอะไรได้เลย
เฉินผิงอันเก็บนกในกรง พยักหน้าเอ่ย “ช่วงนี้อยู่ที่ภูเขาเซียนตู ข้าก็มานะฝึกตนอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน พอๆ กับปีนั้นตอนที่เริ่มฝึกวิชาหมัดเขย่าขุนเขาเลยล่ะ”
หนิงเหยาพยักหน้า เอ่ยว่า “ไปถึงบ้านแล้วข้าต้องปิดด่าน แต่ขอแค่มีธุระเจ้าก็เคาะประตูได้เลย ไม่ได้ถ่วงเวลาการฝึกตนของข้าหรอก”
ประโยคนี้พูดได้สมกับเป็นหนิงเหยาอย่างมากแล้ว
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างสงสัย “ทำไมถึงปิดด่านอีกแล้วล่ะ”
ดูเหมือนว่านับตั้งแต่ที่รู้จักหนิงเหยามา นางเคยปิดด่านแค่สองครั้ง คราวก่อนก็เพิ่งผ่านไปไม่นาน หนิงเหยาที่อยู่ในเมืองหลวงต้าหลีจำเป็นต้องสร้างความมั่นคงให้กับขั้นหนึ่งของขอบเขตบินทะยาน
หนิงเหยามองเขา ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
เฉินผิงอันยิ่งประหลาดใจ “มีอะไรหรือ?”
หนิงเหยาใช้เสียงในใจเอ่ย “ข้าอยากจะเตรียมตัวสำหรับการเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่แต่เนิ่นๆ มีแนวทางแล้ว แต่ก็มีธรณีประตูประมาณสองสามขั้นที่ต้องข้ามผ่านไป”
เฉินผิงอันเช็ดหน้า เงียบเสียงไป
เสี่ยวโม่สมควรมาฟังจริงๆ ฝึกตนหมื่นปียังไม่อาจหามหามรรคาที่จะพาให้เลื่อนเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสี่เต็มตัวได้เจออย่างแท้จริง เสี่ยวโม่เจ้าละอายใจที่สู้ไม่ได้หรือไม่?
หนิงเหยากระตุกมุมปาก แต่ก็กดลงอย่างรวดเร็ว
เหอะ
ได้ยินมาว่าใครบางคนเคยพูดกับปีศาจใหญ่หยวนซงตอนอยู่ภูเขาทัวเยว่ว่า หากข้าอายุเท่าเจ้า เจ้าก็ไม่มีทางได้เห็นข้าออกกระบี่แล้ว
คนทั้งสองทะยานลมไปไม่เร็ว เสี่ยวโม่แฝงตัวอยู่กลางอากาศเหนือชายแดนนครบินทะยาน รออยู่นานมากแล้ว
เมื่อเทียบกับเฉินผิงอันที่แบกรับชื่อจริงของเผ่าปีศาจ ความระวังภัยและความเป็นศัตรูที่นครบินทะยานมีต่อเสี่ยวโม่กลับไม่มาก อันที่จริงนี่มีความเกี่ยวข้องกับที่สายเวทกระบี่ของเสี่ยวโม่ ‘ดั้งเดิม’ เกินไปด้วย
เพราะถึงอย่างไรหากคิดกันอย่างจริงจังขึ้นมา ไม่พูดถึงรากฐานมหามรรคา พูดถึงแค่สายระบบการสืบทอด ไม่แน่ว่าเสี่ยวโม่อาจสามารถเรียกตัวเองเป็นพี่เป็นน้องกับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเฉินชิงตูได้เลยด้วยซ้ำ
หนิงเหยาพาคนทั้งสองพลิ้วกายลงที่ลานประลองยุทธกลางบ้านตัวเอง แล้วก็ไปปิดด่านของตัวเอง ถึงอย่างไรคนบางคนก็คุ้นเคยดีอยู่แล้ว
เฉินผิงอันเอากล่องกระบี่ที่กอดไว้ในอ้อมอกส่งคืนให้หนิงเหยาแล้ว
จวนหนิงที่กว้างใหญ่
ยิ่งดูเงียบสงัดและกว้างขวางยิ่งกว่าเดิม
ขาดผู้เฒ่าไปสองคน ไม่มีหน้าผาสังหารมังกรอีกแล้ว
เรือนพักของเฉินผิงอันถูกเก็บกวาดอย่างสะอาดสะอ้าน ผ้าห่มบนเตียงพับซ้อนอย่างมีระเบียบ ไม่มีกลิ่นอายเก่าโทรมแม้แต่น้อย น่าจะเพราะถูกเอาไปตากแดดบ่อยๆ
ห้องตรงกันข้าม บนโต๊ะตัวหนึ่งยังมีตราประทับเปล่าที่ปีนั้นไม่ทันได้แกะสลักวางไว้ กองกันเป็นภูเขา และยังมีตำราอีกหลายเล่มที่คัดลอกเอาบทกวีมาจากหนังสือหลายเล่ม หากกิจการร้านผ้าไหมของเจ้าอ้วนเยี่ยนทำต่ออีกสักสองสามเดือน คาดว่าน่าจะมีตราประทับสามร้อยเซียนกระบี่เพิ่มมาอีกเล่มแล้ว
ปีนั้นต่งปู้เต๋อขอตราประทับส่วนตัวสามชิ้นจากเถ้าแก่รองที่กิจการตราประทับเจริญรุ่งเรืองไปให้กับสหายรักสองคนของตัวเอง ผู้ฝึกกระบี่หญิงสองคนนั้นก็คือซือถูหลงชิวกับกวานเหมย
ต่งปู้เต๋อมือเติบ มอบวัตถุดิบเซียนล้ำค่าที่มีชื่อว่าหยกซวงเจี้ยงมาให้เฉินผิงอันก้อนใหญ่ หนักอึ้งเพราะมีน้ำหนักถึงเจ็ดแปดจิน อยู่ในใต้หล้าไพศาลก็ยังถือว่าเป็นวัตถุดิบล้ำค่าที่มีมูลค่าควรเมือง
ตามข้อตกลง ‘เศษขอบข้าง’ ที่เหลือจากการแกะสลักตราประทับสามชิ้นล้วนถือเป็นเงินค่าแรงของเถ้าแก่รอง
ผลคือเศษพวกนั้นถูกเฉินผิงอันนำไปแกะสลักเป็นตราประทับเปล่าขนาดเล็กได้อีกมากถึงสิบสองชิ้น ใช้กระบี่บินสืออู่เป็น ‘มีดแกะสลัก’ ตราประทับชิ้นหนึ่งขายหนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อย ขออภัยที่ห้ามต่อราคา
ในนั้นก็มีตราประทับตำราที่ตรงก้นเป็นคำว่า ‘อารามกวานเต๋า เต๋าพิศมรรคา’ เพียงแต่ว่าทุกวันนี้ตกไปเป็นของใคร ยังคงเป็นปริศนา
หากตกไปอยู่ที่ใต้หล้าไพศาล พวกคนที่มีความรู้และตามีแวว อิงตามตำราตราประทับร้อยเซียนกระบี่และตำราตราประทับสองร้อยเซียนกระบี่ไป ‘หาม้าตามลายแทง’ ตรวจสอบว่าเป็นของแท้แน่นอน ก็เหมือนอย่างผู้คุมกฎถานหรงของเรือนอวิ๋นฉ่าวผูซานที่หากมาเจอเข้า คาดว่าต่อให้ต้องจ่ายหนึ่งเหรียญเงินฝนธัญพืช ขอแค่ซื้อหามาได้ก็คงไม่แม้แต่จะขมวดคิ้วสักครั้ง
สองนิ้วของเฉินผิงอันขยี้ไส้ตะเกียง พริบตานั้นตะเกียงดวงที่อยู่บนโต๊ะก็ถูกจุดติดไฟ จากนั้นเขาก็ไปนั่งหน้าโต๊ะ กางตำราออก ยิ้มถาม “เสี่ยวโม่ มาดูสิ มีตราประทับอันไหนที่อยากได้เป็นพิเศษหรือไม่ ข้าจะมอบให้เจ้า”
เสี่ยวโม่นั่งลงด้านข้าง รับตำรามาเปิดอ่านไปทีละหน้าอย่างละเอียด ก่อนจะหยุดมือ ยิ้มเอ่ย “คุณชาย เอาประโยคนี้แล้วกัน”
เฉินผิงอันหันไปมองตัวอักษรตราประทับที่อยู่ในหน้าหนังสือ คือประโยค ‘กลิ่นอายบริสุทธิ์สดชื่นเหมือนไท่เออ (ชื่อกระบี่โบราณ) ออกจากกล่อง’ โอ้โห เสี่ยวโม่สายตาไม่เลวเลย รู้จักเลือกเสียด้วย
จากนั้นผงกปลายคาง เฉินผิงอันหยิบมีดแกะสลักใหม่เอี่ยมเล่มหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ระหว่างที่ว่างจากการฝึกตนในลานประกอบพิธีบนภูเขาเซียนตู เขาได้ทำมีดแกะสลักเล่มนี้ขึ้นมากับมือตัวเอง “เลือกตราประทับเองเลย ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ ไม่ได้พบเห็นได้บ่อยๆ หรอกนะ”
เสี่ยวโม่ลุกขึ้นยืน เลือกตราประทับเปล่าที่มีขนาดสูงที่สุด คล้ายยอดเขาโดดเด่นท่ามกลางกลุ่มยอดเขามากมายอันหนึ่งมามอบให้เฉินผิงอัน
เฉินผิงอันม้วนชายแขนเสื้อ ถูมือเป่าลม กลับมาทำกิจการเดิม ไม่รู้ว่าจะคล่องมือเหมือนเดิมหรือไม่ จึงทำท่ายืดเส้นยืดสายสองสามที ในเมื่อจะมอบให้เสี่ยวโม่ แล้วก็ไม่ใช่การค้าขายหาเงินอะไร ก็ต้องตั้งใจสักหน่อย
ตอนที่เฉินผิงอันแกะสลักตราประทับอยู่ที่โต๊ะ ในห้องก็มีเพียงเสียงแกรกๆ ดังเบาๆ เท่านั้น
รอกระทั่งคุณชายของตนใช้สองนิ้วคีบตราประทับขึ้นมา แกะสลักเนื้อหาริมขอบหลายบรรทัดที่คิดขึ้นมากะทันหันได้สำเร็จ ยกขึ้นสูงเล็กน้อย เป่าเศษหินบนตราประทับออกเบาๆ เสี่ยวโม่ก็เอ่ยเสียงเบาว่า “คุณชาย ที่นครอู่ขุยและนครถัวเยว่ ตอนนี้ยังไม่พบอะไรผิดปกติ”
เฉินผิงอันเพียงแค่อืมรับเบาๆ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาแกะสลักต่อไป
ก่อนหน้านี้ตอนที่เสี่ยวโม่อยู่นครอู่ขุย พอหนิงเหยาปรากฏตัว เฉินผิงอันก็ให้เขาปล่อยจิตหยินออกจากร่าง จากนั้นใช้จิตหยางกายนอกกายเร่งรุดไปที่นครทัวเยว่ ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของเส้นหัวใจของผู้ฝึกตนในสองนคร
คล้ายกับการทำเอกสารด่วนชิ้นหนึ่ง
แต่ร่างจริงของเสี่ยวโม่ที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะเงียบๆ ในเวลานี้กลับรู้ว่าคุณชายของตนไม่ได้ยินดีจะทำเช่นนี้จริงๆ แต่จำต้องทำเช่นนี้
และการเดินทางไกลที่ตัดสินใจอย่างกะทันหันครั้งนี้ อันที่จริงคุณชายไม่ได้ไม่วางใจนครบินทะยานที่เปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต แต่เพราะเป็นห่วงหนิงเหยา
ส่วนสาเหตุ คุณชายแค่ยกตัวอย่างประหลาดข้อหนึ่ง แต่กลับไม่ได้อธิบายอย่างละเอียด
บอกแค่ว่าเป็นแค่ปริศนาที่ยุ่งยากมากข้อหนึ่ง เป็นปริศนาที่ทั้งคำถามและคำตอบล้วนให้มาพร้อมกันหมด
เกี่ยวข้องกับลูกศิษย์ที่นักพรตหญิงหวงถิงแห่งภูเขาไท่ผิงรับมาในใต้หล้าแห่งนี้
อันที่จริงจวนหนิงในเวลานี้นอกจากหนิงเหยาแล้วก็ยังมีแขกต่างถิ่นอีกสองคน ไม่ใช่คนในท้องถิ่นของนครบินทะยาน แต่เป็นผู้ลี้ภัยของใบถงทวีป พูดให้ถูกก็คือเป็นคนรุ่นหลังของผู้ลี้ภัยที่หนีมาหลบภัยในใต้หล้าห้าสี
เป็นแม่นางน้อยคนหนึ่ง ถือกำเนิดที่ใต้หล้าห้าสี
นี่จึงเป็นเหตุให้ทุกวันนี้ใต้หล้าห้าสีมีเป็นปีเจียชุนที่เท่าไร นางก็มีอายุเท่านั้น
เป็นลูกศิษย์เพียงหนึ่งเดียวที่หวงถิงรับมาที่นี่ แซ่เฝิง นามหยวนเซียว ดูเหมือนว่าเนื่องจากจะเกิดในวันที่มีเทศกาลหยวนเซียวของปีแรกในรัชศกเจียชุน บิดามารดาของนางเลยตั้งชื่อนี้ให้
ตอนนั้นหวงถิงไม่ได้พานางไปที่ใต้หล้าไพศาลด้วย แต่มอบให้หนิงเหยาช่วยดูแล แม่นางน้อยจึงถูกทิ้งไว้ในจวนหนิงของนครบินทะยาน
แรกเริ่มเฉินผิงอันนึกว่านางจะเป็นแม่นางน้อยที่เหมือนกับไฉอู๋ เป็นคนที่มีคุณสมบัติในการฝึกตนที่ดีเยี่ยมจนไร้ขื่อไร้แป
แต่หนิงเหยากลับบอกว่าคุณสมบัติในการฝึกตนของแม่นางน้อยธรรมดา ธรรมดามาก แต่นิสัยกลับเรียบง่ายซื่อสัตย์ เป็นที่ชื่นชอบของคนอื่นอย่างยิ่ง หากไม่เป็นเพราะเจอกับหวงถิงที่มีโชควาสนาลึกล้ำ โดยทั่วไปแล้วเฝิงหยวนเซียวก็ไม่น่าจะมีโอกาสเดินเหยียบย่างขึ้นเขามาบนเส้นทางการฝึกตนได้
แต่เพราะว่าเป็นเช่นนี้ถึงได้ทำให้อารมณ์ของเฉินผิงอันไม่ผ่อนคลาย
ผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนก็มีการแบ่งประเภทเหมือนกัน
หนิงเหยา คือประเภทสุดโต่ง
อีกประเภทหนึ่งก็เหมือนหวงถิงแห่งใบถงทวีป เฮ้อเสี่ยวเหลียงแห่งสำนักโองการเทพในอดีต และยังมีสวี่ย่วนที่มีฉายาว่า ‘เด็กหนุ่มเจียงไท่กง’ แห่งทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางคนนั้น
เสี่ยวโม่พลันเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ไม่ได้รับปากคุณชายว่าจะไปฝูเหยาทวีป หากคุณชายโกรธก็ด่าเสี่ยวโม่เถอะ”
ที่แท้เฉินผิงอันเคยปรึกษากับเสี่ยวโม่เรื่องหนึ่ง ถามเสี่ยวโม่ว่าสามารถไปที่สายแร่ของฝูเหยาทวีปสักรอบได้หรือไม่ ไปรวมตัวกับพวกเซียนกระบี่ของไพศาลทั้งหลาย
เสี่ยวโม่ไม่ได้ตอบตกลง ในเมื่อเขาเป็นนักรบพลีชีพของคุณชายก็ไม่มีเหตุผลให้ออกไปจากอาณาเขตของภูเขาเซียนตู จำเป็นต้องอยู่ใกล้ชิดเขาไม่ห่างไปแม้แต่ก้าวเดียว ต้องติดตามอยู่ข้างกายคุณชายเท่านั้น
หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันกับการฝึกตนของคุณชาย ต่อให้เสี่ยวโม่ตายร้อยรอบก็ยากจะไถ่ถอนความผิดได้
และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เสี่ยวโม่ซึ่งพูดง่ายอย่างถึงที่สุดปฏิเสธคำขอร้องของเฉินผิงอัน
“เจ้าปฏิเสธเรื่องนี้ แน่นอนว่าข้าต้องอัดอั้นอยู่บ้าง แต่ไม่ถึงกับโกรธหรอก”
ภายใต้แสงไฟ สีหน้าของคุณชายตนอ่อนโยน ดูอบอุ่นอย่างเห็นได้ชัด เขาส่ายหน้าเบาๆ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เสี่ยวโม่ เชื่อข้าเถอะว่าทุกคนควรมีชีวิตเป็นของตัวเอง คาดว่าชีวิตที่ดีก็น่าจะเป็นการที่พวกเราสามารถรับผิดชอบชีวิตของตัวเองได้ ถูกไหม?”
เสี่ยวโม่ยิ้มเอ่ย “เหตุผลของคุณชายนั้นถูกต้องเสมอ”
เฉินผิงอันส่ายหน้า ไม่พูดอะไรอีก รอกระทั่งแกะสลักตราประทับชิ้นนั้นเสร็จก็สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ยืดแขนบิดขี้เกียจ ยิ้มถามว่า “เสี่ยวโม่ อยากกินอาหารมื้อดึกไหม? ข้าจะเข้าครัวเอง ลองชิมฝีมือข้าดู?”
เสี่ยวโม่พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ตอบอย่างจริงใจ “รอคอยมานานแล้ว”
“งั้นก็รอสักเดี๋ยว”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เดินไปที่ห้องครัวอย่างคุ้นทาง จากนั้นหยิบเอาวัตถุดิบที่เตรียมไว้ในวัตถุจื่อชื่อนานแล้วออกมา ไข่ไก่ พริกเขียว หัวหอม ฯลฯ ม้วนชายแขนเสื้อ ผูกผ้ากันเปื้อนไว้ที่เอว วางเขียงให้เรียบร้อย วางถ้วยชามตามไป แยกประเภทออกจากกัน ก่อนหน้านี้เสี่ยวโม่แค่รอดูที่อยู่ที่หน้าห้องครัว รู้สึกว่ามองแล้วสบายตาสบายใจไปหมด เพียงไม่นานเฉินผิงอันก็ทำข้าวผัดไข่สองชามใหญ่เสร็จ ยกไปที่โต๊ะในห้องโถง นั่งตรงข้ามกับเสี่ยวโม่ ต่างคนต่างกิน
เฉินผิงอันวางตะเกียบลง เห็นเสี่ยวโม่ยังเคี้ยวช้าๆ อย่างละเอียดก็บอกให้เขาค่อยๆ กินไป เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนจะถามว่า “เสี่ยวโม่ ปีนั้นอยู่ที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เจ้าเคยเจอนักพรตคนใดที่ทำให้เจ้ารู้สึกประหลาดใจมากเป็นพิเศษหรือไม่?”
เสี่ยวโม่กลืนข้าว ถามอย่างสงสัย “คุณชายพูดถึงใต้หล้าเปลี่ยวร้างในภายหลัง หรือโลกมนุษย์ในตอนที่อยู่ใต้การปกครองของสรวงสวรรค์เก่า?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “หมายถึงใต้หล้าเปลี่ยวร้างในภายหลัง”
เสี่ยวโม่ส่ายหน้า “ปีนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส เสี่ยวโม่จึงทิ้งสายถ้ำสถิตแห่งต่างๆ ไว้ในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง จากนั้นไม่นานก็ไปจำศีลอยู่ที่ดวงจันทร์ฮ่าวไฉ่ ไม่เคยเจอเรื่องประหลาดอะไร”
คนและเรื่องราวที่สามารถทำให้เสี่ยวโม่รู้สึก ‘ประหลาด’ ใจได้ ผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานที่โลกยุคหลังเรียกขานกัน แน่นอนว่าไม่นับรวมด้วย
ต้องรู้ว่าคนอย่างเซียนเว่ยที่เป็น ‘นักพรตปักปิ่นไม้’
ยังไม่ต้องพูดถึงปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ใหม่ของเปลี่ยวร้างอะไร ต่อให้ในบรรดาปีศาจบนบัลลังก์เก่า หากหย่างจื่อไม่ถูกจูเยี่ยนช่วยเอาไว้ ปีนั้นเสี่ยวโม่พูดว่าจะฟันนางให้ตายก็ฟันนางให้ตายได้จริงๆ
ส่วนสาเหตุที่ทั้งสองฝ่ายเกิดความขัดแย้งกันก็เรียบง่ายมาก ก็แค่ว่าหย่างจื่อเอ่ยเยาะเย้ยเสี่ยวโม่ไม่กี่ประโยค รู้สึกว่าเวทกระบี่ของเสี่ยวโม่ ‘ได้มาไม่ถูกทำนองคลองธรรม’ ไม่บริสุทธิ์เหมือนพวกผู้ฝึกกระบี่เผ่ามนุษย์อย่างพวกเฉินชิงตู หยวนเซียง ไม่ใช่คำพูดที่หย่างจื่อพูดต่อหน้าเสี่ยวโม่ด้วยซ้ำ แต่เป็นคำพูดที่พูดกันปากต่อปากแพร่มาถึงหูเขาโดยไม่ทันระวัง เสี่ยวโม่ไปได้ยินเข้าระหว่างที่เดินทางท่องเที่ยว จึงมีการถามกระบี่และการไล่ฆ่าครั้งนั้นเกิดขึ้น
ช่วยไม่ได้ ป๋ายเจ๋อพูดเองกับปาก เขาก็จำต้องไม่ไป ไม่อย่างนั้นป๋ายเจ๋อก็จะลงมือแล้ว ในยุคบรรพกาล นักพรตบนยอดเขาที่มีชาติกำเนิดมาจากเผ่าปีศาจ ต่อให้จะนิสัยดีแค่ไหนก็ไม่อาจดีไปได้ยังไงจริงๆ
และพวกเสี่ยวโม่ตอนนั้นก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส แล้วนับประสาอะไรกับที่ต่อให้ไม่ได้รับบาดเจ็บก็ไม่มีทางเอาชนะนายท่านใหญ่ป๋ายที่ไม่เคยลงมือง่ายๆ แต่หากลงมือทีก็ฟ้าถล่มดินทลายได้ผู้นั้น
ไม่อย่างนั้นสหายวัยเดียวกันหลายคนที่มีเสี่ยวโม่เป็นหนึ่งในนั้นก็คงไม่มีใครยินดีจำศีลหลับสนิทเพียงเพราะการรักษาบาดแผลเท่านั้น เพราะถึงอย่างไรการ ‘ปิดด่าน’ ประเภทนั้นก็คือการ ‘จำศีลฤดูหนาว’ ที่ยาวนานซึ่งไม่แน่เสมอไปว่าจะมีโอกาสตื่นขึ้นมาอีก คือการ ‘นอนหลับใหญ่ตายเล็ก’ ตามความหมายที่แท้จริง
เสี่ยวโม่ถามอย่างระมัดระวัง “คุณชาย เป็นเพราะถูกนครบินทะยานผลักไส ท่านเลยนึกอะไรขึ้นมาได้หรือ?”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที บอกความคิดในใจของตัวเองกับเสี่ยวโม่ไปโดยตรงไม่มีปิดบัง “ข้าเดาว่าใต้หล้าทุกแห่งต่างก็มีการสยบกำราบที่ใหญ่ที่สุดบางอย่างอยู่ ดังนั้นบรรพจารย์สามลัทธิออกเดินทางไกลครั้งนี้ก็มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเรื่องหนึ่งในนั้นที่สำคัญที่สุด ก็คือแยกกันไปถกมรรคากับพวกมัน”
เสี่ยวโม่ยิ้มเอ่ย “ที่แท้คุณชายก็เป็นห่วงฮูหยินนี่เอง”
ปริศนาที่ว่าก็คือหมายถึงแม่นางน้อยที่มีชื่อว่าเฝิงหยวนเซียวคนนั้นหรือ?
ส่วนบรรพจารย์สามลัทธิเป็นเช่นไร คิดอะไรทำอะไร อันที่จริงเสี่ยวโม่ไม่ได้สนใจ ตนเป็นแค่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง ยังไม่ถึงขอบเขตสิบสี่เลยนะ ไม่อยากยุ่งด้วยหรอก
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถือว่าเป็นการเตรียมการล่วงหน้ามากกว่า แต่ว่าสถานการณ์ประเภทนี้ อันที่จริงไม่มีข้อดีและข้อเสียตามความหมายที่เข้มงวด ทั้งสองต่างก็ถือว่าเป็นการก่อกำเนิดตามโชควาสนา เกิดขึ้นตามโอกาส หรือจะพูดให้ถูกก็คือเป็นความสัมพันธ์ที่ต่างฝ่ายต่างสยบกำราบกัน ไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่ว่าหากไม่ใช่มิตรก็เป็นศัตรู หากไม่ใช่ศัตรูก็เป็นมิตรอะไร”
เนื่องจากก่อนหน้านี้อยู่ในสวนกงเต๋อ เฉินผิงอันได้ฟังอาจารย์เล่าเรื่องราวบางอย่างที่มีเวลาค่อนข้างยาวนาน อาจารย์บอกว่าตอนที่ปรมาจารย์มหาปราชญ์ออกท่องไปทั่วใต้หล้า ได้ผ่านริมลำคลอง เคยเจอกับผู้เฒ่าหาปลาที่จอดเรือเทียบท่าอยู่ตรงนั้น ทั้งสองฝ่ายถกมรรคาร่วมกันไปครั้งหนึ่ง ต่างคนต่างมีความคิดเป็นของตัวเอง ไม่ใช่ว่าใครก็จะพูดโน้มน้าวใครได้สำเร็จ
สรุปก็คือสุดท้ายปรมาจารย์มหาปราชญ์ไม่ได้โดยสารเรือข้ามแม่น้ำ มีเพียงคนหาปลาที่ถ่อเรือจากไปไกลเพียงลำพัง
เรื่องเก่าแก่นานปีที่มองดูเหมือนไม่ใหญ่ไม่เล็กนี้ ทางฝั่งศาลบุ๋นกลับไม่มีการบันทึกเป็นตัวอักษรใดๆ
กลับเป็นคำพูดที่แฝงไปด้วยความหมายในบทความหนึ่งซึ่งลู่เฉินปั้นแต่งขึ้นมาที่มีการบรรยายเอาไว้ ราวกับว่าเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงท่านนั้นเห็นภาพเหตุการณ์นี้มากับตาตัวเองอย่างไรอย่างนั้น
อาจารย์ไม่มีทางจงใจพูดถึงปฏิทินเหลืองเก่าแก่อย่างส่งเดชให้ลูกศิษย์ปิดสำนักตัวเองฟังต่อหน้าจิงเซิงซีผิงแน่นอน
และตอนนั้นสีหน้าของจิงเซิงซีผิงก็ประหลาดมากจริงๆ ถือเป็นการช่วยพิสูจน์ความคิดในใจให้กับเฉินผิงอันได้อย่างดี
เหมือนอย่างใต้หล้าเปลี่ยวร้างแห่งนั้น เฉินผิงอันเดาว่ามีความเป็นไปได้อย่างยิ่งที่เจ้าเฝ่ยหรานผู้นั้นจะเป็นบุคคลซึ่งสยบกำราบบรรพบุรุษใหญ่ของเปลี่ยวร้าง
แต่ไม่ใช่การกำจัด ยังมีบุลคลที่อยู่มานานยิ่งกว่าและลึกลับอำพรางยิ่งกว่าอยู่อีกคน เฝ่ยหรานที่ทุกวันนี้เลื่อนขั้นเป็นผู้ครองเปลี่ยวร้างแล้วก็แค่คอยสยบกำราบอยู่กับอีกฝ่ายเท่านั้น
หากเป็นฝ่ายหลัง ถ้าอย่างนั้นนักพรตที่บรรลุมรรคาของใต้หล้าเปลี่ยวร้างท่านนี้ เมื่อเทียบกับบรรพบุรุษใหญ่ของเปลี่ยวร้าง และยังมีพวกป๋ายเจ๋อ พวกเสี่ยวโม่แล้ว ก็ถือว่าอายุน้อยกว่าค่อนข้างมาก
Comments