กระบี่จงมา 915.4 โต๊ะตัวหนึ่ง

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 915.4 โต๊ะตัวหนึ่ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ชื่อเสียงของโจวอันดับหนึ่งของพวกเรา รอให้ครั้งหน้าที่เปิดประตูจะต้องแพร่ไปถึงใต้หล้ามืดสลัวได้แน่นอน”

เฉินผิงอันหัวเราะตามไปด้วย ครุ่นคิดเล็กน้อยก็เอ่ยว่า “เรื่องของการหาคนมาประลองฝีมือ ข้าจะเป็นคนทำก็แล้วกัน แต่เจ้าก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการห้ามคนตีกัน”

เจิ้งต้าเฟิงพยักหน้า “แม่นางเหนี่ยนซิน อยู่ว่างๆ ก็เบื่อ ไม่ดื่มเหล้าเป็นเพื่อนพี่ต้าเฟิงสักคำสองคำหน่อยหรือ?”

เหนี่ยนซินหรี่ตาหัวเราะหยัน

เจิ้งต้าเฟิงจิบเหล้าของตัวเองไป พูดด้วยสายตาฉายแววไม่พอใจว่า “ไม่ดื่มก็ไม่ดื่มสิ ทำตาดุใส่พี่ต้าเฟิงทำไมกัน”

เฉินผิงอันลังเล็กน้อย แต่ก็ยังถามว่า “ยันต์ปราณที่แท้จริงครึ่งจินแปดตำลึง ท่านสามารถวาดได้หรือไม่ สามารถเอาไปใช้บนร่างของเด็กๆ คฤหาสน์หลบหนาวได้หรือไม่?”

เจิ้งต้าเฟิงพยักหน้า “วาดได้ สามารถใช้ได้”

เฉินผิงอันรู้สึกคลางแคลงอยู่บ้าง เมื่อก่อนคิดว่ายันต์นี้มีข้อห้ามบางอย่าง มีข้อพิถีพิถันประเภทตราผนึกที่สืบทอดมาจากอาจารย์

เจิ้งต้าเฟิงจึงยิ้มเอ่ยว่า “ตามคำกล่าวของอาจารย์ข้าก็คือ ไม่มีต้นสายปลายเหตุ แล้วทำไมต้องยกผลประโยชน์ให้เปล่าๆ ด้วยเล่า?”

“อีกอย่าง ปีนั้นอาจารย์ของข้าอยู่ที่เรือนด้านหลังของร้านยา ถูกคนด่าไปรอบหนึ่ง หาได้ยากที่จะถูกอาจารย์ด่าไม่เหลือชิ้นดีขนาดนั้น ตอนนั้นก็ไม่ใช่เพราะว่าหลี่เอ้ออยากเป็นคนดีหรอกหรือ?”

“หากไม่เป็นเพราะเจ้าเด็กเกาเซวียนผู้นั้นชิงเอาปลาหลีสีทองและข้องราชามังกรไป อีกทั้งตอนนั้นหลี่เอ้อยังได้รับคำเตือนจากท่านอาจารย์ ยังจะมีภูเขาลั่วพั่วในภายหลังได้หรือ? จะมีเถ้าแก่รองและอิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้หรือ? ข้าว่าไม่ได้หรอก”

“คำกล่าวที่ว่ามีทั้งทรัพย์และปัญญาของลัทธิพุทธ เป็นทั้งเรื่องที่ง่ายที่สุดแล้วก็เป็นทั้งเรื่องที่ยากที่สุด”

เจิ้งต้าเฟิงวางชามเหล้าลง สองมือสอดกันไว้ใต้ท้ายทอย เรอออกมาหนึ่งที ก่อนยิ้มเอ่ยว่า “แต่ในเมื่อเจ้าเปิดปากแล้ว ข้าก็จะเอายันต์สองแผ่นนั้นมาใช้”

อันที่จริงเขาคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาแล้ว

เพียงแต่ว่าอยู่ที่คฤหาสน์หลบหนาวได้ ‘คุยโว’ มาโดยตลอดว่าตัวเองคือปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตจำแลงขนนกที่สามารถพลิกแผ่นดินเดินทางไกลได้

พวกเด็กๆ ไม่เห็นอยู่ในสายตาก็เป็นเจิ้งต้าเฟิงที่รนหาที่เองจริงๆ

หลังกลายมาเป็นขอบเขตยอดเขา เจิ้งต้าเฟิงก็เริ่มจงใจเฉยชากับการฝึกหมัดขึ้นมาอีก เพราะเขาขี้เกียจมากจริงๆ

อีกทั้งยังเป็นความขี้เกียจทางใจอย่างหนึ่งด้วย

เพราะหากกลายเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางคนแรกของใต้หล้าห้าสีก็จะไม่เหลือพื้นที่ให้เจิ้งต้าเฟิงเกียจคร้านได้อีกแล้ว

ข้าอยู่ห่างไกลจากคลื่นลมมรสุม แต่ไม่แน่เสมอไปว่าคลื่นลมมรสุมจะยอมอยู่ห่างไกลข้า

เจิ้งต้าเฟิงรู้สึกว่าชีวิตที่สงบสุขของตัวเองในเวลานี้ดีมากแล้ว

แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเก็บชามเหล้าถ้วยตะเกียบบนโต๊ะ มีแค่เรื่องเช็ดม้านั่งเท่านั้นที่ตัวแทนเถ้าแก่ว่องไวขยันขันแข็งมากที่สุด

พี่ใหญ่ต้าเฟิงอย่างข้าคือคนที่ขาดสตรีอย่างนั้นหรือ?

ผิดแล้ว เป็นเพราะพวกสตรีที่ยังไม่แต่งเข้าเรือนมาเหล่านั้นของพี่ใหญ่ต้าเฟิงอย่างข้าคอยตามหาอยู่ตลอด แต่ก็ยังหาตัวสามีของพวกนางไม่เจอต่างหาก

เจิ้งต้าเฟิงถาม “ทางฝั่งของภูเขาลั่วพั่ว ทุกวันนี้ใครเป็นคนเฝ้าประตู?”

“หมี่ลี่น้อยช่วยเฝ้าประตูให้นานมาก ทุกวันหากลาดตระเวนภูเขาเสร็จก็จะไปนั่งที่หน้าประตู แต่ตอนนี้มีนักพรตคนหนึ่งชื่อเหนียนจิ่งเฝ้าประตูให้แทน เขาเพิ่งจะไปถึงเมืองเล็กได้แค่ไม่กี่วัน”

“นักพรตตัวจริงหรือนักพรตตัวปลอม?”

“บอกได้ยากจริงๆ ตามคำกล่าวของตอนนี้ แน่นอนว่าคือนักพรตปลอมที่ไม่มีทำเนียบ แต่หากอิงตามปฏิทินเหลืองเก่าแก่กลับถือว่าเป็นนักพรตตัวจริง”

เจิ้งต้าเฟิงพยักหน้า

ข้าไม่คิดอะไรมาก

เฉินผิงอันยิ้มถาม “ไม่อยากหาภรรยาอยู่ที่นี่บ้างหรือ?”

เจิ้งต้าเฟิงหัวเราะร่า “ข้าไม่ใช่เด็กหนุ่มขนเพิ่งขึ้นที่ทุกวันจะต้องโหวกเหวกว่า ‘ข้าผู้อาวุโสเข้าไปอยู่คฤหาสน์หลบร้อนไม่ได้ก็จะต้องแต่งผู้ฝึกกระบี่หญิงสายอิ่นกวานมาเป็นภรรยาให้ได้’ เสียหน่อย”

“จากบ้านเกิดมานานหลายปี ไม่คิดถึงอะไรที่เมืองเล็ก ก็แค่คิดถึงซาลาเปาไส้เนื้อของบ้านเหมาต้าเหนียงอยู่บ้าง จุ๊ๆ ใหญ่มากเลยล่ะ แน่นอนว่ายังมีเหล้าของหวงเอ้อเหนียงด้วย ชามเหล้าก็ไม่เล็ก อืม นอกจากนี้ก็คือร้านขายของงานมงคลของท่านปู่ของหูเฟิงแล้ว”

“ใช่แล้ว เจ้ารู้จักลูกรักของหวงเอ้อเหนียงไหม?”

เฉินผิงอันพยักหน้า “รู้ไม่มากนัก แค่ได้ยินมาว่าเป็นซิ่วไฉน้อยคนหนึ่ง คือเมล็ดพันธ์บัณฑิต ภายหลังไปเรียนหนังสือต่อในโรงเรียนที่สกุลเฉินลำธารหลงเหว่ยเป็นผู้ก่อตั้ง”

“แค่นี้เองหรือ?”

“ไม่อย่างนั้น?”

“สามีที่เป็นผีตายไปแล้วของหวงเอ้อเหนียงผู้นั้นแซ่ป๋าย ลูกชายของนางชื่อว่าป๋ายซาง”

เฉินผิงอันถาม “ ‘ป๋ายซาง’ ที่เป็นอีกคำเรียกขานหนึ่งของฤดูใบไม้ร่วงน่ะหรือ?”

เจิ้งต้าเฟิงยิ้มกล่าว “ไม่อย่างนั้น?”

“ยังมีหูเฟิงอีกคน หากข้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นคนวัยเดียวกันกับเจ้ากระมัง คนที่มักจะติดตามต่งสุ่ยจิ่งไปเก็บเศษกระเบื้องที่ภูเขาเครื่องกระเบื้องด้วยกันบ่อยๆ น่ะ ไม่ว่าอย่างไรพวกเจ้าทั้งสองก็น่าจะเคยเจอหน้ากันมาบ้าง”

เฉินผิงอันพยักหน้า “เจอกันอยู่หลายครั้ง แต่ข้าไม่เคยพูดคุยกับหูเฟิง”

เจิ้งต้าเฟิงเปิดเผยความลับสวรรค์อีกครั้ง “หูเฟิงแซ่หู ท่านปู่ของเขาแซ่ไฉ เจ้าไม่คิดว่าแปลกบ้างหรือ?”

เฉินผิงอันหัวเราะอย่างขำๆ ปนฉุน “ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านปู่ของหูเฟิงแซ่ไฉไม่ได้แซ่หู”

ตอนเด็กๆ เฉินผิงอันไม่กล้าเดินไปใกล้ร้านขายของงานมงคลร้านนั้นด้วยซ้ำ ส่วนผู้เฒ่าที่ทำกิจการปะชุนซ่อมแซมซึ่งเดินไปทั่วทุกตรอกซอกซอยคนนั้นก็ไม่เคยมาเยือนตรอกหนีผิง

เจิ้งต้าเฟิงกลอกตามองบน ส่ายหน้าถามว่า “นอกจากภูเขาเครื่องกระเบื้องแล้ว ยังมีอะไรอีก?”

เฉินผิงอันเงียบไม่ตอบ

ก็คือสุสานเทพเซียนแห่งนั้น

สถานที่ที่พวกเด็กๆ ของเมืองเล็กมักจะไปเที่ยวเล่นเป็นประจำในอดีต อันที่จริงก็มีอยู่แค่ไม่กี่แห่งเท่านั้น

นั่งใต้ร่มต้นไหวโบราณฟังเรื่องเล่าวิ่งไล่จับ บนสะพานหินโค้งและหินหลังวัวดำก็ไปตกปลาว่ายน้ำ

ไปเก็บเศษกระเบื้องที่ตัวเองชื่นชอบที่ภูเขาเครื่องกระเบื้อง ไปเล่นว่าว เล่นพ่อแม่ลูกที่สุสานเทพเซียน

เส้นเอ็นหัวใจของเฉินผิงอันขึงตึงขึ้นมาในฉับพลัน

เล่นพ่อแม่ลูก?! (หมายถึงการเล่นบทบาทสมมติของเด็กๆ ในภาษาไทยจะไม่มีคำเรียกที่ชัดเจน บางครั้งเรียกเล่นขายของ เล่นพ่อแม่ลูก เล่นครอบครัว เล่นเป็นหมอ เล่นเป็นตำรวจจับผู้ร้าย ฯลฯ)

เจิ้งต้าเฟิงแกว่งชามเหล้า “โจวจื่อเคยไปเยือนถ้ำสวรรค์หลีจู หากข้าจำไม่ผิด เขาไปตั้งแผงที่ตรอกซิ่งฮวา ภายหลังยังมีสตรีคนหนึ่งที่ใจสูงเทียมฟ้าแต่ชะตาชีวิตบางเบาดุจกระดาษคนหนึ่ง ก็คือศิษย์น้องหญิงของโจวจื่อผู้นั้น ปีนั้นอันที่จริงนางเองก็เคยไปเยือนถ้ำสวรรค์หลีจูเหมือนกัน ในเมื่อสมุดชะตาชีวิตคู่ครึ่งเล่มนั้นถูกหลิ่วชีนำไปไว้ที่พื้นที่มงคลซืออวี๋ของใต้หล้ามืดสลัว ด้ายแดงทั้งหลายที่อยู่บนมือนางจะเอามาจากไหน? เจ้าของเล่นประเภทนี้ ใครก็สามารถหลอมขึ้นมาได้หรือ? ต่อให้เป็นอาจารย์ซานซานจิ่วโหว มรรคกถาของท่านผู้อาวุโสก็สูงเหนือเมฆได้แล้วกระมัง แต่กระนั้นก็ยังมิอาจหลอมขึ้นมาได้ ด้ายแดงที่มากมายถึงเพียงนั้นมาจากไหนกันแน่ ก็เป็นนางที่ไปขอมาจากมือของตาเฒ่าไฉอย่างไรล่ะ”

“ต่างก็พูดกันว่าเถ้าแก่รองเป็นเจ้ามือไร้ศัตรูเทียมทาน อิ่นกวานหนุ่มวางแผนรอบคอบรัดกุมไร้ช่องโหว่ แต่ข้าว่านะ ไม่เท่าไรเลยจริงๆ”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ท่านอายุมาก ท่านว่าอย่างไรก็อย่างนั้นแหละ”

เกี่ยวกับภาพม้าวิ่งแม่น้ำแห่งกาลเวลาของเมืองเล็ก

รู้ว่าศิษย์พี่ชุยฉานต้องเคยจงใจตัดเรื่องวงในมากมายทิ้งมาก่อน

แต่ไม่ว่าอย่างไรเฉินผิงอันก็คิดไม่ถึงว่าจะมีความจริงที่ถูกลบทิ้งไปมากมายถึงเพียงนั้น

เจิ้งต้าเฟิงใช้นิ้วจิ้มสุรา เขียนตัวอักษรห้าตัวลงบนโต๊ะ ล้อมกันเป็นวงกลมวงหนึ่งพอดี เอ่ยเนิบช้าว่า “เป็นโจวจื่อที่เสนอทฤษฎีห้าธาตุขึ้นมาก่อน ทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน มีทั้งห้าธาตุที่สัมพันธ์กัน แล้วก็มีทั้งห้าธาตุที่ขัดแย้งกันเอง ทองให้กำเนิดน้ำ น้ำให้กำเนิดไม้ ไม้ให้กำเนิดไฟ ไฟให้กำเนิดดิน ดินให้กำเนิดทอง ทองพิฆาตไม้ ไม้พิฆาตดิน ดินพิฆาตน้ำ น้ำพิฆาตไฟ ไฟพิฆาตทอง ปลาหลีสีทองตัวนั้นของเกาเซวียน ไม้แกะสลักที่ทับกระดาษของจ้าวเหยา หนีชิวน้อยที่เจ้ามอบให้กู้ช่าน กำไลมังกรเพลิงของแม่นางซิ่วซิ่ว งูสี่ขาของเพื่อนบ้านเจ้า ความรู้ในเรื่องนี้ยิ่งใหญ่นักล่ะ คิดให้มาก คิดให้ดี”

อยู่ดีๆ เจิ้งต้าเฟิงก็โพล่งขึ้นมาว่า “ข้ารู้สึกว่าหลัวเจินอี้ผู้นั้นค่อนข้างจะประหลาด”

เฉินผิงอันคืนสติกลับมา ถามอย่างไม่เข้าใจว่า “อะไร?”

หลัวเจินอี้ต้องไม่มีปัญหาถึงจะถูก

เจิ้งต้าเฟิงหัวเราะหึหึ

ความคิดของเฉินผิงอันยังอยู่ที่เมืองเล็กบ้านเกิดและสุสานเทพเซียน ถามว่า “ยังมี ‘เส้นทางที่มา’ ที่มากกว่านี้อีกหรือไม่?”

เจิ้งต้าเฟิงกล่าว “ก็น่าจะมีประมาณนั้นแหละ เจ้าขุนเขาเจ้าลองนับนิ้วคำนวณดู สองมือนับหมดหรือไม่? มากพอแล้วหรือไม่?”

เหนี่ยนซินฟังออกถึงข้อสรุปอย่างหนึ่งจึงถามหยั่งเชิงว่า “เลี้ยงกู่?”

เจิ้งต้าเฟิงพ่นเหล้าพรวดออกมา อยากจะถลึงตาใส่แม่นางเหนี่ยนซิน แต่กลับตัดใจทำไม่ลง จึงได้แต่โบกมือ “อย่าพูดเหลวไหล”

เสี่ยวโม่เอ่ยเสียงเบาว่า “คือการไหลเวียนบนมหามรรคาที่ไร้รูปลักษณ์อย่างหนึ่ง ไม่ว่าใครก็มีโอกาสที่จะได้ไปครองทั้งหมด”

เจิ้งต้าเฟิงยิ้มกล่าว “ไม่พูดถึงเรื่องที่ลี้ลับซับซ้อนขนาดนั้น พูดให้เป็นรูปธรรมสักหน่อยก็คือมีคนเป็นเจ้ามือ ทุกคนนั่งอยู่บนโต๊ะเดิมพัน มีคนต้องเสียเบี้ยเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจึงต้องออกไปจากโต๊ะ ไปหาเงินจากที่อื่น บางทีอาจยืมเงินมา หรือบางทีอาจเก็บเงินมาได้ สรุปก็คือขอแค่มีเงินก็จะกลับมานั่งที่โต๊ะได้อีก แต่โดยภาพรวมแล้วโต๊ะตัวนี้ ยิ่งนานก็ยิ่งมีคนน้อยลงเรื่องๆ เบี้ยบนโต๊ะย่อมสะสมได้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ รอกระทั่งบนโต๊ะเหลือแค่คนคนเดียวจึงจะถือว่าสิ้นสุด”

จนกระทั่งนาทีนั้น คนที่เป็นเจ้ามือก็ได้จากไปแล้ว

หรือก็คือผู้เฒ่าที่อยู่เรือนด้านหลังของร้านยาตระกูลหยาง อาจารย์ของเจิ้งต้าเฟิง

เจิ้งต้าเฟิงยกชามเหล้าบนโต๊ะขึ้นมากระดกดื่มจนหมด

เฉินผิงอันทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด

เจิ้งต้าเฟิงเหลือบมองกระบอกยาสูบที่อยู่ในมือเฉินผิงอันแล้วยิ้มเอ่ยว่า “ไม่มีอะไรหรอก อันที่จริงปีนั้นก่อนจะจากไป ข้าก็พอจะสัมผัสได้แล้ว”

คำพูดที่ตอนนั้นพูดออกจากปากไม่ได้ ก็มักจะเป็น ‘ตอนนั้น’ ไปตลอดชั่วชีวิต

ออกมาจากเรือนของเหนี่ยนซินด้วยกัน เดินอยู่ในตรอก เจิ้งต้าเฟิงยิ้มเอ่ย “ไปนั่งที่ร้านเหล้าสักหน่อยไหม? ปิดประตูร้านแล้วก็เปิดใหม่ได้”

เฉินผิงอันพยักหน้า

ไปถึงร้านเหล้า ช่วยเจิ้งต้าเฟิงเปิดประตูใหม่อีกครั้ง เฉินผิงอันสังเกตเห็นว่าบนโต๊ะคิดเงินมีของใหม่เพิ่มมาชิ้นหนึ่ง คือกระบอกไม้ไผ่เขียว ด้านในบรรจุอุปกรณ์การละเล่นบนโต๊ะสุราที่แกะสลักจากไม้ไผ่

เฉินผิงอันหยิบไม้ไผ่อันหนึ่งขึ้นมาสุ่มๆ ด้านบนเขียนไว้ว่า ‘ฟ้าจะพูดได้อย่างไร สี่ฤดูกาลหมุนเวียนไปตามปกติ ขอให้ทุกคนดื่มหมดชาม’

เฉินผิงอันยิ้มถาม “หยิบแท่งไม้แผ่นนี้ได้ ทุกคนต้องดื่มกันหมดชามหรือ?”

เจิ้งต้าเฟิงพยักหน้า “เพื่อประคับประคองกิจการของร้านเจ้า ข้าต้องเค้นสมองครุ่นคิดทุ่มเทอย่างเต็มที่แล้วจริงๆ แต่ผีขี้เหล้าพวกนั้น แรกเริ่มก็สนุกสนานกันดีหรอก ผ่านไปได้ไม่ถึงครึ่งเดือนกลับรู้สึกว่าดื่มเหล้าทายหมัดยังคงสนุกกว่า แต่ที่หอสุราแห่งอื่นของนครบินทะยาน จนถึงวันนี้ก็ยังได้รับความนิยมอย่างมาก ดอกไม้บานในกำแพงแต่ส่งกลิ่นหอมไปถึงข้างนอก เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆ”

ตัวอักษรที่แกะสลักไว้บนแผ่นไม้ไผ่พวกนี้มีสารพัดอย่าง

ยกตัวอย่างเช่น ‘ห้าสุดยอดทั้งใหม่และเก่า แบ่งทัศนียภาพสารทฤดูไปอย่างละครึ่ง ทุกคนดื่มคนละครึ่งชาม’ ก็คือให้คนที่ดึงแผ่นไม้เลือกคนมาสิบคน หากจำนวนคนไม่พอก็ให้ทุกคนที่นั่งอยู่ในร้านดื่มเหล้าคนละครึ่งชาม

นอกจากนี้ยังมีคนที่รับหน้าที่เป็นขุนนางผู้ตรวจสอบสุรา คล้ายคลึงกับเจ้ามือ และยังมีขุนนางผู้ตรวจตราการดื่ม ป้องกันไม่ให้คนที่ถูกลงโทษให้ดื่มเหล้าเลี้ยงปลาอยู่ใต้ฝ่าเท้า

เฉินผิงอันดึงแผ่นไม้ไผ่ขึ้นมาอีกแผ่น อ่านแล้วถึงกับหน้าดำทะมึน

กลัวเมียสองชาม ยอมรับดื่มหนึ่งชาม ไม่ยอมรับดื่มสามชาม

เจิ้งต้าเฟิงยืดคอยาวมาเหลือบมอง “มือของเจ้านี่ก็ช่างไร้ใครเทียมจริงๆ เสี่ยวโม่ ยังไม่รีบช่วยเจ้าขุนเขาของพวกเรารินเหล้าสามชามอีกหรือ?”

เสี่ยวโม่ยิ้ม ไม่ได้ขยับเท้าไปหยิบสุรา

เจิ้งต้าเฟิงโบกมือ “ในเมื่อไม่ดื่มเหล้าก็รีบกลับไปเถอะ ไม่อย่างนั้นอาจต้องนอนหน้าประตูบ้านอีกคืน”

เฉินผิงอันเอนหลังพิงโต๊ะคิดเงิน มองผนังร้าน

เจิ้งต้าเฟิงโยนกุญแจไว้บนโต๊ะ “ข้าทนไม่ไหวแล้ว อีกเดี๋ยวเจ้าปิดประตูเองแล้วกัน พรุ่งนี้ไม่ต้องมาเปิดร้าน หลิวเอ๋อมีกุญแจอยู่”

หิ้วเหล้ากาหนึ่งออกไปจากร้านเหล้า เจิ้งต้าเฟิงเดินกลับที่พักเพียงลำพัง ห่างไปไม่ไกล เดินอยู่ในตรอกเส้นหนึ่งแล้วก็ชะลอฝีเท้าให้ช้าลง โชคไม่เลว ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวบางอย่างจริงๆ จึงหยุดเดิน เจิ้งต้าเฟิงกระแอมหนึ่งที ถามว่า “ยังไม่นอนกันอีกหรือ?”

ในห้องที่มืดสนิทพลันมีเสียงด่ากลั้วขำของสตรีกับเสียงคำรามเดือดดาลของบุรุษดังลอยมา

เจิ้งต้าเฟิงเขย่งปลายเท้าไปฟุบตัวอยู่บนหัวกำแพง พูด ‘ไกล่เกลี่ยให้เลิกทะเลาะกัน’ ด้วยความหวังดีว่า “ทะเลาะกันดึกๆ ดื่นๆ ก็ยังพอว่า แต่ทำไมถึงต้องตบตีกันด้วยเล่า ต้องการให้พี่ใหญ่ต้าเฟิงเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยให้พวกเจ้าสองคนหรือไม่?”

ในห้องมีเสียงลงจากเตียงสวมรองเท้าและหยิบอาวุธของบุรุษดังขึ้นมา เจิ้งต้าเฟิงก็รีบเผ่นหนีเหมือนใต้ฝ่าเท้าทาน้ำมันทันที

ทางฝั่งของร้านเหล้า เสี่ยวโม่ยิ้มเอ่ย “มาดของอาจารย์เจิ้งยังคงเดิม”

เฉินผิงอันยิ้มพลางส่ายหน้า วางกุญแจไว้บนโต๊ะคิดเงิน ปิดประตูร้านพาเสี่ยวโม่กลับไปที่จวนหนิงด้วยกันอีกครั้ง

เดินนิ่งอยู่บนลานประลองยุทธประมาณครึ่งชั่วยามก่อนเฉินผิงอันจะกลับไปยังเรือนพัก จุดตะเกียงในห้อง มองตราประทับเปล่าที่วัสดุเหมือนกันหลายชิ้นบนโต๊ะ พึมพำว่า “คงไม่ถึงขั้นนั้นกระมัง?”

ตราประทับพวกนั้นล้วนเป็นเศษที่เหลือจากหยกซวงเจี้ยงซึ่งถูกนำมาแกะสลัก

อันที่จริงเฉินผิงอันอยากถามต่งปู้เต๋อมากว่าปีนั้นนางได้หยกซวงเจี้ยงก้อนนั้นมาอย่างไร

ภูเขาห้อยหัวในอดีต ในตรอกเล็กแคบแห่งหนึ่งที่เป็นซอยตันมีโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยที่สามารถพูดได้ว่าไร้ชื่อเสียงอยู่แห่งหนึ่ง

ครั้งแรกที่เฉินผิงอันโดยสารเกาะกุ้ยฮวาขึ้นมายังภูเขาห้อยหัวก็ได้เข้าพักที่โรงเตี๊ยมเล็กแห่งนั้น เถ้าแก่คือคนหนุ่มคนหนึ่ง มีลูกจ้างร้านอยู่หลายคนที่ไม่ค่อยสนใจกิจการสักเท่าไร

ภายหลังอีกนานต่อมาเฉินผิงอันถึงเพิ่งจะรู้ว่าที่แท้โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยแห่งนี้ นับตั้งแต่เถ้าแก่ไปจนถึงลูกจ้างล้วนไม่มีใครที่เป็นตะเกียงประหยัดน้ำมัน ล้วนมาจากอารามสุ้ยฉูใต้หล้ามืดสลัวกันทั้งสิ้น

มาเพราะเทวบุตรมารนอกโลกตนนั้น หรือก็คือ ‘เทียนหราน’ คู่รักจิตมารของอู๋ซวงเจี้ยงผู้เป็นเจ้าอาราม ปีนั้นในคุกของกำแพงเมืองปราณกระบี่มีเด็กชายผมขาวอยู่คนหนึ่ง

เพียงแต่ไม่รู้ว่าหยกซวงเจี้ยงชิ้นนั้น หรือหยกซวงเจี้ยงบางส่วนที่ได้ถ่ายเทเข้ามากำแพงเมืองปราณกระบี่เคยผ่านมือของโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยมาก่อนหรือไม่

เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังใช้เสียงในใจเรียกเสี่ยวโม่มา

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด