การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม 132

Now you are reading การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม Chapter 132 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 132 – เลทิเซียกับการหลงป่า

 

ฉันเหมือนจะใช้พลังเวทมนตร์ของจอมมารปราบเจ้าหมึกนั่นไป แต่เหมือนจะมีอะไรแปลกๆ อยู่ทำให้ฉันสลบไปจนร่วงลงไปที่พื้นแต่ก็ไม่ตายนะ

พอรู้สึกตัวความทรงจำส่วนที่ใช้พลังก็เลือนรางไปมาก นี่เป็นสัญญาณที่ดีหรือไม่ดีกันแน่หว่า เอาเถอะเรื่องนั้นช่างมันก่อนเพราะมีอันตรายที่ยิ่งกว่านั้นรอฉันอยู่

นั่นคือตอนนี้ฉันติดอยู่ในป่ามาหลายวัน (เกือบเดือน) แล้วแหละ.. คือต่อให้ขึ้นไปดูจากที่สูงแต่มองไปทางไหนก็เจอแต่ต้นไม้ไม่รู้เหนือไม่รู้ใต้เลยสักนิด

นี่มันอันตรายมากนะ ในป่าที่ไม่รู้จักว่าอยู่แถบไหนของดินแดนหรือประเทศไหน แถมโลกนี้ยังมีพวกมอนสเตอร์ปีศาจมากมายอีก

อันตรายมากเลย ทางที่ดีคือรีบหาทางออก มีความเป็นไปได้มากเลยที่อาจจะโดนฆ่าได้ ฉันจึงต้องระวังตัวให้มากเคลื่อนไหวให้เงียบเชียบที่สุด

มีคำพูดที่ว่า ‘กันไว้ดีกว่าแก้’ นั่นแหละนะ ฉันเลยตัดสินใจมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกอย่างเดียว ซึ่งแม้ฉันจะมีเวทมนตร์ช่วย

แต่เพราะต้องระวังตัวและเคลื่อนไหวให้เงียบเพราะอาจจะไปปลุกสัตว์ในตำนานขึ้นมาได้ ถึงจะไม่ได้เร็วมากแต่ก็ไม่ช้าซะทีเดียว

ส่วนทสึรุเพราะฉันช่วยช้าไปหน่อยก็เถอะ แต่ก็ยังพอช่วยได้ทันด้วยเวทมนตร์การแทรกแซง เลยทำให้ช่วยได้อย่างหวุดหวิด

แต่ก็ยังไม่ได้สติเลยจนถึงตอนนี้ ทำให้ฉันต้องระวังตัวแจยิ่งกว่าเดิมเพราะในตอนนี้ถ้าฉันตายทสึรุก็คงตายด้วย

แต่คนที่น่ารำคาญที่สุดก็เป็นไอ้ดาบแปลกๆ นั้นนั่นแหละ วิญญาณที่ชื่อไวท์อะไรนั่นนะชอบโผล่ออกมาลอยตามติดแล้วก็ส่งเสียงตกใจตลอดทาง

“ที่นี่มัน… ทำไมไม่มีอนุภาคเวทมนตร์เลย?!”

“เอ๊ะ นี่มันต้นไม้ธรรมดายังงั้นเหรอ?! ของที่ไม่มีเวทมนตร์มันเติบโตได้ด้วยเหรอ?”

“ว้าย! นายท่านนั่นมันตัวอะไรน่ะ”

ฉันเป็นปวดหัวมาก ถ้าเสียงเธอได้ยินแค่ฉันก็ยังพอว่า แต่เหมือนเสียงเธอจะเหมือนคนธรรมดาเลยแหละ

มันเรียกเอาพวกมอนสเตอร์ที่ถูกดึงดูดด้วยเสียงตลอดทาง ฉันพอจะเข้าใจแล้วว่าไวท์คือคนที่ฉันควรระแวงมากที่สุดอีกคน

เพราะไวท์ชอบล่อมอนสเตอร์มาพาฉัน แล้วดาบจูชินเล่มนี้ก็มีพลังเป็นสีดำ ตามฉบับเกมหรืออะไรก็ตามเถอะ

แต่เอาเป็นว่าพวกสีดำเนี่ย มันชอบเป็นตัวแทนของพวกคำสาปอะไรเทือกนั้นด้วยสินะ บางทีฉันอาจจะโดนสาปไปแล้วก็ได้นะ

แต่ว่าจากหนังสือที่มาเฟียผมทองในต่างโลกนั้นให้ฉันมา ดาบเล่มนี้เหมือนจะเป็นอาวุธที่แกร่งที่สุดเลยด้วยสิ

แถมข้อเสียมีอย่างเดียวคือต้องให้ตัวดาบเป็นคนเลือกเจ้าของ คือในกรณีนี้ฉันเป็นผู้ถูกเลือกสินะ..

แต่ว่าปัญหาคือทำไมล่ะ ดูเหมือนไวท์จะให้เหตุผลว่าฉันเก่ง แต่ว่าฉันจะไปเก่งเท่าเทพได้ยังไงล่ะ ก็แหม นั่นมันเทพเลยนะ

…พูดแล้วก็นึกถึงเทพ ไม่ว่าจะเป็นเทพที่ส่งฉันมาเกิดใหม่หรือแม้แต่ซิลเวีย.. แต่พอฉันนึกถึงเทพเหมือนจะมองเห็นหน้าของเทพสองคนนี้ขึ้นมา

และอดที่จะรู้สึกคิดไม่ได้ว่า ที่ฉันมองเห็นอยู่นั้นเป็นนักต้มตุ๋น กับนักแสดงละครข้างถนน… บางทีเทพอาจจะไม่เก่งขนาดนั้นได้ แบบนี้เหรอ?

ไม่สิ ไม่ได้ ฉันจะประมาทต่อโลกที่โหดร้ายใบนี้ไม่ได้.. ก่อนอื่นเลยหนังสือที่ได้มาจากคนแปลกหน้ามันมีความน่าเชื่อถือมากแค่ไหนก็ยังไม่รู้เลย

แต่ในตอนนั้นเอง ฉันก็รู้สึกถึงสายตาอันไม่พึงประสงค์ของมอนสเตอร์ตัวหนึ่งที่จ้องเขม็งมาเป็นการขู่ เหมือนบอกว่าอย่าเข้ามาในเขตของมัน

แต่เหมือนไวท์จะไม่สังเกตลอยลู่เข้าไปทางนั้นโดยไม่สนฟ้าสนฝนอะไร ยัยคนนี้คิดจะหาเรื่องให้ฉันตลอดเลยหรือไง

“ไวท์ จะไปไหนกลับมานี่”

“อ๊ะ.. ขอโทษค่ะ”

พอเธอได้ยินเสียงตะโกนของฉันเธอก็รีบกลับมาหาฉันทันที พวกเราก็เดินทางโดยเลี่ยงมอนสเตอร์แบบนี้ไปอีกพักใหญ่

ซึ่งไวท์ก็หาปัญหามาให้ฉันตลอดทาง โชคยังดีที่ฉันตอบสนองทัน และวันหนึ่งพวกเราเดินทางอยู่กลางป่า ไวท์ที่ตามหลังมาติดๆ ก็พูดขึ้น

“เอ่อ นั่นใช่หมูป่าหรือเปล่าคะ ทำไมมันไม่มีเขาล่ะ?”

“นั่นสิ..”

ฉันยังคงเดินไปข้างหน้าเพราะตลอดทางไวท์ชอบพูดอะไรเรื่อยเปื่อยจนฉันแทบเอาหูทวนลมไปแล้ว พอมีประโยคเชิงคำถามมา ฉันก็จะตอบแบบ ‘นั่นสิ’ หรือ ‘คงงั้น’ ไม่ก็ ‘อืม..’

จนกระทั่งทสึรุตื่นขึ้นมาด้วย พอทสึรุตื่นขึ้นมาฉันก็เอาเธอออกมาจากมิติลับที่ฉันสร้างอย่างรวดเร็ว

“เลทิเซีย… ที่นี่คือ.. แล้วเจ้านั่นล่ะ?!”

“ตายแล้ว”

ฉันไม่ได้สนใจทสึรุก็ตอบออกไปส่งๆ เหมือนกัน เพราะตอนนี้ฉัน.. หลงทางขั้นสุดแล้ว.. ป่านี้มันกว้างขนาดไหนเนี่ย

ถึงจะบอกว่าฉันไม่ได้ใช้ความเร็วสูงสุด แต่เอาเข้าจริงความเร็วของฉันมันก็เร็วกว่าการวิ่งธรรมดาเยอะอยู่นะ

แต่เหมือนป่านี้จะไม่มีจุดสิ้นสุดทำให้ฉันรู้สึกเหนื่อยใจ แถมจากประสบการณ์ก่อนหน้านี้ที่เคยถูกหมาป่ารุมกัดจนเกือบตาย

ไม่สิ ตายไปเลยนะ ใครจะไปอยากเจอแบบนั้นอีกรอบกันล่ะ.. ดังนั้นจึงต้องเลี่ยงทุกอย่างให้ได้มากที่สุด

“เอ๊ะ ตายอย่างนั้นเหรอ? เจ้าฆ่างั้นเหรอ ทำได้ยังไง?”

“ก็เป็นเพราะข้ายังไงล่ะ!”

ไวท์ที่ลอยตามฉันมาตอบทสึรุด้วยความภาคภูมิใจ ไม่เลยล่ะ.. เธอไม่ได้ทำอะไรเลยต่างหากนะ ฉันเลิกสนใจทั้งสองมุ่งหน้าต่อ

“เอ๊ะ แล้วเจ้าเป็นใคร ผี? อะไรเนี่ย มองทะลุได้ด้วยล่ะ?”

“ข้าคือไวท์ยังไงล่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะ”

“ข้าชื่อว่าทสึรุ แล้วเจ้ามาอยู่กับเลทิเซียได้ยังไงเนี่ย?”

“นั่นสินะ ข้าจะเล่าให้ฟังเอง”

แล้วทั้งสองก็คุยกันไปตลอดทางจนทำให้ฉันไม่มีสมาธิเลย ปวดหัวจริงๆ แล้วทสึรุก็ร้องตลอดทางว่า

“สุดยอดไปเลย!”

อะไรทำนองนี้ ฉันเลยยิ่งปวดหัวเข้าไปใหญ่.. แต่พอผ่านไปสักพักจู่ๆ ทสึรุก็หันมาถามฉันด้วยสีหน้าเคลือบแคลง

“ว่าแต่พวกเราจะไปไหนกันเหรอ ไม่กลับโรงเรียนงั้นเหรอ?”

“นั่นสิ นายท่านจะไปไหนงั้นเหรอ?”

แย่แล้วสิ.. ในสถานการณ์แบบนี้หากรู้ว่าหลงป่าละก็ ทสึรุจะตกอยู่ในความกังวล จะทำให้แตกตื่นโดยเปล่าประโยชน์

แถมในตอนนี้ฉันถือว่าเป็นพี่ของทสึรุ.. เพราะทสึรุอายุน้อยกว่าฉันตามที่เขาบอกมาน่ะนะ ถึงจะตัวใหญ่กว่าฉันเถอะนะ

แต่ท่านพี่เคยบอกว่าหากตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ก็อย่าแสดงออกให้คนที่เป็นผู้ตามเห็นไม่อย่างนั้นผู้ตามจะเป็นกังวลด้วย

ในสถานการณ์แบบนี้ฉันควรจะตอบยังไงดี.. แน่นอนอยู่แล้วว่าไม่สามารถบอกได้ว่ากำลังหลงทาง

แต่จะบอกว่ากำลังกลับก็อาจจะโดนสงสัยหนักกว่าเดิมว่าทำไมไม่ถึงสักที ต้องเป็นคำตอบที่อยู่ระหว่างความจริงและคำโกหก

เธอจะได้ไปตีความเอาเอง และต่อให้เธอรู้ว่าฉันหลงทาง เธอก็ต้องคิดว่าฉันเป็นคนที่ไว้ใจได้

พอมีผู้นำเธอจะได้ไม่ตื่นตระหนก และเธอจะได้ไม่ห่วงแถมยังมีเวลาเหลือเฟือ ใช่แบบนี้แหละ สมบูรณ์แบบ เอาล่ะนะ จะตอบแล้วนะ!

“ไม่ต้องห่วง เรายังพอมีเวลาอยู่!”

เนี่ย เป็นคำตอบที่สมบูรณ์แบบที่สุดแล้วล่ะ ไม่ได้ปฏิเสธว่าจะไม่กลับไปที่โรงเรียน แต่ก็ไม่ได้บอกชัดเจนว่ากำลังกลับ

นั่นก็คือยังเหลือเวลาอยู่นั่นเอง ฉันทำสำเร็จแล้วนะ ไม่ให้น้องสาวได้เป็นกังวลยังไงล่ะ คิดว่าพี่เองก็คงชื่นชมฉันอยู่แน่ๆ

“เอ๊ะ.. เป็นแบบนั้นเองอย่างงั้นเหรอ?”

จู่ๆ ทสึรุก็แก้มแดงมองมาที่ฉันด้วยสีหน้าแดงๆ เป็นไข้เหรอ ไม่สิ จากการตรวจสภาพร่างกายก่อนหน้านี้ก็ไม่มีไข้นี่น่า

แต่ดูเหมือนตาที่จ้องมาจะมีความกระตือรือร้นอยู่ด้วย แสดงว่าผลออกมาดีสินะ.. บางทีอาจจะเพราะคำพูดฉันคลายความกังวลให้ทสึรุได้สินะ

ดีเลย ดูเหมือนว่าจะเป็นทางเลือกที่ถูกต้องแล้วสินะ ทางที่ดีไม่ควรจะไปขัดความคิดของเธอตอนนี้สินะ เดี๋ยวจะทำให้เธอสงสัยเอาได้

“แบบนั้นแหละ”

ถึงจะไม่รู้ว่าแบบนั้นไหนก็เถอะ แต่เหมือนไวท์ที่ลอยตามมาด้วยจู่ๆ ก็น้ำตาไหลแบบไม่ทราบสาเหตุ

“นี่เธอเป็นอะไรน่ะ ไวท์?”

“ปะ.. เปล่า.. ขะ.. ข้าขอโทษ”

เธอมองฉันด้วยสายตาที่เหมือนกับทสึรุ แถมเป็นสายตาที่อบอุ่น ห้ะ.. นี่มันเกิดอะไรขึ้นหว่า?

 

…..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด