การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม 206

Now you are reading การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม Chapter 206 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 206 – ความรู้สึกของเซเรส

 

หลังจากที่เซเรสกลับไปที่โรงเรียนก็จะรีบตรงดิ่งกลับบ้านไปเธอก็ใช้เวลาไม่นานก็ถึงบ้าน จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เหลืออยู่

ที่ใช้เวลาไม่นานเพราะบ้านเธอไม่ได้ห่างจากโรงเรียนลิเบอร์มากนัก พอเธอกลับมาถึงก็ได้รู้ว่าตัวเองมีน้องชายอยู่ด้วย

แม้น้องชายจะแสดงท่าทางรังเกียจเธอ แต่เซเรสก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก เธอคิดแบบนั้น

“กลับมาแล้วเหรอ ยัยคนนอกคอก ท่านพ่อรออยู่ในห้องนั่งเล่น”

เซเรสหน้าตั้งรีบกลับบ้านด้วยความหวังว่าจะได้รับการต้อนรับอย่างดี เพราะว่าเพื่อนของเธอไม่มีทางโกหกเธออยู่แล้ว

พอเธอเปิดประตูเข้าไปก็เจอผู้ชายร่างใหญ่คนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ จ้องมาที่เธอด้วยสายตาเย็นชา

“ท่านพ่อ…”

เซเรสพูดขึ้น พอเห็นหน้าชายตรงหน้าเธอ เธอไม่รู้จักคนตรงหน้านี้.. แต่เธอพอจะรู้ว่า คนคนนี้คงเป็นพ่อผู้ให้กำเนิดตัวเอง

เป็นคนสำคัญของเธอคนหนึ่ง แต่คำตอบที่ได้รับจากชายผู้เป็นพ่อคือ

“มาทำหน้าระรื่นอะไรของเจ้า นังผู้หญิงน่าผิดหวัง”

“….”

เซเรสพูดไม่ออก สายตาที่ผู้เป็นบิดาจ้องมามันทำให้เธอสับสน.. เธอไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนในชีวิต

ไม่สิ อาจจะเคยแต่เธอลืมมันไปหมดแล้ว.. หมดทุกอย่างเลย เซเรสยืนนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง กรีที่เห็นท่าทางสดใสของผู้หญิงตรงหน้าเขายิ่งรู้สึกหงุดหงิด

ไอ้เด็กที่ไม่ว่าจะสอน จะทำอะไรให้ก็ไม่ทำตามคำสั่ง วันๆ มัวแต่ทำอะไรไม่รู้เรื่องไร้สาระไปวันๆ

ไม่มีความโลภ ยิ่งมองยิ่งรู้สึกผิดหวังและเกลียดจากใจจริง สำหรับกรีที่เคยคาดหวังในตัวเซเรสไว้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

แต่เธอก็จะปฏิเสธสิ่งนั้นทุกครั้ง มันทำให้เขาทั้งโกรธทั้งเกลียด และไอ้ท่าทางที่เหมือนไม่ทุกข์ไม่ร้อนใดๆ ก็น่าหงุดหงิด

ความโกรธไม่รู้ว่าเมื่อไหร่มันถึงกลายเป็นความเกลียดชังเซเรส ไม่มองว่าเธอเป็นลูกตัวเองไปแล้ว

พอเห็นสีหนน้าของเซเรสเขาก็พ่นลมหายใจออกมาเบาๆ ..

“พรุ่งนี้มีงานจากอาณาจักรที่ห่างไกลมาว่า ให้พวกเราไปปล้นโกดังที่เหมือนจะมีเวทมนตร์ป้องกันอยู่”

“หน้าที่ของเจ้าก็คือการทำลายผนึกเวทมนตร์แค่นั้นแหละ”

เขาพูดอย่างหงุดหงิด อันที่จริงเขาก็ไม่รู้ว่าผู้จ้างวานคือใคร แต่นอกจากจะได้รับผลตอบแทนที่ดีมากแล้วยังง่ายมาก

แค่ปล้นโกดังเองส่วนเหตุผลที่ถ่อมาจ้างวานโจรอย่างพวกกรี ส่วนนึ่งคงเป็นเพราะว่าอยู่ห่างไกลนั่นแหละ

ที่อยู่ห่างไกลในที่นี้ไม่ได้หมายถึงว่ากลัวจะทำให้ตระกูลโจรเล็กๆ อย่างกรีจะโดนจับ แต่คงเป็นเพราะเรื่องการเมืองด้วย

เพราะเคสแบบนี้มีให้เห็นออกบ่อย ไปจ้างมือสังหารจากอีกอาณาจักรมาเพื่อสังหารขุนนางที่ตัวเองเกลียด จะตามหามือสังหารก็ยาก

พอเป็นแบบนั้นก็จะไม่สามารถสาวหาตัวคนร้ายได้ แถมตัวมือสังหารที่อยู่ห่างไกลเองก็คงไม่รู้เรื่องราวในอาณาจักรผู้จ้างวานมาก

หมายความว่าหากคนที่เป็นเป้าหมายมีสมบัติที่ผู้จ้างวานต้องการ มือสังหารก็ไม่รู้นั่นแหละ ก็อะไรประมาณนั้นทำให้มีการจ้างวานแบบนี้เป็นปกติ

แน่นอนว่าในตระกูลของเซเรสนี้มีผู้ใช้เวทมนตร์อยู่หลายคน แต่เซเรสที่สามารถเข้าโรงเรียนลิเบอร์ได้ด้วยอายุเท่านี้น่ะ ต้องเหนือกว่าทุกคนในตระกูลอยู่แล้ว

ถึงกรีจะกลัวว่าเซเรสทำแผนพังก็ตาม แต่นี่เป็นงานใหญ่ จะไว้วางใจให้คนอื่นที่มีความสามารถไม่มากพออย่างเดียวก็ไม่ได้

สุดท้ายเขาจึงไม่มีทางเลือกจึงต้องให้ลูกสาวไม่ได้ความตัวเองคนนี้เป็นตัวแถมคอยช่วยคนอื่นๆ ด้วย

พอคิดว่าหากไปถึงสถานที่จริงแล้วยัยเด็กนี่ไม่ทำตามคำสั่งอีกเขาตัดสินใจว่าจะหักแขนหักขาเธอสักข้างสองข้าง

“เหอะ  อย่าทำให้ข้าผิดหวังอีกล่ะ”

พอเขาพูดแบบนั้นเซเรสก็สับสน เธอไม่รู้ว่าตัวเองไปทำอะไรไว้ แต่ตั้งแต่น้องชายของเธอแล้วตอนนี้พ่อเธอก็ทำเหมือนผิดหวังในตัวเธอ

เธอไม่เข้าใจว่าทำไม… ทำไมท่านพ่อถึงผิดหวังในตัวเธอ? เซเรสในอดีตเคยไปทำให้ทุกคนเดือดร้อนเอาไว้

จำไม่ได้.. จำไม่ได้…

เธอจำอะไรไม่ได้เลย ทำให้เธอกัดริมฝีปาก ถ้าหากเธอทำอะไรให้ครอบครัวเดือดร้อนมาก่อนล่ะ.. ถ้าเป็นแบบนั้นเธอจะต้องทำหน้ายังไงเมื่อเจอกับสเตฟานี่ แล้วก็เลทิเซียด้วย..

กรีหันหลังให้เซเรส เธอไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรไว้ แต่อย่างหนึ่งที่เธอรู้ในตอนนี้คือ.. ต้นเหตุที่ทุกคนในบ้านมีท่าทีเย็นชาแบบนี้ต่อเธอ..เป็นเพราะเธอเอง

ไม่เธอไม่ต้องการแบบนี้.. ไม่ใช่แบบนี้บรรยากาศที่เธอต้องการ  บ้านมันต้องมีความสุขกว่านี้สิ ใช่ไหมล่ะ สเตฟานี่ ใช่ไหมล่ะ เลทิเซีย

เพื่อนทั้งสองของเธอบอกแบบนั้นว่าสถานที่แห่งนี้นะสำคัญที่สุด สำคัญยิ่งกว่าเพื่อนของตัวเอง

แต่เธอจะทำยังไงล่ะ…

“ท่านพ่อ!!”

“ข้าว่าข้าเคยบอกไปแล้วนะว่า อย่ามาแล้วข้าว่าพ่ออีก”

กรีหันมาตอบกลับด้วยสายตาที่ห่างเหิน สายตานั้นที่มองมาที่เซเรสมันทำให้เธอรู้สึกถึงความห่างไกล.. คนสำคัญเหรอ

ไม่… นี่ไม่ใช่แม้แต่คนรู้จักด้วยซ้ำ แต่สายตานั้นนอกจากจะห่างเหินยังไม่พอ มันยังเสียดแทงเข้าไปในหัวใจของเธอ

หน้าอกของเธอเหมือนถูกมีดเฉือน ความว่างเปล่ากัดกินหัวใจ เหมือนกับคนสำคัญที่สุดในโลกได้ปฏิเสธเธอ

ใช่ครอบครัวน่ะสำคัญที่สุด เลทิเซียเป็นคนบอกไว้ เธอจึงกลับบ้านมาด้วยความเชื่อและความรู้สึกมีความคาดหวัง

แต่ถ้าหากถูกมองด้วยสายตาแบบนั้นละก็.. มันเจ็บนะ..ทำไมเขาถึงได้.. เกลียดเธอถึงขนาดนั้นล่ะ…

ความรู้สึกภายในอกของเธอมันสับสนไปหมด…. เธอไม่เข้าใจความรู้สึกที่ไม่อาจจะบรรยายออกมานี้ได้

ครอบครัว…

ไม่เอา.. ไม่อยากถูกมองด้วยสายตาแบบนั้น.. เธอกลัว..

ยังไงซะเซเรสก็เป็นแค่เด็กธรรมดา เป็นธรรมดาอยู่แล้วที่เด็กจะต้องการได้รับคำชม ได้รับความรักจากผู้เป็นพ่อ

ไม่ต้องพูดถึงตัวเซเรสที่ลืมสามัญสำนึกและอดีตไปจนแทบจะหมดไม่พอ เธอยังจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำถึงความสุขจากครอบครัวว่ามันเป็นยังไง

มันจะต่างจากความสุขที่ได้รับมาจากเพื่อนหรือเปล่า มันจะรู้สึกดีขนาดไหน.. เธอได้แต่คาดหวังและรอ..

แต่สิ่งที่เธอได้เจออยู่ตรงหน้าคือสายตาที่เย็นชา สายตาที่เกลียดชังและสายตาที่ผิดหวังต่อตัวเธอเอง

ไม่เอา.. ไม่เอา.. ไม่เอาแบบนี้ เธอไม่รู้จะทำยังไงเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์นี้… แต่เธอก็ตัดสินใจที่จะ… ก้มลงไปกับพื้นแล้วก็กราบ

“ข้าผิดไปแล้ว.. ได้โปรดอย่ามองข้าด้วยสายตาแบบนั้นเลย..”

เซเรสก้มกราบลงไปแบบนั้น เธอไม่รู้ว่าตัวเองทำถูกหรือเปล่า แต่เธอในตอนนี้แค่อยากจะรู้สึกว่าครอบครัวน่ะสำคัญที่สุด..

เธอแค่ต้องการแค่นั้น..

แต่แทนที่กรีจะเห็นอกเห็นใจเซเรส เส้นเลือดกลับปูดขึ้นมาบนใบหน้า เขาไม่เคยสอนให้ยัยเด็กนี่เป็นคนขี้ออดอ้อนแบบนี้

ต้องการอะไรก็ช่วงชิงมันมา เธอไม่เคยต้องการที่จะให้ลูกตัวเองอ่อนแอ หากเป็นไปได้คือฆ่าเขาแล้วแย่งตำแหน่งผู้นำตระกูลเขายังไม่คิดอะไร

แต่ในตอนนี้ลูกที่ตัวเองเกลียดที่สุด ยังมาทำท่าทางเหมือนลูกหมาที่สูญเสียของสำคัญ ซึ่งเป็นการกระทำที่เขาเกลียดที่สุด

เขากัดฟันจนดังกรอดๆ ด้วยความโกรธที่อัดแน่นเขาไม่อาจทนไหวเลยใช้เท้าของตัวเองเตะอัดหน้าเซเรสจนดัง “ผั๊วะ”

เลือดปากกับเลือดกำเดาไหล น้ำตาเธอไหลออกจากดวงตา จนหน้ากระลอยขึ้นจากพื้น กรีใช้มือขวาดึงผมเซเรสเอาไว้

“ข้าจะบอกให้เจ้าฟังอีกรอบ.. อย่ามาทำตัวน่าสมเพชอยู่ใกล้ๆ ข้าเป็นรอบที่สอง เจ้าไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้งจะทำตัวเป็นผู้ดี ไม่ว่าจะสั่งให้ปล้นสั่งให้ฆ่าก็ไม่กล้าทำ”

“ทีนี้มาต้องการให้ข้าใจดีด้วย? ไหนตอบข้ามาสิ ว่าทำไมข้าต้องทำดีกับเจ้า ห้ะ?”

ไม่ใช่ครั้งแรกที่กรีทำร้ายร่างกายเซเรส ถึงจะไม่เคยเตะเข้าหน้าแรงๆ แบบนี้ แต่ไม่ว่าจะเฆี่ยนตีหรือลงโทษอะไรก็ตามเขาทำมาหมดแล้ว

แต่สำหรับเซเรสเป็นครั้งแรก พอโดนเตะหน้าเธอก็ร้องไห้และถูกดึงผม เธอพยายามดิ้นแล้วพูดขึ้น..

“ข้า..เจ็บ..”

น้ำตาที่ไหลออกมาจากตา พยายามขอร้องให้หยุดและเลือกที่จะไม่ต่อต้าน แต่แบบนั้นมันกลับยิ่งทำให้เขาหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม

“สิ่งที่ข้าเคยสั่งให้เจ้าทำน่ะ มีแค่ปล้นกับฆ่า มีแค่นั้น แต่เจ้า.. เจ้าไม่ทำ.. เจ้าไม่ทำอะไรเลย!!! เจ้าเข้าใจไหม สุนัขที่ไม่ฟังคำสั่งมันก็เป็นได้แค่ก้อนเนื้อมีชีวิต”

เขาใช้กำปั้นตัวเองต่อยหน้าเซเรสด้วยความโกรธซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสียงร้องไห้ของเธอจึงขาดๆ หายๆ

“ข้า.. ข้าจะทำ.. ข้าจะทำ.. ได้โปรด…”

เซเรสรีบพูดออกมาด้วยความสับสน ถึงได้ทำให้กรีหยุด เขาโยนร่างเซเรสใส่ผนังอย่างรุนแรงจนเธอกระอักเลือดออกมาและสลบไป

กรีสบถออกมาด้วยความหงุดหงิด

“บัดซบเอ๊ย เจ้านี่มันเลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม 206

Now you are reading การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม Chapter 206 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 206 – ความรู้สึกของเซเรส

 

หลังจากที่เซเรสกลับไปที่โรงเรียนก็จะรีบตรงดิ่งกลับบ้านไปเธอก็ใช้เวลาไม่นานก็ถึงบ้าน จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เหลืออยู่

ที่ใช้เวลาไม่นานเพราะบ้านเธอไม่ได้ห่างจากโรงเรียนลิเบอร์มากนัก พอเธอกลับมาถึงก็ได้รู้ว่าตัวเองมีน้องชายอยู่ด้วย

แม้น้องชายจะแสดงท่าทางรังเกียจเธอ แต่เซเรสก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก เธอคิดแบบนั้น

“กลับมาแล้วเหรอ ยัยคนนอกคอก ท่านพ่อรออยู่ในห้องนั่งเล่น”

เซเรสหน้าตั้งรีบกลับบ้านด้วยความหวังว่าจะได้รับการต้อนรับอย่างดี เพราะว่าเพื่อนของเธอไม่มีทางโกหกเธออยู่แล้ว

พอเธอเปิดประตูเข้าไปก็เจอผู้ชายร่างใหญ่คนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ จ้องมาที่เธอด้วยสายตาเย็นชา

“ท่านพ่อ…”

เซเรสพูดขึ้น พอเห็นหน้าชายตรงหน้าเธอ เธอไม่รู้จักคนตรงหน้านี้.. แต่เธอพอจะรู้ว่า คนคนนี้คงเป็นพ่อผู้ให้กำเนิดตัวเอง

เป็นคนสำคัญของเธอคนหนึ่ง แต่คำตอบที่ได้รับจากชายผู้เป็นพ่อคือ

“มาทำหน้าระรื่นอะไรของเจ้า นังผู้หญิงน่าผิดหวัง”

“….”

เซเรสพูดไม่ออก สายตาที่ผู้เป็นบิดาจ้องมามันทำให้เธอสับสน.. เธอไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนในชีวิต

ไม่สิ อาจจะเคยแต่เธอลืมมันไปหมดแล้ว.. หมดทุกอย่างเลย เซเรสยืนนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง กรีที่เห็นท่าทางสดใสของผู้หญิงตรงหน้าเขายิ่งรู้สึกหงุดหงิด

ไอ้เด็กที่ไม่ว่าจะสอน จะทำอะไรให้ก็ไม่ทำตามคำสั่ง วันๆ มัวแต่ทำอะไรไม่รู้เรื่องไร้สาระไปวันๆ

ไม่มีความโลภ ยิ่งมองยิ่งรู้สึกผิดหวังและเกลียดจากใจจริง สำหรับกรีที่เคยคาดหวังในตัวเซเรสไว้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

แต่เธอก็จะปฏิเสธสิ่งนั้นทุกครั้ง มันทำให้เขาทั้งโกรธทั้งเกลียด และไอ้ท่าทางที่เหมือนไม่ทุกข์ไม่ร้อนใดๆ ก็น่าหงุดหงิด

ความโกรธไม่รู้ว่าเมื่อไหร่มันถึงกลายเป็นความเกลียดชังเซเรส ไม่มองว่าเธอเป็นลูกตัวเองไปแล้ว

พอเห็นสีหนน้าของเซเรสเขาก็พ่นลมหายใจออกมาเบาๆ ..

“พรุ่งนี้มีงานจากอาณาจักรที่ห่างไกลมาว่า ให้พวกเราไปปล้นโกดังที่เหมือนจะมีเวทมนตร์ป้องกันอยู่”

“หน้าที่ของเจ้าก็คือการทำลายผนึกเวทมนตร์แค่นั้นแหละ”

เขาพูดอย่างหงุดหงิด อันที่จริงเขาก็ไม่รู้ว่าผู้จ้างวานคือใคร แต่นอกจากจะได้รับผลตอบแทนที่ดีมากแล้วยังง่ายมาก

แค่ปล้นโกดังเองส่วนเหตุผลที่ถ่อมาจ้างวานโจรอย่างพวกกรี ส่วนนึ่งคงเป็นเพราะว่าอยู่ห่างไกลนั่นแหละ

ที่อยู่ห่างไกลในที่นี้ไม่ได้หมายถึงว่ากลัวจะทำให้ตระกูลโจรเล็กๆ อย่างกรีจะโดนจับ แต่คงเป็นเพราะเรื่องการเมืองด้วย

เพราะเคสแบบนี้มีให้เห็นออกบ่อย ไปจ้างมือสังหารจากอีกอาณาจักรมาเพื่อสังหารขุนนางที่ตัวเองเกลียด จะตามหามือสังหารก็ยาก

พอเป็นแบบนั้นก็จะไม่สามารถสาวหาตัวคนร้ายได้ แถมตัวมือสังหารที่อยู่ห่างไกลเองก็คงไม่รู้เรื่องราวในอาณาจักรผู้จ้างวานมาก

หมายความว่าหากคนที่เป็นเป้าหมายมีสมบัติที่ผู้จ้างวานต้องการ มือสังหารก็ไม่รู้นั่นแหละ ก็อะไรประมาณนั้นทำให้มีการจ้างวานแบบนี้เป็นปกติ

แน่นอนว่าในตระกูลของเซเรสนี้มีผู้ใช้เวทมนตร์อยู่หลายคน แต่เซเรสที่สามารถเข้าโรงเรียนลิเบอร์ได้ด้วยอายุเท่านี้น่ะ ต้องเหนือกว่าทุกคนในตระกูลอยู่แล้ว

ถึงกรีจะกลัวว่าเซเรสทำแผนพังก็ตาม แต่นี่เป็นงานใหญ่ จะไว้วางใจให้คนอื่นที่มีความสามารถไม่มากพออย่างเดียวก็ไม่ได้

สุดท้ายเขาจึงไม่มีทางเลือกจึงต้องให้ลูกสาวไม่ได้ความตัวเองคนนี้เป็นตัวแถมคอยช่วยคนอื่นๆ ด้วย

พอคิดว่าหากไปถึงสถานที่จริงแล้วยัยเด็กนี่ไม่ทำตามคำสั่งอีกเขาตัดสินใจว่าจะหักแขนหักขาเธอสักข้างสองข้าง

“เหอะ  อย่าทำให้ข้าผิดหวังอีกล่ะ”

พอเขาพูดแบบนั้นเซเรสก็สับสน เธอไม่รู้ว่าตัวเองไปทำอะไรไว้ แต่ตั้งแต่น้องชายของเธอแล้วตอนนี้พ่อเธอก็ทำเหมือนผิดหวังในตัวเธอ

เธอไม่เข้าใจว่าทำไม… ทำไมท่านพ่อถึงผิดหวังในตัวเธอ? เซเรสในอดีตเคยไปทำให้ทุกคนเดือดร้อนเอาไว้

จำไม่ได้.. จำไม่ได้…

เธอจำอะไรไม่ได้เลย ทำให้เธอกัดริมฝีปาก ถ้าหากเธอทำอะไรให้ครอบครัวเดือดร้อนมาก่อนล่ะ.. ถ้าเป็นแบบนั้นเธอจะต้องทำหน้ายังไงเมื่อเจอกับสเตฟานี่ แล้วก็เลทิเซียด้วย..

กรีหันหลังให้เซเรส เธอไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรไว้ แต่อย่างหนึ่งที่เธอรู้ในตอนนี้คือ.. ต้นเหตุที่ทุกคนในบ้านมีท่าทีเย็นชาแบบนี้ต่อเธอ..เป็นเพราะเธอเอง

ไม่เธอไม่ต้องการแบบนี้.. ไม่ใช่แบบนี้บรรยากาศที่เธอต้องการ  บ้านมันต้องมีความสุขกว่านี้สิ ใช่ไหมล่ะ สเตฟานี่ ใช่ไหมล่ะ เลทิเซีย

เพื่อนทั้งสองของเธอบอกแบบนั้นว่าสถานที่แห่งนี้นะสำคัญที่สุด สำคัญยิ่งกว่าเพื่อนของตัวเอง

แต่เธอจะทำยังไงล่ะ…

“ท่านพ่อ!!”

“ข้าว่าข้าเคยบอกไปแล้วนะว่า อย่ามาแล้วข้าว่าพ่ออีก”

กรีหันมาตอบกลับด้วยสายตาที่ห่างเหิน สายตานั้นที่มองมาที่เซเรสมันทำให้เธอรู้สึกถึงความห่างไกล.. คนสำคัญเหรอ

ไม่… นี่ไม่ใช่แม้แต่คนรู้จักด้วยซ้ำ แต่สายตานั้นนอกจากจะห่างเหินยังไม่พอ มันยังเสียดแทงเข้าไปในหัวใจของเธอ

หน้าอกของเธอเหมือนถูกมีดเฉือน ความว่างเปล่ากัดกินหัวใจ เหมือนกับคนสำคัญที่สุดในโลกได้ปฏิเสธเธอ

ใช่ครอบครัวน่ะสำคัญที่สุด เลทิเซียเป็นคนบอกไว้ เธอจึงกลับบ้านมาด้วยความเชื่อและความรู้สึกมีความคาดหวัง

แต่ถ้าหากถูกมองด้วยสายตาแบบนั้นละก็.. มันเจ็บนะ..ทำไมเขาถึงได้.. เกลียดเธอถึงขนาดนั้นล่ะ…

ความรู้สึกภายในอกของเธอมันสับสนไปหมด…. เธอไม่เข้าใจความรู้สึกที่ไม่อาจจะบรรยายออกมานี้ได้

ครอบครัว…

ไม่เอา.. ไม่อยากถูกมองด้วยสายตาแบบนั้น.. เธอกลัว..

ยังไงซะเซเรสก็เป็นแค่เด็กธรรมดา เป็นธรรมดาอยู่แล้วที่เด็กจะต้องการได้รับคำชม ได้รับความรักจากผู้เป็นพ่อ

ไม่ต้องพูดถึงตัวเซเรสที่ลืมสามัญสำนึกและอดีตไปจนแทบจะหมดไม่พอ เธอยังจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำถึงความสุขจากครอบครัวว่ามันเป็นยังไง

มันจะต่างจากความสุขที่ได้รับมาจากเพื่อนหรือเปล่า มันจะรู้สึกดีขนาดไหน.. เธอได้แต่คาดหวังและรอ..

แต่สิ่งที่เธอได้เจออยู่ตรงหน้าคือสายตาที่เย็นชา สายตาที่เกลียดชังและสายตาที่ผิดหวังต่อตัวเธอเอง

ไม่เอา.. ไม่เอา.. ไม่เอาแบบนี้ เธอไม่รู้จะทำยังไงเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์นี้… แต่เธอก็ตัดสินใจที่จะ… ก้มลงไปกับพื้นแล้วก็กราบ

“ข้าผิดไปแล้ว.. ได้โปรดอย่ามองข้าด้วยสายตาแบบนั้นเลย..”

เซเรสก้มกราบลงไปแบบนั้น เธอไม่รู้ว่าตัวเองทำถูกหรือเปล่า แต่เธอในตอนนี้แค่อยากจะรู้สึกว่าครอบครัวน่ะสำคัญที่สุด..

เธอแค่ต้องการแค่นั้น..

แต่แทนที่กรีจะเห็นอกเห็นใจเซเรส เส้นเลือดกลับปูดขึ้นมาบนใบหน้า เขาไม่เคยสอนให้ยัยเด็กนี่เป็นคนขี้ออดอ้อนแบบนี้

ต้องการอะไรก็ช่วงชิงมันมา เธอไม่เคยต้องการที่จะให้ลูกตัวเองอ่อนแอ หากเป็นไปได้คือฆ่าเขาแล้วแย่งตำแหน่งผู้นำตระกูลเขายังไม่คิดอะไร

แต่ในตอนนี้ลูกที่ตัวเองเกลียดที่สุด ยังมาทำท่าทางเหมือนลูกหมาที่สูญเสียของสำคัญ ซึ่งเป็นการกระทำที่เขาเกลียดที่สุด

เขากัดฟันจนดังกรอดๆ ด้วยความโกรธที่อัดแน่นเขาไม่อาจทนไหวเลยใช้เท้าของตัวเองเตะอัดหน้าเซเรสจนดัง “ผั๊วะ”

เลือดปากกับเลือดกำเดาไหล น้ำตาเธอไหลออกจากดวงตา จนหน้ากระลอยขึ้นจากพื้น กรีใช้มือขวาดึงผมเซเรสเอาไว้

“ข้าจะบอกให้เจ้าฟังอีกรอบ.. อย่ามาทำตัวน่าสมเพชอยู่ใกล้ๆ ข้าเป็นรอบที่สอง เจ้าไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้งจะทำตัวเป็นผู้ดี ไม่ว่าจะสั่งให้ปล้นสั่งให้ฆ่าก็ไม่กล้าทำ”

“ทีนี้มาต้องการให้ข้าใจดีด้วย? ไหนตอบข้ามาสิ ว่าทำไมข้าต้องทำดีกับเจ้า ห้ะ?”

ไม่ใช่ครั้งแรกที่กรีทำร้ายร่างกายเซเรส ถึงจะไม่เคยเตะเข้าหน้าแรงๆ แบบนี้ แต่ไม่ว่าจะเฆี่ยนตีหรือลงโทษอะไรก็ตามเขาทำมาหมดแล้ว

แต่สำหรับเซเรสเป็นครั้งแรก พอโดนเตะหน้าเธอก็ร้องไห้และถูกดึงผม เธอพยายามดิ้นแล้วพูดขึ้น..

“ข้า..เจ็บ..”

น้ำตาที่ไหลออกมาจากตา พยายามขอร้องให้หยุดและเลือกที่จะไม่ต่อต้าน แต่แบบนั้นมันกลับยิ่งทำให้เขาหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม

“สิ่งที่ข้าเคยสั่งให้เจ้าทำน่ะ มีแค่ปล้นกับฆ่า มีแค่นั้น แต่เจ้า.. เจ้าไม่ทำ.. เจ้าไม่ทำอะไรเลย!!! เจ้าเข้าใจไหม สุนัขที่ไม่ฟังคำสั่งมันก็เป็นได้แค่ก้อนเนื้อมีชีวิต”

เขาใช้กำปั้นตัวเองต่อยหน้าเซเรสด้วยความโกรธซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสียงร้องไห้ของเธอจึงขาดๆ หายๆ

“ข้า.. ข้าจะทำ.. ข้าจะทำ.. ได้โปรด…”

เซเรสรีบพูดออกมาด้วยความสับสน ถึงได้ทำให้กรีหยุด เขาโยนร่างเซเรสใส่ผนังอย่างรุนแรงจนเธอกระอักเลือดออกมาและสลบไป

กรีสบถออกมาด้วยความหงุดหงิด

“บัดซบเอ๊ย เจ้านี่มันเลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+