การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวยบทที่ 191 สำนึกผิด
บทที่ 191 สำนึกผิด
บทที่ 191 สำนึกผิด
เฮ่อหลานและพานลี่ฮวารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าผู้มาเยือนคือซ่างสยงเยี่ย
ซ่างสยงเยี่ยกล่าวทักทายทั้งสองด้วยรอยยิ้ม “คุณหญิงเฮ่อ คุณเฮ่อ สวัสดีตอนบ่ายครับ”
หลังได้ยินแล้วทั้งสองจึงรีบตอบกลับทันที “สวัสดีตอนบ่ายค่ะคุณซ่าง”
“คุณเฮ่อ ผมไม่รู้ว่าคุณพอจะมีเวลาสักหน่อยไหมครับ ผมอยากปรึกษาบางสิ่งกับคุณสักหน่อยครับ” ซ่างสยงเยี่ยรีบพูดถึงจุดประสงค์ของเขาอย่างรวดเร็ว “ผมเห็นลายปักที่คุณขายให้กับคุณจูรุ่ยก่อนหน้านี้ ผมเลยมีบางสิ่งอยากจะร่วมมือกับคุณ เป็นการร่วมมือกันในด้านเย็บปักน่ะครับ”
หลังได้ยินอย่างนี้แล้ว พานลี่ฮวารีบยืนขึ้นพร้อมเอ่ยปากว่า “อาหลาน ตอนนี้คุณซ่างต้องการคุยกับเธอเกี่ยวกับธุรกิจการเย็บปัก อย่างนั้นเธอคุยกับเขาไปก่อนนะ เดี๋ยวฉันจะไปเตรียมผลไม้ให้ ” จากนั้นเธอก็เดินออกไปพร้อมขยิบตา เพราะยังไงเธอก็ไม่ชอบฟังเรื่องธุระของผู้อื่นนัก รู้ว่าควรหลบออกไปก่อน แต่เฮ่อหลานจะไม่ถูกทิ้งให้นั่งคุยกับบุคคลนี้เพียงผู้เดียวแน่นอน
หลังจากพานลี่ฮวาจากไปแล้ว ซ่างสยงเยี่ยถามเข้าประเด็นทันที “คุณเฮ่อครับ ผมรู้ว่าการปักผ้าชิ้นหนึ่งใช้เวลานานมาก และยังได้ยินว่ามีหลายคนพยายามติดต่อขอซื้องานปักจากคุณ แต่ตอนนี้คุณคงจะยุ่งมาก ผมเลยแค่อยากจะถามว่า มีช่างคนไหนที่พอจะมีทักษะอย่างคุณอีกไหมครับ? แล้วงานปักของพวกเขาสามารถนำออกไปขายได้ไหม?”
หลังได้ยินอย่างนี้แล้ว เฮ่อหลานเข้าใจซ่างสยงเยี่ยทันทีว่าเขาหมายถึงอะไร ขณะเดียวกันเธอก็นึกถึงอาจารย์และคนอื่น ๆ
“คุณซ่างคะ มีช่างปักมากมายที่เก่งกว่าฉันค่ะ งานปักของพวกเขาต้องขายได้แน่นอน แต่ฉันไม่รู้ว่าคุณอยากจะร่วมมือกับพวกเรายังไงบ้าง?”
ซ่างสยงเยี่ยมองหญิงสาวงดงามตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม “คุณเฮ่อครับ ตราบใดที่งานปักมีคุณภาพอย่างนี้ ราคาของมันจะสูงมากแน่ เพราะแบบนี้ทุกอย่างจะขึ้นอยู่กับคุณภาพของงานครับ”
“คุณซ่าง ฉันรับประกันได้เลยค่ะว่างานปักทุกชิ้นจะมีคุณภาพเทียบเท่ากับงานปักก่อนหน้านี้ของฉัน บางทีมันอาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ ว่าแต่คุณซ่างเสนอราคาที่เท่าไหร่คะ?”
หลังได้ยินอย่างนั้นแล้ว ซ่างสยงเยี่ยคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อว่า “ถ้าอย่างนั้นผมสามารถให้ราคา 5,000 ถึง 20,000 หยวนสำหรับงานปักแต่ละชิ้น ถ้าเป็นงานปักแบบพิเศษผมจะมีราคาพิเศษให้อีกครับ”
หลังได้ยินอย่างนั้นแล้ว เฮ่อหลานรู้สึกประหลาดใจแต่ก็ไม่แสดงออกผ่านสีหน้า
ก่อนหน้านี้ จูรุ่ยมอบเงินให้กับเธอ 20,000 หยวน ซึ่งมันก็มากเกินไปเสียด้วยซ้ำ และเธอรู้สึกว่าตนเองสมควรได้รับมัน แต่เวลานี้เมื่อได้ยินราคาที่ซ่างสยงเยี่ยบอก เธอก็ตระหนักได้ทันทีว่างานปักคุณภาพสูงเป็นที่นิยมอย่างมากในก่างเฉิงแห่งนี้ ถ้าเป็นในมณฑลเจียง งานปักพวกนี้คงไม่สามารถขายได้ในราคาสูงเช่นนี้ ราคาของมันจะอยู่ที่ 700-800 หยวนเท่านั้น แต่ในก่างเฉิงนี้ราคาของมันกลับเพิ่มขึ้นมากกว่าสิบเท่า
หลังไตร่ตรองเสร็จแล้ว เฮ่อหลานก็รู้สึกสงสัย
“คุณซ่าง คุณกำลังทำธุรกิจด้านนี้อยู่หรือคะ? ถ้าเรามีงานปักจำนวนมาก คุณจะรับซื้อพวกมันทั้งหมดหรือคะ?”
หลังได้ยินอย่างนี้แล้ว ซ่างสยงเยี่ยก็พลันหัวเราะแล้วพูดว่า “คุณเฮ่อไม่ต้องกังวลเลยครับ ผมสามารถรับซื้อทั้งหมดได้อยู่แล้ว”
งานเย็บปักเป็นงานที่ต้องใช้เวลาและความอดทนอย่างหนัก ถึงเฮ่อหลานจะบอกว่ามีงานปักจำนวนมาก แต่ซ่างสยงเยี่ยรู้ดีว่ามันคงไม่มากขนาดนั้น แต่ถึงแม้ว่ามันจะมีจำนวนมาก เขาก็สามารถซื้อมันได้แน่นอน
หลังได้ยินซ่างสยงเยี่ยตอบอย่างนั้น เฮ่อหลานก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะแล้วตอบว่า “คุณซ่าง อย่างนั้นฉันจะรีบติดต่อกลับโดยเร็วที่สุดนะคะ แล้วเดี๋ยวฉันจะให้ใครบางคนส่งงานปักไปให้คุณพิจารณาดูก่อน หลังจากคุณดูแล้วชื่นชอบมัน เราค่อยร่วมธุรกิจกันได้ในอนาคต”
“ครับ ผมจะรอฟังข่าวดีจากคุณเฮ่อนะครับ”
“ค่ะ คุณซ่างไม่ต้องกังวล เดี๋ยวฉันจะรีบติดต่อกลับให้เร็วที่สุดค่ะ”
หลังได้ยินอย่างนี้แล้ว ซ่างสยงเยี่ยยิ้ม “ไม่มีอะไรต้องกังวลครับ ผมแค่หวังว่าเราจะได้ร่วมงานกันนะครับ”
“ฉันก็ยินดีร่วมงานกับคุณซ่างค่ะ”
ขณะทั้งสองพูดคุยกัน พานลี่ฮวาก็เข้ามาพร้อมกับจานผลไม้ “อาหลาน คุณซ่าง เป็นยังไงบ้างคะ?”
“คุณหญิงเฮ่อ พวกเราคุยกันเสร็จแล้วครับ ในอนาคตคงต้องฝากเนื้อฝากตัวด้วยแล้วครับ”
เมื่อได้ยินคำพูดของซ่างสยงเยี่ย พานลี่ฮวายิ้มกว้างพร้อมตอบรับว่า “คุณซ่างและอาหลานตกลงกันได้ด้วยดี ฉันก็ยินดีค่ะ” ในตอนท้ายเธอรีบเอ่ยเชิญให้ซ่างสยงเยี่ยอยู่รับประทานอาหารมื้อเย็นด้วยกัน
แน่นอนว่าเขาตอบตกลงโดยไม่ต้องคิด
ในขณะรับประทานอาหารเย็น ทุกคนได้ทราบว่าซ่างสยงเยี่ยและเฮ่อหลานกำลังจะร่วมทำธุรกิจด้วยกัน
และถังซวงรู้สึกว่านี่คือเรื่องที่ดี มันจะดีมากหากแม่ของเธอสามารถขายงานปักในราคาสูงได้ในเมืองก่างเฉิง
หลังรับประทานมื้อเย็น ซ่างสยงเยี่ยกลับไป และถังซวงคุยเรื่องนี้กับแม่ของตน
“แม่คะ อาจารย์ซูกับป้าเกอสามารถเปิดโรงงานปักผ้าได้ ถ้าสามคนยังไม่เพียงพอ แม่ก็สามารถจ้างช่างปักฝีมือดีอีกสักคนได้นะคะ อย่างนี้เราจะสามารถเพิ่มงานปักได้อีก 1-2 ชิ้น แล้วมันจะเป็นการดีถ้าเราสามารถเพิ่มจำนวนสินค้าให้กับลุงซ่างได้”
หลังจากได้ยินคำพูดของถังซวงแล้ว เฮ่อหลานเข้าใจทันที
“ใช่ แต่แม่สงสัยว่าคนอื่นจะเข้ามาช่วยปักผ้าได้ไหม ที่แม่ตอบรับไปอย่างนั้น เพราะรู้ว่าเราสามารถเปิดโรงงานปักผ้าได้ด้วยตัวเอง มีแม่ อาจารย์ซู แล้วก็ป้าใหญ่ของลูก แค่พวกเราก็สามารถปักผ้าได้มากแล้ว”
ถังซวงยิ้มแล้วตอบว่า “มันต้องดีแน่ค่ะ ถ้าตลาดในเมืองก่างเฉิงนี้มีความต้องการงานปักสูงขนาดนี้ งานฝีมือด้านเย็บปักจะต้องไม่หายไปแน่นอนค่ะ”
เฮ่อหลานได้ยินอย่างนั้นรู้สึกยินดีขึ้นทันที
“เอาเถอะ หลังจากนี้เราคงต้องทำงานหนักกันแล้ว”
หลังจากที่สองแม่ลูกพูดคุยกันเสร็จ ทั้งสองอดไม่ได้ที่จะหันมองถังเซวี่ยที่กำลังก้มหน้างุด เวลานี้ถังเซวี่ยออกไปข้างนอกกับเฮ่อเจียรุ่ยทุกวัน ผิวของเธอจึงคล้ำเล็กน้อย
“เสี่ยวเซวี่ย พรุ่งนี้ลูกจะออกไปอีกหรือเปล่า? ทำไมไม่พักสักสองสามวันล่ะ ดูสิ ผิวคล้ำหมดแล้ว ผมก็เริ่มขาวแล้วนะ” นี่เป็นครั้งแรกที่เฮ่อหลานสังเกตเห็นว่าลูกสาวคนเล็กของตนเปลี่ยนไป เธอเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าลูกสาวคนนี้พยายามมากเกินไปหรือเปล่า
แต่ถังเซวี่ยตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “แม่คะ ถึงหนูจะผิวเข้มแล้วก็ผอมลงนิดหน่อย แต่หนูก็ได้รู้เรื่องราวมากมายเลยนะคะ พี่เจียรุ่ยเป็นคนดีมาก และตอนนี้หนูก็ได้เรียนรู้เกี่ยวกับงานออกแบบบ้านเต็มไปหมดเลย แล้วถ้าหนูทำผิดแม้แต่นิดเดียว บ้านทั้งหลังก็จะผิดพลาด มันเป็นงานที่เข้มงวดและต้องรอบคอบมาก ๆ เพราะฉะนั้นในอนาคตหนูจะตั้งใจเรียนให้หนักค่ะ”
เมื่อเห็นแววตาของลูกสาวคนเล็กที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เฮ่อหลานก็ไม่คิดจะห้ามอีกฝ่าย
“อย่างนั้นลูกก็ระวังหน่อยนะเวลาออกไปข้างนอก”
วันรุ่งขึ้น ถังเซวี่ยและเฮ่อเจียรุ่ยออกไปด้วยกันเช่นเดิม
ส่วนเฮ่อหลานเริ่มยุ่งเกี่ยวกับการติดต่อกับอาจารย์ซูเพื่อคุยเรื่องธุรกิจ
และถังซวงเองก็ไม่ได้อยู่เฉย ๆ เช่นกัน เธอวางแผนที่จะคุยเรื่องธุรกิจเครื่องสำอางกับพานลี่ฮวา แต่เมื่อเธอกำลังจะเข้าไปหาพานลี่ฮวา กลับได้ยินอีกฝ่ายกำลังคุยโทรศัพท์ และดูเหมือนว่าปลายสายจะเป็นคนในครอบครัว
เวลานี้พานลี่ฮวากำลังคุยโทรศัพท์กับเยี่ยฝูเซี่ยง พี่สะใภ้ของเธอ
ในที่สุดเยี่ยฝูเซี่ยงก็ตระหนักได้แล้วว่าตนเองทำผิดพลาดอย่างไร หากไม่มีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลเฮ่อ สถานการณ์ในครอบครัวของพวกเขาก็จะยิ่งยากขึ้น พานอวิ๋นเฟยเองก็ทะเลาะกับเธอหลายครั้ง แม้แต่ลูกชายก็ยังหายไปทั้งวัน เวลานี้เธอต้องอยู่คนเดียวในบ้าน มันเป็นความรู้สึกที่สิ้นหวังอย่างแท้จริง
“ลี่ฮวา เธอช่วยพูดกับผู้เฒ่าเฮ่อให้พวกเราหน่อยได้ไหม วันนั้นพวกเราไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ถังซวงต้องอับอาย หลังจากพวกเรากลับถึงบ้าน เรารู้สึกว่าในฐานะผู้ใหญ่ การที่พวกเราเข้าไปยุ่งกับเรื่องของเด็กมันเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ แล้ววันพรุ่งนี้พวกเราทั้งหมดจะเข้าไปขอโทษถังซวงด้วยตัวเอง”
Comments