การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวยบทที่ 230 ร่วมมือ
บทที่ 230 ร่วมมือ
บทที่ 230 ร่วมมือ
เมื่อเห็นท่าทีของซ่างสยงเยี่ยแล้ว ซูเหนียนอวิ๋นอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มแล้วตอบกลับว่า
“สวัสดีค่ะคุณชายซ่าง ยินดีต้อนรับสู่โรงงานเย็บปักเถาฮวาของพวกเรานะคะ”
แม้แต่ซ่างหมิงซวี่ก็ยังกล่าวทักทายซูเหนียนอวิ๋นอย่างสุภาพเช่นกัน
ส่วนเกอชิงเหม่ยที่ยืนอยู่ข้างกายของซูเหนียนอวิ๋น เวลานี้เฮ่อหลานจึงแนะนำต่อ
“คุณชายซ่างคะ นี่คือพี่สาวของฉันเองค่ะ ชื่อว่าเกอชิงเหม่ย เธอเป็นคนปักงานทั้งสองชิ้นที่คุณเห็นก่อนหน้านี้ค่ะ”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นแล้ว ซ่างสยงเยี่ยรีบหันมองเกอชิงเหม่ยพร้อมยิ้มกว้าง
“เป็นคุณเกอนั่นเอง สวัสดีครับ งานเย็บปักของคุณสวยมาก ผมยังจำมันได้ชัดเจน มันเหมือนของจริงมากครับ”
เกอชิงเหม่ยเขินเล็กน้อยเมื่อได้รับคำชม
“ยินดีค่ะคุณชายซ่าง ดีจริง ๆ ที่คุณชอบมัน”
“ครับ ผมชอบมันมาก ถ้าคุณเกอมีผลงานอื่น ๆ ผมก็อยากเป็นคนแรกที่ได้เห็นมันนะครับ”
หลังได้ยินคำพูดของซ่างสยงเยี่ยแล้ว เกอชิงเหม่ยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะแล้วตอบกลับว่า “ถ้าเป็นไปได้ ฉันจะให้คุณชายซ่างดูเป็นคนแรกเลยค่ะ”
หลิวเหลียงไคที่ยืนอยู่ด้านข้างเห็นซ่างสยงเยี่ยและเฮ่อหลานพูดคุยกันอย่างสนิทสนม จึงเริ่มคาดเดาในใจ และผ่อนคลายลง
เพราะก่อนหน้านี้เขากลัวว่าซ่างสยงเยี่ยจะไม่พอใจโรงงานเย็บปักของพวกตนเมื่อมารับชมด้วยตนเอง แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี
หลังจากนั้น เฮ่อหลานแนะนำให้ซ่างสยงเยี่ยรู้จักกับคนอื่น ๆ
“คุณชายซ่างคะ นี่คือคนงานเย็บปักค่ะชื่อคุณฉิน เธอสามารถปักลายสองด้านได้ และงานปักของเธอก็สวยมากเลยนะคะ”
ฉินอวี้เฟิ่งพลันเขินอายเล็กน้อยเมื่อได้ยินเฮ่อหลานแนะนำ หลังจากหันมองซ่างสยงเยี่ยแล้ว เธอก้มศีรษะลงพร้อมทักทายเขา และไม่ได้พูดอะไรอีก
เฮ่อหลานรู้ดีว่าเธอเป็นคนไม่ค่อยพูดนัก ดังนั้นจึงเริ่มแนะนำคนอื่น ๆ ให้กับลุงและหลานชายรู้จัก
ทว่าเธอยังพาทั้งสองเดินชมรอบ ๆ โรงงานเย็บปักเถาฮวาด้วย
“คุณเฮ่อครับ โรงงานเย็บปักของคุณยอดเยี่ยมมาก แต่ตอนนี้ เรามาคุยเรื่องธุรกิจกันดีกว่าครับ”
หลังจากได้รับชมสถานที่โดยรอบแล้ว เขาพบว่ามีช่างเย็บปักจำนวนมาก และมีฝีมือดี ทำงานได้อย่างรวดเร็ว ถ้าเป็นแบบนี้ ในหนึ่งเดือนย่อมมีสินค้าออกวางจำหน่ายจำนวนมากแน่
หลังได้ยินคำพูดของซ่างสยงเยี่ย เฮ่อหลานพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหันมองหลิวเหลียงไคแล้วพูดว่า
“ผู้ใหญ่บ้านคะ เดี๋ยวเชิญนะคะ”
“อ้อ… ได้ ๆ”
ทันทีที่หลิวเหลียงไคได้รับคำเชิญ เขายกยิ้มอย่างมีความสุข แล้วรีบเชิญซ่างสยงเยี่ยไปที่สำนักงานของตนเพื่อหารือเกี่ยวกับการทำธุรกิจ
ซ่างสยงเยี่ยคิดเรื่องธุรกิจก่อนที่จะมาที่นี่ด้วยซ้ำ เวลานี้เขาจึงนำสัญญามาด้วย
“ผู้ใหญ่บ้านหลิว คุณเฮ่อ โปรดอ่านสัญญานี้ก่อนนะครับ ถ้าไม่ติดขัดอะไรก็สามารถลงนามได้เลยครับ”
แม้หลิวเหลียงไคจะอ่านออกเขียนได้ แต่แน่นอนว่าเขาไม่สามารถตัดสินใจเซ็นสัญญาฉบับนี้ได้ด้วยตัวเอง เขาจึงหันไปหาเฮ่อหลานอย่างขอคำตอบ
ส่วนเฮ่อหลานที่ไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ เธอส่งสัญญาฉบับนี้ให้กับถังซวงทันที
“ซวงเอ๋อร์ ช่วยดูสัญญานี้ให้หน่อยได้ไหมจ๊ะ?”
เมื่อเห็นอย่างนั้นแล้ว ซ่างสยงเยี่ยเลิกคิ้วเล็กน้อยแต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร
หลังจากนั้นเขาก็เข้าใจว่าในบรรดาทุกคน ถังซวงเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจสูงสุด
ซึ่งถังซวงไม่ปฏิเสธ หลังจากรับสัญญามาแล้วเธออ่านมันอย่างละเอียดและรวดเร็ว และมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เพราะผลประโยชน์ต่าง ๆ ที่ซ่างสยงเยี่ยมอบให้มันดูมากเกินไป ถ้าลงนามในสัญญาฉบับนี้ มันจะเป็นประโยชน์กับโรงงานเย็บปักเถาฮวานี้แน่
แต่เมื่อไตร่ตรองแล้ว ถังซวงอ่านสัญญาอย่างรอบคอบอีกครั้ง
หลังจากแน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดปกติ เธอพยักหน้าให้กับเฮ่อหลาน
“แม่คะ ลงนามได้เลยค่ะ”
เมื่อเห็นว่าลูกสาวไม่ติดขัดอะไร เฮ่อหลานก็ไม่มีปัญหา เธอจึงมอบสัญญาให้กับหลิวเหลียงไคโดยไม่ต้องคิดอะไรมาก
เดิมทีหลิวเหลียงไคต้องการยืนยันอีกครั้ง ทว่าเฮ่อหลานตอบตกลงไปแล้ว และเขารู้ว่าถังซวงเชื่อใจได้ เวลานี้เขาไม่ถามอะไรอีกและลงนามทันที
เมื่อลงนามเสร็จ ซ่างสยงเยี่ยลุกขึ้นยืนด้วยรอยยิ้มก่อนจะยื่นมือให้กับเฮ่อหลาน
“หวังว่าเราสองคนจะร่วมงานกันโดยราบรื่นนะครับ”
เฮ่อหลานยืนขึ้นพร้อมจับมือกับซ่างสยงเยี่ย “ยินดีที่ได้ร่วมงานกันนะคะ”
หลังจากลงนามเสร็จแล้ว หลิวเหลียงไคก็โล่งอก เขาพูดคุยกับซ่างสยงเยี่ยและซ่างหมิงซวี่อย่างเป็นกันเองก่อนจะชวนทั้งสองทานอาหารร่วมกัน
ซ่างสยงเยี่ยไม่ปฏิเสธ ตอบตกลงด้วยรอยยิ้ม
อีกด้าน จิงเจ้อหรงรีบกลับไปทำงานทันทีหลังจากเห็นว่าเฮ่อหลานกับถังซวงออกไปแล้ว
ทันทีที่มาถึงเขาเห็นหยางซู่ยืนรออยู่
เมื่อหยางซู่เห็นจิงเจ้อหรงมาแล้ว ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“อาเจ้อ กลับมาแล้วหรือ ฉันมีเรื่องอยากคุยกับนายน่ะ”
จิงเจ้อหรงได้ยินอย่างนั้น เขาก็ปฏิเสธอย่างไม่แยแส
“ไม่ ฉันมีเรื่องต้องทำ ไว้คุยทีหลัง”
หลังได้ยินอย่างนั้นแล้ว หยางซู่จึงเข้าใจว่าจิงเจ้อหรงยังไม่หายโกรธ เขากังวลมากและพูดออกไปตรง ๆ
“อาเจ้อทั้งหมดเป็นความผิดของฉันเองที่ไม่ได้บอกนายก่อน ฉันคิดว่า… พวกเราต่างก็มาจากเมืองหลวงเหมือนกัน และอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก มันไม่น่าจะเป็นอะไรถ้ามารับประทานอาหารด้วยกันสักหน่อย…”
หลังได้ยินอย่างนั้น จิงเจ้อหรงมองหยางซู่แล้วพูดว่า
“ที่นายทำลงไปมันผิดมาก ต่อให้เป็นการทานอาหารก็ควรบอกฉันก่อน ส่วนฉันจะไปหรือไม่ไปมันเป็นสิทธิ์ของฉัน แต่คราวนี้นายกลับไม่คิดถามฉันสักคำว่าฉันยินดีหรือเปล่า”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นแล้ว หยางซู่ก้มหน้าลงอย่างรับทราบความผิด
ขณะเดียวกันเขาก็พูดกับจิงเจ้อหรงเกี่ยวกับสองแม่ลูกนั้นว่า
“อาเจ้อ เหม่ยหยิงตงกับลูกสาวออกจากเมืองไปแล้วเมื่อเช้านี้ นายไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นแล้ว พวกเขาจะไม่มารบกวนนายอีก”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นแล้ว จิงเจ้อหรงเลิกคิ้วขึ้น
“กลับไปแล้วงั้นหรือ?”
หยางซู่พยักหน้า “ใช่ ฉันไปส่งพวกเขาเมื่อเช้านี้”
หลังรู้ว่าสองแม่ลูกสาวกลับไปแล้ว จิงเจ้อหรงก็มองหยางซู่แล้วพูดว่า
“รีบไปจัดการงานซะ วันนี้มีเรื่องต้องทำอีกมาก”
“อืม เอาเถอะ ฉันไปทำงานดีกว่า”
เมื่อเห็นว่าจิงเจ้อหรงเต็มใจที่จะพูดคุยด้วยเช่นเดิม หยางซู่อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่สิ่งที่เขาไม่ทันสังเกตเห็นคือแววตาเย็นชาของจิงเจ้อหรง
หลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้แล้ว จิงเจ้อหรงคงจะกลับมาสนิทสนมกับหยางซู่เหมือนเคยยาก
เมื่อหยางซู่กลับออกไป ฟ่านเป่าหลงและหลิวปิงเดินเข้ามาทักทายจิงเจ้อหรง และรายงานเรื่องบางอย่างให้เขาทราบ
หลังรับฟังรายงานจากทั้งสองคนแล้ว จิงเจ้อหรงยิ้มแล้วตอบว่า
“ทำได้ดี”
เมื่อได้รับคำชม ฟ่านเป่าหลงและหลิวปิงมีความสุขมาก
หลังจากพูดคุยกับจิงเจ้อหรงอีกสองสามคำ พวกเขาก็แยกย้ายกันออกไป
เมื่อมองแผ่นหลังของจิงเจ้อหรงที่กำลังเดินจากไป ฟ่านเป่าหลงยิ้มด้วยความโล่งอก
“เฮ้อ… หยางซู่ไม่น่าทำเรื่องโง่ ๆ แบบนั้นเลย ดีนะที่ไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น…”
แม้เขาจะพูดไม่ทันจบประโยค แต่หลิวปิงก็เข้าใจชัดเจนแล้วว่าหมายถึงอะไร
ในที่สุดทั้งสองยิ้มให้กันก่อนจะแยกย้ายไปทำงาน
ส่วนที่หยางซู่บอกว่าเหม่ยหยิงตงและหลี่ว์ตานออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ ความจริงแล้วพวกเธอกำลังนั่งรถและมุ่งหน้าไปยังตำบลโฮวซาน
หลี่ว์ตานมองเหม่ยหยิงตงอย่างลังเลก่อนจะถามว่า “แม่คะ เราต้องไปที่นั่นด้วยตัวเองจริง ๆ หรือคะ? ให้คนอื่นไปแทนไม่ดีกว่าหรือ?”
“ที่นั่นมีทุกอย่างที่เราต้องการ และเราต้องไปเลือกมันด้วยตัวเอง”
Comments