การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวยบทที่ 466 อวยพรปีใหม่

Now you are reading การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย Chapter บทที่ 466 อวยพรปีใหม่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 466 อวยพรปีใหม่

บทที่ 466 อวยพรปีใหม่

จิงเจ้อหรงปฏิเสธทันทีโดยไม่ต้องคิดเมื่อได้ยินสิ่งที่เฟิงเยี่ยหานพูด

“ไม่ เสี่ยวเซวี่ยยังเด็ก เธอยังเรียนอยู่มัธยมปลาย นี่ยังไม่ใช่เวลาที่จะมาหาคู่ครอง อีกอย่างเธอไม่ได้ดูตัวเองบ้างหรือว่าอายุมากกว่าเสี่ยวเซวี่ยตั้งเจ็ดปี”

“ผม…”

เฟิงเยี่ยหานพูดไม่ออก ที่เขาอายุมากกว่าถังเซวี่ยเป็นเรื่องจริง แต่เขาอายุแค่ยี่สิบห้าปี เป็นวัยรุ่นคนหนึ่งเหมือนกัน

ส่วนเฮ่อหลานเหลือบมองจิงเจ้อหรงก่อนจะหันมองเฟิงเยี่ยหานด้วยใบหน้าเห็นใจ “เสี่ยวเยี่ย เธอคิดเรื่องนี้ดีแล้วหรือ? ตอนนี้เสี่ยวเซวี่ยยังเรียนอยู่มัธยมปลาย ถ้าหากจะแต่งงานก็ควรรอให้เสี่ยวเซวี่ยเรียนจบเสียก่อน ถ้าถึงวันนั้นเธอยังรอลูกฉันอยู่ พวกเราก็ยินดี เพราะยังไงเธอก็ไม่ใช่เด็กแล้ว”

“ผมจะรอครับ”

เฟิงเยี่ยหานตอบกลับอย่างรวดเร็ว

เฮ่อหลานที่เห็นความกระตือรือร้นของเฟิงเยี่ยหาน ก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ “ถ้าเธอคิดอย่างนั้นจริง ๆ และเสี่ยวเซวี่ยยินดีที่จะคบหากับเธอ ฉันก็ไม่ขัดข้องอะไรหรอกจ้ะ”

จิงเจ้อหรงหันมองเฮ่อหลานอย่างขุ่นเคืองก่อนจะพูดขึ้นว่า “อาหลาน…”

แต่ถังเซวี่ยกลับพูดแทรกขึ้นมา

“พ่อคะ แม่คะ หนูจะคบกับเขาค่ะ”

“เสี่ยวเซวี่ย…” จิงเจ้อหรงหันไปมองถังเซวี่ยโดยไม่รู้ตัว ทันทีที่เห็นความจริงใจในแววตาของลูกสาวคนเล็ก เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจก่อนจะถามออกไปว่า “เสี่ยวเซวี่ย ลูกคิดเรื่องนี้ดีแล้วหรือ?”

ถังเซวี่ยตอบอย่างหนักแน่น “ค่ะคุณพ่อ หนูคิดเรื่องนี้มาอย่างดีแล้ว”

เฟิงเยี่ยหานหันมองถังเซวี่ยอย่างประหลาดใจ เวลานี้สายตาของเขาเต็มไปด้วยความยินดีอย่างถึงที่สุด

จิงเจ้อหรงได้ยินลูกสาวตอบอย่างนั้น ก็ไม่สามารถพูดอะไรได้อีก

เวลานี้เฮ่อหลานจึงกล่าวขึ้น “ในเมื่อพวกเธอสองคนชอบพอกัน เราก็จะไม่คัดค้านเรื่องนี้ แต่ว่า… เธอควรจำไว้หนึ่งอย่าง”

เฮ่อหลานพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

“ในเมื่อเธอกับเสี่ยวเซวี่ยเป็นคนรักกันแล้ว เธอต้องไม่ทำให้ลูกฉันเสียใจหรือผิดหวัง หากเธอทำไม่ดีกับเสี่ยวเซวี่ย พวกเราจะไม่มีทางปล่อยเธอไปง่าย ๆ แน่”

เฮ่อหลานรู้ดีว่านี่เป็นเรื่องสำคัญในชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่ง และเธอเคยเผชิญกับความสูญเสียนี้มาแล้ว เธอจึงไม่ต้องการให้ลูกสาวต้องพบเจอกับเรื่องเลวร้ายเหมือนตัวเอง

ได้ยินคำพูดของเฮ่อหลาน เฟิงเยี่ยหานก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ผม เฟิงเยี่ยหาน ขอสาบานว่าหากวันไหนผมไม่รักเสี่ยวเซวี่ยแล้ว ขอให้ฟ้าผ่ากลางศีรษะครับ”

แม้ทุกวันนี้จะไม่มีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องคำสาบานมากนัก แต่เฟิงเยี่ยหานก็เชื่อถือสิ่งนี้มาก อีกทั้งตระกูลเฟิงยังยึดถือคำสัตย์สาบานเป็นที่ตั้ง เช่นนี้มันจึงสำคัญกับเขามาก

“เฟิงเยี่ยหาน…”

ถังเซวี่ยสัมผัสได้ทันทีว่าเฟิงเยี่ยหานจริงจัง

เฮ่อหลานได้ยินอย่างนั้น ก็ผ่อนคลายลงก่อนจะยกยิ้มแล้วพูดกับเขาว่า “แค่เธอรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ก็ดีแล้วละจ้ะ”

“ขอบคุณครับป้าเฮ่อ”

จิงเจ้อหรงเองไม่ชอบเฟิงเยี่ยหาน เพราะลูกสาวคนโตของเขาหมั้นหมายแล้ว และลูกสาวคนเล็กกำลังถูกหมาป่าลักพาตัวไปโดยไม่ทันตั้งตัว เวลานี้พ่ออย่างเขากำลังขุ่นเคืองใจอย่างถึงที่สุด

เฟิงเยี่ยหานเหลือบสายตามองจิงเจ้อหรง ต้องการให้อีกฝ่ายกล่าวยินยอมด้วยเช่นกัน

ทว่าจิงเจ้อหรงไม่ยอมพูดอะไรเลย แต่เฮ่อหลานที่จ้องมองเขาด้วยแววตาทักท้วง เขาจึงกล่าวขึ้นมาอย่างไม่ค่อยยินดีนัก “พวกเราทุกคนไม่คัดค้าน แต่จดจำสิ่งที่เธอพูดวันนี้ให้ดีแล้วกัน”

เฟิงเยี่ยหานยกยิ้มจนไม่อาจปกปิดความสุขได้

“ครับ ขอบคุณครับลุงจิง ผมจะไม่มีวันลืมเลยครับ”

เห็นจิงเจ้อหรงและเฮ่อหลานยอมรับอีกฝ่าย ผู้เฒ่าจิงและคุณนายจิงเองก็ไม่ปฏิเสธ อีกทั้งคุณนายจิงกับผู้เฒ่าจิงเองก็ชอบเฟิงเยี่ยหานมาก

“เสี่ยวเยี่ย หลังจากนี้ไปเธอจะเป็นคนรักของเสี่ยวเซวี่ย และจะกลายเป็นหลานเขยของตระกูลจิงด้วย อย่าลืมล่ะ”

ใบหน้าของเฟิงเยี่ยหานยิ่งผ่อนคลายมากขึ้นเมื่อได้ยินอย่างนั้น

“ขอบคุณครับคุณย่า”

เฟิงเยี่ยหานเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าคุณนายจิงปฏิบัติต่อเขาอย่างดีเสมอมา เขาจึงเรียกอีกฝ่ายว่าคุณย่าได้เต็มปาก

คุณนายจิงพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น

“เฮ้อ… ดีจังเลยนะ”

ส่วนผู้เฒ่าจิงเหลือบมองภรรยาของตัวเอง ทว่าไม่คิดจะคัดค้านอะไร เพราะตนเองก็ประทับใจในตัวเฟิงเยี่ยหานไม่น้อยเหมือนกัน “เอาละ ตอนนี้พวกเธอสองคนคบกันแล้ว งั้นเราควรจะมีสัมพันธ์อันดีต่อกัน แล้วฉันจะรอวันได้ดื่มไวน์ในงานแต่งงานของพวกเธอสองคนนะ”

“ครับ คุณปู่”

เฟิงเยี่ยหานสัมผัสได้ถึงความรักและความเมตตาของผู้อาวุโสตระกูลจิงทั้งสอง เขายกยิ้มอย่างมีความสุข ทุกครั้งที่มาเยี่ยมเยียนบ้านตระกูลจิง เขาได้รับความอบอุ่นที่ตนไม่เคยสัมผัสมาเนิ่นนานเสมอ

ผู้เฒ่าจิงและคุณนายจิงคุยกับเฟิงเยี่ยหานอีกเล็กน้อยก่อนจะเดินออกไป วันนี้มีคนเข้ามาอวยพรปีใหม่ทั้งสองคนมากมาย จึงต้องกลับไปเตรียมการต้อนรับ

จิงเจ้อหรงที่เห็นว่าอาวุโสทั้งสองคนเดินออกไปแล้ว จึงลุกขึ้นก่อนจะพูดว่า “อาหลาน เราควรกลับกันได้แล้วละครับ เดี๋ยวผมต้องกลับไปเตรียมของขวัญปีใหม่ให้กับพวกผู้บัญชาการและคนอื่น ๆ ด้วย”

เฮ่อหลานพยักหน้าก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับจิงเจ้อหรง

ถังชุนหยานมองถังเซวี่ยก่อนจะหันมองเฟิงเยี่ยหานอย่างอิจฉา แต่สิ่งที่เธอคิดในเวลานี้มีเพียงเรื่องงาน และจะต้องตั้งใจเรียน เพื่อที่จะได้มีชีวิตที่ดี แม้จะอยู่คนเดียวแต่ก็ไม่เป็นไร

“พี่สาวซวง เสี่ยวเซวี่ย ฉันกลับก่อนนะ” หลังพูดจบ เธอออกไปทันที

ส่วนถังซวงและโม่เจ๋อหยวนมีสิ่งที่ต้องทำ

“อาหยวน เราไปกันเถอะค่ะ เดี๋ยวต้องไปอวยพรปีใหม่ผู้อาวุโสจู แล้วก็ไปหาคุณปู่ของพี่ต่อ”

“ครับ”

โม่เจ๋อหยวนยกยิ้มก่อนจะพยักหน้าและเดินออกไปพร้อมถังซวง

เฟิงเยี่ยหานเห็นทุกคนจากไปแล้ว ก็เข้าจับมือถังเซวี่ยอย่างอ่อนโยน “เสี่ยวเซวี่ย ไปกันเถอะครับ ในฐานะหลานเขยในอนาคตของตระกูลจิง ผมจะไปอวยพรปีใหม่กับคุณด้วย”

ได้ยินเฟิงเยี่ยหานพูดอย่างนั้น ทำให้ถังเซวี่ยเหลือบมองชายหนุ่มเล็กน้อยแต่ก็พยักหน้ารับ “อื้ม”

อีกด้านหนึ่ง ถังซวงและโม่เจ๋อหยวนเอาของขวัญที่ตระเตรียมไว้ไปที่บ้านของผู้บังคับบัญชาจู

แต่เพราะผู้บังคับบัญชาจูดำรงตำแหน่งสูง จึงมีคนเข้ามาอวยพรปีใหม่กับเขาไม่ขาดสาย หลังจากถังซวงมาถึง ผู้บังคับบัญชาจูก็หยุดพูดคุยกับเธอสักพักใหญ่ และยังกล่าวแสดงความยินดีกับเธอและโม่เจ๋อหยวนด้วย “พวกเธอสองคนเก่งมากที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยชิงหวาได้ เดี๋ยวหลังจากเรียนจบแล้ว ฉันคิดว่าชีวิตของพวกเธอสองคนจะดียิ่งขึ้นกว่านี้แน่นอน”

“ขอบคุณค่ะผู้อาวุโสจู”

ถังซวงยกยิ้มแล้วพูดว่า “ผู้อาวุโสจูคะ พวกเรามีหลายอย่างต้องทำ อย่างนั้นวันนี้พวกเราขอตัวก่อนนะคะ”

มีคนมากมายรอบตัวจ้องมองผู้บังคับบัญชาจูพูดคุยกับทั้งสอง แววตาของพวกเขาเหล่านั้นเต็มไปด้วยความอิจฉา จนถังซวงรู้สึกว่าตนเองไม่ต่างจากลิงในสวนสัตว์เมื่อถูกจ้องมองเช่นนี้

เมื่อถังซวงและโม่เจ๋อหยวนจะกลับแล้ว ผู้บังคับบัญชาจูถึงกับกล่าวด้วยความไม่ยินดีนัก “เดิมทีฉันอยากจะชวนให้ทั้งสองคนอยู่ร่วมทานอาหารกลางวันด้วยกันแท้ ๆ เฮ้อ แต่ถ้ามีธุระอื่นก็ไม่เป็นไรละนะ”

ได้ยินอย่างนั้น เหล่าคนที่เหลือเริ่มไตร่ตรองบางอย่าง

พวกเขาเคยได้ยินมาก่อนว่าผู้บังคับบัญชาจูให้ความสำคัญกับถังซวงลูกสาวนอกสมรสของตระกูลจิงมาก แต่ข่าวลือนั้นไม่เท่ากับตาเห็นในวันนี้ เมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า พวกเขาตระหนักได้ทันทีว่าผู้บังคับบัญชาจูแปลกไป ดังที่ทุกคนทราบดี ผู้บังคับบัญชาจูไม่เคยชวนใครมาทานอาหารด้วยกัน แต่เขากลับเอ่ยปากชวนด้วยตัวเอง และสิ่งที่น่าแปลกใจกว่านั้นคือถังซวงกลับปฏิเสธ ทำให้ผู้บังคับบัญชาจูดูหดหู่ด้วย

ทุกอย่างที่เห็นมันดูไม่น่าเชื่อถือ

ถังซวงไม่รู้เลยว่าคนเหล่านั้นกำลังคิดอะไร จนเธอกับโม่เจ๋อหยวนมาถึงบ้านตระกูลโม่

เมื่อหลินเหม่ยเจินเห็นทั้งสองมาเยี่ยม เธอรีบออกมาต้อนรับอย่างกระตือรือร้น “โอ้… ซวงเอ๋อร์ วันนี้เธอมาเยี่ยมพวกเราหรือจ๊ะ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องอยู่ทานอาหารเย็นก่อนแล้วค่อยกลับนะ”

………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด