กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ 333 พบหน้าอีกครั้ง (1)
สายตาเย็นชาของหยางเจิ้นตวัดมองมา นางแสยะยิ้มเย็นชา แล้วกล่าวว่า “เอารถม้ามาให้ข้ายืมใช้!”
หยางเจิ้นหรี่ตา เขาไม่โกรธเกรี้ยวแต่กลับหัวเราะ “ดี…ทูตนารี เจ้าช่างร้ายกาจนัก!”
ขณะที่เขากำลังจะโบกมือออกคำสั่ง ซูหลีรีบเอ่ยขึ้นว่า “สั่งให้คนของท่านออกจากศาลฉีเซียงให้หมด”
หยางเจิ้นกล่าวด้วยเสียงเย็นชา “ทูตนารีต้องการให้ข้าเปิดทางให้ขนาดไหน จึงจะสามารถหนีออกไปจากตังอวี๋ได้อย่างสง่าผ่าเผย?!”
ซูหลีเพียงยิ้มเย็น ไม่ตอบอะไร กล้ามเนื้อบนใบหน้าเขากระตุกสองสามครั้ง แววเหี้ยมเกรียมพาดผ่านดวงตา “ทุกคนจงฟัง ถอยออกจากศาลฉีเซียงเดี๋ยวนี้!”
เหล่าทหารรีบถอยหลังอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวศาลฉีเซียงก็เงียบกริบราวกับไม่เคยมีผู้ใดมาเยือน
ซูหลีนำทางหลีเฟิ่งเซียนและคนอื่นๆ ออกจากประตูใหญ่ เห็นรถม้าที่มีม้าเทียมสี่ตัวคันหนึ่งจอดอยู่ดังคาด รถม้ากว้างขวางกว่าปกติ ดูท่าแล้วคงเป็นรถม้าของหยางเจิ้น ซูหลีลากหยางเซียวขึ้นรถไปด้วย เหล่าองครักษ์ชุดเกราะสีดำกระโดดขึ้นรถม้าตามมา ฉินเหิงและเซี่ยงหลีบังคับรถม้าให้วิ่งออกจากตัวหมู่บ้านทันที
ด้านในรถม้าเงียบงันไร้เสียง ซูหลีลดกระบี่ในมือลงแล้ว หยางเซียวนอนตะแคงอยู่บนตั่ง ท่าทางเกียจคร้าน ไร้ท่าทางตื่นตระหนกและสำนึกรู้ของคนที่ถูกจับมาเป็นตัวประกัน เขายกมือลูบรอยแผลบนคอ พลางหันมอง ‘องครักษ์’ ที่อยู่ข้างกายหลีเฟิ่งเซียนด้วยสายตาที่แปรเปลี่ยนไปมา
“ทูตนารี โทษใหญ่หลวงฐานลักพาตัวองค์ชาย คือประหารชีวิตเก้าชั่วโคตรเชียวนะ” เขาบ่นด้วยใบหน้าคล้ายจะหัวเราะก็ไม่ใช่ จะร้องไห้ก็ไม่เชิง
ซูหลีทอดมองออกไปนอกตัวรถ นางจ้องถนนที่เงียบงันผิดปกติโดยไม่สนใจเขา
“มิทราบว่าท่านมีชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไร?” ครานี้ผู้ที่เอ่ยปากคือหลีเฟิ่งเซียน เขาจ้องมองนางด้วยสายตาสงสัยมาตลอดทาง
ซูหลีหลุบตาเล็กน้อย ไม่ตอบคำถาม
“ข้าน้อยได้ยินว่าเจ้าสำนักเฉินเหมินสิ้นใจอยู่ใต้ก้นแม่น้ำหลานชาง มิทราบว่าท่านเกี่ยวข้องเช่นไรกับเจ้าสำนักเฉินเหมินหรือ?” องครักษ์ที่อยู่ข้างกายเขาถามขึ้นด้วยเสียงที่แหบพร่าแฝงความร้อนใจ
หวั่นซินกล่าวขึ้นว่า “ข้าน้อยคือเจ้าสำนักคนใหม่ของเฉินเหมิน ทูตนารีเป็นหนึ่งในสี่ทูตของเฉินเหมินเรา เจ้าสำนักคนก่อนกับทูตนารีจะเกี่ยวข้องกันได้เช่นไร?”
องครักษ์ผู้นั้นหันมามองนางแวบหนึ่ง “สาวรับใช้ของเจ้าสำนัก กลายเป็นเจ้าสำนักคนใหม่ตั้งแต่เมื่อใดกัน? เช่นนั้นก็ขอแสดงความยินดีด้วย”
หวั่นซินยิ้มเย็นชา “ขอบคุณ” เอ่ยจบก็ไม่มองเขาอีก
หางตาขององครักษ์ผู้นั้นกระตุก คล้ายยังไม่ยอมแพ้ เขาจ้องซูหลีแล้วกล่าวอีกว่า “หลายวันก่อนท่านทำลายค่ายกลลับของแคว้นเฉิงเราได้อย่างง่ายดาย ข้าน้อยเลื่อมใสยิ่งนัก หวังว่าท่านจะเข้าร่วมกับกองทัพแคว้นเฉิงของเรา และถ่ายทอดวิชาให้อย่างไม่ตระหนี่ถี่เหนียว”
หวั่นซินขมวดคิ้ว กล่าวว่า “วันนี้พวกเราเฉินเหมินช่วยพวกท่านหนีออกมา เพราะหวังว่ากองทัพของสองแคว้นจะไม่ปะทะกัน และทำให้ไพร่ฟ้าเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้าอีก เหตุใดท่านต้องสร้างเรื่องให้วุ่นวาย?”
“ท่านต้องการให้กองทัพเฉิงเราถอยทัพ?” สายตาของเขาคมปลาบ ไอสังหารพาดผ่านชั่วขณะ
หยางเซียวพลันหัวเราะเสียงดัง “ฮ่องเต้แคว้นเฉิงสังหารน้องหญิงของข้า และนำทัพทหารมาบุกโจมตีด้วยจุดประสงค์ใดใต้หล้าย่อมรู้โดยทั่วกัน ยามนี้กลับเป็นฝ่ายเสนอเจรจาสงบศึก หรือยังคิดจะรบให้ตายกันไปข้างหนึ่ง? หากดวงวิญญาณของคนผู้นั้นรู้ว่าเขาสั่งทหารนับไม่ถ้วนให้ออกไปรบราฆ่าฟัน เกรงว่าคงจะไม่มีวันจากไปอย่างสงบสุข เจ้าว่าเช่นนั้นไหม ทูตนารี?” สายตาของเขาไหวระริก เขายิ้มตาหยี แล้วหันไปคว้าแขนซูหลี
เงาร่างขององครักษ์ผู้นั้นขยับไหวเล็กน้อย นิ้วมือของเขาเกาะกุมหัวไหล่ของหยางเซียวด้วยความเร็วดั่งสายฟ้า ครั้นเคลื่อนกำลังภายใน เสียงกระดูกหักก็ดังทันที หยางเซียวร้องครวญอย่างไม่อาจควบคุม ซูหลีตกใจ นางซัดฝ่ามือใส่เขาทันทีอย่างไม่ลังเล นึกไม่ถึงว่าเขาจะเคลื่อนไหวรวดเร็วกว่า เพียงเสี้ยววินาที เขาก็พลิกฝ่ามือขึ้นมาคว้าข้อมือนางอย่างรวดเร็ว หวั่นซินเห็นเช่นนั้นก็ตกใจ รีบเงื้อฝ่ามือพุ่งตัวเข้าไปสกัดจุดชีพจรเขาพร้อมกับเจียงหยวน
เขาไม่แยแส คว้าตัวซูหลีให้ล้มตัวลงไปข้างหลังพร้อมกัน ในตอนนั้นเอง หลีเฟิ่งเซียนเหมือนเพิ่งได้สติ รีบเข้าไปขวางหวั่นซินกับเจียงหยวนให้ถอยห่าง ซูหลีนึกไม่ถึงว่าเสด็จพ่อจะยื่นมือเข้ามาแทรก จึงไม่กล้าขัดขืนรุนแรงนัก ทำได้เพียงยอมล้มตัวลงไปพร้อมกับองครักษ์ผู้นั้น แล้วนอนทับอยู่บนแผงอกกว้างของเขา
นางเงยหน้าขึ้น มองเห็นนัยน์ตาของเขาพอดี
อยู่ใกล้เพียงแค่นี้
ในดวงตาของเขามีทั้งความเจ็บปวด ความหวัง และความหวาดกลัวสะท้อนอยู่ นางแทบจะมองเห็นความรู้สึกทั้งหมดนั้นได้ตั้งแต่แวบแรก
“ไปกับข้า” เสียงทุ้มต่ำของเขาดังอยู่ข้างหูนาง เสียงอันคุ้นเคยที่ทำให้นางนอนไม่หลับ นางสั่นสะท้านไปทั้งตัวอย่างไม่อาจควบคุม
ทันใดนั้น ธนูแหลมลูกหนึ่งพุ่งแหวกอากาศ ยิงทะลุเข้ามาในหน้าต่างรถ จ่ออยู่ข้างลำคอของหลีเฟิ่งเซียนพอดี หากไม่ใช่ว่าเขาหลบทัน เกรงว่าคงปักทะลุคอเขาไปแล้ว
อีกสามคนที่เดิมกำลังชุลมุนวุ่นวายกันอยู่ในรถพลันหน้าเปลี่ยนสี สายตาของเขาผู้นั้นพลันเย็นเยียบ รีบกอดนางแล้วกลิ้งตัวลงจากรถ
รถม้าหยุดวิ่ง เสียงคำรามดังกึกก้องไปทั่วฟ้า
สายตาของซูหลีตึงเครียด นางไม่มีเวลาพูดอะไรมาก รีบผลักเขาออกแล้วคว้าตัวหยางเซียวกระโดดขึ้นไปอยู่บนหลังคารถม้า พวกหวั่นซินตกอยู่ท่ามกลางวงล้อม กำลังต่อสู้นองเลือดกับเหล่าทหารแคว้นเปี้ยน นอกวงต่อสู้ ผู้นำที่นั่งอยู่บนม้าไม่ได้สวมใส่ชุดเกราะ แต่กลับสวมชุดขุนนาง ซูหลียกดาบจ่อคอหยางเซียวอีกครั้ง แล้วหันไปตะโกนกับคนผู้นั้น “หยุดเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นข้าจะฆ่าเขาเสีย!”
คนผู้นั้นหันมามองทางนี้แวบหนึ่ง แต่กลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ
หยางเซียวอุทานเสียงเบา “คนผู้นี้ข้าไม่รู้จัก” สีหน้าดูหนักใจและตึงเครียด
ซูหลีสะท้านไปทั้งใจ “เขามิใช่ขุนนางหรือ?!”
หยางเซียวขมวดคิ้ว “ข้าไม่เคยเห็นเขา”
ซูหลีตื่นตะลึงและสงสัย ทหารที่ล้อมวงเข้ามาจากทั้งสี่ทิศเป็นทหารแคว้นเปี้ยนอย่างไม่ต้องสงสัย พวกเขาผ่านการฝึกฝนมาอย่างช่ำชอง แต่สีหน้าของหยางเซียวไม่เหมือนกำลังโกหก หรือว่าเซียวอ๋องหยางเจิ้นจงใจส่งคนที่ไม่รู้จักหยางเซียวมาขวางทาง? ซูหลีหัวเราะเย็นชา “ดูเหมือนเซียวอ๋องไม่สนว่าท่านจะเป็นหรือตายแล้ว”
หยางเซียวเหล่มองขุนนางผู้นำคนนั้น “ตัวเป็นคน นิสัยกลับเหมือนสุนัข คอยดูเถอะข้าจะเฉือนร่างเขาเป็นแปดชิ้น”
ซูหลีกล่าวเสียงเย็นชา “คิดหาทางรักษาชีวิตให้ได้ก่อนดีกว่ากระมัง”
บนป้อมปราการรอบทิศพลันปรากฏเงาร่างของมือธนูมากมาย ลูกธนูซัดสาดเข้าใส่รถม้าดั่งห่าฝน ซูหลีตกตะลึง รีบปล่อยตัวหยางเซียวให้กระโดดลงจากหลังคารถม้า เขาตวัดกระบี่อย่างรวดเร็วจนแม้แต่ลมยังไม่อาจเล็ดลอดผ่านไปได้ ในขณะที่สายตามองหาเงาร่างของชายสูงอายุผู้นั้น
ในตอนนี้เอง พลังแข็งแกร่งไร้เทียมทานขุมหนึ่งพลันระเบิดขึ้น ระลอกแรกยังไม่ทันจบ ระลอกใหม่ก็ตามมา เสียง ‘บึ้ม’ ดังสนั่นเลื่อนลั่น รถม้ากระจุยกระจายไม่เหลือชิ้นดี เศษไม้กระดานจากรถม้าราวกับได้รับพลังอันน่าตกใจ พุ่งแหวกอากาศตรงขึ้นไปบนป้อมปราการโดยรอบดั่งกระบี่คมคร่าชีวิต เสียงกรีดร้องโหยหวนดังระงมทันที ศพมากมายร่วงตกจากป้อมปราการ โลหิตสีแดงสาดกระเซ็นกลางอากาศ
เงาร่างสายหนึ่งโฉบกายขึ้นกลางอากาศ แล้วพุ่งทะยานตรงเข้ามาหาซูหลี แขนแกร่งโอบเอวบางด้วยเรี่ยวแรงและท่วงท่าที่ไม่เปิดช่องให้ปฏิเสธ ก่อนจะพานางเหินขึ้นไปยังหลังคาเรือนฝั่งตรงข้าม
เขาผิวปากเสียงยาว พลางพุ่งกายแหวกอากาศ
อีกด้านหนึ่งของถนน กำลังคนกลุ่มหนึ่งพลันขี่ม้าเข้ามาด้วยความรวดเร็ว จำนวนคนเพียงสิบกว่าคนเท่านั้น แต่มือถืออาวุธแหลมคม ยิงธนูอย่างต่อเนื่อง ไม่มีช่องโหว่เลยแม้แต่น้อย พริบตาเดียวก็โจมตีเหล่าทหารแคว้นเปี้ยนจนแตกกระเจิงไปคนละทิศคนละทาง
ซูหลีอดตกตะลึงไม่ได้ นี่มันอาวุธอะไรกัน อานุภาพร้ายแรงถึงเพียงนี้ หนึ่งคนรับมือได้ถึงสิบคน!
นางยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็เห็นผู้มาขี่ม้ามาถึงตรงหน้าแล้ว ครั้นเห็นซูหลีกับคนผู้นั้น ก็รีบโบกมือออกคำสั่ง กำลังคนสิบคนแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งคุ้มกันพวกเขา อีกกลุ่มหนึ่งฝ่าวงล้อมเข้าไปรับพวกหลีเฟิ่งเซียน ก่อนจะมุ่งหน้าออกจากหมู่บ้านด้วยความเร็ว โดยมีเหล่ามือธนูคอยยิงคุ้มกันให้
ครั้นเห็นหลีเฟิ่งเซียนหนีออกมาจากวงล้อมได้อย่างปลอดภัย ซูหลีถอนหายใจ ฝ่ามือใหญ่ตรงเอวบางกระชับแน่น เขาโอบนางกระโดดลงจากหลังคาเรือน แล้วทิ้งตัวลงบนยอดอาชาสูงใหญ่ตัวหนึ่ง!
……………………………………………………
Comments
กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ 333 พบหน้าอีกครั้ง (1)
สายตาเย็นชาของหยางเจิ้นตวัดมองมา นางแสยะยิ้มเย็นชา แล้วกล่าวว่า “เอารถม้ามาให้ข้ายืมใช้!”
หยางเจิ้นหรี่ตา เขาไม่โกรธเกรี้ยวแต่กลับหัวเราะ “ดี…ทูตนารี เจ้าช่างร้ายกาจนัก!”
ขณะที่เขากำลังจะโบกมือออกคำสั่ง ซูหลีรีบเอ่ยขึ้นว่า “สั่งให้คนของท่านออกจากศาลฉีเซียงให้หมด”
หยางเจิ้นกล่าวด้วยเสียงเย็นชา “ทูตนารีต้องการให้ข้าเปิดทางให้ขนาดไหน จึงจะสามารถหนีออกไปจากตังอวี๋ได้อย่างสง่าผ่าเผย?!”
ซูหลีเพียงยิ้มเย็น ไม่ตอบอะไร กล้ามเนื้อบนใบหน้าเขากระตุกสองสามครั้ง แววเหี้ยมเกรียมพาดผ่านดวงตา “ทุกคนจงฟัง ถอยออกจากศาลฉีเซียงเดี๋ยวนี้!”
เหล่าทหารรีบถอยหลังอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวศาลฉีเซียงก็เงียบกริบราวกับไม่เคยมีผู้ใดมาเยือน
ซูหลีนำทางหลีเฟิ่งเซียนและคนอื่นๆ ออกจากประตูใหญ่ เห็นรถม้าที่มีม้าเทียมสี่ตัวคันหนึ่งจอดอยู่ดังคาด รถม้ากว้างขวางกว่าปกติ ดูท่าแล้วคงเป็นรถม้าของหยางเจิ้น ซูหลีลากหยางเซียวขึ้นรถไปด้วย เหล่าองครักษ์ชุดเกราะสีดำกระโดดขึ้นรถม้าตามมา ฉินเหิงและเซี่ยงหลีบังคับรถม้าให้วิ่งออกจากตัวหมู่บ้านทันที
ด้านในรถม้าเงียบงันไร้เสียง ซูหลีลดกระบี่ในมือลงแล้ว หยางเซียวนอนตะแคงอยู่บนตั่ง ท่าทางเกียจคร้าน ไร้ท่าทางตื่นตระหนกและสำนึกรู้ของคนที่ถูกจับมาเป็นตัวประกัน เขายกมือลูบรอยแผลบนคอ พลางหันมอง ‘องครักษ์’ ที่อยู่ข้างกายหลีเฟิ่งเซียนด้วยสายตาที่แปรเปลี่ยนไปมา
“ทูตนารี โทษใหญ่หลวงฐานลักพาตัวองค์ชาย คือประหารชีวิตเก้าชั่วโคตรเชียวนะ” เขาบ่นด้วยใบหน้าคล้ายจะหัวเราะก็ไม่ใช่ จะร้องไห้ก็ไม่เชิง
ซูหลีทอดมองออกไปนอกตัวรถ นางจ้องถนนที่เงียบงันผิดปกติโดยไม่สนใจเขา
“มิทราบว่าท่านมีชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไร?” ครานี้ผู้ที่เอ่ยปากคือหลีเฟิ่งเซียน เขาจ้องมองนางด้วยสายตาสงสัยมาตลอดทาง
ซูหลีหลุบตาเล็กน้อย ไม่ตอบคำถาม
“ข้าน้อยได้ยินว่าเจ้าสำนักเฉินเหมินสิ้นใจอยู่ใต้ก้นแม่น้ำหลานชาง มิทราบว่าท่านเกี่ยวข้องเช่นไรกับเจ้าสำนักเฉินเหมินหรือ?” องครักษ์ที่อยู่ข้างกายเขาถามขึ้นด้วยเสียงที่แหบพร่าแฝงความร้อนใจ
หวั่นซินกล่าวขึ้นว่า “ข้าน้อยคือเจ้าสำนักคนใหม่ของเฉินเหมิน ทูตนารีเป็นหนึ่งในสี่ทูตของเฉินเหมินเรา เจ้าสำนักคนก่อนกับทูตนารีจะเกี่ยวข้องกันได้เช่นไร?”
องครักษ์ผู้นั้นหันมามองนางแวบหนึ่ง “สาวรับใช้ของเจ้าสำนัก กลายเป็นเจ้าสำนักคนใหม่ตั้งแต่เมื่อใดกัน? เช่นนั้นก็ขอแสดงความยินดีด้วย”
หวั่นซินยิ้มเย็นชา “ขอบคุณ” เอ่ยจบก็ไม่มองเขาอีก
หางตาขององครักษ์ผู้นั้นกระตุก คล้ายยังไม่ยอมแพ้ เขาจ้องซูหลีแล้วกล่าวอีกว่า “หลายวันก่อนท่านทำลายค่ายกลลับของแคว้นเฉิงเราได้อย่างง่ายดาย ข้าน้อยเลื่อมใสยิ่งนัก หวังว่าท่านจะเข้าร่วมกับกองทัพแคว้นเฉิงของเรา และถ่ายทอดวิชาให้อย่างไม่ตระหนี่ถี่เหนียว”
หวั่นซินขมวดคิ้ว กล่าวว่า “วันนี้พวกเราเฉินเหมินช่วยพวกท่านหนีออกมา เพราะหวังว่ากองทัพของสองแคว้นจะไม่ปะทะกัน และทำให้ไพร่ฟ้าเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้าอีก เหตุใดท่านต้องสร้างเรื่องให้วุ่นวาย?”
“ท่านต้องการให้กองทัพเฉิงเราถอยทัพ?” สายตาของเขาคมปลาบ ไอสังหารพาดผ่านชั่วขณะ
หยางเซียวพลันหัวเราะเสียงดัง “ฮ่องเต้แคว้นเฉิงสังหารน้องหญิงของข้า และนำทัพทหารมาบุกโจมตีด้วยจุดประสงค์ใดใต้หล้าย่อมรู้โดยทั่วกัน ยามนี้กลับเป็นฝ่ายเสนอเจรจาสงบศึก หรือยังคิดจะรบให้ตายกันไปข้างหนึ่ง? หากดวงวิญญาณของคนผู้นั้นรู้ว่าเขาสั่งทหารนับไม่ถ้วนให้ออกไปรบราฆ่าฟัน เกรงว่าคงจะไม่มีวันจากไปอย่างสงบสุข เจ้าว่าเช่นนั้นไหม ทูตนารี?” สายตาของเขาไหวระริก เขายิ้มตาหยี แล้วหันไปคว้าแขนซูหลี
เงาร่างขององครักษ์ผู้นั้นขยับไหวเล็กน้อย นิ้วมือของเขาเกาะกุมหัวไหล่ของหยางเซียวด้วยความเร็วดั่งสายฟ้า ครั้นเคลื่อนกำลังภายใน เสียงกระดูกหักก็ดังทันที หยางเซียวร้องครวญอย่างไม่อาจควบคุม ซูหลีตกใจ นางซัดฝ่ามือใส่เขาทันทีอย่างไม่ลังเล นึกไม่ถึงว่าเขาจะเคลื่อนไหวรวดเร็วกว่า เพียงเสี้ยววินาที เขาก็พลิกฝ่ามือขึ้นมาคว้าข้อมือนางอย่างรวดเร็ว หวั่นซินเห็นเช่นนั้นก็ตกใจ รีบเงื้อฝ่ามือพุ่งตัวเข้าไปสกัดจุดชีพจรเขาพร้อมกับเจียงหยวน
เขาไม่แยแส คว้าตัวซูหลีให้ล้มตัวลงไปข้างหลังพร้อมกัน ในตอนนั้นเอง หลีเฟิ่งเซียนเหมือนเพิ่งได้สติ รีบเข้าไปขวางหวั่นซินกับเจียงหยวนให้ถอยห่าง ซูหลีนึกไม่ถึงว่าเสด็จพ่อจะยื่นมือเข้ามาแทรก จึงไม่กล้าขัดขืนรุนแรงนัก ทำได้เพียงยอมล้มตัวลงไปพร้อมกับองครักษ์ผู้นั้น แล้วนอนทับอยู่บนแผงอกกว้างของเขา
นางเงยหน้าขึ้น มองเห็นนัยน์ตาของเขาพอดี
อยู่ใกล้เพียงแค่นี้
ในดวงตาของเขามีทั้งความเจ็บปวด ความหวัง และความหวาดกลัวสะท้อนอยู่ นางแทบจะมองเห็นความรู้สึกทั้งหมดนั้นได้ตั้งแต่แวบแรก
“ไปกับข้า” เสียงทุ้มต่ำของเขาดังอยู่ข้างหูนาง เสียงอันคุ้นเคยที่ทำให้นางนอนไม่หลับ นางสั่นสะท้านไปทั้งตัวอย่างไม่อาจควบคุม
ทันใดนั้น ธนูแหลมลูกหนึ่งพุ่งแหวกอากาศ ยิงทะลุเข้ามาในหน้าต่างรถ จ่ออยู่ข้างลำคอของหลีเฟิ่งเซียนพอดี หากไม่ใช่ว่าเขาหลบทัน เกรงว่าคงปักทะลุคอเขาไปแล้ว
อีกสามคนที่เดิมกำลังชุลมุนวุ่นวายกันอยู่ในรถพลันหน้าเปลี่ยนสี สายตาของเขาผู้นั้นพลันเย็นเยียบ รีบกอดนางแล้วกลิ้งตัวลงจากรถ
รถม้าหยุดวิ่ง เสียงคำรามดังกึกก้องไปทั่วฟ้า
สายตาของซูหลีตึงเครียด นางไม่มีเวลาพูดอะไรมาก รีบผลักเขาออกแล้วคว้าตัวหยางเซียวกระโดดขึ้นไปอยู่บนหลังคารถม้า พวกหวั่นซินตกอยู่ท่ามกลางวงล้อม กำลังต่อสู้นองเลือดกับเหล่าทหารแคว้นเปี้ยน นอกวงต่อสู้ ผู้นำที่นั่งอยู่บนม้าไม่ได้สวมใส่ชุดเกราะ แต่กลับสวมชุดขุนนาง ซูหลียกดาบจ่อคอหยางเซียวอีกครั้ง แล้วหันไปตะโกนกับคนผู้นั้น “หยุดเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นข้าจะฆ่าเขาเสีย!”
คนผู้นั้นหันมามองทางนี้แวบหนึ่ง แต่กลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ
หยางเซียวอุทานเสียงเบา “คนผู้นี้ข้าไม่รู้จัก” สีหน้าดูหนักใจและตึงเครียด
ซูหลีสะท้านไปทั้งใจ “เขามิใช่ขุนนางหรือ?!”
หยางเซียวขมวดคิ้ว “ข้าไม่เคยเห็นเขา”
ซูหลีตื่นตะลึงและสงสัย ทหารที่ล้อมวงเข้ามาจากทั้งสี่ทิศเป็นทหารแคว้นเปี้ยนอย่างไม่ต้องสงสัย พวกเขาผ่านการฝึกฝนมาอย่างช่ำชอง แต่สีหน้าของหยางเซียวไม่เหมือนกำลังโกหก หรือว่าเซียวอ๋องหยางเจิ้นจงใจส่งคนที่ไม่รู้จักหยางเซียวมาขวางทาง? ซูหลีหัวเราะเย็นชา “ดูเหมือนเซียวอ๋องไม่สนว่าท่านจะเป็นหรือตายแล้ว”
หยางเซียวเหล่มองขุนนางผู้นำคนนั้น “ตัวเป็นคน นิสัยกลับเหมือนสุนัข คอยดูเถอะข้าจะเฉือนร่างเขาเป็นแปดชิ้น”
ซูหลีกล่าวเสียงเย็นชา “คิดหาทางรักษาชีวิตให้ได้ก่อนดีกว่ากระมัง”
บนป้อมปราการรอบทิศพลันปรากฏเงาร่างของมือธนูมากมาย ลูกธนูซัดสาดเข้าใส่รถม้าดั่งห่าฝน ซูหลีตกตะลึง รีบปล่อยตัวหยางเซียวให้กระโดดลงจากหลังคารถม้า เขาตวัดกระบี่อย่างรวดเร็วจนแม้แต่ลมยังไม่อาจเล็ดลอดผ่านไปได้ ในขณะที่สายตามองหาเงาร่างของชายสูงอายุผู้นั้น
ในตอนนี้เอง พลังแข็งแกร่งไร้เทียมทานขุมหนึ่งพลันระเบิดขึ้น ระลอกแรกยังไม่ทันจบ ระลอกใหม่ก็ตามมา เสียง ‘บึ้ม’ ดังสนั่นเลื่อนลั่น รถม้ากระจุยกระจายไม่เหลือชิ้นดี เศษไม้กระดานจากรถม้าราวกับได้รับพลังอันน่าตกใจ พุ่งแหวกอากาศตรงขึ้นไปบนป้อมปราการโดยรอบดั่งกระบี่คมคร่าชีวิต เสียงกรีดร้องโหยหวนดังระงมทันที ศพมากมายร่วงตกจากป้อมปราการ โลหิตสีแดงสาดกระเซ็นกลางอากาศ
เงาร่างสายหนึ่งโฉบกายขึ้นกลางอากาศ แล้วพุ่งทะยานตรงเข้ามาหาซูหลี แขนแกร่งโอบเอวบางด้วยเรี่ยวแรงและท่วงท่าที่ไม่เปิดช่องให้ปฏิเสธ ก่อนจะพานางเหินขึ้นไปยังหลังคาเรือนฝั่งตรงข้าม
เขาผิวปากเสียงยาว พลางพุ่งกายแหวกอากาศ
อีกด้านหนึ่งของถนน กำลังคนกลุ่มหนึ่งพลันขี่ม้าเข้ามาด้วยความรวดเร็ว จำนวนคนเพียงสิบกว่าคนเท่านั้น แต่มือถืออาวุธแหลมคม ยิงธนูอย่างต่อเนื่อง ไม่มีช่องโหว่เลยแม้แต่น้อย พริบตาเดียวก็โจมตีเหล่าทหารแคว้นเปี้ยนจนแตกกระเจิงไปคนละทิศคนละทาง
ซูหลีอดตกตะลึงไม่ได้ นี่มันอาวุธอะไรกัน อานุภาพร้ายแรงถึงเพียงนี้ หนึ่งคนรับมือได้ถึงสิบคน!
นางยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็เห็นผู้มาขี่ม้ามาถึงตรงหน้าแล้ว ครั้นเห็นซูหลีกับคนผู้นั้น ก็รีบโบกมือออกคำสั่ง กำลังคนสิบคนแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งคุ้มกันพวกเขา อีกกลุ่มหนึ่งฝ่าวงล้อมเข้าไปรับพวกหลีเฟิ่งเซียน ก่อนจะมุ่งหน้าออกจากหมู่บ้านด้วยความเร็ว โดยมีเหล่ามือธนูคอยยิงคุ้มกันให้
ครั้นเห็นหลีเฟิ่งเซียนหนีออกมาจากวงล้อมได้อย่างปลอดภัย ซูหลีถอนหายใจ ฝ่ามือใหญ่ตรงเอวบางกระชับแน่น เขาโอบนางกระโดดลงจากหลังคาเรือน แล้วทิ้งตัวลงบนยอดอาชาสูงใหญ่ตัวหนึ่ง!
……………………………………………………
Comments