กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ 336 พบหน้าอีกครั้ง (4)

Now you are reading กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ Chapter 336 พบหน้าอีกครั้ง (4) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หยางเจิ้นนิ่งอึ้ง เนิ่นนานก็ยังไม่ได้สติ เขาจ้องหน้าซูหลีตาไม่กะพริบ คล้ายต้องการมองดวงหน้าที่ซ่อนอยู่ด้านหลังหน้ากากให้ชัดเจน ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาจึงค่อยๆ เอ่ยปากอย่างแช่มช้า “ทุกคนจงถอยออกไปให้หมด!”

เหล่าทหารอึ้งงัน อดไม่ได้ที่จะมองหน้ากัน เซียวอ๋องผู้เงียบขรึมคาดเดายากและไม่ค่อยลงรอยกับองค์ชายสี่มาโดยตลอด เหตุใดจึงเปลี่ยนใจง่ายๆ เช่นนี้? สตรีนางนี้เป็นใครกันแน่? ขุนพลอวี๋และคนอื่นๆ แม้มีคำถามอยู่ในใจ กลับไม่กล้าขัดขืนคำสั่งของเขา ทำได้เพียงสั่งการให้ทุกคนรีบถอยออกไปทันที

พวกหวั่นซินยืนแน่นิ่งไม่ขยับ ถึงแม้ซูหลีไม่อธิบาย แต่เรื่องที่เกิดขึ้นในหลายวันที่ผ่านมา ทำให้พวกเขาคาดเดาได้ว่าระหว่างเจ้าสำนักกับราชวงศ์เปี้ยนมีสายสัมพันธ์ที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อน ครั้นนึกถึงคำสั่งเสียก่อนตายของนางหลิ่ว หวั่นซินมีคำพูดอยู่ในใจเป็นหมื่นๆ คำ แต่กลับไม่อาจเรียงร้อยถ้อยคำได้ในชั่วขณะ

ซูหลีกล่าวเสียงขรึม “พวกเจ้าออกไปรอนอกกระโจม” ทั้งสี่คนจึงรับคำแล้วจากไป

ด้านในกระโจมเงียบมาก หยางเจิ้นจ้องหน้ากากสีเงินของนางเขม็ง อารมณ์ที่คาดเดาไม่ถูกไหลวนอยู่ในดวงตา ความหวังที่ตามหามานานหลายปี นางจะใช่คำตอบที่เขารอคอยหรือไม่?

“เอาละ ที่นี่ก็ไม่มีคนนอกแล้ว อาหลีน้อยเจ้าถอดหน้ากากได้แล้ว” หยางเซียวกล่าวด้วยใบหน้าเกลื่อนยิ้ม

ซูหลีถอดหน้ากาก ดวงหน้าที่ไม่ได้เผยสู่สายตาคนนอกมานานหลายวัน ยามนี้ผิวซีดขาวเล็กน้อย สีหน้าเรียบเฉยไม่แยแสสิ่งใด นัยน์ตากระจ่างใสดั่งดวงดารา พวงแก้มด้านซ้ายไร้ซึ่งร่องรอยปานสีแดงโลหิต ดวงหน้างามละเอียด สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ

หยางเจิ้นกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว นี่มัน ดวงหน้านี้มัน เหมือนกับพี่สาวยามเยาว์วัยในความทรงจำของเขาไม่มีผิด! มิน่าเล่าครั้งแรกที่พบกัน สตรีนางนี้ถึงได้ทำให้เขารู้สึกคุ้ยเคยอย่างบอกไม่ถูก!

“เสด็จอา หลานไม่ได้โกหกท่านใช่หรือไม่?”

ปฏิกิริยาของหยางเจิ้นที่ตกตะลึงจนพูดไม่ออกได้บ่งบอกทุกอย่างแล้ว ดวงหน้าที่คล้ายกันถึงเพียงนี้ หากบอกว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือด ผู้ใดจะเชื่อกันเล่า?!

“เจ้า เจ้าชื่ออะไร? ปีนี้อายุเท่าไรแล้ว?” เขาเดินเข้าไปหาซูหลีโดยไม่รู้ตัว น้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย

หยางเซียวโอบไหล่ซูหลี แล้วตอบเขาอย่างรู้หน้าที่ “นางชื่อซูหลี อายุสิบเจ็ดปี รุ่นราวคราวเดียวกับหลานพ่ะย่ะค่ะ”

พฤติกรรมสนิทสนมของเขาทำให้นางรู้สึกไม่พอใจนัก หมายจะดันแขนเขาออก หยางเซียวกลับชิงไหวตัวไปนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่อีกด้านหนึ่งก่อน แล้วร้องโวยวายเสียงดัง “ดุจริง! วันๆ คิดแต่จะตีข้าอย่างเดียวเลย!”

“สิบเจ็ดหรือ…เร็วจริงๆ…” บนใบหน้าหล่อเหลาของหยางเจิ้น ปรากฏแววตาเจ็บปวดที่ยากจะบรรยาย สิบกว่าปีมานี้ นางหายเงียบไปไร้ข่าวคราว เขาคิดมาโดยตลอดว่านางตายแล้ว! นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ วันนี้จะมีข่าวคราวของนาง

เขากุมไหล่ซูหลี แล้วถามอย่างร้อนใจ “มารดาของเจ้าอยู่ที่ใด? นางสบายดีหรือไม่?”

เสียงพูดของหยางเจิ้นสะท้อนความโหยหาและคาดหวังอย่างสุดแสน ทุกวาจาออกมาจากใจอย่างแท้จริง ไร้วี่แววเสแสร้ง ราวกับในโลกนี้ไม่มีเรื่องใดสำคัญกว่านี้อีกแล้ว! เสด็จแม่…ต้องสำคัญมากสำหรับเขาแน่ๆ

หัวใจอันหนาวเหน็บและด้านชาของซูหลี พลันรู้สึกได้ถึงความอบอุ่น หยางเจิ้นที่อยู่ตรงหน้านางเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่เคยพบกันมาก่อนแท้ๆ แต่เพราะเขาเองก็มีความรักอันลึกซึ้งต่อเสด็จแม่เช่นกัน จึงทำให้ระยะห่างระหว่างทั้งสองลดน้อยลงในพริบตา ความรู้สึกนี้ช่างแปลกประหลาด…แล้วก็อบอุ่นยิ่งนัก

นางข่มกลั้นความรู้สึกในใจ แล้วตอบคำถามเขาเบาๆ “เสด็จแม่สิ้นพระชนม์เมื่อปีที่ผ่านมาแล้ว ศพถูกฝังไว้ที่แคว้นเฉิงเพคะ!” เพียงวาจาไม่กี่คำ ก็ทำให้ภาพที่เสด็จแม่สิ้นใจหน้าโลงศพผุดขึ้นมาในสมองนางอีกครั้ง ความเจ็บปวดที่เคยกัดกินใจนางพลันกลืนกินนางอีกครั้ง!

แขนของหยางเจิ้นแข็งกระด้าง เขากุมไหล่นางไว้อย่างนั้นเนิ่นนาน ความหวังที่เพิ่งถูกจุดประกายขึ้นมา พลันดับสลายลงไปในพริบตาอีกครั้ง!

 เรี่ยวแรงจากฝ่ามือของเขามากจนน่าตกใจ ซูหลีอดทนต่อความเจ็บ “ตลอดมา ร่างกายนางไม่ค่อยแข็งแรง ปีที่แล้วเพราะการตายของท่านหญิงหมิงอวี้ ทำให้นางได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจ จนทนไม่ไหว…”

หน้าอกของหยางเจิ้นกระเพื่อมขึ้นลง อารมณ์พลุ่งพล่านจนยากจะควบคุม ผ่านไปครู่หนึ่งจึงค่อยตั้งสติได้ วาจาของซูหลีแม้รวบรัด เขากลับจับใจความสำคัญได้อย่างรวดเร็ว ศพถูกฝังไว้ที่แคว้นเฉิง…ซูหลีเรียกนางว่าเสด็จแม่ ท่านหญิงหมิงอวี้! แคว้นเฉิงมีท่านอ๋องเพียงสามท่าน จิ้งอันอ๋องตายแล้ว เจิ้นหนิงอ๋องขึ้นครองราชย์ เช่นนั้นก็เหลือแค่…ความคิดหนึ่งแล่นผ่านสมอง เขาตะโกนเสียงหลง “นางแต่งงานกับเซ่อเจิ้งอ๋องหลีเฟิ่งเซียนหรือ?”

ซูหลีพยักหน้าเงียบๆ

หยางเจิ้นพึมพำเสียงเบา “มิน่าเล่าวันนี้เจ้าถึงได้ช่วยเขาหลบหนี!” แต่เหมือนมีบางอย่างไม่ถูกต้อง…เขาพลันถามด้วยความสงสัย “เจ้าสกุลซู เขาสกุลหลี…”

“เสด็จอาอาจยังไม่ทราบ เรื่องนี้มีเงื่อนงำอยู่! ในอดีตเสด็จอาหญิงให้กำเนิดฝาแฝดหญิงคู่หนึ่งพ่ะย่ะค่ะ! อาหลีแยกจากกับเสด็จอาหญิงตั้งแต่เกิด นางเติบโตมาในจวนอัครเสนาบดี ท่านหญิงหมิงอวี้เป็นพี่สาวฝาแฝดของอาหลีพ่ะย่ะค่ะ” หยางเซียวเดินเข้ามา แล้วกล่าวอย่างเสียดาย “น่าเสียดายปีที่แล้วยามข้าไปเยือนแคว้นเฉิง ทั้งนางและเสด็จอาหญิงต่างก็ไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว”

ใบหน้าของหยางเจิ้นซีดขาว เขาค่อยๆ ถอยหลังนั่งลงบนเก้าอี้ หลับตาพูดอะไรไม่ออก

“ทุกชีวิตบนโลกล้วนมีการเกิดแก่เจ็บตาย เสด็จอาเองก็อย่าเสียพระทัยมากนักเลยพ่ะย่ะค่ะ หากดวงวิญญาณของเสด็จอาหญิงอยู่บนสวรรค์ คงไม่อยากให้ท่านเสียใจเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น อาหลีก็อยู่ตรงนี้แล้วอย่างไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ”

ใจของหยางเจิ้นพลันสั่นไหว สีหน้าเจ็บปวดจางหาย สายตาที่ทอดมองซูหลีสะท้อนแววอ่อนโยนและรักใคร่ ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาของเขาดูอ่อนโยนขึ้นหลายส่วน “อาหลี นับตั้งแต่นี้ไป เจ้าก็เหมือนบุตรสาวแท้ๆ ของข้า! หากต้องการอะไร บอกน้าได้เสมอ!”

“ขอบพระทัยเสด็จน้าเพคะ” ซูหลีถอนหายใจเบาๆ “ซูหลีมีเรื่องหนึ่งจะขอร้องเสด็จน้าเพคะ”

หยางเซียวหันมามองซูหลี คล้ายรู้ว่านางจะเอ่ยขอสิ่งใด

หยางเจิ้นยกถ้วยชาขึ้นจิบหนึ่งคำ แล้วจึงค่อยๆ เอ่ยอย่างแช่มช้า “นอกจากเรื่องสงบศึก เรื่องอื่น…น้ารับปากช่วยเจ้าได้ทั้งนั้น” ไม่รอให้นางกล่าวคำใด เขาก็แสดงจุดยืนอย่างชัดเจน ดวงตาเปล่งประกายร้อนรุ่ม แววหนักแน่นสะท้อนชัดกลางหว่างคิ้วคมเข้ม

ซูหลีกล่าวเสียงเรียบ “เหตุใดเสด็จน้าจึงยึดมั่นเช่นนั้นเพคะ?”

“ตงฟางเจ๋อสังหารองค์หญิงเจาหวา และทูตจากแคว้นเปี้ยนรวมทั้งสิ้นหนึ่งร้อยสามสิบเอ็ดคน! แล้วยังเป็นฝ่ายนำทัพมาบุกโจมตี รุกรานแคว้นเราก่อน เขาหยามเกียรติเราถึงเพียงนี้ อาหลี บอกน้าทีว่ามีเหตุผลใดที่แคว้นเปี้ยนของเราจะไม่เอาคืนเขา!”

“ถูกต้องแล้ว!” หยางเซียวรับคำต่อ รอยยิ้มในดวงตายังคงไม่จางหาย แต่วาจากลับเย็นชาแข็งกร้าว “เราจะปล่อยให้จบลงง่ายๆ เช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด! ต้องทวงคืนความเป็นธรรมให้แก่เสวียนเอ๋อร์ให้ได้! อาหลี ถึงแม้แคว้นเปี้ยนไม่อุดมสมบูรณ์เช่นแคว้นเฉิง แต่กำลังทหารของเราแข็งแกร่ง ไม่มีทางปล่อยให้ตงฟางเจ๋อหยามเกียรติเราได้ง่ายๆ แน่นอน!”

ซูหลีลอบตึงเครียด นางรู้ว่าการเสนอให้สงบศึกเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่ยังไม่ทันได้เข้าเรื่อง อารมณ์ของพวกเขาสองคนก็พลุ่งพล่าน ท่าทีแข็งกร้าวเช่นนี้แล้ว แทบไม่เปิดโอกาสให้นางพูดเข้าประเด็นเลยแม้แต่น้อย หากดึงดันสานต่อในยามนี้ เกรงว่าคงไม่ได้อะไรขึ้นมา ซ้ำยังเป็นการเพิ่มความไม่พอใจให้พวกเขาอีก ดูท่าแล้วนางคงต้องคิดหาวิธีอื่น

ครั้นเห็นซูหลีเงียบงันไม่พูดจา หยางเจิ้นพลันขมวดคิ้ว โบกมือ แล้วกล่าวว่า “ไม่พูดเรื่องน่าเบื่อพวกนี้แล้ว ถ่ายทอดคำสั่งลงไป คืนนี้ให้จัดงานเลี้ยงฉลองที่ข้ากับอาหลีได้พบหน้ากัน!”

หยางเซียวกล่าวกลั้วเสียงหัวเราะ “หรือคืนนี้เสด็จอาจะดื่มฉลองกับอาหลีจนเมามาย?”

เสียงของขุนพลอวี๋ดังเข้ามาจากด้านนอกกระโจม “ทูลท่านอ๋อง! ทูตจากแคว้นเฉิงส่งสารเจรจามาพ่ะย่ะค่ะ!”

ทั้งสามตกใจเล็กน้อย หยางเจิ้นกล่าวเสียงเข้ม “นำเข้ามา!”

ขุนพลอวี๋สาวเท้าเร็วๆ เข้ามาในกระโจม มอบจดหมายฉบับหนึ่งให้เขา หยางเจิ้นกวาดตาอ่านอย่างรวดเร็ว พร้อมกันกับที่กวาดตาอ่านจดหมาย ใบหน้าของเขาก็ตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ หยางเซียวชะโงกหน้าเข้าไป ไม่นาน สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงไม่ต่างกัน

…………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ 336 พบหน้าอีกครั้ง (4)

Now you are reading กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ Chapter 336 พบหน้าอีกครั้ง (4) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หยางเจิ้นนิ่งอึ้ง เนิ่นนานก็ยังไม่ได้สติ เขาจ้องหน้าซูหลีตาไม่กะพริบ คล้ายต้องการมองดวงหน้าที่ซ่อนอยู่ด้านหลังหน้ากากให้ชัดเจน ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาจึงค่อยๆ เอ่ยปากอย่างแช่มช้า “ทุกคนจงถอยออกไปให้หมด!”

เหล่าทหารอึ้งงัน อดไม่ได้ที่จะมองหน้ากัน เซียวอ๋องผู้เงียบขรึมคาดเดายากและไม่ค่อยลงรอยกับองค์ชายสี่มาโดยตลอด เหตุใดจึงเปลี่ยนใจง่ายๆ เช่นนี้? สตรีนางนี้เป็นใครกันแน่? ขุนพลอวี๋และคนอื่นๆ แม้มีคำถามอยู่ในใจ กลับไม่กล้าขัดขืนคำสั่งของเขา ทำได้เพียงสั่งการให้ทุกคนรีบถอยออกไปทันที

พวกหวั่นซินยืนแน่นิ่งไม่ขยับ ถึงแม้ซูหลีไม่อธิบาย แต่เรื่องที่เกิดขึ้นในหลายวันที่ผ่านมา ทำให้พวกเขาคาดเดาได้ว่าระหว่างเจ้าสำนักกับราชวงศ์เปี้ยนมีสายสัมพันธ์ที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อน ครั้นนึกถึงคำสั่งเสียก่อนตายของนางหลิ่ว หวั่นซินมีคำพูดอยู่ในใจเป็นหมื่นๆ คำ แต่กลับไม่อาจเรียงร้อยถ้อยคำได้ในชั่วขณะ

ซูหลีกล่าวเสียงขรึม “พวกเจ้าออกไปรอนอกกระโจม” ทั้งสี่คนจึงรับคำแล้วจากไป

ด้านในกระโจมเงียบมาก หยางเจิ้นจ้องหน้ากากสีเงินของนางเขม็ง อารมณ์ที่คาดเดาไม่ถูกไหลวนอยู่ในดวงตา ความหวังที่ตามหามานานหลายปี นางจะใช่คำตอบที่เขารอคอยหรือไม่?

“เอาละ ที่นี่ก็ไม่มีคนนอกแล้ว อาหลีน้อยเจ้าถอดหน้ากากได้แล้ว” หยางเซียวกล่าวด้วยใบหน้าเกลื่อนยิ้ม

ซูหลีถอดหน้ากาก ดวงหน้าที่ไม่ได้เผยสู่สายตาคนนอกมานานหลายวัน ยามนี้ผิวซีดขาวเล็กน้อย สีหน้าเรียบเฉยไม่แยแสสิ่งใด นัยน์ตากระจ่างใสดั่งดวงดารา พวงแก้มด้านซ้ายไร้ซึ่งร่องรอยปานสีแดงโลหิต ดวงหน้างามละเอียด สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ

หยางเจิ้นกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว นี่มัน ดวงหน้านี้มัน เหมือนกับพี่สาวยามเยาว์วัยในความทรงจำของเขาไม่มีผิด! มิน่าเล่าครั้งแรกที่พบกัน สตรีนางนี้ถึงได้ทำให้เขารู้สึกคุ้ยเคยอย่างบอกไม่ถูก!

“เสด็จอา หลานไม่ได้โกหกท่านใช่หรือไม่?”

ปฏิกิริยาของหยางเจิ้นที่ตกตะลึงจนพูดไม่ออกได้บ่งบอกทุกอย่างแล้ว ดวงหน้าที่คล้ายกันถึงเพียงนี้ หากบอกว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือด ผู้ใดจะเชื่อกันเล่า?!

“เจ้า เจ้าชื่ออะไร? ปีนี้อายุเท่าไรแล้ว?” เขาเดินเข้าไปหาซูหลีโดยไม่รู้ตัว น้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย

หยางเซียวโอบไหล่ซูหลี แล้วตอบเขาอย่างรู้หน้าที่ “นางชื่อซูหลี อายุสิบเจ็ดปี รุ่นราวคราวเดียวกับหลานพ่ะย่ะค่ะ”

พฤติกรรมสนิทสนมของเขาทำให้นางรู้สึกไม่พอใจนัก หมายจะดันแขนเขาออก หยางเซียวกลับชิงไหวตัวไปนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่อีกด้านหนึ่งก่อน แล้วร้องโวยวายเสียงดัง “ดุจริง! วันๆ คิดแต่จะตีข้าอย่างเดียวเลย!”

“สิบเจ็ดหรือ…เร็วจริงๆ…” บนใบหน้าหล่อเหลาของหยางเจิ้น ปรากฏแววตาเจ็บปวดที่ยากจะบรรยาย สิบกว่าปีมานี้ นางหายเงียบไปไร้ข่าวคราว เขาคิดมาโดยตลอดว่านางตายแล้ว! นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ วันนี้จะมีข่าวคราวของนาง

เขากุมไหล่ซูหลี แล้วถามอย่างร้อนใจ “มารดาของเจ้าอยู่ที่ใด? นางสบายดีหรือไม่?”

เสียงพูดของหยางเจิ้นสะท้อนความโหยหาและคาดหวังอย่างสุดแสน ทุกวาจาออกมาจากใจอย่างแท้จริง ไร้วี่แววเสแสร้ง ราวกับในโลกนี้ไม่มีเรื่องใดสำคัญกว่านี้อีกแล้ว! เสด็จแม่…ต้องสำคัญมากสำหรับเขาแน่ๆ

หัวใจอันหนาวเหน็บและด้านชาของซูหลี พลันรู้สึกได้ถึงความอบอุ่น หยางเจิ้นที่อยู่ตรงหน้านางเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่เคยพบกันมาก่อนแท้ๆ แต่เพราะเขาเองก็มีความรักอันลึกซึ้งต่อเสด็จแม่เช่นกัน จึงทำให้ระยะห่างระหว่างทั้งสองลดน้อยลงในพริบตา ความรู้สึกนี้ช่างแปลกประหลาด…แล้วก็อบอุ่นยิ่งนัก

นางข่มกลั้นความรู้สึกในใจ แล้วตอบคำถามเขาเบาๆ “เสด็จแม่สิ้นพระชนม์เมื่อปีที่ผ่านมาแล้ว ศพถูกฝังไว้ที่แคว้นเฉิงเพคะ!” เพียงวาจาไม่กี่คำ ก็ทำให้ภาพที่เสด็จแม่สิ้นใจหน้าโลงศพผุดขึ้นมาในสมองนางอีกครั้ง ความเจ็บปวดที่เคยกัดกินใจนางพลันกลืนกินนางอีกครั้ง!

แขนของหยางเจิ้นแข็งกระด้าง เขากุมไหล่นางไว้อย่างนั้นเนิ่นนาน ความหวังที่เพิ่งถูกจุดประกายขึ้นมา พลันดับสลายลงไปในพริบตาอีกครั้ง!

 เรี่ยวแรงจากฝ่ามือของเขามากจนน่าตกใจ ซูหลีอดทนต่อความเจ็บ “ตลอดมา ร่างกายนางไม่ค่อยแข็งแรง ปีที่แล้วเพราะการตายของท่านหญิงหมิงอวี้ ทำให้นางได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจ จนทนไม่ไหว…”

หน้าอกของหยางเจิ้นกระเพื่อมขึ้นลง อารมณ์พลุ่งพล่านจนยากจะควบคุม ผ่านไปครู่หนึ่งจึงค่อยตั้งสติได้ วาจาของซูหลีแม้รวบรัด เขากลับจับใจความสำคัญได้อย่างรวดเร็ว ศพถูกฝังไว้ที่แคว้นเฉิง…ซูหลีเรียกนางว่าเสด็จแม่ ท่านหญิงหมิงอวี้! แคว้นเฉิงมีท่านอ๋องเพียงสามท่าน จิ้งอันอ๋องตายแล้ว เจิ้นหนิงอ๋องขึ้นครองราชย์ เช่นนั้นก็เหลือแค่…ความคิดหนึ่งแล่นผ่านสมอง เขาตะโกนเสียงหลง “นางแต่งงานกับเซ่อเจิ้งอ๋องหลีเฟิ่งเซียนหรือ?”

ซูหลีพยักหน้าเงียบๆ

หยางเจิ้นพึมพำเสียงเบา “มิน่าเล่าวันนี้เจ้าถึงได้ช่วยเขาหลบหนี!” แต่เหมือนมีบางอย่างไม่ถูกต้อง…เขาพลันถามด้วยความสงสัย “เจ้าสกุลซู เขาสกุลหลี…”

“เสด็จอาอาจยังไม่ทราบ เรื่องนี้มีเงื่อนงำอยู่! ในอดีตเสด็จอาหญิงให้กำเนิดฝาแฝดหญิงคู่หนึ่งพ่ะย่ะค่ะ! อาหลีแยกจากกับเสด็จอาหญิงตั้งแต่เกิด นางเติบโตมาในจวนอัครเสนาบดี ท่านหญิงหมิงอวี้เป็นพี่สาวฝาแฝดของอาหลีพ่ะย่ะค่ะ” หยางเซียวเดินเข้ามา แล้วกล่าวอย่างเสียดาย “น่าเสียดายปีที่แล้วยามข้าไปเยือนแคว้นเฉิง ทั้งนางและเสด็จอาหญิงต่างก็ไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว”

ใบหน้าของหยางเจิ้นซีดขาว เขาค่อยๆ ถอยหลังนั่งลงบนเก้าอี้ หลับตาพูดอะไรไม่ออก

“ทุกชีวิตบนโลกล้วนมีการเกิดแก่เจ็บตาย เสด็จอาเองก็อย่าเสียพระทัยมากนักเลยพ่ะย่ะค่ะ หากดวงวิญญาณของเสด็จอาหญิงอยู่บนสวรรค์ คงไม่อยากให้ท่านเสียใจเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น อาหลีก็อยู่ตรงนี้แล้วอย่างไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ”

ใจของหยางเจิ้นพลันสั่นไหว สีหน้าเจ็บปวดจางหาย สายตาที่ทอดมองซูหลีสะท้อนแววอ่อนโยนและรักใคร่ ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาของเขาดูอ่อนโยนขึ้นหลายส่วน “อาหลี นับตั้งแต่นี้ไป เจ้าก็เหมือนบุตรสาวแท้ๆ ของข้า! หากต้องการอะไร บอกน้าได้เสมอ!”

“ขอบพระทัยเสด็จน้าเพคะ” ซูหลีถอนหายใจเบาๆ “ซูหลีมีเรื่องหนึ่งจะขอร้องเสด็จน้าเพคะ”

หยางเซียวหันมามองซูหลี คล้ายรู้ว่านางจะเอ่ยขอสิ่งใด

หยางเจิ้นยกถ้วยชาขึ้นจิบหนึ่งคำ แล้วจึงค่อยๆ เอ่ยอย่างแช่มช้า “นอกจากเรื่องสงบศึก เรื่องอื่น…น้ารับปากช่วยเจ้าได้ทั้งนั้น” ไม่รอให้นางกล่าวคำใด เขาก็แสดงจุดยืนอย่างชัดเจน ดวงตาเปล่งประกายร้อนรุ่ม แววหนักแน่นสะท้อนชัดกลางหว่างคิ้วคมเข้ม

ซูหลีกล่าวเสียงเรียบ “เหตุใดเสด็จน้าจึงยึดมั่นเช่นนั้นเพคะ?”

“ตงฟางเจ๋อสังหารองค์หญิงเจาหวา และทูตจากแคว้นเปี้ยนรวมทั้งสิ้นหนึ่งร้อยสามสิบเอ็ดคน! แล้วยังเป็นฝ่ายนำทัพมาบุกโจมตี รุกรานแคว้นเราก่อน เขาหยามเกียรติเราถึงเพียงนี้ อาหลี บอกน้าทีว่ามีเหตุผลใดที่แคว้นเปี้ยนของเราจะไม่เอาคืนเขา!”

“ถูกต้องแล้ว!” หยางเซียวรับคำต่อ รอยยิ้มในดวงตายังคงไม่จางหาย แต่วาจากลับเย็นชาแข็งกร้าว “เราจะปล่อยให้จบลงง่ายๆ เช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด! ต้องทวงคืนความเป็นธรรมให้แก่เสวียนเอ๋อร์ให้ได้! อาหลี ถึงแม้แคว้นเปี้ยนไม่อุดมสมบูรณ์เช่นแคว้นเฉิง แต่กำลังทหารของเราแข็งแกร่ง ไม่มีทางปล่อยให้ตงฟางเจ๋อหยามเกียรติเราได้ง่ายๆ แน่นอน!”

ซูหลีลอบตึงเครียด นางรู้ว่าการเสนอให้สงบศึกเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่ยังไม่ทันได้เข้าเรื่อง อารมณ์ของพวกเขาสองคนก็พลุ่งพล่าน ท่าทีแข็งกร้าวเช่นนี้แล้ว แทบไม่เปิดโอกาสให้นางพูดเข้าประเด็นเลยแม้แต่น้อย หากดึงดันสานต่อในยามนี้ เกรงว่าคงไม่ได้อะไรขึ้นมา ซ้ำยังเป็นการเพิ่มความไม่พอใจให้พวกเขาอีก ดูท่าแล้วนางคงต้องคิดหาวิธีอื่น

ครั้นเห็นซูหลีเงียบงันไม่พูดจา หยางเจิ้นพลันขมวดคิ้ว โบกมือ แล้วกล่าวว่า “ไม่พูดเรื่องน่าเบื่อพวกนี้แล้ว ถ่ายทอดคำสั่งลงไป คืนนี้ให้จัดงานเลี้ยงฉลองที่ข้ากับอาหลีได้พบหน้ากัน!”

หยางเซียวกล่าวกลั้วเสียงหัวเราะ “หรือคืนนี้เสด็จอาจะดื่มฉลองกับอาหลีจนเมามาย?”

เสียงของขุนพลอวี๋ดังเข้ามาจากด้านนอกกระโจม “ทูลท่านอ๋อง! ทูตจากแคว้นเฉิงส่งสารเจรจามาพ่ะย่ะค่ะ!”

ทั้งสามตกใจเล็กน้อย หยางเจิ้นกล่าวเสียงเข้ม “นำเข้ามา!”

ขุนพลอวี๋สาวเท้าเร็วๆ เข้ามาในกระโจม มอบจดหมายฉบับหนึ่งให้เขา หยางเจิ้นกวาดตาอ่านอย่างรวดเร็ว พร้อมกันกับที่กวาดตาอ่านจดหมาย ใบหน้าของเขาก็ตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ หยางเซียวชะโงกหน้าเข้าไป ไม่นาน สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงไม่ต่างกัน

…………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+