กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ 340 รักสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน (4)

Now you are reading กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ Chapter 340 รักสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน (4) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ข้าชอบคบค้าสมาคมกับผู้อื่นเป็นที่สุด ไม่เคยสนใจว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ตงฟางเจ๋อ ท่านเองก็ขี้สงสัยเกินไปกระมัง” หยางเซียวขานชื่อเขาตรงๆ อย่างไม่ไว้หน้า ก่อนจะเหยียดแข้งขาอย่างเกียจคร้าน แล้วกล่าวเสียงเย็นชา “เอาละ เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า ตกลงว่าจะเจรจาอะไรกันบ้าง”

ทุกคนต่างเคยชินกับท่าทางเหลาะแหละของเขาแล้ว ตงฟางเจ๋อจึงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “สงครามครั้งนี้หากยังยืดเยื้อออกไป รังแต่จะส่งผลเสียต่อทั้งสองแคว้น มิสู้พิจารณาสงบศึกกันดีกว่า”

หยางเซียวแค่นหัวเราะเย็นชา “ใต้หล้าล้วนรู้กันดี ท่านพิโรธเพราะเรื่องที่ท่านหญิงหมิงซีกระโดดแม่น้ำ จึงหมายจะบุกแคว้นเปี้ยนของเราให้ราบเป็นหน้ากลองเพื่อระบายความแค้นในใจ ยามนี้ยังไม่ทันบรรลุเป้าหมาย เหตุใดจึงเสนอให้สงบศึกแล้วเล่า? หรือว่า ท่านคิดจะเล่นลูกไม้อะไรอีก?”

“ข้ามาเพื่อเจรจาเงื่อนไขในการสงบศึกเท่านั้น เรื่องอื่น ไม่เกี่ยวกับองค์ชายสี่”

“ไม่เกี่ยวกับข้า? ฮ่าๆ เจาหวาและคณะทูตหนึ่งร้อยสามสิบกว่าชีวิตตายอย่างอนาถด้วยน้ำมือท่าน ท่านกลับบอกว่าไม่เกี่ยวกับข้า? ตงฟางเจ๋อ ท่านคิดจะเบี้ยวหนี้อย่างนั้นหรือ?” ครั้นนึกถึงความแค้นที่เขาสังหารน้องสาว ความแค้นก็พลันครอบงำหัวใจของหยางเซียว ขอบตาของเขาแดงก่ำ

“นางกล้าร่วมมือกับจั้นอู๋จี๋ทำเรื่องอะไรมากมาย ก็ควรรู้ว่าจะต้องพบกับจุดจบเช่นนั้น!” แววเหี้ยมโหดพาดผ่านใบหน้าตงฟางเจ๋อ น้ำเสียงเย็นชาดั่งน้ำแข็ง เห็นได้ชัดว่ายังคงไม่ลืมเรื่องที่หยางเสวียนทำไว้

ครั้นบุรุษทั้งสองคิดถึงเรื่องราวอันเจ็บปวด ไอสังหารก็แผ่ปกคลุมหัวใจ บรรยากาศในศาลฉีเซียงพลันแปรเปลี่ยนเป็นตึงเครียดทันที

ซูหลีหลุบตาลงเล็กน้อย สายตาเรียบนิ่งสุดแสน ชั่วขณะหนึ่ง นางรู้สึกว่าเรื่องราวเหล่านี้เป็นเรื่องไกลตัวสำหรับนาง ไกลมากเหลือเกิน

‘แค่กๆ’ สายลมเย็นพัดผ่านด้านนอกประตู ตงฟางเจ๋อไอติดต่อกันหลายครั้ง เขายกกำปั้นขึ้นกุมปาก เงาร่างสูงใหญ่สั่นสะท้านเล็กน้อย วัตถุสีขาวขนาดเล็กชิ้นหนึ่งโผล่พ้นออกมานอกสาบเสื้อ เมื่ออยู่บนอาภรณ์สีดำบนร่างกายเขายิ่งดูโดดเด่นสะดุดตา เงางามและวาววับยิ่งกว่าเดิม

สายตาของซูหลีแปรเปลี่ยนเล็กน้อย แหวนหยกขาว!

หยางเซียวเองก็เห็นเช่นกัน ใบหน้าเขาตึงเครียดทันที เห็นได้ชัดว่าเขานึกไม่ถึงว่าแหวนยังคงอยู่กับตงฟางเจ๋อ

ท่าทางที่เปลี่ยนไปของซูหลีมิได้เล็ดลอดสายตาอันแหลมคมของตงฟางเจ๋อไป เขาลอบสังเกตปฏิกิริยาของนางอย่างเงียบๆ หลังจากปรับลมหายใจให้เป็นปกติ ก็ถามว่า “ทูตนารีเองก็รู้จักสิ่งนี้หรือ?”

สายตาของซูหลีขรึมลงเล็กน้อย “หม่อมฉันเคยได้ยินเจ้าสำนักคนเก่าพูดถึง บอกว่าของสิ่งนี้เป็นของของนาง” เสียงของนางหลังจากกินยาแปรเปลี่ยนเป็นแหบพร่าและทุ้มต่ำ โชคดีที่นางป้องกันไว้ก่อน มิเช่นนั้นการที่ตงฟางเจ๋อปรากฏตัวกะทันหันเช่นนี้อาจทำให้ง่ายต่อการเปิดเผยช่องโหว่ได้ หัวใจพลันสั่นสะท้าน เกรงว่าเรื่องแหวนนี้เขาก็คงจงใจล่อให้นางเปิดปากพูดด้วยเช่นกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่ถามนางผู้เดียวว่ารู้จักของสิ่งนี้หรือไม่?

“ถูกต้องแล้ว เป็นของของนางจริงๆ แล้วก็เป็นของแทนใจระหว่างนางกับข้าด้วย” ตงฟางเจ๋อยกมือลูบแหวนโดยไม่รู้ตัว ราวกับต้องการสัมผัสความอบอุ่นของนาง สายตาลึกล้ำจ้องมองซูหลีเขม็ง คล้ายต้องการค้นหาคำตอบจากดวงตาของนางที่ซ่อนอยู่ด้านหลังหน้ากาก

หัวใจของซูหลีสั่นไหวอย่างไม่อาจควบคุม แหวนวงนี้ถือเป็นสิ่งที่พิเศษมากสำหรับพวกเขาสองคนจริงๆ มันมีความทรงจำที่ยากจะลืมเลือนมากมาย มากมายจนทำให้นางไม่อาจมองข้ามได้! นางพยายามควบคุมลมหายใจให้เป็นปกติ ไม่ปล่อยให้ดวงตาของตนเองแสดงอารมณ์ไปมากกว่านี้

สายตาของหยางเซียวเย็นชาลงเล็กน้อย เขากล่าวด้วยใบหน้าเกลื่อนยิ้ม “นี่เป็นของของสหายเก่าเสด็จพ่อข้า ท่านรู้ตั้งแต่ตอนอยู่เทียนเหมินแล้ว คิดจะครอบครองก็ควรหาเหตุผลที่ดีกว่านี้หน่อย”

สายตาของตงฟางเจ๋อวูบไหวเล็กน้อย พลันกล่าวขึ้นว่า “องค์ชายสี่ต้องการแหวนวงนี้?”

ใบหน้าของหยางเซียวบึ้งตึง “ท่านถามทั้งที่รู้ดีแก่ใจ!”

ตงฟางเจ๋อแย้มยิ้มเล็กน้อย “เช่นนั้นก็ดี พวกเรามาเล่นเกมกัน องค์ชายสี่กล้าหรือไม่?”

ทุกคนอึ้งงัน ตงฟางเจ๋อที่เป็นคนเคร่งขรึมจริงจังมาโดยตลอด เหตุใดจู่ๆ ก็พูดถึงการเล่นเกมขึ้นมาในระหว่างเจรจาสงบศึกเล่า? หากเปลี่ยนเป็นหยางเซียวเสนอให้เล่นเกมยังจะดูสมเหตุสมผลเสียกว่า

มีเพียงซูหลีที่พลันตึงเครียดขึ้นมาทันที เบื้องหลังรอยยิ้มงดงามของเขาเห็นชัดว่ามีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงอยู่ นางรู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่าจะต้องเกี่ยวข้องกับตนเองเป็นแน่

“เหอะ ช่างน่าขัน ข้ามีหรือจะไม่กล้า?” หยางเซียวกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไหนลองอธิบายกติกาให้ฟังที”

“ให้แต่ละฝ่ายส่งคนออกมาหนึ่งคน ผู้ใดเอาชนะอีกฝ่ายได้ แหวนก็จะตกเป็นของผู้นั้น ผู้ชนะสามารถขอให้ผู้แพ้ทำตามความต้องการได้หนึ่งเรื่อง เป็นเช่นไร?”

ดูเหมือนจะไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสม แต่ซูหลีกลับได้กลิ่นแผนร้ายรางๆ

หยางเซียวหรี่ตา แล้วถามโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง “หากเสมอกันเล่า?”

“ไม่มีทางเสมอกัน!” ตงฟางเจ๋อกล่าวอย่างหนักแน่น “ทว่า…คนที่จะต่อสู้กันในครั้งนี้ ข้าต้องเป็นผู้เลือก”

ซูหลีเดาได้แต่แรกแล้วว่าเขาจะพูดอะไรต่อ เขายังคงไม่ยอมตัดใจ ทำทุกวิถีทางเพื่อจะพาตัวนางกลับไปให้ได้! เขานึกว่านางยังเป็นซูหลีที่มีวรยุทธ์ต่ำต้อยเช่นในอดีตงั้นหรือ?

เขาหันมามองหน้านาง แล้วแย้มยิ้มเล็กน้อย “ได้ยินมาว่าทูตนารีเป็นยอดฝีมือและมีจิตใจกล้าหาญ สามารถแก้ปัญหาเรื่องการลอบโจมตีในวันนั้นได้โดยลำพัง ข้าเลื่อมใสยิ่งนัก”

ซูหลีจ้องเขาอย่างเย็นชา รู้ทั้งรู้ว่าเขามีจุดประสงค์ไม่บริสุทธิ์ แต่นางก็ไม่มีทางเลือกอื่น ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเขาว่าแหวนวงนี้มีความหมายกับนางมากแค่ไหน! การต่อสู้ครั้งนี้ นางต้องชนะเท่านั้น ไม่อาจพ่ายแพ้เด็ดขาด!

“องค์ชายสี่ทรงเห็นว่าอย่างไร?”

สายตาของหยางเซียวสับสนยุ่งเหยิง เขามองซูหลีแวบเดียวก็เข้าใจแล้ว เรื่องมาถึงขั้นนี้เขายังพูดอะไรได้อีก? เจ้าตงฟางเจ๋อนั่น! แสร้งทำเป็นบอกว่าเจรจาสงบศึก ที่แท้แล้วจุดประสงค์จริงๆ ของเขามีเพียงซูหลีเท่านั้น! หยางเซียวทำได้เพียงข่มกลั้นความไม่พอใจ แล้วพยักหน้าเงียบๆ

ทุกคนถอยออกห่างตามที่ตงฟางเจ๋อต้องการ ยามนี้ละอองฝนหยุดไปแล้ว อากาศหนาวเย็นและเปียกชื้น เส้นขอบฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยสีเทา

ในห้องมีเพียงตงฟางเจ๋อกับซูหลีเพียงสองคนเท่านั้น พวกเขาแยกกันยืนคนละฝั่ง ต่างฝ่ายต่างจ้องหน้าอีกคน

ศิษย์สำนักเฉินเหมินยืนอยู่ด้านหนึ่ง เซี่ยงหลีชะโงกหน้าดู แล้วกระซิบข้างหูหวั่นซินเบาๆ “นี่ เจ้าว่าพวกเขาสองคนใครจะชนะ?”

หวั่นซินเม้มปาก ไม่พูดอะไร ถึงแม้ซูหลีจะได้รับกำลังภายในของจิ้งหวั่นที่ฝึกฝนมานานสิบกว่าปี ส่งผลให้ลมปราณแข็งแกร่งขึ้น แต่ถึงอย่างไรพลังงานทั้งสองขุมก็ยังไม่ได้หลอมรวมเป็นหนึ่ง หากต้องการเอาชนะตงฟางเจ๋อที่มีวรยุทธ์ล้ำลึกยากคาดเดา เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยจริงๆ

เจียงหยวนกล่าวด้วยความกังวล “ต่อสู้กับตงฟางเจ๋อ มีแต่จะทำให้นางต้องใช้ชี่แท้ เกรงว่าจะทำให้นางบาดเจ็บ”

ฉินเหิงกลับยกมือขึ้น แล้วกล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจ “ข้ากลับไม่คิดเช่นนั้น ฮ่องเต้แคว้นเฉิงมีความรู้สึกอันลึกซึ้งต่อนางมาโดยตลอด อย่างไรก็ต้องออมมือ ไม่มีทางทำร้ายนางแน่นอน ข้าคิดว่าเจ้าสำนักของเราจะต้องชนะแน่ๆ”

เซี่ยงหลีถูมือไปมา หัวเราะเจ้าเล่ห์ แล้วกล่าวว่า “สมกับเป็นยอดนักสืบจริงๆ ความสามารถในการสังเกตการณ์เยี่ยมยอด ข้าเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน นี่ ข้ามีความคิดดีๆ มิสู้พวกเรามาพนันกันสักตั้งไหมเล่า!”

นานแล้วที่เขาไม่ได้เข้าบ่อนพนัน ข้อเสนอสุดแสนจะตื่นเต้นของเขาทำให้อีกสามคนที่เหลือพร้อมใจกันมองขึ้นฟ้า เห็นได้ชัดว่าหน่ายใจกับพฤติกรรมของเขาเพียงใด

เซี่ยงหลีหมดสนุกทันที เขากลอกตามองบนแล้วบ่นพึมพำเสียงเบา “น่าเบื่อจริงๆ”

เขายังพูดไม่ทันจบประโยค ก็ได้ยินเสียง ‘ปังๆๆๆๆ’ ดังติดต่อกันหลายครั้ง สายลมแรงพัดผ่าน ประตูหน้าต่างทุกบานในห้องโถงปิดสนิททันที

ในห้องโถงไม่มีแสงสว่างแม้แต่น้อย ทำให้มิอาจมองเห็นอีกฝ่ายได้ เงียบงันไร้เสียง เงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจอันแผ่วเบาที่คล้ายมีคล้ายไม่มีของอีกฝ่าย

ทุกอย่างกลับไปเหมือนตอนที่เพิ่งพบกันครั้งแรกอีกครั้ง ในห้องอาบน้ำของโรงเตี๊ยมริมแม่น้ำหลานชาง ทั้งสองต่างมองไม่เห็นอีกฝ่าย ทว่ากลับรับรู้ได้ถึงตัวตนของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน

……………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ 340 รักสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน (4)

Now you are reading กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ Chapter 340 รักสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน (4) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ข้าชอบคบค้าสมาคมกับผู้อื่นเป็นที่สุด ไม่เคยสนใจว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ตงฟางเจ๋อ ท่านเองก็ขี้สงสัยเกินไปกระมัง” หยางเซียวขานชื่อเขาตรงๆ อย่างไม่ไว้หน้า ก่อนจะเหยียดแข้งขาอย่างเกียจคร้าน แล้วกล่าวเสียงเย็นชา “เอาละ เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า ตกลงว่าจะเจรจาอะไรกันบ้าง”

ทุกคนต่างเคยชินกับท่าทางเหลาะแหละของเขาแล้ว ตงฟางเจ๋อจึงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “สงครามครั้งนี้หากยังยืดเยื้อออกไป รังแต่จะส่งผลเสียต่อทั้งสองแคว้น มิสู้พิจารณาสงบศึกกันดีกว่า”

หยางเซียวแค่นหัวเราะเย็นชา “ใต้หล้าล้วนรู้กันดี ท่านพิโรธเพราะเรื่องที่ท่านหญิงหมิงซีกระโดดแม่น้ำ จึงหมายจะบุกแคว้นเปี้ยนของเราให้ราบเป็นหน้ากลองเพื่อระบายความแค้นในใจ ยามนี้ยังไม่ทันบรรลุเป้าหมาย เหตุใดจึงเสนอให้สงบศึกแล้วเล่า? หรือว่า ท่านคิดจะเล่นลูกไม้อะไรอีก?”

“ข้ามาเพื่อเจรจาเงื่อนไขในการสงบศึกเท่านั้น เรื่องอื่น ไม่เกี่ยวกับองค์ชายสี่”

“ไม่เกี่ยวกับข้า? ฮ่าๆ เจาหวาและคณะทูตหนึ่งร้อยสามสิบกว่าชีวิตตายอย่างอนาถด้วยน้ำมือท่าน ท่านกลับบอกว่าไม่เกี่ยวกับข้า? ตงฟางเจ๋อ ท่านคิดจะเบี้ยวหนี้อย่างนั้นหรือ?” ครั้นนึกถึงความแค้นที่เขาสังหารน้องสาว ความแค้นก็พลันครอบงำหัวใจของหยางเซียว ขอบตาของเขาแดงก่ำ

“นางกล้าร่วมมือกับจั้นอู๋จี๋ทำเรื่องอะไรมากมาย ก็ควรรู้ว่าจะต้องพบกับจุดจบเช่นนั้น!” แววเหี้ยมโหดพาดผ่านใบหน้าตงฟางเจ๋อ น้ำเสียงเย็นชาดั่งน้ำแข็ง เห็นได้ชัดว่ายังคงไม่ลืมเรื่องที่หยางเสวียนทำไว้

ครั้นบุรุษทั้งสองคิดถึงเรื่องราวอันเจ็บปวด ไอสังหารก็แผ่ปกคลุมหัวใจ บรรยากาศในศาลฉีเซียงพลันแปรเปลี่ยนเป็นตึงเครียดทันที

ซูหลีหลุบตาลงเล็กน้อย สายตาเรียบนิ่งสุดแสน ชั่วขณะหนึ่ง นางรู้สึกว่าเรื่องราวเหล่านี้เป็นเรื่องไกลตัวสำหรับนาง ไกลมากเหลือเกิน

‘แค่กๆ’ สายลมเย็นพัดผ่านด้านนอกประตู ตงฟางเจ๋อไอติดต่อกันหลายครั้ง เขายกกำปั้นขึ้นกุมปาก เงาร่างสูงใหญ่สั่นสะท้านเล็กน้อย วัตถุสีขาวขนาดเล็กชิ้นหนึ่งโผล่พ้นออกมานอกสาบเสื้อ เมื่ออยู่บนอาภรณ์สีดำบนร่างกายเขายิ่งดูโดดเด่นสะดุดตา เงางามและวาววับยิ่งกว่าเดิม

สายตาของซูหลีแปรเปลี่ยนเล็กน้อย แหวนหยกขาว!

หยางเซียวเองก็เห็นเช่นกัน ใบหน้าเขาตึงเครียดทันที เห็นได้ชัดว่าเขานึกไม่ถึงว่าแหวนยังคงอยู่กับตงฟางเจ๋อ

ท่าทางที่เปลี่ยนไปของซูหลีมิได้เล็ดลอดสายตาอันแหลมคมของตงฟางเจ๋อไป เขาลอบสังเกตปฏิกิริยาของนางอย่างเงียบๆ หลังจากปรับลมหายใจให้เป็นปกติ ก็ถามว่า “ทูตนารีเองก็รู้จักสิ่งนี้หรือ?”

สายตาของซูหลีขรึมลงเล็กน้อย “หม่อมฉันเคยได้ยินเจ้าสำนักคนเก่าพูดถึง บอกว่าของสิ่งนี้เป็นของของนาง” เสียงของนางหลังจากกินยาแปรเปลี่ยนเป็นแหบพร่าและทุ้มต่ำ โชคดีที่นางป้องกันไว้ก่อน มิเช่นนั้นการที่ตงฟางเจ๋อปรากฏตัวกะทันหันเช่นนี้อาจทำให้ง่ายต่อการเปิดเผยช่องโหว่ได้ หัวใจพลันสั่นสะท้าน เกรงว่าเรื่องแหวนนี้เขาก็คงจงใจล่อให้นางเปิดปากพูดด้วยเช่นกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่ถามนางผู้เดียวว่ารู้จักของสิ่งนี้หรือไม่?

“ถูกต้องแล้ว เป็นของของนางจริงๆ แล้วก็เป็นของแทนใจระหว่างนางกับข้าด้วย” ตงฟางเจ๋อยกมือลูบแหวนโดยไม่รู้ตัว ราวกับต้องการสัมผัสความอบอุ่นของนาง สายตาลึกล้ำจ้องมองซูหลีเขม็ง คล้ายต้องการค้นหาคำตอบจากดวงตาของนางที่ซ่อนอยู่ด้านหลังหน้ากาก

หัวใจของซูหลีสั่นไหวอย่างไม่อาจควบคุม แหวนวงนี้ถือเป็นสิ่งที่พิเศษมากสำหรับพวกเขาสองคนจริงๆ มันมีความทรงจำที่ยากจะลืมเลือนมากมาย มากมายจนทำให้นางไม่อาจมองข้ามได้! นางพยายามควบคุมลมหายใจให้เป็นปกติ ไม่ปล่อยให้ดวงตาของตนเองแสดงอารมณ์ไปมากกว่านี้

สายตาของหยางเซียวเย็นชาลงเล็กน้อย เขากล่าวด้วยใบหน้าเกลื่อนยิ้ม “นี่เป็นของของสหายเก่าเสด็จพ่อข้า ท่านรู้ตั้งแต่ตอนอยู่เทียนเหมินแล้ว คิดจะครอบครองก็ควรหาเหตุผลที่ดีกว่านี้หน่อย”

สายตาของตงฟางเจ๋อวูบไหวเล็กน้อย พลันกล่าวขึ้นว่า “องค์ชายสี่ต้องการแหวนวงนี้?”

ใบหน้าของหยางเซียวบึ้งตึง “ท่านถามทั้งที่รู้ดีแก่ใจ!”

ตงฟางเจ๋อแย้มยิ้มเล็กน้อย “เช่นนั้นก็ดี พวกเรามาเล่นเกมกัน องค์ชายสี่กล้าหรือไม่?”

ทุกคนอึ้งงัน ตงฟางเจ๋อที่เป็นคนเคร่งขรึมจริงจังมาโดยตลอด เหตุใดจู่ๆ ก็พูดถึงการเล่นเกมขึ้นมาในระหว่างเจรจาสงบศึกเล่า? หากเปลี่ยนเป็นหยางเซียวเสนอให้เล่นเกมยังจะดูสมเหตุสมผลเสียกว่า

มีเพียงซูหลีที่พลันตึงเครียดขึ้นมาทันที เบื้องหลังรอยยิ้มงดงามของเขาเห็นชัดว่ามีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงอยู่ นางรู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่าจะต้องเกี่ยวข้องกับตนเองเป็นแน่

“เหอะ ช่างน่าขัน ข้ามีหรือจะไม่กล้า?” หยางเซียวกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไหนลองอธิบายกติกาให้ฟังที”

“ให้แต่ละฝ่ายส่งคนออกมาหนึ่งคน ผู้ใดเอาชนะอีกฝ่ายได้ แหวนก็จะตกเป็นของผู้นั้น ผู้ชนะสามารถขอให้ผู้แพ้ทำตามความต้องการได้หนึ่งเรื่อง เป็นเช่นไร?”

ดูเหมือนจะไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสม แต่ซูหลีกลับได้กลิ่นแผนร้ายรางๆ

หยางเซียวหรี่ตา แล้วถามโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง “หากเสมอกันเล่า?”

“ไม่มีทางเสมอกัน!” ตงฟางเจ๋อกล่าวอย่างหนักแน่น “ทว่า…คนที่จะต่อสู้กันในครั้งนี้ ข้าต้องเป็นผู้เลือก”

ซูหลีเดาได้แต่แรกแล้วว่าเขาจะพูดอะไรต่อ เขายังคงไม่ยอมตัดใจ ทำทุกวิถีทางเพื่อจะพาตัวนางกลับไปให้ได้! เขานึกว่านางยังเป็นซูหลีที่มีวรยุทธ์ต่ำต้อยเช่นในอดีตงั้นหรือ?

เขาหันมามองหน้านาง แล้วแย้มยิ้มเล็กน้อย “ได้ยินมาว่าทูตนารีเป็นยอดฝีมือและมีจิตใจกล้าหาญ สามารถแก้ปัญหาเรื่องการลอบโจมตีในวันนั้นได้โดยลำพัง ข้าเลื่อมใสยิ่งนัก”

ซูหลีจ้องเขาอย่างเย็นชา รู้ทั้งรู้ว่าเขามีจุดประสงค์ไม่บริสุทธิ์ แต่นางก็ไม่มีทางเลือกอื่น ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเขาว่าแหวนวงนี้มีความหมายกับนางมากแค่ไหน! การต่อสู้ครั้งนี้ นางต้องชนะเท่านั้น ไม่อาจพ่ายแพ้เด็ดขาด!

“องค์ชายสี่ทรงเห็นว่าอย่างไร?”

สายตาของหยางเซียวสับสนยุ่งเหยิง เขามองซูหลีแวบเดียวก็เข้าใจแล้ว เรื่องมาถึงขั้นนี้เขายังพูดอะไรได้อีก? เจ้าตงฟางเจ๋อนั่น! แสร้งทำเป็นบอกว่าเจรจาสงบศึก ที่แท้แล้วจุดประสงค์จริงๆ ของเขามีเพียงซูหลีเท่านั้น! หยางเซียวทำได้เพียงข่มกลั้นความไม่พอใจ แล้วพยักหน้าเงียบๆ

ทุกคนถอยออกห่างตามที่ตงฟางเจ๋อต้องการ ยามนี้ละอองฝนหยุดไปแล้ว อากาศหนาวเย็นและเปียกชื้น เส้นขอบฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยสีเทา

ในห้องมีเพียงตงฟางเจ๋อกับซูหลีเพียงสองคนเท่านั้น พวกเขาแยกกันยืนคนละฝั่ง ต่างฝ่ายต่างจ้องหน้าอีกคน

ศิษย์สำนักเฉินเหมินยืนอยู่ด้านหนึ่ง เซี่ยงหลีชะโงกหน้าดู แล้วกระซิบข้างหูหวั่นซินเบาๆ “นี่ เจ้าว่าพวกเขาสองคนใครจะชนะ?”

หวั่นซินเม้มปาก ไม่พูดอะไร ถึงแม้ซูหลีจะได้รับกำลังภายในของจิ้งหวั่นที่ฝึกฝนมานานสิบกว่าปี ส่งผลให้ลมปราณแข็งแกร่งขึ้น แต่ถึงอย่างไรพลังงานทั้งสองขุมก็ยังไม่ได้หลอมรวมเป็นหนึ่ง หากต้องการเอาชนะตงฟางเจ๋อที่มีวรยุทธ์ล้ำลึกยากคาดเดา เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยจริงๆ

เจียงหยวนกล่าวด้วยความกังวล “ต่อสู้กับตงฟางเจ๋อ มีแต่จะทำให้นางต้องใช้ชี่แท้ เกรงว่าจะทำให้นางบาดเจ็บ”

ฉินเหิงกลับยกมือขึ้น แล้วกล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจ “ข้ากลับไม่คิดเช่นนั้น ฮ่องเต้แคว้นเฉิงมีความรู้สึกอันลึกซึ้งต่อนางมาโดยตลอด อย่างไรก็ต้องออมมือ ไม่มีทางทำร้ายนางแน่นอน ข้าคิดว่าเจ้าสำนักของเราจะต้องชนะแน่ๆ”

เซี่ยงหลีถูมือไปมา หัวเราะเจ้าเล่ห์ แล้วกล่าวว่า “สมกับเป็นยอดนักสืบจริงๆ ความสามารถในการสังเกตการณ์เยี่ยมยอด ข้าเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน นี่ ข้ามีความคิดดีๆ มิสู้พวกเรามาพนันกันสักตั้งไหมเล่า!”

นานแล้วที่เขาไม่ได้เข้าบ่อนพนัน ข้อเสนอสุดแสนจะตื่นเต้นของเขาทำให้อีกสามคนที่เหลือพร้อมใจกันมองขึ้นฟ้า เห็นได้ชัดว่าหน่ายใจกับพฤติกรรมของเขาเพียงใด

เซี่ยงหลีหมดสนุกทันที เขากลอกตามองบนแล้วบ่นพึมพำเสียงเบา “น่าเบื่อจริงๆ”

เขายังพูดไม่ทันจบประโยค ก็ได้ยินเสียง ‘ปังๆๆๆๆ’ ดังติดต่อกันหลายครั้ง สายลมแรงพัดผ่าน ประตูหน้าต่างทุกบานในห้องโถงปิดสนิททันที

ในห้องโถงไม่มีแสงสว่างแม้แต่น้อย ทำให้มิอาจมองเห็นอีกฝ่ายได้ เงียบงันไร้เสียง เงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจอันแผ่วเบาที่คล้ายมีคล้ายไม่มีของอีกฝ่าย

ทุกอย่างกลับไปเหมือนตอนที่เพิ่งพบกันครั้งแรกอีกครั้ง ในห้องอาบน้ำของโรงเตี๊ยมริมแม่น้ำหลานชาง ทั้งสองต่างมองไม่เห็นอีกฝ่าย ทว่ากลับรับรู้ได้ถึงตัวตนของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน

……………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+