ข้าคือหงส์พันปี 596 ท่านพ่อน่าจะไม่ใจอ่อนเช่นนั้น

Now you are reading ข้าคือหงส์พันปี Chapter 596 ท่านพ่อน่าจะไม่ใจอ่อนเช่นนั้น at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เหล่าขุนนางในราชสำนักเพิ่งจะรู้ตัวว่า ศัตรูของพวกเขาที่แท้ก็คือองค์ชายหกของเย่เหลียง องค์ชายหกมีเจตนารมณ์ที่ไม่ดีลับหลังนั้นพยายามสร้างกลอุบายเพื่อยุยงให้เกิดความบาดหมางกันระหว่างจักรพรรดิและขุนนาง พวกเขาเกือบจะถูกองค์ชายหกหลอกใช้เสียแล้ว

พวกเขาควรที่จะสามัคคีกันไว้ ไม่ควรที่จะสร้างความขัดแย้งกันภายใน ในสถานการณ์ที่เย่เหลียงนั้นกำลังจ้องจะใช้โอกาสนี้เล่นงานพวกเขา

โชคดีที่ครั้งนี้หมอหลวงนั้นได้เข้ามาควบคุมสถานการณ์ของจักรพรรดินีและองค์ชายใหญ่ไว้ได้ทันท่วงที องครักษ์วังหลวงเข้าค้นหาตรวจสอบทุกซอกทุกมุมของพระตำหนักฉีเล่อ เมื่อหาเจอสิ่งที่คล้ายว่าจะเป็นยาถอนพิษได้จึงนำมาช่วยชีวิตของจักรพรรดินีและองค์ชายใหญ่ได้ และซูเจ๋อก็ได้รับยาถอนพิษนั้นไปด้วย

ในเวลาต่อมา แม่ลูกสองคนที่ดูเหมือนจะไม่มีความอ่อนเพลียอะไรหลังจากอาการเจ็บป่วย นั่งอยู่บนพรมในห้องบรรทมกำลังตรวจสอบของเล่นที่ยึดมาได้จากพระตำหนักฉีเล่อกันอยู่อย่างละเอียด สิ่งของพวกนี้เป็นของที่เย่ซวิ่นนำติดตัวมาจากเย่เหลียงเพื่อเอาไว้เล่นฆ่าเวลา

ภายหลังก็ยังมีของเล่นใหม่ๆที่น่าสนใจคอยทยอยส่งมาให้อยู่เรื่อยๆ

ขณะที่แม่ลูกทั้งสองคนกำลังตื่นตาตื่นใจกับการค้นหาของอยู่นั้น เฮ่อโยวผู้รับผิดชอบการตรวจสอบสิ่งของก็ได้นำของบางอย่างมาที่พระตำหนักไท่เหอ บอกว่าต้องนำไปให้ถึงมือของเฉินเสียนด้วยตัวเอง

เฮ่อโยวถือถาดรองอยู่ในมือ สิ่งของภายในถาดรองนั้นถูกคลุมด้วยผ้าไหมแดง จึงไม่สามารถมองเห็นได้ว่าสิ่งของข้างในนั้นคืออะไร

เฮ่อโยวพูด “นี่คือสิ่งของชิ้นสุดท้ายที่ยึดมาได้จากพระตำหนักฉีเล่อขององค์ชายหก กระหม่อมคิดว่าฝ่าบาทจำเป็นจะต้องได้ทอดพระเนตรพ่ะย่ะค่ะ”

เฉินเสียนแสดงสีหน้าบอกเป็นนัยให้เขาเป็นคนเปิดผ้าไหมแดงนั้นออก

เฮ่อโยวค่อยๆเปิดผ้าไหมแดงออก เฉินเสียนที่นั่งเอนตัวอยู่บนเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน เมื่อได้เห็นของสิ่งนั้นสีหน้าก็หยุดนิ่งลง แล้วค่อยๆเปลี่ยนอริยาบทลุกขึ้นมา

สิ่งของบนถาดรองนั้นก็คือมงกุฎราชินีสีเหลืองทองอร่าม หงส์สีเหลืองทองที่ประดับไปด้วยหยกและเพชรพลอยอย่างงดงามเหมือนดั่งกับมีชีวิตจริง ที่ทำให้เธอรู้สึกคุ้นตาขึ้นมา

เฮ่อโยวกล่าว“นี่คือมงกุฎราชินีของฝ่าบาท มันได้หายไปหลังจากที่มีผู้นิรนามได้ซื้อไป คิดไม่ถึงว่าผู้นรินามที่ซื้อไปนั้นจะเป็นองค์ชายหกพ่ะย่ะค่ะ”

เฉินเสียนแสดงสีหน้าออกมาอย่างสับสน พูดออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า“เจ้ากำลังล้อข้าเล่นหรือเปล่า”

เฮ่อโยวไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแต่นำมงกุฎราชินีถวายให้แล้วเอ่ยว่า “ตอนนี้ก็ถือว่าสิ่งนี้ได้กลับคืนสู่เจ้าของแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”

หลังจากนั้นไม่นานเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ของราชสำนักก็ได้ลงนามกราบบังคมทูล ขอให้จักรพรรดินีส่งองค์ชายหกกลับเย่เหลียงไป นับแต่นี้ต่อไปก็ห้ามกลับมาเหยียบที่ต้าฉู่อีก นี่คือสิ่งที่เฉินเสียนตั้งใจไว้ตั้งแต่ตอนแรก

มงกุฎราชินีนั้นถูกวางไว้บนแท่นวางสองวัน โดยที่ไม่มีการขยับไปไหน

ซูเซี่ยนถามขึ้นว่า“ท่านแม่จะส่งเขากลับไป หรือจะขังเขาไว้อย่างนี้ไปตลอด?”

เฉินเสียนกำลังคิด ใช้มือดีดเล่นไปที่บนหยกที่ประดับอยู่บนมงกุฎราชินี แล้วพูดว่า“เจ้าคิดว่าถ้าเกิดเป็นท่านพ่อเจ้า จะส่งเขากลับไปหรือขังเขาไว้?”

ซูเซี่ยนพูด “มีคำพูดหนึ่งที่ว่าปล่อยเสือเข้าป่าใช่หรือไม่ ท่านพ่อน่าจะไม่ใจอ่อนเช่นนั้น”

เฉินเสียนแสดงสีหน้ายิ้มออกมาอย่างไม่ชัดเจน

ช่วงเวลาที่ทั้งราชสำนักรอให้เฉินเสียนได้ตัดสินลงโทษองค์ชายหก เฉินเสียนก็ได้ไปเยี่ยมเขา

ห้องขังของต้าฉู่ไม่เหมาะสมที่จะมากักขังจักรพรรดิของอาณาจักรเอาอื่นไว้ ดังนั้นช่วงเวลานี้เย่ซวิ่นจึงถูกกักบริเวณไว้อยู่ที่วังหลัง

เป็นเพราะพระตำหนักฉีเล่อนั้นไม่เหมือนดั่งก่อนแล้ว ทรัพย์สินที่อยู่ภายในตำหนักก็คงจะถูกลื้อค้นเพื่อหามูลเหตุ จนเละเทะไปหมด

เฉินเสียนผลักประตูเข้าไป เมื่อเห็นเย่ซวิ่นกำลังนอนอยู่บนเก้าอี้นวม ร่างกายยังคงสวมใส่ชุดเสื้อคลุมที่หรูหราอยู่ แสงแดดอ่อนๆที่ส่องมาจากทางหน้าต่างตกกระทบบนตัวของเขา

เขาหลับตาอยู่แต่ก็ยังรู้สึกตัว จึงเปิดปากพูดขึ้นทันทีว่า“เมื่อก่อนข้าอยากให้ท่านมาหาข้าที่นี่บ่อยๆแต่ท่านก็ไม่มา ตอนนี้ข้าไม่อยากให้ท่านมาแต่ท่านกลับมา”เขายิ้มหัวเราะอย่างเหน็บแนม“เหอะ สิ่งต่างๆบนโลกนี้ไม่เที่ยงแท้เสียจริง”

แสงแดดส่องกระทบบนโคร่งร่างของเขา เขาที่ยังคงหลับตาอยู่ ขนตาเบาดั่งขนนกเป็นเงาบางๆคล้ายดั่งผีเสื้อที่กำลังโบยบินอยู่ด้านล่างของเปลือกตา จากมุมที่เฉินเสียนมองเห็นนั้นมีจุดที่แวววาวอยู่บนใบหน้าของเขาสองจุด ช่างสมกับเป็นมารร้ายที่มีเสน่ส์เสียจริง

ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เฉินเสียนพบว่า เขาไม่ได้แสร้งทำเป็นคนใสซื่อบริสุทธิ์แล้วก็ไม่ได้ใช้กลอุบายที่เจ้าเล่ห์แต่อย่างใด จริงๆแล้วเขาก็เป็นคนที่มีเสน่ส์มากคนหนึ่ง

เพียงแต่เฉินเสียนนั้นไม่ได้มาเพราะอย่างที่เขาหมายถึง

เฉินเสียนหยิบเก้าอี้แล้วไปนั่งอยู่ด้านข้างเก้าอี้นวมของเย่ซวิ่น แล้วเอ่ยว่า “ตอนนี้เจ้าก็ถูกฉีกหน้ากากของนักบุญใจบาปออกมาแล้ว กลับกลายทำให้คนอื่นนั้นเกลียดชัง”

เย่ซวิ่นเงียบไปสักครู่แล้วจึงพูดขึ้นว่า “จริงหรือ ถ้าอย่างนั้นฝ่าบาท ท่านตั้งใจจะจัดการกับข้าอย่างไรกัน?”

เฉินเสียนเลิกคิ้วแล้วพูดอย่างใจเย็นว่า “ตอนนี้ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในราชสำนักของข้า ได้กราบบังคมทูลขอให้ข้าส่งตัวเจ้ากลับเย่เหลียงไป ภายหน้าก็อย่าได้กลับมาเหยียบแผ่นดินต้าฉู่อีก”

“เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในราชสำนักของท่านเปรียบเสมือนกับใช้ประโยนช์จากสิ่งของเสร็จแล้วก็เขี่ยทิ้ง”เย่ซวิ่นลุกขึ้น แล้วเปลี่ยนมานั่งบนเก้าอี้นวม สายตาที่มองมายังเฉินเสียนนั้นไม่ได้ร้ายหรือดีอะไร“แล้วท่านล่ะ ท่านจะจัดการอย่างไรกับข้ารึ?”

เฉินเสียนพูดอย่างสงบนิ่งว่า “แม้ช่วงเวลาความสัมพันธ์การแต่งงานต้าฉู่ของข้าก็ได้รับประโยชน์จากเย่เหลียงของเจ้า แต่เจ้าก็คิดวางแผนที่จะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเหล่าขุนนางคนสำคัญกับราชนิกุลของข้า ตามหลักการแล้วก็ถือว่าเท่าเทียมกัน ถึงแม้ว่าข้าจะส่งเจ้ากลับไปอย่างมีเหตุมีผล ไม่มีอะไรติดค้างในใจต่อกัน เพียงแต่ต่อจากนี้ไปก็คงจะกลายเป็นศัตรูกับเย่เหลียงก็เท่านั้น

แต่ถ้าเกิดว่าข้าให้เจ้าอยู่ในต้าฉู่ต่อไป ข้าก็จะสามารถเซ่นไหว้ด้วยอาหารดีๆแก่เจ้าได้ เพียงแต่ข้าคงจะปฏิบัติต่อเจ้าได้เป็นเพียงแค่เชลยจากเย่เหลียงก็เท่านั้น ถ้าเกิดพลาดโอกาสนี้แล้วภายหน้าเจ้าอยากจะกลับเย่เหลียง ข้าก็คงจะไม่ปล่อยเจ้าไปได้ง่ายเช่นนี้ นอกเสียจากถ้าเกิดมีวันใดที่เย่เหลียงนั้นมีศักยภาพมากพอที่จะมาเป็นคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อของต้าฉู่ข้าได้ ”

เย่ซวิ่นนั้นเงียบไป แล้วหลังจากนั้นก็พูดขึ้นว่า“โอกาส?ท่านยินยอมปล่อยข้ากลับไปหรือกระไร?”

เฉินเสียนมองไปที่เขา แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า“ข้าได้รับข่าวว่าทูตของเย่เหลียงเข้าเมืองหลวงมาแล้ว คิดๆดูแล้วน่าจะมาเพื่อทวงขอเรื่องสองคูเมืองของต้าฉู่ ดังนั้นเจ้ายังพอมีเวลาให้ได้คิดอีกสักหน่อย ถ้าเกิดยินยอมที่กลับก็กลับไปพร้อมกับทูตของเย่เหลียง นับตั้งแต่นี้ต่อไปก็อย่าให้ข้าได้เห็นเจ้าในต้าฉู่อีก ถ้าเกิดเจ้าไม่ยินยอมที่จะกลับ เมื่อทูตของเย่เหลียงกลับไปแล้ว ข้าก็จะส่งเจ้าให้ย้ายไปประทับอยู่ที่พระตำหนักเย็น”

เย่ซวิ่นยิ้มแล้วเอ่ยว่า“ความหมายของฝ่าบาทคือให้ข้าได้เลือกเองใช่หรือไม่?ถ้าเกิดข้าทำตามอย่างที่ฝ่าบาทวางเอาไว้ ข้าก็คงจะกลายเป็นเชลยอย่างแท้จริง แล้วยังจะต้องมาทำตามที่ท่านต้องการอีก”

เฉินเสียนหัวเราะแล้วพูดว่า“ก็อาจจะใช่ ถึงอย่างไรนั้นก็คือสิ่งที่เขาวางแผนไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว”

เธอถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วพูดอีกว่า“กล่องชาที่ผู้ตรวจการแผ่นดินวางยาพิษไว้ ได้ถูกส่งไปที่ศาลยุติธรรมต้าหลี่เพื่อพิจารณารับรองความถูกต้องตั้งแต่ทีแรกแล้ว วันนั้นกล่องชาที่นำมาที่พระตำหนักฉีเล่อนั้นมันคือกล่องอีกกล่องที่เหมือนกัน และอีกอย่างอาการของการโดนวางยานั้นเป็นอย่างไร เจ้าเองก็ไม่รู้เลยหรือ?มิน่าล่ะแม้แต่ลูกชายของข้ายังหลอกท่านลงน้ำได้เลย ทำไมเย่เหลียงถึงได้ส่งคนอย่างเจ้ามาต้าฉู่กันนะ”

ไม่พูดยังจะดีเสียกว่า พูดแล้วเย่ซวิ่นนั้นก็รู้สึกโกรธขึ้นมา เขาจึงพูดว่า“การมาทำลายความรู้สึกของผู้อื่นแบบนี้ ท่านรู้สึกภาคภูมิใจมากหรืออย่างไร?”

เฉินเสียนกล่าว“เจ้าคิดว่าข้าต้องการนำยาถอนพิษไปช่วยชีวิตซูเจ๋อ ไม่เพียงแต่ข้าและองค์ชายใหญ่ที่ไม่โดนวางยา แม้แต่ซูเจ๋อเองก็ไม่โดนวางยาเช่นกัน ดังนั้นสำหรับข้าแล้วยาถอนพิษจะมีหรือไม่มีนั่นก็ไม่เป็นไร ”

เย่ซวิ่นหน้าดำคร่ำเครียด ผ่านไปสักครู่ใหญ่จึงเอ่ยขึ้นมาว่า “ สมกับที่ว่าความสัมพันธ์ในครอบครัวนั้นแน่นแฟ้นเสียจริง พวกท่านเป็นครอบครัวที่ไร้ยางที่สุดเท่าที่ข้าเคยเจอมา ”

เฉินเสียนยิ้มบางอย่างสดใสแล้วพูดเสียงเบาขึ้นว่า“แต่ข้าคิดไม่ถึงว่า สุดท้ายข้าจะได้เห็นสายตาที่วิตกกังวลและเป็นห่วงใยข้า”เธอชำเลืองตามองเขา“เจ้ากลัวว่าข้าจะตายมากรึ?”

เย่ซวิ่นยิ้มเย็น พูดอย่างไร้น้ำใจว่า“ข้ากลัวว่าตัวข้าจะตาย ท่านตายข้าก็คงต้องตายไม่ใช่หรือ?”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ข้าคือหงส์พันปี 596 ท่านพ่อน่าจะไม่ใจอ่อนเช่นนั้น

Now you are reading ข้าคือหงส์พันปี Chapter 596 ท่านพ่อน่าจะไม่ใจอ่อนเช่นนั้น at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เหล่าขุนนางในราชสำนักเพิ่งจะรู้ตัวว่า ศัตรูของพวกเขาที่แท้ก็คือองค์ชายหกของเย่เหลียง องค์ชายหกมีเจตนารมณ์ที่ไม่ดีลับหลังนั้นพยายามสร้างกลอุบายเพื่อยุยงให้เกิดความบาดหมางกันระหว่างจักรพรรดิและขุนนาง พวกเขาเกือบจะถูกองค์ชายหกหลอกใช้เสียแล้ว

พวกเขาควรที่จะสามัคคีกันไว้ ไม่ควรที่จะสร้างความขัดแย้งกันภายใน ในสถานการณ์ที่เย่เหลียงนั้นกำลังจ้องจะใช้โอกาสนี้เล่นงานพวกเขา

โชคดีที่ครั้งนี้หมอหลวงนั้นได้เข้ามาควบคุมสถานการณ์ของจักรพรรดินีและองค์ชายใหญ่ไว้ได้ทันท่วงที องครักษ์วังหลวงเข้าค้นหาตรวจสอบทุกซอกทุกมุมของพระตำหนักฉีเล่อ เมื่อหาเจอสิ่งที่คล้ายว่าจะเป็นยาถอนพิษได้จึงนำมาช่วยชีวิตของจักรพรรดินีและองค์ชายใหญ่ได้ และซูเจ๋อก็ได้รับยาถอนพิษนั้นไปด้วย

ในเวลาต่อมา แม่ลูกสองคนที่ดูเหมือนจะไม่มีความอ่อนเพลียอะไรหลังจากอาการเจ็บป่วย นั่งอยู่บนพรมในห้องบรรทมกำลังตรวจสอบของเล่นที่ยึดมาได้จากพระตำหนักฉีเล่อกันอยู่อย่างละเอียด สิ่งของพวกนี้เป็นของที่เย่ซวิ่นนำติดตัวมาจากเย่เหลียงเพื่อเอาไว้เล่นฆ่าเวลา

ภายหลังก็ยังมีของเล่นใหม่ๆที่น่าสนใจคอยทยอยส่งมาให้อยู่เรื่อยๆ

ขณะที่แม่ลูกทั้งสองคนกำลังตื่นตาตื่นใจกับการค้นหาของอยู่นั้น เฮ่อโยวผู้รับผิดชอบการตรวจสอบสิ่งของก็ได้นำของบางอย่างมาที่พระตำหนักไท่เหอ บอกว่าต้องนำไปให้ถึงมือของเฉินเสียนด้วยตัวเอง

เฮ่อโยวถือถาดรองอยู่ในมือ สิ่งของภายในถาดรองนั้นถูกคลุมด้วยผ้าไหมแดง จึงไม่สามารถมองเห็นได้ว่าสิ่งของข้างในนั้นคืออะไร

เฮ่อโยวพูด “นี่คือสิ่งของชิ้นสุดท้ายที่ยึดมาได้จากพระตำหนักฉีเล่อขององค์ชายหก กระหม่อมคิดว่าฝ่าบาทจำเป็นจะต้องได้ทอดพระเนตรพ่ะย่ะค่ะ”

เฉินเสียนแสดงสีหน้าบอกเป็นนัยให้เขาเป็นคนเปิดผ้าไหมแดงนั้นออก

เฮ่อโยวค่อยๆเปิดผ้าไหมแดงออก เฉินเสียนที่นั่งเอนตัวอยู่บนเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน เมื่อได้เห็นของสิ่งนั้นสีหน้าก็หยุดนิ่งลง แล้วค่อยๆเปลี่ยนอริยาบทลุกขึ้นมา

สิ่งของบนถาดรองนั้นก็คือมงกุฎราชินีสีเหลืองทองอร่าม หงส์สีเหลืองทองที่ประดับไปด้วยหยกและเพชรพลอยอย่างงดงามเหมือนดั่งกับมีชีวิตจริง ที่ทำให้เธอรู้สึกคุ้นตาขึ้นมา

เฮ่อโยวกล่าว“นี่คือมงกุฎราชินีของฝ่าบาท มันได้หายไปหลังจากที่มีผู้นิรนามได้ซื้อไป คิดไม่ถึงว่าผู้นรินามที่ซื้อไปนั้นจะเป็นองค์ชายหกพ่ะย่ะค่ะ”

เฉินเสียนแสดงสีหน้าออกมาอย่างสับสน พูดออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า“เจ้ากำลังล้อข้าเล่นหรือเปล่า”

เฮ่อโยวไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแต่นำมงกุฎราชินีถวายให้แล้วเอ่ยว่า “ตอนนี้ก็ถือว่าสิ่งนี้ได้กลับคืนสู่เจ้าของแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”

หลังจากนั้นไม่นานเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ของราชสำนักก็ได้ลงนามกราบบังคมทูล ขอให้จักรพรรดินีส่งองค์ชายหกกลับเย่เหลียงไป นับแต่นี้ต่อไปก็ห้ามกลับมาเหยียบที่ต้าฉู่อีก นี่คือสิ่งที่เฉินเสียนตั้งใจไว้ตั้งแต่ตอนแรก

มงกุฎราชินีนั้นถูกวางไว้บนแท่นวางสองวัน โดยที่ไม่มีการขยับไปไหน

ซูเซี่ยนถามขึ้นว่า“ท่านแม่จะส่งเขากลับไป หรือจะขังเขาไว้อย่างนี้ไปตลอด?”

เฉินเสียนกำลังคิด ใช้มือดีดเล่นไปที่บนหยกที่ประดับอยู่บนมงกุฎราชินี แล้วพูดว่า“เจ้าคิดว่าถ้าเกิดเป็นท่านพ่อเจ้า จะส่งเขากลับไปหรือขังเขาไว้?”

ซูเซี่ยนพูด “มีคำพูดหนึ่งที่ว่าปล่อยเสือเข้าป่าใช่หรือไม่ ท่านพ่อน่าจะไม่ใจอ่อนเช่นนั้น”

เฉินเสียนแสดงสีหน้ายิ้มออกมาอย่างไม่ชัดเจน

ช่วงเวลาที่ทั้งราชสำนักรอให้เฉินเสียนได้ตัดสินลงโทษองค์ชายหก เฉินเสียนก็ได้ไปเยี่ยมเขา

ห้องขังของต้าฉู่ไม่เหมาะสมที่จะมากักขังจักรพรรดิของอาณาจักรเอาอื่นไว้ ดังนั้นช่วงเวลานี้เย่ซวิ่นจึงถูกกักบริเวณไว้อยู่ที่วังหลัง

เป็นเพราะพระตำหนักฉีเล่อนั้นไม่เหมือนดั่งก่อนแล้ว ทรัพย์สินที่อยู่ภายในตำหนักก็คงจะถูกลื้อค้นเพื่อหามูลเหตุ จนเละเทะไปหมด

เฉินเสียนผลักประตูเข้าไป เมื่อเห็นเย่ซวิ่นกำลังนอนอยู่บนเก้าอี้นวม ร่างกายยังคงสวมใส่ชุดเสื้อคลุมที่หรูหราอยู่ แสงแดดอ่อนๆที่ส่องมาจากทางหน้าต่างตกกระทบบนตัวของเขา

เขาหลับตาอยู่แต่ก็ยังรู้สึกตัว จึงเปิดปากพูดขึ้นทันทีว่า“เมื่อก่อนข้าอยากให้ท่านมาหาข้าที่นี่บ่อยๆแต่ท่านก็ไม่มา ตอนนี้ข้าไม่อยากให้ท่านมาแต่ท่านกลับมา”เขายิ้มหัวเราะอย่างเหน็บแนม“เหอะ สิ่งต่างๆบนโลกนี้ไม่เที่ยงแท้เสียจริง”

แสงแดดส่องกระทบบนโคร่งร่างของเขา เขาที่ยังคงหลับตาอยู่ ขนตาเบาดั่งขนนกเป็นเงาบางๆคล้ายดั่งผีเสื้อที่กำลังโบยบินอยู่ด้านล่างของเปลือกตา จากมุมที่เฉินเสียนมองเห็นนั้นมีจุดที่แวววาวอยู่บนใบหน้าของเขาสองจุด ช่างสมกับเป็นมารร้ายที่มีเสน่ส์เสียจริง

ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เฉินเสียนพบว่า เขาไม่ได้แสร้งทำเป็นคนใสซื่อบริสุทธิ์แล้วก็ไม่ได้ใช้กลอุบายที่เจ้าเล่ห์แต่อย่างใด จริงๆแล้วเขาก็เป็นคนที่มีเสน่ส์มากคนหนึ่ง

เพียงแต่เฉินเสียนนั้นไม่ได้มาเพราะอย่างที่เขาหมายถึง

เฉินเสียนหยิบเก้าอี้แล้วไปนั่งอยู่ด้านข้างเก้าอี้นวมของเย่ซวิ่น แล้วเอ่ยว่า “ตอนนี้เจ้าก็ถูกฉีกหน้ากากของนักบุญใจบาปออกมาแล้ว กลับกลายทำให้คนอื่นนั้นเกลียดชัง”

เย่ซวิ่นเงียบไปสักครู่แล้วจึงพูดขึ้นว่า “จริงหรือ ถ้าอย่างนั้นฝ่าบาท ท่านตั้งใจจะจัดการกับข้าอย่างไรกัน?”

เฉินเสียนเลิกคิ้วแล้วพูดอย่างใจเย็นว่า “ตอนนี้ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในราชสำนักของข้า ได้กราบบังคมทูลขอให้ข้าส่งตัวเจ้ากลับเย่เหลียงไป ภายหน้าก็อย่าได้กลับมาเหยียบแผ่นดินต้าฉู่อีก”

“เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในราชสำนักของท่านเปรียบเสมือนกับใช้ประโยนช์จากสิ่งของเสร็จแล้วก็เขี่ยทิ้ง”เย่ซวิ่นลุกขึ้น แล้วเปลี่ยนมานั่งบนเก้าอี้นวม สายตาที่มองมายังเฉินเสียนนั้นไม่ได้ร้ายหรือดีอะไร“แล้วท่านล่ะ ท่านจะจัดการอย่างไรกับข้ารึ?”

เฉินเสียนพูดอย่างสงบนิ่งว่า “แม้ช่วงเวลาความสัมพันธ์การแต่งงานต้าฉู่ของข้าก็ได้รับประโยชน์จากเย่เหลียงของเจ้า แต่เจ้าก็คิดวางแผนที่จะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเหล่าขุนนางคนสำคัญกับราชนิกุลของข้า ตามหลักการแล้วก็ถือว่าเท่าเทียมกัน ถึงแม้ว่าข้าจะส่งเจ้ากลับไปอย่างมีเหตุมีผล ไม่มีอะไรติดค้างในใจต่อกัน เพียงแต่ต่อจากนี้ไปก็คงจะกลายเป็นศัตรูกับเย่เหลียงก็เท่านั้น

แต่ถ้าเกิดว่าข้าให้เจ้าอยู่ในต้าฉู่ต่อไป ข้าก็จะสามารถเซ่นไหว้ด้วยอาหารดีๆแก่เจ้าได้ เพียงแต่ข้าคงจะปฏิบัติต่อเจ้าได้เป็นเพียงแค่เชลยจากเย่เหลียงก็เท่านั้น ถ้าเกิดพลาดโอกาสนี้แล้วภายหน้าเจ้าอยากจะกลับเย่เหลียง ข้าก็คงจะไม่ปล่อยเจ้าไปได้ง่ายเช่นนี้ นอกเสียจากถ้าเกิดมีวันใดที่เย่เหลียงนั้นมีศักยภาพมากพอที่จะมาเป็นคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อของต้าฉู่ข้าได้ ”

เย่ซวิ่นนั้นเงียบไป แล้วหลังจากนั้นก็พูดขึ้นว่า“โอกาส?ท่านยินยอมปล่อยข้ากลับไปหรือกระไร?”

เฉินเสียนมองไปที่เขา แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า“ข้าได้รับข่าวว่าทูตของเย่เหลียงเข้าเมืองหลวงมาแล้ว คิดๆดูแล้วน่าจะมาเพื่อทวงขอเรื่องสองคูเมืองของต้าฉู่ ดังนั้นเจ้ายังพอมีเวลาให้ได้คิดอีกสักหน่อย ถ้าเกิดยินยอมที่กลับก็กลับไปพร้อมกับทูตของเย่เหลียง นับตั้งแต่นี้ต่อไปก็อย่าให้ข้าได้เห็นเจ้าในต้าฉู่อีก ถ้าเกิดเจ้าไม่ยินยอมที่จะกลับ เมื่อทูตของเย่เหลียงกลับไปแล้ว ข้าก็จะส่งเจ้าให้ย้ายไปประทับอยู่ที่พระตำหนักเย็น”

เย่ซวิ่นยิ้มแล้วเอ่ยว่า“ความหมายของฝ่าบาทคือให้ข้าได้เลือกเองใช่หรือไม่?ถ้าเกิดข้าทำตามอย่างที่ฝ่าบาทวางเอาไว้ ข้าก็คงจะกลายเป็นเชลยอย่างแท้จริง แล้วยังจะต้องมาทำตามที่ท่านต้องการอีก”

เฉินเสียนหัวเราะแล้วพูดว่า“ก็อาจจะใช่ ถึงอย่างไรนั้นก็คือสิ่งที่เขาวางแผนไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว”

เธอถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วพูดอีกว่า“กล่องชาที่ผู้ตรวจการแผ่นดินวางยาพิษไว้ ได้ถูกส่งไปที่ศาลยุติธรรมต้าหลี่เพื่อพิจารณารับรองความถูกต้องตั้งแต่ทีแรกแล้ว วันนั้นกล่องชาที่นำมาที่พระตำหนักฉีเล่อนั้นมันคือกล่องอีกกล่องที่เหมือนกัน และอีกอย่างอาการของการโดนวางยานั้นเป็นอย่างไร เจ้าเองก็ไม่รู้เลยหรือ?มิน่าล่ะแม้แต่ลูกชายของข้ายังหลอกท่านลงน้ำได้เลย ทำไมเย่เหลียงถึงได้ส่งคนอย่างเจ้ามาต้าฉู่กันนะ”

ไม่พูดยังจะดีเสียกว่า พูดแล้วเย่ซวิ่นนั้นก็รู้สึกโกรธขึ้นมา เขาจึงพูดว่า“การมาทำลายความรู้สึกของผู้อื่นแบบนี้ ท่านรู้สึกภาคภูมิใจมากหรืออย่างไร?”

เฉินเสียนกล่าว“เจ้าคิดว่าข้าต้องการนำยาถอนพิษไปช่วยชีวิตซูเจ๋อ ไม่เพียงแต่ข้าและองค์ชายใหญ่ที่ไม่โดนวางยา แม้แต่ซูเจ๋อเองก็ไม่โดนวางยาเช่นกัน ดังนั้นสำหรับข้าแล้วยาถอนพิษจะมีหรือไม่มีนั่นก็ไม่เป็นไร ”

เย่ซวิ่นหน้าดำคร่ำเครียด ผ่านไปสักครู่ใหญ่จึงเอ่ยขึ้นมาว่า “ สมกับที่ว่าความสัมพันธ์ในครอบครัวนั้นแน่นแฟ้นเสียจริง พวกท่านเป็นครอบครัวที่ไร้ยางที่สุดเท่าที่ข้าเคยเจอมา ”

เฉินเสียนยิ้มบางอย่างสดใสแล้วพูดเสียงเบาขึ้นว่า“แต่ข้าคิดไม่ถึงว่า สุดท้ายข้าจะได้เห็นสายตาที่วิตกกังวลและเป็นห่วงใยข้า”เธอชำเลืองตามองเขา“เจ้ากลัวว่าข้าจะตายมากรึ?”

เย่ซวิ่นยิ้มเย็น พูดอย่างไร้น้ำใจว่า“ข้ากลัวว่าตัวข้าจะตาย ท่านตายข้าก็คงต้องตายไม่ใช่หรือ?”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+