ข้าคือหงส์พันปี 702 ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปข้าจะกัดท่านแล้วนะ……

Now you are reading ข้าคือหงส์พันปี Chapter 702 ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปข้าจะกัดท่านแล้วนะ…… at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ซูเจ๋อไม่ยอมปล่อยให้เธอหลุดจากพันธนาการได้ กดเธอลงกลับไปอีกครั้ง แล้วดึงเธอเข้าไปกอดในอ้อมแขนอย่างแน่น กระซิบที่ข้างหูของเธอว่า “มันเป็นเหยื่อขนาดใหญ่ที่ข้าจะเลี้ยงมันเอาไว้ เมื่อถึงเวลาที่ต้องใช้มันข้าจะนำไปแลกกับสิ่งที่ข้าต้องการ”

เฉินเสียนพยายามต่อสู้ดิ้นรนอยู่ในอ้อมกอดของเขา

“อาเสียน”

เสียงพูดที่อ่อนนุ่ม ทำให้เธอสูญเสียแรงที่กำลังต่อสู้

ซูเจ่อเอ่ยว่า “ท่านรู้หรือไม่ว่าสิ่งที่ข้าต้องการมากที่สุดสิ่งใด?”

“คือท่าน” ซูเจ๋อใช้มือข้างหนึ่งจับไปที่เอวของเธอ มืออีกข้างก็ประคองเข้าที่ศรีษะของเธอ แล้วก้มลงไปจูบที่ริมฝีปากเธออย่างดุเดือดในอ้อมแขนของเขา

เมื่อตอนที่ลมหายใจของซูเจ๋อเข้ามาปกคลุมตัวเธอ เธอก็รู้สึกหายใจไม่ออก ไม่ใช่ว่าจะพูดคุยกันดีๆหรือ เพิ่งจะได้พูดคุยกันไม่กี่คำ ก็กลับมาเป็นเช่นนี้อีกแล้ว!

เฉินเสียนตัวสั่นเทาไปทั้งตัวและพยายามร้องตะโกนออกมา เธอยังคงกัดฟันแน่น มือทั้งสองข้างที่อยู่บนทรวงอกของซูเจ๋อนั้นไม่ว่าจะผลักดันหรือจะทุบตีเขาอย่างไร เขาก็ไม่ยอมที่จะปล่อยเธอออกไปแต่เขากลับเดินหน้าเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้นไปอีก

แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะทุบตีเขาอย่างแรงๆ เธอถูกจูบจนเธอรู้สึกว่าสมองเลอะเลือน แรงที่ทุบตีไหล่ของเขาก็ค่อยๆช้าลงและหมดเรี่ยวแรงลงไป

เขาจู่โจมเธอเป็นเวลานาน จึงทำให้ริมฝีปากของเฉินเสียนที่ถูกเขาจูบนั้นรับรู้ได้ถึงอาการชา เธอได้ยินเสียงหัวใจตัวเองที่เต้นดังจนมาถึงลำคอ เต้นเร็วแรงเหมือนกำลังจะหลุดออกมาให้ได้

เฉินเสียนกะพริบตาลง ทำให้หางตามีน้ำตาใสหยดลงมา ราวกับน้ำค้างที่จับตัวรวมกันในยามค่ำคืน

ซูเจ๋อจูบพลิกไปพลิกมาบนริมฝีปากของเธอ เสียงครางต่ำในลำคอที่ทำให้คนเคลิบเคลิ้มอย่างหลงไหลเป็นแรงดึงดูดที่มีเสน่ห์อย่างไม่รู้จบ เขาเกลี่ยกล่อมเธอว่า “เปิดปากออก”

เฉินเสียนเม้มปากแน่น ไม่ยินยอมที่จะเปิดปาก

ซูเจ๋อจ้องมองเธออย่างแผ่วเบา แต่เขาก็พูดโน้มน้าวเธอว่า “ท่านไม่ยินยอมก็ช่างเถิด เมื่อครู่พูดกันถึงไหนแล้ว พวกเรามาพูดคุยกันต่อดีหรือไม่”

เฉินเสียนหายใจอย่างกระสับกระส่าย ผลักไปที่ซูเจ๋อพร้อมกับพูดขึ้นด้วยเสียงที่แหบแห้งว่า “เช่นนั้นท่านก็ปล่อยข้าก่อน……”

แต่ทว่ายังไม่ทันจะพูดจบประโยค คราวนี้ซูเจ๋อก็ได้ฉวยโอกาสช่วงเวลาที่เธออ้าปากพูด ก้มลงไปประกบริมฝีปากเธอเอาไว้ จูบอย่างดื่มด่ำเข้าไปในปากของเธอเพื่อไม่ให้เธอได้มีโอกาสที่จะถอยได้

“ไม่ใช่ว่าจะพูดคุยกันดีๆ……หรือ……ท่านมันคนเลว……”เฉินเสียนถูกเขากดให้แนบไปชิดกับกำแพง เขาพัวพันจูบกับเธออย่างหิวกระหาย

สิบนิ้วของทั้งสองมือเธอถูกซูเจ๋อพันธนาการโดยกดแนบชิดไปกับกำแพงอีกครั้ง เฉินเสียนรู้สึกได้ว่าคนที่อยู่ด้านหน้าเธอนั้นราวกับเป็นหมาป่าที่สามารถจะกลืนเธอไปได้ในเพียงคำคำเดียว

ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่าทุกอย่างมันดูสับสนไปหมด จิตใจเธอนั้นก็สับสน แม้แต่ปฏิกิริยาร่างกายที่ตอบสนองเขาก็ดูสับสนวุ่นวาย

อันที่จริงแล้วมันก็นานมากแล้ว ที่เขาไม่ได้สัมผัสกับจูบของตัวเองแบบนี้……

เฉินเสียนทั้งโกรธทั้งร้อนใจ จึงเอ่ยออกมาว่า “ท่านปล่อยข้านะ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปข้าจะกัดท่านแล้วนะ……”

แม้เธอจะพูดคำข่มขู่ออกมาแต่ก็เป็นการข่มขู่ที่ไร้อานุภาพ อย่าว่าแต่คนธรรมดาทั่วไปจะหวาดกลัวเลย หมาป่าที่อยู่ด้านหน้าเธอจะไปกลัวได้อย่างไร

ซูเจ๋อตอบกลับเธอด้วยน้ำเสียงต่ำว่า “กัดสิ ขอเพียงแค่เป็นสิ่งที่ท่านชอบ” ถึงอย่างไรเขาก็ได้จูบเธอตามที่เขาปรารถนาเอาไว้แล้ว เฉินเสียนก็ไม่ได้กัดเขาอย่างโหดร้ายอะไรเช่นนั้น

เมื่อตอนที่ลิ้นของซูเจ๋อได้สัมผัสกับลิ้นของเธอ เธอก็รู้สึกว่าไม่สามารถควบคุมตัวเองไว้ได้แล้ว จึงร้องครางออกมาจากลำคอเบาๆ เวลานั้นซูเจ๋อก็รู้ได้ถึงปฏิกิริยาการตอบสนองของร่างกายของเธอที่ซื่อสัตย์มากกว่าคำพูดที่เธอพูดออกมาเสียอีก มันช่างน่าวิเศษอย่างยิ่งนัก

ร่างกายของเฉินเสียนค่อยๆไหลพิงไปกับกำแพง ขาทั้งสองข้างราวกับเหมือนเหยียบลงไปในบ่อโคลน ที่ค่อยๆจมลงไปในดินที่ยุบตัว และไม่มีเรี่ยวแรงที่จะต่อต้านเอาไว้ได้

ภายใต้แสงจันทร์ ดวงตาทั้งสองเนืองนองเต็มไปด้วยน้ำตา เมื่อน้ำตาชะล้างดวงตาของเธอทำให้มองเห็นดวงตาที่เต็มไปด้วยความสดใสอันพราวเสน่ห์

ซูเจ๋อค่อยๆผ่อนคลายมือทั้งสองของเธอออก แล้วเปลี่ยนมาเป็นโอบเธอเอาไว้ในอ้อมกอด จับกุมไปที่เอวและไหล่ของเธอเอาไว้แล้วจูบลงต่อไปอย่างดูดดื่ม

เฉินเสียนยื่นมือออกไปคว้าเสื้อของเขาโดยไม่รู้ตัว จากนั้นเธอก็พึมพำออกมาอย่างหอบเหนื่อยว่า “ซูเจ๋อ ข้าหายใจไม่ออกแล้ว……”

ซูเจ๋อหลับตาลง จูบซับน้ำตาที่บริเวณหางตาของเธอ แล้วเอ่ยว่า “ข้าไม่อยากจะปล่อยท่านไปไหน ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าก็จะไม่ปล่อยให้ท่านห่างข้าไปไหนไกล”

เฉินเสียนพิงกับกำแพง พยายามสงบสติอารมณ์ตัวเองให้กลับเป็นปกติให้ได้มากที่สุด ซูเจ๋อได้แต่จ้องมองไปที่ริมฝีปากของเธอ ราวกับว่าพร้อมที่จะโผเข้ามาหาได้อยู่ตลอดเวลา เธอนั้นก็รู้สึกว่าไม่มีทางที่จะผ่อนคลายจิตใจลงได้

เฉินเสียนจึงพูดเบี่ยงเบนความสนใจของเขาว่า “เช่นนั้นตอนนี้ข้าก็จะสงบสติอารมณ์แล้วพูดคุยกับท่านดีๆสักครู่ ลักษณะนิสัยของพระชายารุ่ยของท่านเป็นอย่างไร เธออ่อนโยนหรือไม่ แล้วเธอปฏิบัติต่อท่านดีหรือไม่?”

“ข้าไม่มีพระชายารุ่ย”

เฉินเสียนลืมตาแล้วอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมอง นัยน์ตาปรากฎให้เห็นแสงจันทร์สลัวๆ เธอค่อยๆหันข้างมองไปยังเขาได้แวบหนึ่งก็อยู่ในอาการตกตะลึง

การที่เธอมีอาการตกตะลึงเช่นนี้ ก็เรียกได้ว่าเป็นไปตามแผนการของเขา

ซูเจ๋อจูบลงไปที่ริมฝีปากของเธอ แล้วก็พูดเอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าไม่มีพระชายารุ่ย ข้ารอท่านมาตลอด เป่ยเซี่ยไม่มีผู้หญิงคนไหนที่ข้าอยากจะไปขอแต่งงานด้วย ดังนั้นข้าจึงไม่ชอบผู้หญิง”

ผ่านไปเป็นเวลานาน เฉินเสียนเพิ่งจะรู้สึกตัวจึงได้พูดเสียงสั่นๆว่า “ท่านหลอกข้า”

แล้วน้ำตาก็หลั่งไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว

ซูเจ๋อยื่นมือไปช่วยเช็ดน้ำตาให้กับเธอ แต่ยังไม่ทันได้เช็ดเสร็จ เขาก็จูบลงไปที่หางตาเพื่อซับน้ำตาให้กับเธอ แล้วเอ่ยว่า “คราวนี้ข้าไม่ได้หลอกท่าน”

เฉินเสียนควบคุมตัวเองไม่อยู่แล้ว ขณะที่สูดลมหายใจเข้าออกอย่างแรง น้ำตากก็ไหลออกมาเป็นสายราวกับเส้นด้าย เธอเอื้อมมือขึ้นมาปิดตาของตัวเองเอาไว้ แล้วเอ่ยว่า “ข้าคิดว่าข้าคงจะไม่ต้องเสียน้ำตาแบบนี้อีกแล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าสุดท้ายจะต้องมาเสียน้ำตาได้เจ็บปวดขนาดนี้”

แต่การมีชีวิตอยู่นั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าจะหยุดความเจ็บปวดไปได้

“ถึงอย่างไรท่านก็ชอบเห็นข้าขายหน้าแบบนี้ใช่หรือไม่” ขณะที่เธอพูด สติปัญญาในการรับรู้ของเธอก็ถดถอยลงไปอย่างช้าๆ เธอสำลักอยู่เล็กน้อย “ไม่เช่นนั้นทำไมท่านถึงได้หลอกข้ามานานเช่นนี้……ข้าคิดว่าท่านจะไม่ใช่ซูเจ๋อของข้าอีกต่อไปแล้ว ข้าคิดว่าท่านเปลี่ยนไปเป็นอีกคนแล้ว……ข้าดิ้นรน ข้าสับสน ข้าอดไม่ได้ที่จะถลำลึกเข้าไปในความหลุ่มหลงนั้น ข้าไม่รู้ว่าจะต้องทำเช่นไร……ทำไมท่านต้องหลอกข้า?”

ซูเจ๋อกลืนกินเสียงที่อยู่ในลำคอของเธอไป แล้วพรมจูบลงไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสียใจจนแทบจะขยี้เธอให้เข้ามาในร่างกายของเขา

เขาเอ่ยเสียงต่ำว่า “ไม่ใช่ว่าข้าบอกท่านไปตั้งนานแล้วหรือ แต่เมื่อวันที่สองท่านตื่นมาก็จำอะไรไม่ได้แล้ว ข้าก็ร้อนใจอย่างมาก แต่ข้าก็อยากจะรอให้ท่านจำขึ้นมาได้เอง ท่านคงจะไม่รู้ว่าคำพูดที่ท่านพูดกับข้าทุกคำในค่ำคืนนั้น มันทำให้ข้าซาบซึ้งได้มากแค่ไหน ผลสุดท้ายแม้แต่คำพูดของท่านเองท่านก็ยังจำไม่ได้เลย” เขาก็พูดขึ้นมาอีกประโยคหนึ่งว่า “ข้าเลยโกรธท่านมาก”

เขายังพูดต่ออีกว่า“ท่านคงไม่คิดว่าข้าจะโกรธ ไม่หึงหวงท่านใช่หรือไม่?ตอนแรกเพียงได้เห็นท่านพาสนมชายมามากมาย ข้าก็โกรธแค้นท่านมาก”

“ข้าอยู่ตัวคนเดียวมาตลอด อะไรคือความสามัคคีกันระหว่างสามีภรรยา ”

เขาจับริมฝีปากของเธอเอาไว้ แล้วบรรจงจูบลงไปที่ริมฝีปากเธออย่างลุ่มหลงอีกครั้ง แล้วเอ่ยด้วยอาลัยรักว่า “ถ้ามันเป็นการทำให้คนโกรธ เมื่อได้พูดออกไป ข้าก็รู้สึกผิดหวังมากแล้ว”

เฉินเสียนเงยหน้าขึ้นมองผู้ชายด้านหน้าที่จูบอย่างดูดดื่มทำให้เธอนั่นลุ่มหลง

เมื่อก่อนแววตาของเขานั้นจะมองออกไปอย่างกว้างไกล มักจะคำนึงถึงเหตุการณ์โดยรวมอยู่เสมอ เขาแทบจะไม่เคยแสดงความยากลำบากหรือโกรธแค้นอะไรออกมาต่อหน้าเธอเลย

แม้แต่เรื่องที่ทำให้เขาเจ็บปวดมากที่สุดที่ยอมให้เย่ซวิ่นเข้ามาในวังหลัง เขายังจัดการกับมันได้อย่างไม่เห็นแก่ตัว ช่วงเวลานั้นร่างกายของเขาก็แฝงไปด้วยอารมณ์ร้อนอยู่ตลอด

แต่เมื่อครู่ที่ได้ฟังคำพูดนั้นออกมา ก็ทำให้เฉินเสียนรับรู้ได้ว่าเขาก็มีความรู้สึกและอารมณ์ตัณหา เขาแสดงอารมณ์ปิติดีใจ อารมณ์โกรธ อารมณ์เศร้า เขาจริงใจและสดใสอย่างเต็มเปี่ยมกว่าที่เขาเคยเป็น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ข้าคือหงส์พันปี 702 ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปข้าจะกัดท่านแล้วนะ……

Now you are reading ข้าคือหงส์พันปี Chapter 702 ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปข้าจะกัดท่านแล้วนะ…… at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ซูเจ๋อไม่ยอมปล่อยให้เธอหลุดจากพันธนาการได้ กดเธอลงกลับไปอีกครั้ง แล้วดึงเธอเข้าไปกอดในอ้อมแขนอย่างแน่น กระซิบที่ข้างหูของเธอว่า “มันเป็นเหยื่อขนาดใหญ่ที่ข้าจะเลี้ยงมันเอาไว้ เมื่อถึงเวลาที่ต้องใช้มันข้าจะนำไปแลกกับสิ่งที่ข้าต้องการ”

เฉินเสียนพยายามต่อสู้ดิ้นรนอยู่ในอ้อมกอดของเขา

“อาเสียน”

เสียงพูดที่อ่อนนุ่ม ทำให้เธอสูญเสียแรงที่กำลังต่อสู้

ซูเจ่อเอ่ยว่า “ท่านรู้หรือไม่ว่าสิ่งที่ข้าต้องการมากที่สุดสิ่งใด?”

“คือท่าน” ซูเจ๋อใช้มือข้างหนึ่งจับไปที่เอวของเธอ มืออีกข้างก็ประคองเข้าที่ศรีษะของเธอ แล้วก้มลงไปจูบที่ริมฝีปากเธออย่างดุเดือดในอ้อมแขนของเขา

เมื่อตอนที่ลมหายใจของซูเจ๋อเข้ามาปกคลุมตัวเธอ เธอก็รู้สึกหายใจไม่ออก ไม่ใช่ว่าจะพูดคุยกันดีๆหรือ เพิ่งจะได้พูดคุยกันไม่กี่คำ ก็กลับมาเป็นเช่นนี้อีกแล้ว!

เฉินเสียนตัวสั่นเทาไปทั้งตัวและพยายามร้องตะโกนออกมา เธอยังคงกัดฟันแน่น มือทั้งสองข้างที่อยู่บนทรวงอกของซูเจ๋อนั้นไม่ว่าจะผลักดันหรือจะทุบตีเขาอย่างไร เขาก็ไม่ยอมที่จะปล่อยเธอออกไปแต่เขากลับเดินหน้าเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้นไปอีก

แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะทุบตีเขาอย่างแรงๆ เธอถูกจูบจนเธอรู้สึกว่าสมองเลอะเลือน แรงที่ทุบตีไหล่ของเขาก็ค่อยๆช้าลงและหมดเรี่ยวแรงลงไป

เขาจู่โจมเธอเป็นเวลานาน จึงทำให้ริมฝีปากของเฉินเสียนที่ถูกเขาจูบนั้นรับรู้ได้ถึงอาการชา เธอได้ยินเสียงหัวใจตัวเองที่เต้นดังจนมาถึงลำคอ เต้นเร็วแรงเหมือนกำลังจะหลุดออกมาให้ได้

เฉินเสียนกะพริบตาลง ทำให้หางตามีน้ำตาใสหยดลงมา ราวกับน้ำค้างที่จับตัวรวมกันในยามค่ำคืน

ซูเจ๋อจูบพลิกไปพลิกมาบนริมฝีปากของเธอ เสียงครางต่ำในลำคอที่ทำให้คนเคลิบเคลิ้มอย่างหลงไหลเป็นแรงดึงดูดที่มีเสน่ห์อย่างไม่รู้จบ เขาเกลี่ยกล่อมเธอว่า “เปิดปากออก”

เฉินเสียนเม้มปากแน่น ไม่ยินยอมที่จะเปิดปาก

ซูเจ๋อจ้องมองเธออย่างแผ่วเบา แต่เขาก็พูดโน้มน้าวเธอว่า “ท่านไม่ยินยอมก็ช่างเถิด เมื่อครู่พูดกันถึงไหนแล้ว พวกเรามาพูดคุยกันต่อดีหรือไม่”

เฉินเสียนหายใจอย่างกระสับกระส่าย ผลักไปที่ซูเจ๋อพร้อมกับพูดขึ้นด้วยเสียงที่แหบแห้งว่า “เช่นนั้นท่านก็ปล่อยข้าก่อน……”

แต่ทว่ายังไม่ทันจะพูดจบประโยค คราวนี้ซูเจ๋อก็ได้ฉวยโอกาสช่วงเวลาที่เธออ้าปากพูด ก้มลงไปประกบริมฝีปากเธอเอาไว้ จูบอย่างดื่มด่ำเข้าไปในปากของเธอเพื่อไม่ให้เธอได้มีโอกาสที่จะถอยได้

“ไม่ใช่ว่าจะพูดคุยกันดีๆ……หรือ……ท่านมันคนเลว……”เฉินเสียนถูกเขากดให้แนบไปชิดกับกำแพง เขาพัวพันจูบกับเธออย่างหิวกระหาย

สิบนิ้วของทั้งสองมือเธอถูกซูเจ๋อพันธนาการโดยกดแนบชิดไปกับกำแพงอีกครั้ง เฉินเสียนรู้สึกได้ว่าคนที่อยู่ด้านหน้าเธอนั้นราวกับเป็นหมาป่าที่สามารถจะกลืนเธอไปได้ในเพียงคำคำเดียว

ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่าทุกอย่างมันดูสับสนไปหมด จิตใจเธอนั้นก็สับสน แม้แต่ปฏิกิริยาร่างกายที่ตอบสนองเขาก็ดูสับสนวุ่นวาย

อันที่จริงแล้วมันก็นานมากแล้ว ที่เขาไม่ได้สัมผัสกับจูบของตัวเองแบบนี้……

เฉินเสียนทั้งโกรธทั้งร้อนใจ จึงเอ่ยออกมาว่า “ท่านปล่อยข้านะ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปข้าจะกัดท่านแล้วนะ……”

แม้เธอจะพูดคำข่มขู่ออกมาแต่ก็เป็นการข่มขู่ที่ไร้อานุภาพ อย่าว่าแต่คนธรรมดาทั่วไปจะหวาดกลัวเลย หมาป่าที่อยู่ด้านหน้าเธอจะไปกลัวได้อย่างไร

ซูเจ๋อตอบกลับเธอด้วยน้ำเสียงต่ำว่า “กัดสิ ขอเพียงแค่เป็นสิ่งที่ท่านชอบ” ถึงอย่างไรเขาก็ได้จูบเธอตามที่เขาปรารถนาเอาไว้แล้ว เฉินเสียนก็ไม่ได้กัดเขาอย่างโหดร้ายอะไรเช่นนั้น

เมื่อตอนที่ลิ้นของซูเจ๋อได้สัมผัสกับลิ้นของเธอ เธอก็รู้สึกว่าไม่สามารถควบคุมตัวเองไว้ได้แล้ว จึงร้องครางออกมาจากลำคอเบาๆ เวลานั้นซูเจ๋อก็รู้ได้ถึงปฏิกิริยาการตอบสนองของร่างกายของเธอที่ซื่อสัตย์มากกว่าคำพูดที่เธอพูดออกมาเสียอีก มันช่างน่าวิเศษอย่างยิ่งนัก

ร่างกายของเฉินเสียนค่อยๆไหลพิงไปกับกำแพง ขาทั้งสองข้างราวกับเหมือนเหยียบลงไปในบ่อโคลน ที่ค่อยๆจมลงไปในดินที่ยุบตัว และไม่มีเรี่ยวแรงที่จะต่อต้านเอาไว้ได้

ภายใต้แสงจันทร์ ดวงตาทั้งสองเนืองนองเต็มไปด้วยน้ำตา เมื่อน้ำตาชะล้างดวงตาของเธอทำให้มองเห็นดวงตาที่เต็มไปด้วยความสดใสอันพราวเสน่ห์

ซูเจ๋อค่อยๆผ่อนคลายมือทั้งสองของเธอออก แล้วเปลี่ยนมาเป็นโอบเธอเอาไว้ในอ้อมกอด จับกุมไปที่เอวและไหล่ของเธอเอาไว้แล้วจูบลงต่อไปอย่างดูดดื่ม

เฉินเสียนยื่นมือออกไปคว้าเสื้อของเขาโดยไม่รู้ตัว จากนั้นเธอก็พึมพำออกมาอย่างหอบเหนื่อยว่า “ซูเจ๋อ ข้าหายใจไม่ออกแล้ว……”

ซูเจ๋อหลับตาลง จูบซับน้ำตาที่บริเวณหางตาของเธอ แล้วเอ่ยว่า “ข้าไม่อยากจะปล่อยท่านไปไหน ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าก็จะไม่ปล่อยให้ท่านห่างข้าไปไหนไกล”

เฉินเสียนพิงกับกำแพง พยายามสงบสติอารมณ์ตัวเองให้กลับเป็นปกติให้ได้มากที่สุด ซูเจ๋อได้แต่จ้องมองไปที่ริมฝีปากของเธอ ราวกับว่าพร้อมที่จะโผเข้ามาหาได้อยู่ตลอดเวลา เธอนั้นก็รู้สึกว่าไม่มีทางที่จะผ่อนคลายจิตใจลงได้

เฉินเสียนจึงพูดเบี่ยงเบนความสนใจของเขาว่า “เช่นนั้นตอนนี้ข้าก็จะสงบสติอารมณ์แล้วพูดคุยกับท่านดีๆสักครู่ ลักษณะนิสัยของพระชายารุ่ยของท่านเป็นอย่างไร เธออ่อนโยนหรือไม่ แล้วเธอปฏิบัติต่อท่านดีหรือไม่?”

“ข้าไม่มีพระชายารุ่ย”

เฉินเสียนลืมตาแล้วอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมอง นัยน์ตาปรากฎให้เห็นแสงจันทร์สลัวๆ เธอค่อยๆหันข้างมองไปยังเขาได้แวบหนึ่งก็อยู่ในอาการตกตะลึง

การที่เธอมีอาการตกตะลึงเช่นนี้ ก็เรียกได้ว่าเป็นไปตามแผนการของเขา

ซูเจ๋อจูบลงไปที่ริมฝีปากของเธอ แล้วก็พูดเอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าไม่มีพระชายารุ่ย ข้ารอท่านมาตลอด เป่ยเซี่ยไม่มีผู้หญิงคนไหนที่ข้าอยากจะไปขอแต่งงานด้วย ดังนั้นข้าจึงไม่ชอบผู้หญิง”

ผ่านไปเป็นเวลานาน เฉินเสียนเพิ่งจะรู้สึกตัวจึงได้พูดเสียงสั่นๆว่า “ท่านหลอกข้า”

แล้วน้ำตาก็หลั่งไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว

ซูเจ๋อยื่นมือไปช่วยเช็ดน้ำตาให้กับเธอ แต่ยังไม่ทันได้เช็ดเสร็จ เขาก็จูบลงไปที่หางตาเพื่อซับน้ำตาให้กับเธอ แล้วเอ่ยว่า “คราวนี้ข้าไม่ได้หลอกท่าน”

เฉินเสียนควบคุมตัวเองไม่อยู่แล้ว ขณะที่สูดลมหายใจเข้าออกอย่างแรง น้ำตากก็ไหลออกมาเป็นสายราวกับเส้นด้าย เธอเอื้อมมือขึ้นมาปิดตาของตัวเองเอาไว้ แล้วเอ่ยว่า “ข้าคิดว่าข้าคงจะไม่ต้องเสียน้ำตาแบบนี้อีกแล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าสุดท้ายจะต้องมาเสียน้ำตาได้เจ็บปวดขนาดนี้”

แต่การมีชีวิตอยู่นั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าจะหยุดความเจ็บปวดไปได้

“ถึงอย่างไรท่านก็ชอบเห็นข้าขายหน้าแบบนี้ใช่หรือไม่” ขณะที่เธอพูด สติปัญญาในการรับรู้ของเธอก็ถดถอยลงไปอย่างช้าๆ เธอสำลักอยู่เล็กน้อย “ไม่เช่นนั้นทำไมท่านถึงได้หลอกข้ามานานเช่นนี้……ข้าคิดว่าท่านจะไม่ใช่ซูเจ๋อของข้าอีกต่อไปแล้ว ข้าคิดว่าท่านเปลี่ยนไปเป็นอีกคนแล้ว……ข้าดิ้นรน ข้าสับสน ข้าอดไม่ได้ที่จะถลำลึกเข้าไปในความหลุ่มหลงนั้น ข้าไม่รู้ว่าจะต้องทำเช่นไร……ทำไมท่านต้องหลอกข้า?”

ซูเจ๋อกลืนกินเสียงที่อยู่ในลำคอของเธอไป แล้วพรมจูบลงไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสียใจจนแทบจะขยี้เธอให้เข้ามาในร่างกายของเขา

เขาเอ่ยเสียงต่ำว่า “ไม่ใช่ว่าข้าบอกท่านไปตั้งนานแล้วหรือ แต่เมื่อวันที่สองท่านตื่นมาก็จำอะไรไม่ได้แล้ว ข้าก็ร้อนใจอย่างมาก แต่ข้าก็อยากจะรอให้ท่านจำขึ้นมาได้เอง ท่านคงจะไม่รู้ว่าคำพูดที่ท่านพูดกับข้าทุกคำในค่ำคืนนั้น มันทำให้ข้าซาบซึ้งได้มากแค่ไหน ผลสุดท้ายแม้แต่คำพูดของท่านเองท่านก็ยังจำไม่ได้เลย” เขาก็พูดขึ้นมาอีกประโยคหนึ่งว่า “ข้าเลยโกรธท่านมาก”

เขายังพูดต่ออีกว่า“ท่านคงไม่คิดว่าข้าจะโกรธ ไม่หึงหวงท่านใช่หรือไม่?ตอนแรกเพียงได้เห็นท่านพาสนมชายมามากมาย ข้าก็โกรธแค้นท่านมาก”

“ข้าอยู่ตัวคนเดียวมาตลอด อะไรคือความสามัคคีกันระหว่างสามีภรรยา ”

เขาจับริมฝีปากของเธอเอาไว้ แล้วบรรจงจูบลงไปที่ริมฝีปากเธออย่างลุ่มหลงอีกครั้ง แล้วเอ่ยด้วยอาลัยรักว่า “ถ้ามันเป็นการทำให้คนโกรธ เมื่อได้พูดออกไป ข้าก็รู้สึกผิดหวังมากแล้ว”

เฉินเสียนเงยหน้าขึ้นมองผู้ชายด้านหน้าที่จูบอย่างดูดดื่มทำให้เธอนั่นลุ่มหลง

เมื่อก่อนแววตาของเขานั้นจะมองออกไปอย่างกว้างไกล มักจะคำนึงถึงเหตุการณ์โดยรวมอยู่เสมอ เขาแทบจะไม่เคยแสดงความยากลำบากหรือโกรธแค้นอะไรออกมาต่อหน้าเธอเลย

แม้แต่เรื่องที่ทำให้เขาเจ็บปวดมากที่สุดที่ยอมให้เย่ซวิ่นเข้ามาในวังหลัง เขายังจัดการกับมันได้อย่างไม่เห็นแก่ตัว ช่วงเวลานั้นร่างกายของเขาก็แฝงไปด้วยอารมณ์ร้อนอยู่ตลอด

แต่เมื่อครู่ที่ได้ฟังคำพูดนั้นออกมา ก็ทำให้เฉินเสียนรับรู้ได้ว่าเขาก็มีความรู้สึกและอารมณ์ตัณหา เขาแสดงอารมณ์ปิติดีใจ อารมณ์โกรธ อารมณ์เศร้า เขาจริงใจและสดใสอย่างเต็มเปี่ยมกว่าที่เขาเคยเป็น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+