ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษเล่มที่ 11 บทที่ 301 มิสมหวังแม้จะร้องขอ

Now you are reading ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ Chapter เล่มที่ 11 บทที่ 301 มิสมหวังแม้จะร้องขอ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ใต้เท้าซูเอ่ยชมเกินไปแล้ว ข้าเพียงแค่แสดงความสามารถให้ชมเท่านั้น ไม่ทราบว่าตอนนี้ข้ามีคุณสมบัติมากพอที่จะอ่านชีพจรของฮ่องเต้แล้วหรือไม่?”

หลินเมิ้งหยาร้องขออีกครั้ง ทว่าซูถงกลับไม่รับปากนางเหมือนอย่างที่คิด

เขายังคงแสดงสีหน้าลำบากใจ กุมมือเข้าหากัน ส่งสายตาอึดอัดให้หญิงสาวตรงหน้า

“อ่าน…แน่นอนว่าสามารถอ่านได้พ่ะย่ะค่ะ แต่วันนี้เย็นมากแล้ว หากพระชายายังไม่กลับวัง เกรงว่าเวลาจะคลาดเคลื่อนเอาได้”

หลินเมิ้งหยาแหงนหน้ามอง ตอนนี้ท้องฟ้ากลายเป็นสีขุ่นดั่งไข่มุกแล้ว ดูเหมือนนางจะลืมเรื่องเวลาไปเสียสนิท

ยิ่งไปกว่านั้นนางรู้ดีว่าซูถงกำลังปฏิเสธทางอ้อม

ชีพจรของฮ่องเต้เป็นสิ่งล้ำค่าที่มิอาจเปิดเผย บางทีอาจถือว่าเป็นความลับของแคว้นเลยก็ว่าได้ ฉะนั้นนี่จึงเป็นเรื่องปกติที่เขาจะไม่ยินยอมให้นางได้เห็น

แต่ถึงกระนั้น…นางก็มีวิธี

สักวันหนึ่งนางจะต้องได้อ่านชีพจรของฮ่องเต้อย่างแน่นอน

“จะว่าไปก็ใช่ พวกเราควรกลับกันได้แล้วล่ะป๋ายซู มิทราบว่าพวกท่านชื่นชมเข็มของข้าเสร็จแล้วหรือไม่?”

หลินเมิ้งหยาเรียกคนของตัวเองเพื่อที่จะเดินทางกลับ ขณะเดียวกัน หมอหลวงคนหนึ่งกำลังมองเข็มของหลินเมิ้งหยาด้วยความชื่นชม

“พระชายา ข้าน้อยเองก็เป็นหมอฝังเข็มเช่นเดียวกัน มิทราบว่าข้าน้อยขอยืมเข็มเล่มนี้ได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

คำพูดนี้เสียมารยาทยิ่งนัก นางขออนุญาตอ่านรายงานชีพจรของฮ่องเต้ แต่พวกเขาปฏิเสธ ทว่าตอนนี้พวกเขากลับคิดจะยืมเข็มของนาง?

หลินเมิ้งหยาส่ายหน้า ป๋ายซูเดินเข้าไปหยิบเข็มกลับมา หลังจากเช็ดจนสะอาดแล้ว นางจึงใส่กลับลงไปในกล่องเข็ม

“เหตุใดพระชายาจึงหวงแหนเคล็ดลับวิชาเช่นนี้เล่า? วิชาการแพทย์ควรจะได้รับการศึกษาเพื่อพัฒนาต่อยอดมิใช่หรือ? หรือพระชายาคิดจะเก็บวิชาลับเหล่านี้ไว้กับตัวเองชั่วชีวิต?”

ครู่ต่อมา หมอหลวงไว้หนวดไว้เคราเอ่ยวาจาส่อเสียดพร้อมทั้งถลึงตาใส่หลินเมิ้งหยา

ทว่านางกลับทำเพียงเหยียดยิ้มเย็นชา กวาดสายตามองคนเหล่านั้น ดูเหมือนคนที่คิดเห็นเช่นเดียวกับหมอหลวงเครายาวคนนี้จะมีไม่น้อย

“ได้ ในเมื่อท่านพูดเช่นนี้ เช่นนั้นท่านได้โปรดนำสูตรยาที่ท่านเก็บไว้ใต้กล่องออกมาแบ่งปันทุกคนเถิด”

สำนักหมอหลวงหาใช่สถานที่ดีเด่อันใดไม่ หมอหลวงพวกนี้หยาบคายยิ่งนัก เคล็ดลับวิชาควบคุมเข็มนี้มิต่างอันใดจากสูตรยา มันคือการถ่ายทอดวิชาจากรุ่นสู่รุ่น

คำพูดนี้ทำให้สีหน้าของคนเหล่านั้นไม่น่ามอง

พวกเขาเพิ่งรู้สึกตัวว่าหญิงสาวตรงหน้าหาใช่คนที่จะถูกรังแกได้ง่ายๆ

ดังนั้นพวกเขาส่วนใหญ่จึงเริ่มถอนตัว

“เจ้า…ชายาอวี้ ท่านเอ่ยวาจารุนแรงเกินไปแล้ว วิชาการควบคุมเข็มหาใช่วิชาที่ได้รับการยอมรับ ทว่าวิชาแพทย์ล้วนได้รับการยอมรับและส่งต่อคัมภีร์เคล็ดวิชาให้ผู้สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ดังนั้นวิชาควมคุมเข็มกับสูตรยานั้นหาใช่สิ่งที่นำมาเปรียบเทียบกันได้”

หมอหลวงเครายาวกล่าวอ้าง ซ้ำยังเป็นข้ออ้างที่ทุกคนเห็นว่าสมเหตุสมผล

หลินเมิ้งหยากระตุกยิ้มเย็นยะเยือก ไม่คิดจะใช้เหตุผลคุยกับพวกเขา

“บังเอิญยิ่งนัก คัมภีร์เคล็ดวิชาถูกท่านอาจารย์ของข้าโยนทิ้งไปแล้วหลังจากได้รับมาเพียงสองวัน หากท่านอยากศึกษา เช่นนั้นก็ไปหาความรู้ด้วยตัวเองเถิด หากท่านหาเจอ ก็ถือว่าเป็นของท่านดีหรือไม่?”

จ้องเขม็ง หลินเมิ้งหยามีวาทศิลป์ล้ำเลิศกว่าคนเหล่านี้มาก

ชายกลุ่มนี้จึงพ่ายแพ้ให้แก่หญิงสาวตรงหน้าอย่างราบคาบ

ในเมื่อนางพูดถึงขนาดนี้แล้ว หากเขายังโต้เถียงกลับไป เช่นนั้นหลินเมิ้งหยาคงระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างแน่นอน

ซูถงหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะเข้าไปห้ามคนทั้งคู่

“เจียงข่าย เจ้าพูดไร้สาระไรกันนี่! เหตุใดจึงยังไม่รีบขอโทษพระชายาอีก! ทั้งที่อายุมากขนาดนี้แล้ว แต่เหตุใดจึงยังไม่รู้จักกฎระเบียบ”

หมอเครายาวสกุลเจียงอย่างนั้นหรือ? หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด

ได้ยินมาว่าวิชาการแพทย์ของเจียงเฉิงได้รับการถ่ายทอดมาจากหมอหลวงคนหนึ่ง คงไม่บังเอิญเป็นคนคนนี้หรอกกระมัง

“ขอรับ ใต้เท้า”

แม้เจียงข่ายจะยังรู้สึกไม่ชอบใจ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ทำได้เพียงกลืนคำพูดลงคอ

จ้องมองหลินเมิ้งหยาซึ่งกำลังถือเข็มจากไป

“น้อมส่งชายาอวี้”

ซูถงยืนโค้งคำนับอยู่ด้านหน้าประตู หลินเมิ้งหยาผงกศีรษะลง ก่อนจะพาสาวใช้ของตนเองกลับวัง

ล้วนว่ากันว่าร้อยคนล้านความคิด ฉะนั้นแม้ที่แห่งนี้จะเป็นเพียงสำนักหมอหลวงเล็กๆ แต่หลินเมิ้งหยากลับสังเกตเห็นอะไรหลายอย่าง

หลังจากผ่านเรื่องเมื่อครู่มา เจินจูและหมาหน่าวไม่กล้าแสดงความหยิ่งยโสอีก พวกนางทำเพียงชำเลืองมองและเดินตามหลังเงียบๆ เท่านั้น

เดินกลับมาถึงเรือนเล็ก แม้จะมีบรรยากาศอึมครึมแต่ก็ไร้ซึ่งคนจับตามอง

ถึงกระนั้นนางก็มั่นใจว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในสำนักหมอหลวงวันนี้จะต้องถึงหูฮองเฮาโดยไม่ขาดตกบกพร่องไปแม้แต่คำเดียว

“พวกเจ้าอยู่รับใช้ด้านนอกเถิด เจ้านายของข้าไม่ชอบให้ใครเข้ามายุ่มย่ามภายใน หากพวกเจ้าฉลาดและรู้หน้าที่ เจ้านายของข้าไม่มีวันเอาชีวิตของพวกเจ้าอย่างแน่นอน”

ป๋ายซูเอ่ยเตือนหญิงสาวทั้งสองเสียงเบา พวกนางรีบหดศีรษะลงราวกับสัตว์ที่กำลังจะถูกตี

“ช่างเถิด พวกเจ้ากลับไปพักผ่อนที่ห้องเถอะ หากมีเรื่องอันใด ข้าจะสั่งให้ป๋ายซูไปตามพวกเจ้าเอง”

ด้านนอกอากาศหนาว พวกนางทั้งสองเพิ่งผ่านประสบการณ์หวาดผวามา หากถูกความเย็นเล่นงาน เกรงว่าจะล้มป่วยเอาได้

นางมิได้ใจไม้ไส้ระกำขนาดคร่าชีวิตคนเล่นเหมือนผักเหมือนปลา

มองตามหลังหญิงสาวทั้งสองที่กำลังเดินกลับไปยังห้องพักของตนเอง หลินเมิ้งหยาและป๋ายซูกลับเข้าไปในห้องหลัก

ถ่านในเตาฟืนยังคงส่งความอบอุ่น ใส่ถ่านเข้าไปอีกสองสามอัน ไม่นานบรรยากาศภายในห้องก็ยิ่งอบอุ่นมากขึ้น

“นายหญิง ท่านใจดีเกินไป พวกนางทั้งสองเป็นคนที่ฮองเฮาส่งมาจับตามองพวกเรา วันนี้ท่านทำเพียงข่มขู่พวกนางก็เท่านั้น พวกนางโชคดีเกินไปแล้ว”

ป๋ายซูบ่นพึมพำ หลินเมิ้งหยาหันไปมองหญิงสาวที่มักจะแสดงสีหน้าเย็นชาด้วยสายตาประหลาดใจ

“โอ้ เจ้าเด็กคนนี้ ข้าว่าเจ้าต้องซึมซับนิสัยไม่ดีของป๋ายซ่าวมาแล้วแน่ๆ เฮ้อ พวกเจ้าติดตามคุณหนูผู้แสนใจดีอย่างข้ามาตั้งนาน เหตุใดจึงไม่เลียนแบบนิสัยดีๆ เช่นข้ากันนะ? หรือตำหนักหลิวซินของข้าจะมีปีศาจจิ้งจอกอาศัยอยู่กัน?”

หลินเมิ้งหยาเอ่ยเรียกร้องความสนใจ ป๋ายซูรีบหันไปถลึงตาใส่นาง ทว่าบรรยากาศในเวลานี้กลับอบอุ่นกว่าเมื่อครู่หลายเท่าตัว

ยกน้ำชาให้แก่หลินเมิ้งหยา ก่อนจะรับฟังคำพูดของนาง

“ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไร พวกนางทั้งสองเป็นคนที่ถูกส่งมาสอดแนมไม่ผิดแน่ แต่ถึงแม้พวกเราจะไล่พวกนางทั้งสองคนออกไป ทว่าฮองเฮาจะต้องหาวิธีการส่งคนใหม่มาอยู่ดี หากพวกเราเจอคนที่ฉลาดเฉลียวเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าพวกเราอีกจะทำเช่นไรเล่า?”

เพราะเหตุนี้บริเวณรอบๆ เรือนจึงไม่มีใครคอยจับตามอง

การกระทำของนางทุกอย่างล้วนอยู่ในสายตาของฮองเฮา

ภายในสำนักหมอหลวงมีแต่คนของฮองเฮาอยู่เต็มไปหมด อาจพูดได้ว่าไม่ว่านางจะทำอะไร ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมตกอยู่ในสายตาของฮองเฮาเสมอ

ในเมื่อไม่อาจหลบซ่อนได้ เช่นนั้นเปิดอกและแสดงให้นางเห็นไปเลยดีกว่า ในทางกลับกันนางอาจจะหลงกลและมองไม่ออกว่าตนเองกำลังคิดทำสิ่งใด

“นายหญิงพูดมีเหตุผล ข้าคิดไม่รอบคอบเอง เรื่องที่เกิดขึ้นในสำนักหมอหลวงวันนี้คงทำให้พวกนางหวาดผวาไม่น้อย”

ป๋ายซูเอ่ยพลางกระหยิ่มยิ้มย่อง นางเองก็เพิ่งจะเคยเห็นวิชาควบคุมเข็มเช่นกัน คิดไม่ถึงเลยว่านายหญิงจะรู้จักวิชาลับเช่นนี้

“เฮ้อ เจ้าคงยังไม่รู้ว่าความซวยกำลังจะมาเยือนเราแล้วต่างหาก คาดว่าต่อจากนี้ไปพวกเขาจะต้องจับตาดูข้าอย่างไม่ละสายตาแน่นอน แต่ว่า…ข้ามีเจ้าอยู่ด้วย ฉะนั้นข้าจึงเบาใจ”

หลินเมิ้งหยาถอนหายใจเบาๆ วิชาการควบคุมเข็มเป็นสิ่งที่นางได้ร่ำเรียนโดยมิได้ตั้งใจ

ท่านอาจารย์กำชับนางว่าวิชานี้ประหลาดยิ่งนัก ฉะนั้นอย่าเผยให้ใครเห็นได้ง่ายๆ

แต่เมื่อครู่นางกลับเปิดเผยออกไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น หมอสกุลเจียงคนนั้นยังจ้องเข็มของนางเขม็ง

ทว่านางเองก็มีแผนในใจเช่นเดียวกัน แม้คนอื่นจะไม่พูดแต่สายตาของพวกเขากลับบอกทุกอย่าง

ในเมื่อนางมีของที่พวกเขาปรารถนาอยากได้ไปครอบครอง เช่นนั้นนางจะพยายามใช้มันให้ดีเพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตในวังหลวงอย่างราบรื่น

ช่วงเวลายามค่ำคืนภายในวังหลวงช่างยาวนานยิ่งนัก เพียงฟ้ามืด หลินเมิ้งหยาก็ไม่รู้ว่าควรทำอะไรต่อ

เมื่อเทียบกับจวนอวี้ นางมักมีเรื่องให้ต้องทำไม่รู้จบ ทั้งเรื่องอาหารการกินในจวน ทั้งงานใหญ่งานเล็กของกลุ่มสามสหาย

ตำหนักของนางมักมีคนแปลกหน้าเดินผ่านไปมา แต่ละคนล้วนส่งความรู้สึกแตกต่างกันออกไป

ไม่เหมือนกับวังหลวง นางไม่มีอะไรให้ทำ ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่อาจออกไปเดินเล่นเพ่นพ่านได้ ซ้ำป๋ายซูที่อยู่เป็นเพื่อนยังไม่ใช่คนพูดเก่งแต่อย่างใด

เวลายามค่ำคืนอันแสนยาวนานช่างน่าเบื่อเหลือเกิน

“วังหลวงช่างน่าเบื่อเหลือเกิน ป๋ายซู เจ้ามาเล่นหมากรุกเป็นเพื่อนข้าเถิด”

โยนตำราแพทย์ไปอีกฝั่ง นางท่องจำยาที่ใช้ในการรักษาอาการประชวรของฮ่องเต้จนขึ้นใจแล้ว

แต่นางยังไม่ได้เจอพระองค์ ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่รู้ว่าชีพจรของฮ่องเต้เป็นเช่นไร นางเสมือนคนตาบอดที่ต้องคลำหาทางออกเอง

ป๋ายซูเบิกตากว้าง ก่อนจะหันไปมองรอบๆ

อยากเล่นหมากรุก แต่หมากรุกอยู่ที่ใดกันเล่า?

“ดูเจ้าเถิด มนุษย์เราต้องรู้จักหาความสุขในช่วงเวลาอันแสนขมขื่นรู้หรือไม่ เช่นนั้นพวกเราออกไปเก็บหินเล็กๆ ด้วยกันเถิด”

ป๋ายซูผงกศีรษะลง สองนายบ่าวเดินนำหน้าตามหลังกันไปที่สวนเล็ก

การละเล่นสนุกๆ ในตำหนักหลิวซินมีมากมายจนอาจจะติดอันดับหนึ่งในห้าของต้าจิ้นเลยก็ว่าได้ หลินเมิ้งหยามักเป็นผู้นำในการสอนพวกสาวใช้ทำกิจกรรมสนุกๆ เสมอ

นานมากแล้วที่ไม่ได้เล่นหมากรุก หินกรวดมีมากมาย ดูเหมือนจะใช้เล่นได้อีกนานเลย!

ขณะที่คิดจะลุกขึ้นออกจากมุมกำแพงแล้วกลับเข้าไปในเรือน สายตาพลันเหลือบไปเห็นใบหน้าอ่อนเยาว์ที่กำลังยิ้มตาหยีมาให้ตน

“ทำไม…”

ขณะที่กำลังจะร้องอุทานออกมา นางพลันนึกได้ว่ายังมีคนคอยจับตามองนางอยู่อีกสองคน

หันมองซ้ายมองขวา โบกมือ ก่อนจะพาคนที่มีท่าทางลับๆ ล่อๆ เหมือนขโมยเข้าไปในเรือน

“เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?”

หลินเมิ้งหยามองชายตรงหน้าด้วยความตกตะลึง ตอนกลางวันนางยังรู้สึกหดหู่อยู่เลยที่ไม่เห็นเขาในสำนักหมอหลวง

ชิวอวี้แย้มยิ้ม ก่อนจะวางถุงผ้าลง

“วันนี้เป็นวันที่ข้าต้องเข้าเวรดูแลฮ่องเต้ ฉะนั้นข้าจึงหาโอกาสมาพบเจ้า วันนี้ข้าได้ยินคนส่งข้าวเล่าว่าวันนี้เจ้าแสดงวิชาควบคุมเข็มให้พวกตาเฒ่าหัวโบราณในสำนักหมอหลวงดูจนพวกเขาอึ้งไปตามๆ กัน”

คิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องนี้จะถึงหูชิวอวี้อย่างรวดเร็ว

หลินเมิ้งหยาหัวเราะพลางส่ายหน้า ก่อนจะแนะนำชายคนนี้ให้ป๋ายซูรู้จัก

“ป๋ายซู นี่คือท่านหมอชิวอวี้แห่งสำนักหมอหลวง พวกเราเคยพบกันที่ค่ายทหาร ต่อจากนี้ไปคงต้องพบเจอกันอีกหลายครั้ง เจ้าจงจำเอาไว้ให้ดี”

ป๋ายซูผงกศีรษะลง ท่าทางยังคงเย็นชาแต่สง่างามเหมือนเดิม

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษเล่มที่ 11 บทที่ 301 มิสมหวังแม้จะร้องขอ

Now you are reading ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ Chapter เล่มที่ 11 บทที่ 301 มิสมหวังแม้จะร้องขอ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ใต้เท้าซูเอ่ยชมเกินไปแล้ว ข้าเพียงแค่แสดงความสามารถให้ชมเท่านั้น ไม่ทราบว่าตอนนี้ข้ามีคุณสมบัติมากพอที่จะอ่านชีพจรของฮ่องเต้แล้วหรือไม่?”

หลินเมิ้งหยาร้องขออีกครั้ง ทว่าซูถงกลับไม่รับปากนางเหมือนอย่างที่คิด

เขายังคงแสดงสีหน้าลำบากใจ กุมมือเข้าหากัน ส่งสายตาอึดอัดให้หญิงสาวตรงหน้า

“อ่าน…แน่นอนว่าสามารถอ่านได้พ่ะย่ะค่ะ แต่วันนี้เย็นมากแล้ว หากพระชายายังไม่กลับวัง เกรงว่าเวลาจะคลาดเคลื่อนเอาได้”

หลินเมิ้งหยาแหงนหน้ามอง ตอนนี้ท้องฟ้ากลายเป็นสีขุ่นดั่งไข่มุกแล้ว ดูเหมือนนางจะลืมเรื่องเวลาไปเสียสนิท

ยิ่งไปกว่านั้นนางรู้ดีว่าซูถงกำลังปฏิเสธทางอ้อม

ชีพจรของฮ่องเต้เป็นสิ่งล้ำค่าที่มิอาจเปิดเผย บางทีอาจถือว่าเป็นความลับของแคว้นเลยก็ว่าได้ ฉะนั้นนี่จึงเป็นเรื่องปกติที่เขาจะไม่ยินยอมให้นางได้เห็น

แต่ถึงกระนั้น…นางก็มีวิธี

สักวันหนึ่งนางจะต้องได้อ่านชีพจรของฮ่องเต้อย่างแน่นอน

“จะว่าไปก็ใช่ พวกเราควรกลับกันได้แล้วล่ะป๋ายซู มิทราบว่าพวกท่านชื่นชมเข็มของข้าเสร็จแล้วหรือไม่?”

หลินเมิ้งหยาเรียกคนของตัวเองเพื่อที่จะเดินทางกลับ ขณะเดียวกัน หมอหลวงคนหนึ่งกำลังมองเข็มของหลินเมิ้งหยาด้วยความชื่นชม

“พระชายา ข้าน้อยเองก็เป็นหมอฝังเข็มเช่นเดียวกัน มิทราบว่าข้าน้อยขอยืมเข็มเล่มนี้ได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

คำพูดนี้เสียมารยาทยิ่งนัก นางขออนุญาตอ่านรายงานชีพจรของฮ่องเต้ แต่พวกเขาปฏิเสธ ทว่าตอนนี้พวกเขากลับคิดจะยืมเข็มของนาง?

หลินเมิ้งหยาส่ายหน้า ป๋ายซูเดินเข้าไปหยิบเข็มกลับมา หลังจากเช็ดจนสะอาดแล้ว นางจึงใส่กลับลงไปในกล่องเข็ม

“เหตุใดพระชายาจึงหวงแหนเคล็ดลับวิชาเช่นนี้เล่า? วิชาการแพทย์ควรจะได้รับการศึกษาเพื่อพัฒนาต่อยอดมิใช่หรือ? หรือพระชายาคิดจะเก็บวิชาลับเหล่านี้ไว้กับตัวเองชั่วชีวิต?”

ครู่ต่อมา หมอหลวงไว้หนวดไว้เคราเอ่ยวาจาส่อเสียดพร้อมทั้งถลึงตาใส่หลินเมิ้งหยา

ทว่านางกลับทำเพียงเหยียดยิ้มเย็นชา กวาดสายตามองคนเหล่านั้น ดูเหมือนคนที่คิดเห็นเช่นเดียวกับหมอหลวงเครายาวคนนี้จะมีไม่น้อย

“ได้ ในเมื่อท่านพูดเช่นนี้ เช่นนั้นท่านได้โปรดนำสูตรยาที่ท่านเก็บไว้ใต้กล่องออกมาแบ่งปันทุกคนเถิด”

สำนักหมอหลวงหาใช่สถานที่ดีเด่อันใดไม่ หมอหลวงพวกนี้หยาบคายยิ่งนัก เคล็ดลับวิชาควบคุมเข็มนี้มิต่างอันใดจากสูตรยา มันคือการถ่ายทอดวิชาจากรุ่นสู่รุ่น

คำพูดนี้ทำให้สีหน้าของคนเหล่านั้นไม่น่ามอง

พวกเขาเพิ่งรู้สึกตัวว่าหญิงสาวตรงหน้าหาใช่คนที่จะถูกรังแกได้ง่ายๆ

ดังนั้นพวกเขาส่วนใหญ่จึงเริ่มถอนตัว

“เจ้า…ชายาอวี้ ท่านเอ่ยวาจารุนแรงเกินไปแล้ว วิชาการควบคุมเข็มหาใช่วิชาที่ได้รับการยอมรับ ทว่าวิชาแพทย์ล้วนได้รับการยอมรับและส่งต่อคัมภีร์เคล็ดวิชาให้ผู้สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ดังนั้นวิชาควมคุมเข็มกับสูตรยานั้นหาใช่สิ่งที่นำมาเปรียบเทียบกันได้”

หมอหลวงเครายาวกล่าวอ้าง ซ้ำยังเป็นข้ออ้างที่ทุกคนเห็นว่าสมเหตุสมผล

หลินเมิ้งหยากระตุกยิ้มเย็นยะเยือก ไม่คิดจะใช้เหตุผลคุยกับพวกเขา

“บังเอิญยิ่งนัก คัมภีร์เคล็ดวิชาถูกท่านอาจารย์ของข้าโยนทิ้งไปแล้วหลังจากได้รับมาเพียงสองวัน หากท่านอยากศึกษา เช่นนั้นก็ไปหาความรู้ด้วยตัวเองเถิด หากท่านหาเจอ ก็ถือว่าเป็นของท่านดีหรือไม่?”

จ้องเขม็ง หลินเมิ้งหยามีวาทศิลป์ล้ำเลิศกว่าคนเหล่านี้มาก

ชายกลุ่มนี้จึงพ่ายแพ้ให้แก่หญิงสาวตรงหน้าอย่างราบคาบ

ในเมื่อนางพูดถึงขนาดนี้แล้ว หากเขายังโต้เถียงกลับไป เช่นนั้นหลินเมิ้งหยาคงระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างแน่นอน

ซูถงหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะเข้าไปห้ามคนทั้งคู่

“เจียงข่าย เจ้าพูดไร้สาระไรกันนี่! เหตุใดจึงยังไม่รีบขอโทษพระชายาอีก! ทั้งที่อายุมากขนาดนี้แล้ว แต่เหตุใดจึงยังไม่รู้จักกฎระเบียบ”

หมอเครายาวสกุลเจียงอย่างนั้นหรือ? หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด

ได้ยินมาว่าวิชาการแพทย์ของเจียงเฉิงได้รับการถ่ายทอดมาจากหมอหลวงคนหนึ่ง คงไม่บังเอิญเป็นคนคนนี้หรอกกระมัง

“ขอรับ ใต้เท้า”

แม้เจียงข่ายจะยังรู้สึกไม่ชอบใจ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ทำได้เพียงกลืนคำพูดลงคอ

จ้องมองหลินเมิ้งหยาซึ่งกำลังถือเข็มจากไป

“น้อมส่งชายาอวี้”

ซูถงยืนโค้งคำนับอยู่ด้านหน้าประตู หลินเมิ้งหยาผงกศีรษะลง ก่อนจะพาสาวใช้ของตนเองกลับวัง

ล้วนว่ากันว่าร้อยคนล้านความคิด ฉะนั้นแม้ที่แห่งนี้จะเป็นเพียงสำนักหมอหลวงเล็กๆ แต่หลินเมิ้งหยากลับสังเกตเห็นอะไรหลายอย่าง

หลังจากผ่านเรื่องเมื่อครู่มา เจินจูและหมาหน่าวไม่กล้าแสดงความหยิ่งยโสอีก พวกนางทำเพียงชำเลืองมองและเดินตามหลังเงียบๆ เท่านั้น

เดินกลับมาถึงเรือนเล็ก แม้จะมีบรรยากาศอึมครึมแต่ก็ไร้ซึ่งคนจับตามอง

ถึงกระนั้นนางก็มั่นใจว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในสำนักหมอหลวงวันนี้จะต้องถึงหูฮองเฮาโดยไม่ขาดตกบกพร่องไปแม้แต่คำเดียว

“พวกเจ้าอยู่รับใช้ด้านนอกเถิด เจ้านายของข้าไม่ชอบให้ใครเข้ามายุ่มย่ามภายใน หากพวกเจ้าฉลาดและรู้หน้าที่ เจ้านายของข้าไม่มีวันเอาชีวิตของพวกเจ้าอย่างแน่นอน”

ป๋ายซูเอ่ยเตือนหญิงสาวทั้งสองเสียงเบา พวกนางรีบหดศีรษะลงราวกับสัตว์ที่กำลังจะถูกตี

“ช่างเถิด พวกเจ้ากลับไปพักผ่อนที่ห้องเถอะ หากมีเรื่องอันใด ข้าจะสั่งให้ป๋ายซูไปตามพวกเจ้าเอง”

ด้านนอกอากาศหนาว พวกนางทั้งสองเพิ่งผ่านประสบการณ์หวาดผวามา หากถูกความเย็นเล่นงาน เกรงว่าจะล้มป่วยเอาได้

นางมิได้ใจไม้ไส้ระกำขนาดคร่าชีวิตคนเล่นเหมือนผักเหมือนปลา

มองตามหลังหญิงสาวทั้งสองที่กำลังเดินกลับไปยังห้องพักของตนเอง หลินเมิ้งหยาและป๋ายซูกลับเข้าไปในห้องหลัก

ถ่านในเตาฟืนยังคงส่งความอบอุ่น ใส่ถ่านเข้าไปอีกสองสามอัน ไม่นานบรรยากาศภายในห้องก็ยิ่งอบอุ่นมากขึ้น

“นายหญิง ท่านใจดีเกินไป พวกนางทั้งสองเป็นคนที่ฮองเฮาส่งมาจับตามองพวกเรา วันนี้ท่านทำเพียงข่มขู่พวกนางก็เท่านั้น พวกนางโชคดีเกินไปแล้ว”

ป๋ายซูบ่นพึมพำ หลินเมิ้งหยาหันไปมองหญิงสาวที่มักจะแสดงสีหน้าเย็นชาด้วยสายตาประหลาดใจ

“โอ้ เจ้าเด็กคนนี้ ข้าว่าเจ้าต้องซึมซับนิสัยไม่ดีของป๋ายซ่าวมาแล้วแน่ๆ เฮ้อ พวกเจ้าติดตามคุณหนูผู้แสนใจดีอย่างข้ามาตั้งนาน เหตุใดจึงไม่เลียนแบบนิสัยดีๆ เช่นข้ากันนะ? หรือตำหนักหลิวซินของข้าจะมีปีศาจจิ้งจอกอาศัยอยู่กัน?”

หลินเมิ้งหยาเอ่ยเรียกร้องความสนใจ ป๋ายซูรีบหันไปถลึงตาใส่นาง ทว่าบรรยากาศในเวลานี้กลับอบอุ่นกว่าเมื่อครู่หลายเท่าตัว

ยกน้ำชาให้แก่หลินเมิ้งหยา ก่อนจะรับฟังคำพูดของนาง

“ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไร พวกนางทั้งสองเป็นคนที่ถูกส่งมาสอดแนมไม่ผิดแน่ แต่ถึงแม้พวกเราจะไล่พวกนางทั้งสองคนออกไป ทว่าฮองเฮาจะต้องหาวิธีการส่งคนใหม่มาอยู่ดี หากพวกเราเจอคนที่ฉลาดเฉลียวเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าพวกเราอีกจะทำเช่นไรเล่า?”

เพราะเหตุนี้บริเวณรอบๆ เรือนจึงไม่มีใครคอยจับตามอง

การกระทำของนางทุกอย่างล้วนอยู่ในสายตาของฮองเฮา

ภายในสำนักหมอหลวงมีแต่คนของฮองเฮาอยู่เต็มไปหมด อาจพูดได้ว่าไม่ว่านางจะทำอะไร ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมตกอยู่ในสายตาของฮองเฮาเสมอ

ในเมื่อไม่อาจหลบซ่อนได้ เช่นนั้นเปิดอกและแสดงให้นางเห็นไปเลยดีกว่า ในทางกลับกันนางอาจจะหลงกลและมองไม่ออกว่าตนเองกำลังคิดทำสิ่งใด

“นายหญิงพูดมีเหตุผล ข้าคิดไม่รอบคอบเอง เรื่องที่เกิดขึ้นในสำนักหมอหลวงวันนี้คงทำให้พวกนางหวาดผวาไม่น้อย”

ป๋ายซูเอ่ยพลางกระหยิ่มยิ้มย่อง นางเองก็เพิ่งจะเคยเห็นวิชาควบคุมเข็มเช่นกัน คิดไม่ถึงเลยว่านายหญิงจะรู้จักวิชาลับเช่นนี้

“เฮ้อ เจ้าคงยังไม่รู้ว่าความซวยกำลังจะมาเยือนเราแล้วต่างหาก คาดว่าต่อจากนี้ไปพวกเขาจะต้องจับตาดูข้าอย่างไม่ละสายตาแน่นอน แต่ว่า…ข้ามีเจ้าอยู่ด้วย ฉะนั้นข้าจึงเบาใจ”

หลินเมิ้งหยาถอนหายใจเบาๆ วิชาการควบคุมเข็มเป็นสิ่งที่นางได้ร่ำเรียนโดยมิได้ตั้งใจ

ท่านอาจารย์กำชับนางว่าวิชานี้ประหลาดยิ่งนัก ฉะนั้นอย่าเผยให้ใครเห็นได้ง่ายๆ

แต่เมื่อครู่นางกลับเปิดเผยออกไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น หมอสกุลเจียงคนนั้นยังจ้องเข็มของนางเขม็ง

ทว่านางเองก็มีแผนในใจเช่นเดียวกัน แม้คนอื่นจะไม่พูดแต่สายตาของพวกเขากลับบอกทุกอย่าง

ในเมื่อนางมีของที่พวกเขาปรารถนาอยากได้ไปครอบครอง เช่นนั้นนางจะพยายามใช้มันให้ดีเพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตในวังหลวงอย่างราบรื่น

ช่วงเวลายามค่ำคืนภายในวังหลวงช่างยาวนานยิ่งนัก เพียงฟ้ามืด หลินเมิ้งหยาก็ไม่รู้ว่าควรทำอะไรต่อ

เมื่อเทียบกับจวนอวี้ นางมักมีเรื่องให้ต้องทำไม่รู้จบ ทั้งเรื่องอาหารการกินในจวน ทั้งงานใหญ่งานเล็กของกลุ่มสามสหาย

ตำหนักของนางมักมีคนแปลกหน้าเดินผ่านไปมา แต่ละคนล้วนส่งความรู้สึกแตกต่างกันออกไป

ไม่เหมือนกับวังหลวง นางไม่มีอะไรให้ทำ ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่อาจออกไปเดินเล่นเพ่นพ่านได้ ซ้ำป๋ายซูที่อยู่เป็นเพื่อนยังไม่ใช่คนพูดเก่งแต่อย่างใด

เวลายามค่ำคืนอันแสนยาวนานช่างน่าเบื่อเหลือเกิน

“วังหลวงช่างน่าเบื่อเหลือเกิน ป๋ายซู เจ้ามาเล่นหมากรุกเป็นเพื่อนข้าเถิด”

โยนตำราแพทย์ไปอีกฝั่ง นางท่องจำยาที่ใช้ในการรักษาอาการประชวรของฮ่องเต้จนขึ้นใจแล้ว

แต่นางยังไม่ได้เจอพระองค์ ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่รู้ว่าชีพจรของฮ่องเต้เป็นเช่นไร นางเสมือนคนตาบอดที่ต้องคลำหาทางออกเอง

ป๋ายซูเบิกตากว้าง ก่อนจะหันไปมองรอบๆ

อยากเล่นหมากรุก แต่หมากรุกอยู่ที่ใดกันเล่า?

“ดูเจ้าเถิด มนุษย์เราต้องรู้จักหาความสุขในช่วงเวลาอันแสนขมขื่นรู้หรือไม่ เช่นนั้นพวกเราออกไปเก็บหินเล็กๆ ด้วยกันเถิด”

ป๋ายซูผงกศีรษะลง สองนายบ่าวเดินนำหน้าตามหลังกันไปที่สวนเล็ก

การละเล่นสนุกๆ ในตำหนักหลิวซินมีมากมายจนอาจจะติดอันดับหนึ่งในห้าของต้าจิ้นเลยก็ว่าได้ หลินเมิ้งหยามักเป็นผู้นำในการสอนพวกสาวใช้ทำกิจกรรมสนุกๆ เสมอ

นานมากแล้วที่ไม่ได้เล่นหมากรุก หินกรวดมีมากมาย ดูเหมือนจะใช้เล่นได้อีกนานเลย!

ขณะที่คิดจะลุกขึ้นออกจากมุมกำแพงแล้วกลับเข้าไปในเรือน สายตาพลันเหลือบไปเห็นใบหน้าอ่อนเยาว์ที่กำลังยิ้มตาหยีมาให้ตน

“ทำไม…”

ขณะที่กำลังจะร้องอุทานออกมา นางพลันนึกได้ว่ายังมีคนคอยจับตามองนางอยู่อีกสองคน

หันมองซ้ายมองขวา โบกมือ ก่อนจะพาคนที่มีท่าทางลับๆ ล่อๆ เหมือนขโมยเข้าไปในเรือน

“เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?”

หลินเมิ้งหยามองชายตรงหน้าด้วยความตกตะลึง ตอนกลางวันนางยังรู้สึกหดหู่อยู่เลยที่ไม่เห็นเขาในสำนักหมอหลวง

ชิวอวี้แย้มยิ้ม ก่อนจะวางถุงผ้าลง

“วันนี้เป็นวันที่ข้าต้องเข้าเวรดูแลฮ่องเต้ ฉะนั้นข้าจึงหาโอกาสมาพบเจ้า วันนี้ข้าได้ยินคนส่งข้าวเล่าว่าวันนี้เจ้าแสดงวิชาควบคุมเข็มให้พวกตาเฒ่าหัวโบราณในสำนักหมอหลวงดูจนพวกเขาอึ้งไปตามๆ กัน”

คิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องนี้จะถึงหูชิวอวี้อย่างรวดเร็ว

หลินเมิ้งหยาหัวเราะพลางส่ายหน้า ก่อนจะแนะนำชายคนนี้ให้ป๋ายซูรู้จัก

“ป๋ายซู นี่คือท่านหมอชิวอวี้แห่งสำนักหมอหลวง พวกเราเคยพบกันที่ค่ายทหาร ต่อจากนี้ไปคงต้องพบเจอกันอีกหลายครั้ง เจ้าจงจำเอาไว้ให้ดี”

ป๋ายซูผงกศีรษะลง ท่าทางยังคงเย็นชาแต่สง่างามเหมือนเดิม

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+