ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษเล่มที่ 5 บทที่ 143 ไม่ห่างแม้เพียงก้าวเดียว

Now you are reading ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ Chapter เล่มที่ 5 บทที่ 143 ไม่ห่างแม้เพียงก้าวเดียว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

  นับตั้งแต่วันที่นางกระอักออกมาเป็นเลือด หลินเมิ้งหยาหมดสติไปนานกว่าห้าวัน

  ห้าวันที่ผ่านมา หลินเมิ้งหยานอนนิ่งบนเตียงไม่ไหวติง

  ไม่ว่าน้ำหรือยาล้วนไม่เคยผ่านร่างกายเข้าไป

  เหตุเพราะตากฝน อีกทั้งร่างกายยังปะทะกับลมหนาว ดังนั้นเมื่อตกกลางคืน อุณหภูมิร่างกายของนางจึงสูงขึ้น

  คนในตำหนักหลิวซินจ้องมองสายฝนที่กำลังโหมกระหน่ำ

  “ห้าวันแล้ว นายหญิงไม่ยอมกินยาเลย หมอหลวงบอกว่าหากอาการยังไม่ดีขึ้น นายหญิงคง…”

  กลืนคำพูดลงคอ ป๋ายจื่อพยายามป้อนยาให้กับหลินเมิ้งหยา

  ทว่า ริมฝีปากนางกลับปิดสนิท ไม่ยอมอ้าออกเลยแม้แต่น้อย

  หยดน้ำสีดำไหลออกจากมุมปาก

  เป็นเวลากว่าห้าวันห้าคืนแล้วที่หลินเมิ้งหยาไม่ยอมดื่มแม้กระทั่งน้ำ ใบหน้าที่เคยกลมกลึงเริ่มซูบตอบ

  ขอบตาล่างเป็นสีม่วงเข้ม ไร้ซึ่งวี่แววของความงามบนใบหน้า

  “หมอหลวง อาการเป็นอย่างไรบ้าง? ”

  สีหน้าของหลงเทียนอวี้เคร่งขรึม คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น สายตามิได้เย็นชาเหมือนอย่างเคย

  แต่มันกลับดูกระวนกระวายและเป็นกังวล

  “พระชายาโกรธจนกระอักออกมาเป็นเลือด แม้จะสามารถใช้ยารักษาได้ แต่หากพระชายายังไม่ยอมกินยาเข้าไปเช่นนี้ เกรงว่า…เกรงว่าจะมิเป็นการดีพ่ะย่ะค่ะ”

  หมอหลวงเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก ราวกับว่าเขาเพิ่งพบเจออาการป่วยอย่างเช่นพระชายาเป็นครั้งแรก

  แต่สิ่งที่เขากำลังกลัวมากที่สุดคือความโกรธเกรี้ยวของหลงเทียนอวี้

  เคยได้ยินมาว่าอ๋องอวี้เย็นชาดุจน้ำแข็ง แต่เขารักพระชายาเหนือสิ่งอื่นใด

  ดูเหมือนจะมิใช่เรื่องล้อเล่น

  แต่ว่าพระชายา…

  เฮ้อ หันไปชำเลืองมองร่างบางของพระชายา หากยังเป็นเช่นนี้ เกรงว่าพระชายาคงมิอาจมีชีวิตรอด

  “จะข่มขวัญผู้อื่นตรงนี้ให้ได้อะไรขึ้นมา สู้เอาเวลามาคิดหาวิธีช่วยเจ้าเด็กน้อยยังจะดีเสียกว่า”

  เสียงเย็นชาดังขึ้น หมอหลวงผู้น่าสงสารหันหน้ามองชายหนุ่มสวมชุดขาวทางด้านหลัง เขาอดที่จะตัวสั่นไม่ได้

  เหตุใดคนของจวนอวี้แต่ละคนจึงเอาใจยากนัก

  “หมอหลวงใช่หรือไม่? หากรักษาเจ้าเด็กน้อยไม่ได้ ข้าจะเลาะเนื้อเจ้าออกมาให้สุนัขกิน”

  ทั้งที่ใบหน้าหล่อเหลาอ่อนโยน แต่ชายที่ชื่อชิงหูกลับมีสายตาเย็นชากว่าใครบนโลก

  ร่างสูงโปร่ง โดดเด่น น่าเกรงขาม

  เพียงได้เห็นก็รู้ได้ทันทีว่ามิใช่คนที่จะสามารถเข้าไปยุ่งด้วยได้

  “เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่รีบหาวิธีช่วยพี่สาวของข้า หากทำไม่ได้ ข้าจะพาพี่สาวไปเอง”

  ขณะเดียวกัน เด็กหนุ่มสวมเสื้อสีฟ้าอ่อนเดินเข้ามา

  เด็กหนุ่มอายุเพียงสิบกว่าปีเท่านั้น ทว่าใบหน้า ท่าทางความเป็นผู้ใหญ่มิได้ด้อยไปกว่าทั้งสองเลย

  “เอาล่ะ พวกท่านเลิกทะเลาะกันได้แล้ว คิดว่าทะเลาะกันแล้วนายหญิงจะตื่นอย่างนั้นหรือ?”

  ทั้งสามทะเลาะกันไม่หยุด ป๋ายซ่าวจึงเข้ามาร้องห้าม

  ตั้งแต่วันที่พานายหญิงกลับมา พวกผู้ชายตรงหน้าทั้งสามทะเลาะกันไม่หยุด

  แม้จะรู้ว่าพวกเขาเป็นห่วงนายหญิง ทว่าอาการของนายหญิงทรุดหนักมากขึ้นทุกที ไม่มีใครไม่รู้สึกเป็นห่วงนาง

  “หมอหลวง ขอเพียงนายหญิงดื่มยาเข้าไปก็จะสามารถช่วยได้ใช่หรือไม่?”

  ราวกับป๋ายจื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงรีบร้อนเอ่ยถาม

  หมอหลวงที่พยายามหาทางเอาชีวิตรอดพยักหน้าลง

  เฮ้อ ถ้ายังทรมานตนเองเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าอาการจะยิ่งแย่กว่าเดิม

  “เช่นนั้นใช้ปากป้อนนายหญิงก็ได้ใช่หรือไม่? อย่างน้อยนางก็ต้องยอมกลืนเข้าไปอย่างแน่นอน แค่เล็กน้อยก็ยังดี”

  ทว่าหมอหลวงรีบร้องขัดป๋ายจื่อ

  “ไม่ได้ มิรู้ว่าเหตุใดพระชายาจึงมีพิษในร่างกาย ดังนั้นยาที่ใช้กับพระชายาจึงเป็นยาที่มีส่วนผสมของยาพิษ หากคนปกติธรรมดาดื่มเข้าไป เกรงว่าจะถูกพิษเข้า”

  คำพูดของหมอหลวงทำให้ป๋ายจื่อตื่นตระหนก

  คุณหนูใกล้จะตายเต็มทีแล้ว นางจะทนมองอยู่ได้อย่างไร

  “ข้าไม่กลัว ต่อให้ต้องเอาชีวิตของข้าเข้าแลก ข้าก็จะช่วยนายหญิงให้ได้”

  ยืนหยัดในความคิดของตนเอง ป๋ายจื่อตัดสินใจใช้ชีวิตของตนเองแลกกับชีวิตของหลินเมิ้งหยา

  “ไม่ได้ หากนายหญิงตื่นขึ้นมา แต่เจ้าหมดลมหายใจ คิดหรือว่านายหญิงจะไม่เสียใจหรือ? เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเหตุใดนายหญิงจึงมีอาการป่วยเช่นนี้?”

  ป๋ายจีคิดทุกอย่างได้รอบคอบกว่าป๋ายจื่อ

  หลินเมิ้งหยาให้ความสำคัญกับเพื่อนพ้องมาเป็นอันดับหนึ่ง มิเช่นนั้น นางคงไม่รู้สึกหัวใจสลายหลังจากได้เห็นเยว่ถิงตายไป

  “ข้าไม่สน ข้าไม่อาจทนมองนายหญิงตายไปได้”

  ป๋ายจื่อไม่สนใจอะไรทั้งนั้น สำหรับนางแล้ว หลินเมิ้งหยาคือทุกสิ่งทุกอย่าง

  ขณะที่เหตุการณ์กำลังกดดัน ร่างหนึ่งเดินผ่านทุกคนไป

  “ข้าทำเอง”

  หลงเทียนอวี้หยิบถ้วยยาขึ้นแล้วกรอกปากตนเองโดยไม่ลังเล

  มือหนาประคองร่างหลินเมิ้งหยาขึ้นมา ก่อนจะประทับริมฝีปากของตนเองลงบนริมฝีปากสีม่วงเข้มของนางเพื่อส่งผ่านยารสชาติเฝื่อนขมเข้าไป

  “ท่านอ๋อง!”

  หลินขุ๋ยและพ่อบ้านเติ้งตกตะลึง ท่านอ๋องเป็นทุกอย่างในชีวิตของพวกเขา

  ทว่าหลงเทียนอวี้กลับโบกมือเพื่อห้ามพวกเขามิให้เข้ามา

  “คือว่า…อย่าเพิ่งร้อนใจไปเลย หากสตรีเป็นผู้กินจะทำให้ภายในเสียหาย”

  หมอหลวงที่มีผมสีขาวโพลนเช็ดเหงื่อบนหน้าผากของตนเอง ก่อนจะเอ่ยออกมา

  ขณะเดียวกัน สายตาทุกคู่หันไปมองทางเขา

  ผู้น้อยเหล่านี้หุนหันพลันแล่นจนเกินไป พวกเขาไม่รู้จักเคารพผู้ใหญ่เอาเสียเลย

  “เช่นนั้นท่านอ๋องที่ดื่มเข้าไปจะเป็นเช่นไร?”

  พ่อบ้านเติ้งยังคงกังวล กลัวว่าหลงเทียนอวี้จะได้รับอันตราย

  “ไม่มีปัญหา หากผู้ชายดื่มเข้าไป อาจจะกัดกระเพาะแต่เพียงเท่านั้น ขอเพียงดื่มน้ำอุ่นให้มากก็พอ”

  คำพูดของหมอหลวงทำให้คนฟังรู้สึกเหมือนอยู่กันคนละโลก

  ในสายตาของคนที่อยู่ในตำหนักเวลานี้มองดูหมอหลวงผมหงอกตรงหน้าด้วยท่าทางไร้ความเคารพนับถือ

  หลงเทียนอวี้พยายามส่งผ่านยาจากปากของตนเองเข้าไปในปากของหลินเมิ้งหยา

  หลินเมิ้งหยายังคงหลับตาสนิท เหตุเพราะอุณหภูมิของร่างกายที่ยังคงสูง ดังนั้นการกลืนกินจึงทำได้ยากยิ่ง

  ร่างบางแทบจะไร้ซึ่งน้ำหนัก

  ความกลัวเริ่มเกาะกุมหัวใจของหลงเทียนอวี้

  เขาที่ไม่เคยรู้สึกหวาดกลัวแม้จะต้องเผชิญหน้ากับศัตรูในสนามรบ

  เหตุใด เพียงได้เห็นหญิงสาวนอนแน่นิ่งบนเตียง กลับรู้สึกกระวนกระวายไปเสียหมด

  “นายหญิง ดื่มเข้าไปเจ้าค่ะ เชื่อข้าเถิดนะเจ้าคะ ดื่มเข้าไปเจ้าค่ะ”

  สาวใช้ทั้งสี่เริ่มส่งเสียงสะอึกสะอื้น

  แม้แต่ป๋ายซูที่อยู่ด้วยกันมาไม่นานนักยังแอบหลบมุมเช็ดน้ำตา

  หลินเมิ้งหยาดีกับพวกนางมาก ดังนั้น พวกนางจึงมองหลินเมิ้งหยาเป็นเสมือนพี่น้องคนหนึ่ง

  ทว่าอาการของหลินเมิ้งหยากำลังแย่ลงเรื่อยๆ ของเหลวสีดำไหลลงจากปากแล้วไล่ไปตามลำคอ

  ชุดที่หลงเทียนอวี้สวมใส่เปียกชื้น หลินเมิ้งหยาปิดปากสนิท ไม่ยอมกลืนยาลงไป

  เยว่ฉีกัดฟัน นางที่ร้องไห้จนขอบตาแดงก่ำพุ่งตัวเข้ามา

  เข้าไปคว้ามือของนาง ความโศกเศร้าถาโถมเข้ามาในหัวใจไม่น้อยไปกว่าผู้อื่นเลย

  พี่สาวของนางเพิ่งจะตายไปได้ไม่นาน พี่หลินเองก็กำลังจะตายตกตามกันไป

  หญิงสาวใสซื่อไร้เดียงสาคนก่อนเติบโตขึ้นในทันทีหลังจากได้เห็นพี่สาวกระโดดหน้าผา

  “พี่หลิน ท่านลืมแล้วหรือว่าพี่สาวข้าตายเพราะอะไร? นางตายไปแล้ว ท่านเองก็จะตายตามนางไปอย่างนั้นหรือ? แล้วใครจะแก้แค้นแทนพี่สาวของข้ากัน? พี่หลิน ได้ยินหรือไม่ พี่จะต้องฟื้นขึ้นมาแก้แค้นให้พี่สาวของข้า”

  เยว่ฉีออกแรงเขย่าร่างของหลินเมิ้งหยา หยาดน้ำตารินไหลไม่ขาดสาย

  “เจ้าจะฆ่านางหรือ! ”

  หลินจงอวี้เข้าไปดึงตัวเยว่ฉี ขอบตาของเขาแดงก่ำ

  ถ้าหากพี่สาวยังคงตกในสภาพเช่นนี้ เช่นนั้น แม้ว่าจะต้องแลกกับอะไร เขาก็จะพาพี่สาวไปจากที่นี่ให้ได้

  “หากไม่ทำเช่นนี้ นางจะยังมีชีวิตรอดอย่างนั้นหรือ” เยว่ฉีขอบตาแดงก่ำ ตะคอกใส่หน้าหลินจงอวี้เสียงดัง

  “พี่หลิน ตื่นขึ้นมาซิ ตื่นขึ้นมาได้แล้ว หรือท่านจะนอนมองพวกคนสารเลวเหล่านั้นเสพสุขต่อไป”

  เสียงตะคอกของเยว่ฉีดังลั่นห้อง ทว่า เสียงนี้กลับได้ผล

  หลงเทียนหยู๋สัมผัสได้ว่ายาในปากของตนเองถูกหลินเมิ้งหยาดื่มลงไป

  “เหมือนจะได้ผล นางได้ยิน นางรู้สึกได้”

  ชิงหูที่นั่งจ้องตาไม่กระพริบอยู่ข้างเตียงร้องออกมา

  หลงเทียนอวี้สั่งให้ทุกคนเงียบลง ก่อนจะป้อนยาหลินเมิ้งหยาอีก

  ดังนั้น เสียงในห้องจึงเงียบกริบ

  นอกจากเสียงกลืนยาแล้ว ทุกคนแทบจะไม่หายใจ เพราะกลัวว่าอาการของหลินเมิ้งหยาจะแย่ลง

  “เร็ว รีบไปเอาโจ๊กข้าวบดละเอียดมา”

  ชิงหูร้องตะโกนด้วยความดีใจ

  “ได้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”

  เพราะความดีใจ ป๋ายจีจึงสูญเสียการควบคุมตนเองไปชั่วคราว

  รีบวิ่งไปทางห้องครัวเล็กของตำหนัก เพื่อป้อนยาให้ครบหนึ่งถ้วย หลงเทียนอวี้ต้องกลืนยาเข้าไปถึงสามถ้วย

  ค่อย ๆ วางร่างของหลินเมิ้งหยาลงบนเตียง ยังไม่ทันจะไปกลั้วปากเพื่อล้างความขมของยา เขารีบรับถ้วยโจ๊กจากป๋ายจี

  กินทีละนิด เขาป้อนโจ๊กหลินเมิ้งหยาได้ครึ่งถ้วย

  เมื่อเห็นใบหน้าขาวซีดเริ่มกลับมามีสีเลือด หลงเทียนอวี้จึงรู้สึกเสมือนยกภูเขาครึ่งลูกออกจากอก

  ต่อจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของร่างกายหลินเมิ้งหยา ขอเพียงไข้ลดลง ทุกอย่างก็จะดีขึ้น

  “ท่านอ๋อง ทางฝั่งตำหนักหยาเสวียนส่งคนมาเร่งให้พระองค์เข้าเฝ้าถึงสามครั้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

  พ่อบ้านเติ้งก้มศีรษะต่ำ เขามิคิดอยากเร่งเร้าหลงเทียนอวี้เลยแม้แต่น้อย

  ห้าวันที่ผ่านมา องค์หญิงหมิงเยว่เสด็จกลับมาที่จวนด้วย มิรู้ว่านางใช้วิธีการอันใด เวลาเพียงไม่นานนางจึงเอาชนะใจของพระสนมเต๋อเฟยได้

  ยิ่งไปกว่านั้น ขณะที่พระชายากำลังนอนกระอักเลือด ท่านอ๋องไม่เคยห่างออกไปจากนางแม้เพียงก้าวเดียว

  ดังนั้น ทางฝั่งตำหนักหยาเสวียนจึงรู้สึกไม่พึงพอใจหลินเมิ้งหยาเล็กน้อย

  “เข้าใจแล้ว ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”

  มือหนา ลูบไล้หน้าผากที่ยังร้อนผ่าว

  มิรู้ว่าเพราะเหตุใด ความมั่นคงของเขามอบให้เพียงแต่นางผู้เดียวเท่านั้น

  ตอนนี้คำพูดของเยว่ฉีน่าจะได้ผลแล้ว

  ยิ่งไปกว่านั้น อุปนิสัยของหลินเมิ้งหยายังเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นอีกด้วย

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษเล่มที่ 5 บทที่ 143 ไม่ห่างแม้เพียงก้าวเดียว

Now you are reading ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ Chapter เล่มที่ 5 บทที่ 143 ไม่ห่างแม้เพียงก้าวเดียว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

  นับตั้งแต่วันที่นางกระอักออกมาเป็นเลือด หลินเมิ้งหยาหมดสติไปนานกว่าห้าวัน

  ห้าวันที่ผ่านมา หลินเมิ้งหยานอนนิ่งบนเตียงไม่ไหวติง

  ไม่ว่าน้ำหรือยาล้วนไม่เคยผ่านร่างกายเข้าไป

  เหตุเพราะตากฝน อีกทั้งร่างกายยังปะทะกับลมหนาว ดังนั้นเมื่อตกกลางคืน อุณหภูมิร่างกายของนางจึงสูงขึ้น

  คนในตำหนักหลิวซินจ้องมองสายฝนที่กำลังโหมกระหน่ำ

  “ห้าวันแล้ว นายหญิงไม่ยอมกินยาเลย หมอหลวงบอกว่าหากอาการยังไม่ดีขึ้น นายหญิงคง…”

  กลืนคำพูดลงคอ ป๋ายจื่อพยายามป้อนยาให้กับหลินเมิ้งหยา

  ทว่า ริมฝีปากนางกลับปิดสนิท ไม่ยอมอ้าออกเลยแม้แต่น้อย

  หยดน้ำสีดำไหลออกจากมุมปาก

  เป็นเวลากว่าห้าวันห้าคืนแล้วที่หลินเมิ้งหยาไม่ยอมดื่มแม้กระทั่งน้ำ ใบหน้าที่เคยกลมกลึงเริ่มซูบตอบ

  ขอบตาล่างเป็นสีม่วงเข้ม ไร้ซึ่งวี่แววของความงามบนใบหน้า

  “หมอหลวง อาการเป็นอย่างไรบ้าง? ”

  สีหน้าของหลงเทียนอวี้เคร่งขรึม คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น สายตามิได้เย็นชาเหมือนอย่างเคย

  แต่มันกลับดูกระวนกระวายและเป็นกังวล

  “พระชายาโกรธจนกระอักออกมาเป็นเลือด แม้จะสามารถใช้ยารักษาได้ แต่หากพระชายายังไม่ยอมกินยาเข้าไปเช่นนี้ เกรงว่า…เกรงว่าจะมิเป็นการดีพ่ะย่ะค่ะ”

  หมอหลวงเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก ราวกับว่าเขาเพิ่งพบเจออาการป่วยอย่างเช่นพระชายาเป็นครั้งแรก

  แต่สิ่งที่เขากำลังกลัวมากที่สุดคือความโกรธเกรี้ยวของหลงเทียนอวี้

  เคยได้ยินมาว่าอ๋องอวี้เย็นชาดุจน้ำแข็ง แต่เขารักพระชายาเหนือสิ่งอื่นใด

  ดูเหมือนจะมิใช่เรื่องล้อเล่น

  แต่ว่าพระชายา…

  เฮ้อ หันไปชำเลืองมองร่างบางของพระชายา หากยังเป็นเช่นนี้ เกรงว่าพระชายาคงมิอาจมีชีวิตรอด

  “จะข่มขวัญผู้อื่นตรงนี้ให้ได้อะไรขึ้นมา สู้เอาเวลามาคิดหาวิธีช่วยเจ้าเด็กน้อยยังจะดีเสียกว่า”

  เสียงเย็นชาดังขึ้น หมอหลวงผู้น่าสงสารหันหน้ามองชายหนุ่มสวมชุดขาวทางด้านหลัง เขาอดที่จะตัวสั่นไม่ได้

  เหตุใดคนของจวนอวี้แต่ละคนจึงเอาใจยากนัก

  “หมอหลวงใช่หรือไม่? หากรักษาเจ้าเด็กน้อยไม่ได้ ข้าจะเลาะเนื้อเจ้าออกมาให้สุนัขกิน”

  ทั้งที่ใบหน้าหล่อเหลาอ่อนโยน แต่ชายที่ชื่อชิงหูกลับมีสายตาเย็นชากว่าใครบนโลก

  ร่างสูงโปร่ง โดดเด่น น่าเกรงขาม

  เพียงได้เห็นก็รู้ได้ทันทีว่ามิใช่คนที่จะสามารถเข้าไปยุ่งด้วยได้

  “เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่รีบหาวิธีช่วยพี่สาวของข้า หากทำไม่ได้ ข้าจะพาพี่สาวไปเอง”

  ขณะเดียวกัน เด็กหนุ่มสวมเสื้อสีฟ้าอ่อนเดินเข้ามา

  เด็กหนุ่มอายุเพียงสิบกว่าปีเท่านั้น ทว่าใบหน้า ท่าทางความเป็นผู้ใหญ่มิได้ด้อยไปกว่าทั้งสองเลย

  “เอาล่ะ พวกท่านเลิกทะเลาะกันได้แล้ว คิดว่าทะเลาะกันแล้วนายหญิงจะตื่นอย่างนั้นหรือ?”

  ทั้งสามทะเลาะกันไม่หยุด ป๋ายซ่าวจึงเข้ามาร้องห้าม

  ตั้งแต่วันที่พานายหญิงกลับมา พวกผู้ชายตรงหน้าทั้งสามทะเลาะกันไม่หยุด

  แม้จะรู้ว่าพวกเขาเป็นห่วงนายหญิง ทว่าอาการของนายหญิงทรุดหนักมากขึ้นทุกที ไม่มีใครไม่รู้สึกเป็นห่วงนาง

  “หมอหลวง ขอเพียงนายหญิงดื่มยาเข้าไปก็จะสามารถช่วยได้ใช่หรือไม่?”

  ราวกับป๋ายจื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงรีบร้อนเอ่ยถาม

  หมอหลวงที่พยายามหาทางเอาชีวิตรอดพยักหน้าลง

  เฮ้อ ถ้ายังทรมานตนเองเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าอาการจะยิ่งแย่กว่าเดิม

  “เช่นนั้นใช้ปากป้อนนายหญิงก็ได้ใช่หรือไม่? อย่างน้อยนางก็ต้องยอมกลืนเข้าไปอย่างแน่นอน แค่เล็กน้อยก็ยังดี”

  ทว่าหมอหลวงรีบร้องขัดป๋ายจื่อ

  “ไม่ได้ มิรู้ว่าเหตุใดพระชายาจึงมีพิษในร่างกาย ดังนั้นยาที่ใช้กับพระชายาจึงเป็นยาที่มีส่วนผสมของยาพิษ หากคนปกติธรรมดาดื่มเข้าไป เกรงว่าจะถูกพิษเข้า”

  คำพูดของหมอหลวงทำให้ป๋ายจื่อตื่นตระหนก

  คุณหนูใกล้จะตายเต็มทีแล้ว นางจะทนมองอยู่ได้อย่างไร

  “ข้าไม่กลัว ต่อให้ต้องเอาชีวิตของข้าเข้าแลก ข้าก็จะช่วยนายหญิงให้ได้”

  ยืนหยัดในความคิดของตนเอง ป๋ายจื่อตัดสินใจใช้ชีวิตของตนเองแลกกับชีวิตของหลินเมิ้งหยา

  “ไม่ได้ หากนายหญิงตื่นขึ้นมา แต่เจ้าหมดลมหายใจ คิดหรือว่านายหญิงจะไม่เสียใจหรือ? เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเหตุใดนายหญิงจึงมีอาการป่วยเช่นนี้?”

  ป๋ายจีคิดทุกอย่างได้รอบคอบกว่าป๋ายจื่อ

  หลินเมิ้งหยาให้ความสำคัญกับเพื่อนพ้องมาเป็นอันดับหนึ่ง มิเช่นนั้น นางคงไม่รู้สึกหัวใจสลายหลังจากได้เห็นเยว่ถิงตายไป

  “ข้าไม่สน ข้าไม่อาจทนมองนายหญิงตายไปได้”

  ป๋ายจื่อไม่สนใจอะไรทั้งนั้น สำหรับนางแล้ว หลินเมิ้งหยาคือทุกสิ่งทุกอย่าง

  ขณะที่เหตุการณ์กำลังกดดัน ร่างหนึ่งเดินผ่านทุกคนไป

  “ข้าทำเอง”

  หลงเทียนอวี้หยิบถ้วยยาขึ้นแล้วกรอกปากตนเองโดยไม่ลังเล

  มือหนาประคองร่างหลินเมิ้งหยาขึ้นมา ก่อนจะประทับริมฝีปากของตนเองลงบนริมฝีปากสีม่วงเข้มของนางเพื่อส่งผ่านยารสชาติเฝื่อนขมเข้าไป

  “ท่านอ๋อง!”

  หลินขุ๋ยและพ่อบ้านเติ้งตกตะลึง ท่านอ๋องเป็นทุกอย่างในชีวิตของพวกเขา

  ทว่าหลงเทียนอวี้กลับโบกมือเพื่อห้ามพวกเขามิให้เข้ามา

  “คือว่า…อย่าเพิ่งร้อนใจไปเลย หากสตรีเป็นผู้กินจะทำให้ภายในเสียหาย”

  หมอหลวงที่มีผมสีขาวโพลนเช็ดเหงื่อบนหน้าผากของตนเอง ก่อนจะเอ่ยออกมา

  ขณะเดียวกัน สายตาทุกคู่หันไปมองทางเขา

  ผู้น้อยเหล่านี้หุนหันพลันแล่นจนเกินไป พวกเขาไม่รู้จักเคารพผู้ใหญ่เอาเสียเลย

  “เช่นนั้นท่านอ๋องที่ดื่มเข้าไปจะเป็นเช่นไร?”

  พ่อบ้านเติ้งยังคงกังวล กลัวว่าหลงเทียนอวี้จะได้รับอันตราย

  “ไม่มีปัญหา หากผู้ชายดื่มเข้าไป อาจจะกัดกระเพาะแต่เพียงเท่านั้น ขอเพียงดื่มน้ำอุ่นให้มากก็พอ”

  คำพูดของหมอหลวงทำให้คนฟังรู้สึกเหมือนอยู่กันคนละโลก

  ในสายตาของคนที่อยู่ในตำหนักเวลานี้มองดูหมอหลวงผมหงอกตรงหน้าด้วยท่าทางไร้ความเคารพนับถือ

  หลงเทียนอวี้พยายามส่งผ่านยาจากปากของตนเองเข้าไปในปากของหลินเมิ้งหยา

  หลินเมิ้งหยายังคงหลับตาสนิท เหตุเพราะอุณหภูมิของร่างกายที่ยังคงสูง ดังนั้นการกลืนกินจึงทำได้ยากยิ่ง

  ร่างบางแทบจะไร้ซึ่งน้ำหนัก

  ความกลัวเริ่มเกาะกุมหัวใจของหลงเทียนอวี้

  เขาที่ไม่เคยรู้สึกหวาดกลัวแม้จะต้องเผชิญหน้ากับศัตรูในสนามรบ

  เหตุใด เพียงได้เห็นหญิงสาวนอนแน่นิ่งบนเตียง กลับรู้สึกกระวนกระวายไปเสียหมด

  “นายหญิง ดื่มเข้าไปเจ้าค่ะ เชื่อข้าเถิดนะเจ้าคะ ดื่มเข้าไปเจ้าค่ะ”

  สาวใช้ทั้งสี่เริ่มส่งเสียงสะอึกสะอื้น

  แม้แต่ป๋ายซูที่อยู่ด้วยกันมาไม่นานนักยังแอบหลบมุมเช็ดน้ำตา

  หลินเมิ้งหยาดีกับพวกนางมาก ดังนั้น พวกนางจึงมองหลินเมิ้งหยาเป็นเสมือนพี่น้องคนหนึ่ง

  ทว่าอาการของหลินเมิ้งหยากำลังแย่ลงเรื่อยๆ ของเหลวสีดำไหลลงจากปากแล้วไล่ไปตามลำคอ

  ชุดที่หลงเทียนอวี้สวมใส่เปียกชื้น หลินเมิ้งหยาปิดปากสนิท ไม่ยอมกลืนยาลงไป

  เยว่ฉีกัดฟัน นางที่ร้องไห้จนขอบตาแดงก่ำพุ่งตัวเข้ามา

  เข้าไปคว้ามือของนาง ความโศกเศร้าถาโถมเข้ามาในหัวใจไม่น้อยไปกว่าผู้อื่นเลย

  พี่สาวของนางเพิ่งจะตายไปได้ไม่นาน พี่หลินเองก็กำลังจะตายตกตามกันไป

  หญิงสาวใสซื่อไร้เดียงสาคนก่อนเติบโตขึ้นในทันทีหลังจากได้เห็นพี่สาวกระโดดหน้าผา

  “พี่หลิน ท่านลืมแล้วหรือว่าพี่สาวข้าตายเพราะอะไร? นางตายไปแล้ว ท่านเองก็จะตายตามนางไปอย่างนั้นหรือ? แล้วใครจะแก้แค้นแทนพี่สาวของข้ากัน? พี่หลิน ได้ยินหรือไม่ พี่จะต้องฟื้นขึ้นมาแก้แค้นให้พี่สาวของข้า”

  เยว่ฉีออกแรงเขย่าร่างของหลินเมิ้งหยา หยาดน้ำตารินไหลไม่ขาดสาย

  “เจ้าจะฆ่านางหรือ! ”

  หลินจงอวี้เข้าไปดึงตัวเยว่ฉี ขอบตาของเขาแดงก่ำ

  ถ้าหากพี่สาวยังคงตกในสภาพเช่นนี้ เช่นนั้น แม้ว่าจะต้องแลกกับอะไร เขาก็จะพาพี่สาวไปจากที่นี่ให้ได้

  “หากไม่ทำเช่นนี้ นางจะยังมีชีวิตรอดอย่างนั้นหรือ” เยว่ฉีขอบตาแดงก่ำ ตะคอกใส่หน้าหลินจงอวี้เสียงดัง

  “พี่หลิน ตื่นขึ้นมาซิ ตื่นขึ้นมาได้แล้ว หรือท่านจะนอนมองพวกคนสารเลวเหล่านั้นเสพสุขต่อไป”

  เสียงตะคอกของเยว่ฉีดังลั่นห้อง ทว่า เสียงนี้กลับได้ผล

  หลงเทียนหยู๋สัมผัสได้ว่ายาในปากของตนเองถูกหลินเมิ้งหยาดื่มลงไป

  “เหมือนจะได้ผล นางได้ยิน นางรู้สึกได้”

  ชิงหูที่นั่งจ้องตาไม่กระพริบอยู่ข้างเตียงร้องออกมา

  หลงเทียนอวี้สั่งให้ทุกคนเงียบลง ก่อนจะป้อนยาหลินเมิ้งหยาอีก

  ดังนั้น เสียงในห้องจึงเงียบกริบ

  นอกจากเสียงกลืนยาแล้ว ทุกคนแทบจะไม่หายใจ เพราะกลัวว่าอาการของหลินเมิ้งหยาจะแย่ลง

  “เร็ว รีบไปเอาโจ๊กข้าวบดละเอียดมา”

  ชิงหูร้องตะโกนด้วยความดีใจ

  “ได้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”

  เพราะความดีใจ ป๋ายจีจึงสูญเสียการควบคุมตนเองไปชั่วคราว

  รีบวิ่งไปทางห้องครัวเล็กของตำหนัก เพื่อป้อนยาให้ครบหนึ่งถ้วย หลงเทียนอวี้ต้องกลืนยาเข้าไปถึงสามถ้วย

  ค่อย ๆ วางร่างของหลินเมิ้งหยาลงบนเตียง ยังไม่ทันจะไปกลั้วปากเพื่อล้างความขมของยา เขารีบรับถ้วยโจ๊กจากป๋ายจี

  กินทีละนิด เขาป้อนโจ๊กหลินเมิ้งหยาได้ครึ่งถ้วย

  เมื่อเห็นใบหน้าขาวซีดเริ่มกลับมามีสีเลือด หลงเทียนอวี้จึงรู้สึกเสมือนยกภูเขาครึ่งลูกออกจากอก

  ต่อจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของร่างกายหลินเมิ้งหยา ขอเพียงไข้ลดลง ทุกอย่างก็จะดีขึ้น

  “ท่านอ๋อง ทางฝั่งตำหนักหยาเสวียนส่งคนมาเร่งให้พระองค์เข้าเฝ้าถึงสามครั้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

  พ่อบ้านเติ้งก้มศีรษะต่ำ เขามิคิดอยากเร่งเร้าหลงเทียนอวี้เลยแม้แต่น้อย

  ห้าวันที่ผ่านมา องค์หญิงหมิงเยว่เสด็จกลับมาที่จวนด้วย มิรู้ว่านางใช้วิธีการอันใด เวลาเพียงไม่นานนางจึงเอาชนะใจของพระสนมเต๋อเฟยได้

  ยิ่งไปกว่านั้น ขณะที่พระชายากำลังนอนกระอักเลือด ท่านอ๋องไม่เคยห่างออกไปจากนางแม้เพียงก้าวเดียว

  ดังนั้น ทางฝั่งตำหนักหยาเสวียนจึงรู้สึกไม่พึงพอใจหลินเมิ้งหยาเล็กน้อย

  “เข้าใจแล้ว ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”

  มือหนา ลูบไล้หน้าผากที่ยังร้อนผ่าว

  มิรู้ว่าเพราะเหตุใด ความมั่นคงของเขามอบให้เพียงแต่นางผู้เดียวเท่านั้น

  ตอนนี้คำพูดของเยว่ฉีน่าจะได้ผลแล้ว

  ยิ่งไปกว่านั้น อุปนิสัยของหลินเมิ้งหยายังเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นอีกด้วย

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+