ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ เล่มที่ 10 บทที่ 273 เสี่ยวจินเหยี่ยวส่งสาร

Now you are reading ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ Chapter เล่มที่ 10 บทที่ 273 เสี่ยวจินเหยี่ยวส่งสาร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในที่สุดเขาก็พูดเข้าประเด็น หลินเมิ้งหยาครุ่นคิดแต่มิได้เอ่ยอันใดออกมา

หลังจากได้ปะทะกับซินหลีอยู่หลายครั้ง หลินเมิ้งหยาพอจะเดาได้ว่าเสี่ยวอวี้มิใช่คนของสกุลซิน

หากนางจำไม่ผิดแล้วล่ะก็ ราชนิกุลของเมืองเลี่ยหยุนเองก็สกุลหวานเหยียน

หรือเสี่ยวอวี้จะเป็นหนึ่งในราชนิกุล?

“เสี่ยวอวี้อยู่ต่างบ้านต่างเมืองมานานหลายปี ดังนั้นรากฐานของเขาจึงไม่มั่นคง หากพวกเจ้าผลักดันให้เขาไปยืนอยู่แนวหน้า เกรงว่าเขาจะตกเป็นเป้าหมายของทุกคน เช่นนั้นพวกเจ้าจะจัดการเรื่องนี้เช่นไร? ข้ามิอาจทนเห็นเขาได้รับบาดเจ็บแม้เพียงเล็กน้อย หากพวกเจ้ายืนกรานจะพาเขากลับไป เช่นนั้นข้าอยากให้พวกเจ้ารับปากกับข้าว่าพวกเจ้าจะปกป้องเขาด้วยชีวิต”

เรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับราชวงศ์หรือราชบัลลังก์ของฮ่องเต้ เสี่ยวอวี้จะกลายเป็นเสี้ยนหนามของพวกเขาเหล่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น เสี่ยวอวี้อาศัยอยู่ที่ต้าจิ้นมานานหลายปี เขาหาได้มีกำลังสนับสนุนที่เชื่อถือได้

หากเขากลับไป บางทีอาจถูกครหาในทางที่ไม่ดีก็เป็นได้

“พวกเราได้หาทางออกเรื่องนี้เอาไว้แล้ว นายน้อยอายุยังน้อย ดังนั้นจึงถูกเลี้ยงดูที่ต่างบ้านต่างเมือง แน่นอนว่าเรื่องนี้ย่อมพบเห็นได้บ่อยๆ ยิ่งไปกว่านั้น คนที่รู้เรื่องราวภายในในเวลานั้นเองก็จากโลกนี้ไปหมดแล้ว เพียงแต่นายน้อยเคยออกงานในวังหลวงกับชายาอวี้อยู่บ่อยครั้ง บางทีอาจมีคนจดจำใบหน้าของเขาได้”

หวานเหยียนเลี่ยเองก็กังวลเรื่องนี้ แม้สกุลหลินจะเป็นที่พึ่งพิงให้กับนายน้อยที่ต้าจิ้นได้ แต่ในอีกแง่มุมหนึ่งก็หาใช่เรื่องดี

หลินเมิ้งหยาครุ่นคิดก่อนจะเอ่ย

“บนโลกนี้มีคนใบหน้าคล้ายคลึงกันมากมายนัก ยิ่งไปกว่านั้นผู้ชายของสกุลหลินที่เข้าสู่วัยผู้ใหญ่แล้วส่วนใหญ่ล้วนติดตามท่านพ่อของข้าไปที่ค่ายทหารเพื่อฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ ขอเพียงพวกเจ้าจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย สกุลหลินจะเป็นอีกหนึ่งในเส้นทางเดินชีวิตของเสี่ยวอวี้แต่เพียงเท่านั้น”

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หลินเมิ้งหยายังคงไม่สบายใจ

การช่วงชิงอำนาจเกิดทุกยุคทุกสมัย แต่สุดท้ายก็ไม่เคยเกิดผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจทุกด้าน

เมื่อการต่อสู้ดำเนินมาถึงช่วงสุดท้าย สิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดก็คือจิตใจของมนุษย์ จิตใจของมนุษย์นั้นผันแปรได้ทุกเวลา ไม่ว่าใครก็มิอาจรับปากได้ว่าอีกฝ่ายจะโจมตีกลับมาอีกครั้งเมื่อไหร่

“ชายาอวี้คิดได้รอบคอบยิ่งนัก แต่ถึงกระนั้นนายท่านก็คิดหาลู่ทางให้นายน้อยอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว พระชายาได้โปรดวางพระทัย นายท่านมิได้คิดพานายน้อยกลับไปเพียงเพื่อปิดหูปิดตาผู้อื่นเท่านั้น นายท่านของข้าอายุมากแล้ว มีเพียงนายน้อยเท่านั้นที่จะรับหน้าที่ต่อจากเขาได้ ดังนั้นนายท่านจึงส่งพวกข้าน้อยมาที่นี่ด้วยตนเอง แต่โชคดีที่นายน้อยของข้าเป็นคนฉลาดเฉลียวและมีไหวพริบ ยิ่งไปกว่านั้นยังได้รับการช่วยเหลือจากชายาอวี้ ในภายภาคหน้าเขาจะต้องยิ่งใหญ่รุ่งโรจน์อย่างแน่นอน”

แม้หลินเมิ้งหยาจะยังคงกังวล แต่หวานเหยียนเลี่ยรับปากเช่นนี้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเสี่ยวอวี้เองก็ตัดสินใจแล้วเช่นเดียวกัน ดังนั้นถึงแม้นางจะกังวลและอยากคัดค้านก็คงมิเป็นผล

“ดี ข้าจะช่วยท่านจัดการเรื่องนี้เอง เช่นนั้นหลังจากปีใหม่ท่านก็พาเขากลับไปเถิด”

คิดไม่ถึงเลยว่าเสี่ยวอวี้จะอยู่กับนางมาครบหนึ่งปีแล้ว บางทีนี่อาจเป็นการข้ามปีครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่จะได้อยู่ร่วมกัน หลินเมิ้งหยาทำได้เพียงถอนหายใจ เรื่องบางเรื่องนางก็มิอาจทำตามใจอยากได้

“ขอบพระทัยพระชายา ชายาอวี้ได้โปรดวางพระทัย นายน้อยอวี้ไม่มีทางลืมบุญคุณของท่านอย่างแน่นอน”

หวานเหยียนเลี่ยถวายคำนับ สุดท้ายเขารู้สึกขอบคุณหลินเมิ้งหยาเหลือเกิน

หากตอนนั้นนางไม่พานายน้อยอวี้ออกมาจากเงื้อมมือของพวกคนชั่ว เกรงว่าตอนนี้นายน้อยอวี้คงตายไปนานแล้ว

เมื่อได้รับอนุญาตจากหลินเมิ้งหยา หวานเหยียนเลี่ยจึงขอตัวกลับไป หลินเมิ้งหยายกมือขึ้นเท้าคาง ก่อนจะครุ่นคิดอย่างเหม่อลอย

เสียงฝีเท้าดังขึ้นไกลๆ หลินเมิ้งหยาถอนหายใจก่อนจะเอ่ย

“ตอนนี้ข้าอารมณ์ไม่ดี พวกเจ้าออกไปก่อนเถิด”

ทว่าเสียงฝีเท้าหนักๆ ยังคงขยับเข้ามาใกล้ ก่อนจะหยุดที่ข้างกายนาง

“ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่า ข้าไม่เป็นไร ไม่ต้องเป็นห่วงข้า”

จะต้องเป็นสาวใช้ของนางอย่างแน่นอน เรื่องที่เสี่ยวอวี้ต้องจากไปมิใช่แค่นางเท่านั้นที่มิอาจทำใจได้ แม้แต่สาวใช้ทั้งสี่เองก็ร้องไห้จนน้ำตานองหน้า

โดยเฉพาะป๋ายซู แม้นางจะได้อยู่ที่นี่กับเหล่าสาวใช้ต่อ แต่ถึงอย่างไรนางก็ต้องแยกจากกับเพื่อนพ้อง

หลินเมิ้งหยาถอนหายใจ ตอนที่คิดจะหมุนตัวไปถาม นางกลับได้เห็นเหยี่ยวตัวหนึ่งที่ถูกขังอยู่ในกรง ดวงตากลมโตสีน้ำตาลคู่นั้นจับจ้องมองนางด้วยความสงสัย

ขนสีขาวแซมเทา ท่าทางมีชีวิตชีวา มันกำลังเอียงคอมองนางด้วยท่าทางน่ารัก

“นี่มัน…”

หลินเมิ้งหยาเงยหน้าขึ้น ดวงตาคู่สวยเปล่งประกายขณะสบตาหลงเทียนอวี้

อยู่ ๆ ใบหน้าที่เคยเย็นชาพลันเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน เพียงเขาผิวปากเบาๆ เหยี่ยวในกรงก็รีบหันไปหาเขาทันที

“เหยี่ยวตัวนี้ชื่อว่าเสี่ยวจิน คนในจวนฝึกมาเป็นอย่างดี ยิ่งไปกว่านั้นยังฉลาดและมีไหวพริบอย่างยิ่ง ข้าได้ยินมาว่าคนเมืองเลี่ยหยุนล้วนชอบเลี้ยงสัตว์ หากมีมันอยู่ เจ้ากับเสี่ยวอวี้จะสามารถส่งจดหมายหากันได้”

เสียงทุ้มต่ำแผ่วเบาทำให้หัวใจของหลินเมิ้งหยาละลาย

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด อยู่ ๆ น้ำตาพลันเอ่อล้นขึ้นที่ขอบตา ยื่นมือทั้งสองข้างไปข้างหน้าเหมือนเด็กที่กำลังโศกเศร้าแล้วกอดเอวของหลงเทียนอวี้เอาไว้

“หม่อมฉันไม่อยากให้เสี่ยวอวี้ไป ที่นั่นอันตรายเหลือเกิน เขายังเด็ก แต่หม่อมฉันห้ามเขาไม่ได้เพราะนั่นเป็นโชคชะตาของเขา ทุกคนล้วนมีโชคชะตาของตนเอง เสี่ยวอวี้เองก็เช่นกัน”

หลงเทียนอวี้ชะงัก เขารู้สึกทำตัวไม่ถูก

แต่ถึงกระนั้นก็ยื่นมือไปวางลงบนแผ่นหลังของหลินเมิ้งหยา ก่อนจะลูบเบาๆ เพื่อปลอบโยน

“หม่อมฉันเพียงอยากให้เสี่ยวอวี้มีชีวิตเหมือนคนธรรมดาทั่วไป อยากให้เขาเติบโต แต่งงานและประสบความสำเร็จ ทว่าตอนนี้…แม้แต่หม่อมฉันเองก็ไม่รู้ว่าอนาคตของเขาต้องเผชิญกับอันตรายอะไรบ้าง พระองค์คิดว่าเสี่ยวอวี้จะสามารถเอาตัวรอดได้หรือไม่เพคะ? ทั้งตำแหน่ง ทั้งอำนาจและความรุ่งโรจน์ สิ่งเหล่านั้นล้วนเปรียบเสมือนยาพิษ หม่อมฉันไม่สบายใจเลยเพคะ”

หลินเมิ้งหยาไม่ต่างอันใดจากแม่วัวที่ต้องการปกป้องลูกวัว หากเสี่ยวอวี้อยู่ข้างกายนาง เช่นนั้นนางยังสามารถปกป้องเขาได้ แต่หากเขากลับไปยังเมืองเลี่ยหยุนตี้ เช่นนั้นนางก็มิอาจเอื้อมมือไปถึง

ตอนที่ถูกหลินเมิ้งหยาโอบกอด สติของหลงเทียนอวี้หลุดลอย แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่านางจะกอดเพราะเป็นห่วงเสี่ยวอวี้

“ถ้าหากเจ้ามิอาจทำใจแยกจากกับเสี่ยวอวี้ได้ เช่นนั้นข้าจะยับยั้งพวกเขาเอง”

หลงเทียนอวี้รู้ดีว่าคนเหล่านั้นเป็นใคร อย่าคิดว่าที่เขานิ่งเงียบนั้นเพราะไม่รู้เรื่องรู้ราว เพราะนับตั้งแต่วันที่คนเหล่านั้นมาตามหาหลินจงอวี้ หลงเทียนอวี้ก็หาข้อมูลของคนเหล่านั้นเอาไว้แล้ว

แม้การกำจัดพวกเขาจะทำให้เกิดเรื่องยุ่งยากเล็กน้อย แต่เพื่อแลกกับการทนเห็นท่าทางโศกเศร้าของหลินเมิ้งหยา เขาก็รู้สึกว่ามันคุ้มค่า

“ไม่ ไม่เพคะ! พวกเขาเป็นคนของเสี่ยวอวี้ แม้หม่อมฉันจะไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของเสี่ยวอวี้ แต่หม่อมฉันรู้ว่าถ้าหากคนเหล่านั้นตาย เสี่ยวอวี้เองก็จะสูญเสียโอกาสที่จะกลับไปยังวงศ์ตระกูลของตนเอง ยิ่งไปกว่านั้น เสี่ยวอวี้ยินยอมพร้อมใจไปกับพวกเขาเอง”

ร้องไห้คร่ำครวญด้วยความทุกข์ทรมาน

เมื่อลองชั่งข้อดีข้อเสียดูแล้ว นางคิดว่าการที่เสี่ยวอวี้กลับไปอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง

ชิงหูเล่าว่าราชสำนักกำลังวางแผนคัดเลือกหมอมีที่ชื่อเสียงทั่วทั้งอาณาจักร ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าท่านพ่อกำลังร่วมมือกับเหล่าขุนนางในราชสำนักเพื่อเปิดโอกาสให้นางเข้าวัง

ฮองเฮาจะต้องต่อต้านเรื่องนี้อย่างแน่นอน เหตุเพราะนางเองก็จะเป็นหนึ่งในหมอเหล่านั้น

หากมีใครรู้เรื่องของเสี่ยวอวี้เข้า เกรงว่าจะมิเป็นผลดีต่อตัวนาง

ไม่ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับพยัคฆ์หรือมังกร นางก็ต้องจัดการเรื่องทุกอย่างด้วยตนเอง นางเชื่อว่าเสี่ยวอวี้จะต้องไม่เดินหน้าเข้าหาความตายอย่างแน่นอน

หลังจากทำใจให้สงบนิ่งลง นางเพิ่งพบว่าตนเองกำลังซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของหลงเทียนอวี้

ขยับตัวออกด้วยความเขินอาย ใบหน้าแดงระเรื่อชวนมอง

ชำเลืองมองหลงเทียนอวี้เล็กน้อย ดูเหมือนตั้งแต่วันที่ได้เข้ามาอยู่ตำหนักเดียวกัน ความสัมพันธ์ระหว่างนางและเขาดีขึ้นมากเรื่อยๆ หลินเมิ้งหยาไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเราทั้งคู่จะเรียกว่าความรักได้หรือไม่

ตกลงนี่มันอะไรกันแน่? แต่งก่อนแล้วค่อยรักกันอย่างนั้นหรือ?

ชักแขนของตนเองกลับ หลงเทียนอวี้รู้สึกไม่อยากห่างจากนาง

ใช่ว่าเมื่อก่อนจะไม่มีหญิงสาวเข้ามาเสนอตัวให้กับเขา แต่ถึงกระนั้นยังไม่ทันที่จะเข้ามาแนบชิด เขาก็โยนพวกนางออกไปไกลแล้ว

ทว่าเมื่อหญิงสาวตัวนุ่มนิ่มดันตัวออกจากวงแขนของเขา หัวใจพลันรู้สึกเคว้งคว้างว่างเปล่า

นางมักสร้างความรู้สึกแปลกใหม่ให้เขาเสมอ

“แม่ทัพหลินร่วมมือกับเหล่าขุนนางจำนวนมากเพื่อยื่นฎีกาถึงเสด็จพ่อเรื่องเชิญหมอจากภายนอกวังหลวงเข้าไปรักษาพระอาการประชวร แต่ฮองเฮาและไท่จื่อยังคงไม่อนุญาต”

หลงเทียนอวี้ไม่รู้ว่าควรพูดสิ่งใด ดังนั้นเขาจึงเอ่ยเรื่องในราชสำนักขึ้นมา

“ไม่อนุญาต? ฮองเฮากับไท่จื่อไม่มีทางยินยอมง่ายๆ แน่นอนเพคะ แต่ถ้าหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าจะต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน”

หลินเมิ้งหยาสงสัยเล็กน้อย หากดูจากอุปนิสัยใจคอของฮองเฮาและไท่จื่อ พวกเขาควรจะตอบโต้กลับมาเสียด้วยซ้ำ เหตุใดจึงเงียบไป หรือพวกเขาจะกำลังวางแผนการร้ายอยู่?

หลงเทียนอวี้นึกเสียใจ เหตุใดเขาต้องพูดถึงฮองเฮาและไท่จื่อเพื่อทำให้หลินเมิ้งหยารู้สึกไม่ดีด้วย? อยู่ ๆ สายตาพลันหันไปมองเหยี่ยวในกรง

จริงสิ เขาควรใช้เจ้านี่ทำให้หลินเมิ้งหยาอารมณ์ดี

“เจ้าอยากรู้หรือไม่ว่าเสี่ยวจินทำสิ่งใดได้อีกบ้าง?”

ลังเลอยู่นานกว่าหลงเทียนอวี้จะเอ่ยออกมา

หลินเมิ้งหยาที่ตกอยู่ในห้วงความคิดของตนเองรีบเอ่ยถาม

“ทำอะไรได้เพคะ?”

หลงเทียนอวี้รีบวางเสี่ยวจินลงตรงหน้าหลินเมิ้งหยา

“มันไม่เพียงส่งสารได้ แต่มันยังสามารถช่วยเจ้าของออกล่าได้ด้วย เจ้านี่ฉลาดมาก ขอเพียงเป่านกหวีดเรียก ไม่ว่ามันอยู่ที่ไหนก็จะสามารถหาเจ้าเจอ”

หลินเมิ้งหยาจ้องเหยี่ยวในกรงตาไม่กระพริบ

นางเคยเห็นพวกนกแร้งในสวนสัตว์ พวกมันทั้งดุและไม่มีไหวพริบเหมือนเหยี่ยวตัวนี้

มันเอียงคอไปมา มองดูหลินเมิ้งหยาด้วยความแปลกใจ หลินเมิ้งหยารู้สึกชอบมันเหลือเกิน ดังนั้นนางจึงผ่อนคลายขึ้นกว่าเดิมมาก

“นั่นสิเพคะ เพียงได้เห็นก็รู้สึกขึ้นมาทันทีเลย เช่นนั้นพวกเราไปตามเสี่ยวอวี้ด้วยกันเถิด จะได้ดูว่ามันยังทำอะไรได้อีกบ้าง?”

ดวงตาเปล่งประกายเปี่ยมไปด้วยความหวังจ้องหลงเทียนอวี้

กลืนคำปฏิเสธลงคอ แม้จะมีเอกสารกองเท่าภูเขารอเขาไปจัดการ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็มิอาจทนเห็นสายตาผิดหวังของนางได้

“ได้ ไปด้วยกันเถิด”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ เล่มที่ 10 บทที่ 273 เสี่ยวจินเหยี่ยวส่งสาร

Now you are reading ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ Chapter เล่มที่ 10 บทที่ 273 เสี่ยวจินเหยี่ยวส่งสาร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในที่สุดเขาก็พูดเข้าประเด็น หลินเมิ้งหยาครุ่นคิดแต่มิได้เอ่ยอันใดออกมา

หลังจากได้ปะทะกับซินหลีอยู่หลายครั้ง หลินเมิ้งหยาพอจะเดาได้ว่าเสี่ยวอวี้มิใช่คนของสกุลซิน

หากนางจำไม่ผิดแล้วล่ะก็ ราชนิกุลของเมืองเลี่ยหยุนเองก็สกุลหวานเหยียน

หรือเสี่ยวอวี้จะเป็นหนึ่งในราชนิกุล?

“เสี่ยวอวี้อยู่ต่างบ้านต่างเมืองมานานหลายปี ดังนั้นรากฐานของเขาจึงไม่มั่นคง หากพวกเจ้าผลักดันให้เขาไปยืนอยู่แนวหน้า เกรงว่าเขาจะตกเป็นเป้าหมายของทุกคน เช่นนั้นพวกเจ้าจะจัดการเรื่องนี้เช่นไร? ข้ามิอาจทนเห็นเขาได้รับบาดเจ็บแม้เพียงเล็กน้อย หากพวกเจ้ายืนกรานจะพาเขากลับไป เช่นนั้นข้าอยากให้พวกเจ้ารับปากกับข้าว่าพวกเจ้าจะปกป้องเขาด้วยชีวิต”

เรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับราชวงศ์หรือราชบัลลังก์ของฮ่องเต้ เสี่ยวอวี้จะกลายเป็นเสี้ยนหนามของพวกเขาเหล่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น เสี่ยวอวี้อาศัยอยู่ที่ต้าจิ้นมานานหลายปี เขาหาได้มีกำลังสนับสนุนที่เชื่อถือได้

หากเขากลับไป บางทีอาจถูกครหาในทางที่ไม่ดีก็เป็นได้

“พวกเราได้หาทางออกเรื่องนี้เอาไว้แล้ว นายน้อยอายุยังน้อย ดังนั้นจึงถูกเลี้ยงดูที่ต่างบ้านต่างเมือง แน่นอนว่าเรื่องนี้ย่อมพบเห็นได้บ่อยๆ ยิ่งไปกว่านั้น คนที่รู้เรื่องราวภายในในเวลานั้นเองก็จากโลกนี้ไปหมดแล้ว เพียงแต่นายน้อยเคยออกงานในวังหลวงกับชายาอวี้อยู่บ่อยครั้ง บางทีอาจมีคนจดจำใบหน้าของเขาได้”

หวานเหยียนเลี่ยเองก็กังวลเรื่องนี้ แม้สกุลหลินจะเป็นที่พึ่งพิงให้กับนายน้อยที่ต้าจิ้นได้ แต่ในอีกแง่มุมหนึ่งก็หาใช่เรื่องดี

หลินเมิ้งหยาครุ่นคิดก่อนจะเอ่ย

“บนโลกนี้มีคนใบหน้าคล้ายคลึงกันมากมายนัก ยิ่งไปกว่านั้นผู้ชายของสกุลหลินที่เข้าสู่วัยผู้ใหญ่แล้วส่วนใหญ่ล้วนติดตามท่านพ่อของข้าไปที่ค่ายทหารเพื่อฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ ขอเพียงพวกเจ้าจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย สกุลหลินจะเป็นอีกหนึ่งในเส้นทางเดินชีวิตของเสี่ยวอวี้แต่เพียงเท่านั้น”

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หลินเมิ้งหยายังคงไม่สบายใจ

การช่วงชิงอำนาจเกิดทุกยุคทุกสมัย แต่สุดท้ายก็ไม่เคยเกิดผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจทุกด้าน

เมื่อการต่อสู้ดำเนินมาถึงช่วงสุดท้าย สิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดก็คือจิตใจของมนุษย์ จิตใจของมนุษย์นั้นผันแปรได้ทุกเวลา ไม่ว่าใครก็มิอาจรับปากได้ว่าอีกฝ่ายจะโจมตีกลับมาอีกครั้งเมื่อไหร่

“ชายาอวี้คิดได้รอบคอบยิ่งนัก แต่ถึงกระนั้นนายท่านก็คิดหาลู่ทางให้นายน้อยอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว พระชายาได้โปรดวางพระทัย นายท่านมิได้คิดพานายน้อยกลับไปเพียงเพื่อปิดหูปิดตาผู้อื่นเท่านั้น นายท่านของข้าอายุมากแล้ว มีเพียงนายน้อยเท่านั้นที่จะรับหน้าที่ต่อจากเขาได้ ดังนั้นนายท่านจึงส่งพวกข้าน้อยมาที่นี่ด้วยตนเอง แต่โชคดีที่นายน้อยของข้าเป็นคนฉลาดเฉลียวและมีไหวพริบ ยิ่งไปกว่านั้นยังได้รับการช่วยเหลือจากชายาอวี้ ในภายภาคหน้าเขาจะต้องยิ่งใหญ่รุ่งโรจน์อย่างแน่นอน”

แม้หลินเมิ้งหยาจะยังคงกังวล แต่หวานเหยียนเลี่ยรับปากเช่นนี้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเสี่ยวอวี้เองก็ตัดสินใจแล้วเช่นเดียวกัน ดังนั้นถึงแม้นางจะกังวลและอยากคัดค้านก็คงมิเป็นผล

“ดี ข้าจะช่วยท่านจัดการเรื่องนี้เอง เช่นนั้นหลังจากปีใหม่ท่านก็พาเขากลับไปเถิด”

คิดไม่ถึงเลยว่าเสี่ยวอวี้จะอยู่กับนางมาครบหนึ่งปีแล้ว บางทีนี่อาจเป็นการข้ามปีครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่จะได้อยู่ร่วมกัน หลินเมิ้งหยาทำได้เพียงถอนหายใจ เรื่องบางเรื่องนางก็มิอาจทำตามใจอยากได้

“ขอบพระทัยพระชายา ชายาอวี้ได้โปรดวางพระทัย นายน้อยอวี้ไม่มีทางลืมบุญคุณของท่านอย่างแน่นอน”

หวานเหยียนเลี่ยถวายคำนับ สุดท้ายเขารู้สึกขอบคุณหลินเมิ้งหยาเหลือเกิน

หากตอนนั้นนางไม่พานายน้อยอวี้ออกมาจากเงื้อมมือของพวกคนชั่ว เกรงว่าตอนนี้นายน้อยอวี้คงตายไปนานแล้ว

เมื่อได้รับอนุญาตจากหลินเมิ้งหยา หวานเหยียนเลี่ยจึงขอตัวกลับไป หลินเมิ้งหยายกมือขึ้นเท้าคาง ก่อนจะครุ่นคิดอย่างเหม่อลอย

เสียงฝีเท้าดังขึ้นไกลๆ หลินเมิ้งหยาถอนหายใจก่อนจะเอ่ย

“ตอนนี้ข้าอารมณ์ไม่ดี พวกเจ้าออกไปก่อนเถิด”

ทว่าเสียงฝีเท้าหนักๆ ยังคงขยับเข้ามาใกล้ ก่อนจะหยุดที่ข้างกายนาง

“ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่า ข้าไม่เป็นไร ไม่ต้องเป็นห่วงข้า”

จะต้องเป็นสาวใช้ของนางอย่างแน่นอน เรื่องที่เสี่ยวอวี้ต้องจากไปมิใช่แค่นางเท่านั้นที่มิอาจทำใจได้ แม้แต่สาวใช้ทั้งสี่เองก็ร้องไห้จนน้ำตานองหน้า

โดยเฉพาะป๋ายซู แม้นางจะได้อยู่ที่นี่กับเหล่าสาวใช้ต่อ แต่ถึงอย่างไรนางก็ต้องแยกจากกับเพื่อนพ้อง

หลินเมิ้งหยาถอนหายใจ ตอนที่คิดจะหมุนตัวไปถาม นางกลับได้เห็นเหยี่ยวตัวหนึ่งที่ถูกขังอยู่ในกรง ดวงตากลมโตสีน้ำตาลคู่นั้นจับจ้องมองนางด้วยความสงสัย

ขนสีขาวแซมเทา ท่าทางมีชีวิตชีวา มันกำลังเอียงคอมองนางด้วยท่าทางน่ารัก

“นี่มัน…”

หลินเมิ้งหยาเงยหน้าขึ้น ดวงตาคู่สวยเปล่งประกายขณะสบตาหลงเทียนอวี้

อยู่ ๆ ใบหน้าที่เคยเย็นชาพลันเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน เพียงเขาผิวปากเบาๆ เหยี่ยวในกรงก็รีบหันไปหาเขาทันที

“เหยี่ยวตัวนี้ชื่อว่าเสี่ยวจิน คนในจวนฝึกมาเป็นอย่างดี ยิ่งไปกว่านั้นยังฉลาดและมีไหวพริบอย่างยิ่ง ข้าได้ยินมาว่าคนเมืองเลี่ยหยุนล้วนชอบเลี้ยงสัตว์ หากมีมันอยู่ เจ้ากับเสี่ยวอวี้จะสามารถส่งจดหมายหากันได้”

เสียงทุ้มต่ำแผ่วเบาทำให้หัวใจของหลินเมิ้งหยาละลาย

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด อยู่ ๆ น้ำตาพลันเอ่อล้นขึ้นที่ขอบตา ยื่นมือทั้งสองข้างไปข้างหน้าเหมือนเด็กที่กำลังโศกเศร้าแล้วกอดเอวของหลงเทียนอวี้เอาไว้

“หม่อมฉันไม่อยากให้เสี่ยวอวี้ไป ที่นั่นอันตรายเหลือเกิน เขายังเด็ก แต่หม่อมฉันห้ามเขาไม่ได้เพราะนั่นเป็นโชคชะตาของเขา ทุกคนล้วนมีโชคชะตาของตนเอง เสี่ยวอวี้เองก็เช่นกัน”

หลงเทียนอวี้ชะงัก เขารู้สึกทำตัวไม่ถูก

แต่ถึงกระนั้นก็ยื่นมือไปวางลงบนแผ่นหลังของหลินเมิ้งหยา ก่อนจะลูบเบาๆ เพื่อปลอบโยน

“หม่อมฉันเพียงอยากให้เสี่ยวอวี้มีชีวิตเหมือนคนธรรมดาทั่วไป อยากให้เขาเติบโต แต่งงานและประสบความสำเร็จ ทว่าตอนนี้…แม้แต่หม่อมฉันเองก็ไม่รู้ว่าอนาคตของเขาต้องเผชิญกับอันตรายอะไรบ้าง พระองค์คิดว่าเสี่ยวอวี้จะสามารถเอาตัวรอดได้หรือไม่เพคะ? ทั้งตำแหน่ง ทั้งอำนาจและความรุ่งโรจน์ สิ่งเหล่านั้นล้วนเปรียบเสมือนยาพิษ หม่อมฉันไม่สบายใจเลยเพคะ”

หลินเมิ้งหยาไม่ต่างอันใดจากแม่วัวที่ต้องการปกป้องลูกวัว หากเสี่ยวอวี้อยู่ข้างกายนาง เช่นนั้นนางยังสามารถปกป้องเขาได้ แต่หากเขากลับไปยังเมืองเลี่ยหยุนตี้ เช่นนั้นนางก็มิอาจเอื้อมมือไปถึง

ตอนที่ถูกหลินเมิ้งหยาโอบกอด สติของหลงเทียนอวี้หลุดลอย แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่านางจะกอดเพราะเป็นห่วงเสี่ยวอวี้

“ถ้าหากเจ้ามิอาจทำใจแยกจากกับเสี่ยวอวี้ได้ เช่นนั้นข้าจะยับยั้งพวกเขาเอง”

หลงเทียนอวี้รู้ดีว่าคนเหล่านั้นเป็นใคร อย่าคิดว่าที่เขานิ่งเงียบนั้นเพราะไม่รู้เรื่องรู้ราว เพราะนับตั้งแต่วันที่คนเหล่านั้นมาตามหาหลินจงอวี้ หลงเทียนอวี้ก็หาข้อมูลของคนเหล่านั้นเอาไว้แล้ว

แม้การกำจัดพวกเขาจะทำให้เกิดเรื่องยุ่งยากเล็กน้อย แต่เพื่อแลกกับการทนเห็นท่าทางโศกเศร้าของหลินเมิ้งหยา เขาก็รู้สึกว่ามันคุ้มค่า

“ไม่ ไม่เพคะ! พวกเขาเป็นคนของเสี่ยวอวี้ แม้หม่อมฉันจะไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของเสี่ยวอวี้ แต่หม่อมฉันรู้ว่าถ้าหากคนเหล่านั้นตาย เสี่ยวอวี้เองก็จะสูญเสียโอกาสที่จะกลับไปยังวงศ์ตระกูลของตนเอง ยิ่งไปกว่านั้น เสี่ยวอวี้ยินยอมพร้อมใจไปกับพวกเขาเอง”

ร้องไห้คร่ำครวญด้วยความทุกข์ทรมาน

เมื่อลองชั่งข้อดีข้อเสียดูแล้ว นางคิดว่าการที่เสี่ยวอวี้กลับไปอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง

ชิงหูเล่าว่าราชสำนักกำลังวางแผนคัดเลือกหมอมีที่ชื่อเสียงทั่วทั้งอาณาจักร ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าท่านพ่อกำลังร่วมมือกับเหล่าขุนนางในราชสำนักเพื่อเปิดโอกาสให้นางเข้าวัง

ฮองเฮาจะต้องต่อต้านเรื่องนี้อย่างแน่นอน เหตุเพราะนางเองก็จะเป็นหนึ่งในหมอเหล่านั้น

หากมีใครรู้เรื่องของเสี่ยวอวี้เข้า เกรงว่าจะมิเป็นผลดีต่อตัวนาง

ไม่ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับพยัคฆ์หรือมังกร นางก็ต้องจัดการเรื่องทุกอย่างด้วยตนเอง นางเชื่อว่าเสี่ยวอวี้จะต้องไม่เดินหน้าเข้าหาความตายอย่างแน่นอน

หลังจากทำใจให้สงบนิ่งลง นางเพิ่งพบว่าตนเองกำลังซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของหลงเทียนอวี้

ขยับตัวออกด้วยความเขินอาย ใบหน้าแดงระเรื่อชวนมอง

ชำเลืองมองหลงเทียนอวี้เล็กน้อย ดูเหมือนตั้งแต่วันที่ได้เข้ามาอยู่ตำหนักเดียวกัน ความสัมพันธ์ระหว่างนางและเขาดีขึ้นมากเรื่อยๆ หลินเมิ้งหยาไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเราทั้งคู่จะเรียกว่าความรักได้หรือไม่

ตกลงนี่มันอะไรกันแน่? แต่งก่อนแล้วค่อยรักกันอย่างนั้นหรือ?

ชักแขนของตนเองกลับ หลงเทียนอวี้รู้สึกไม่อยากห่างจากนาง

ใช่ว่าเมื่อก่อนจะไม่มีหญิงสาวเข้ามาเสนอตัวให้กับเขา แต่ถึงกระนั้นยังไม่ทันที่จะเข้ามาแนบชิด เขาก็โยนพวกนางออกไปไกลแล้ว

ทว่าเมื่อหญิงสาวตัวนุ่มนิ่มดันตัวออกจากวงแขนของเขา หัวใจพลันรู้สึกเคว้งคว้างว่างเปล่า

นางมักสร้างความรู้สึกแปลกใหม่ให้เขาเสมอ

“แม่ทัพหลินร่วมมือกับเหล่าขุนนางจำนวนมากเพื่อยื่นฎีกาถึงเสด็จพ่อเรื่องเชิญหมอจากภายนอกวังหลวงเข้าไปรักษาพระอาการประชวร แต่ฮองเฮาและไท่จื่อยังคงไม่อนุญาต”

หลงเทียนอวี้ไม่รู้ว่าควรพูดสิ่งใด ดังนั้นเขาจึงเอ่ยเรื่องในราชสำนักขึ้นมา

“ไม่อนุญาต? ฮองเฮากับไท่จื่อไม่มีทางยินยอมง่ายๆ แน่นอนเพคะ แต่ถ้าหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าจะต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน”

หลินเมิ้งหยาสงสัยเล็กน้อย หากดูจากอุปนิสัยใจคอของฮองเฮาและไท่จื่อ พวกเขาควรจะตอบโต้กลับมาเสียด้วยซ้ำ เหตุใดจึงเงียบไป หรือพวกเขาจะกำลังวางแผนการร้ายอยู่?

หลงเทียนอวี้นึกเสียใจ เหตุใดเขาต้องพูดถึงฮองเฮาและไท่จื่อเพื่อทำให้หลินเมิ้งหยารู้สึกไม่ดีด้วย? อยู่ ๆ สายตาพลันหันไปมองเหยี่ยวในกรง

จริงสิ เขาควรใช้เจ้านี่ทำให้หลินเมิ้งหยาอารมณ์ดี

“เจ้าอยากรู้หรือไม่ว่าเสี่ยวจินทำสิ่งใดได้อีกบ้าง?”

ลังเลอยู่นานกว่าหลงเทียนอวี้จะเอ่ยออกมา

หลินเมิ้งหยาที่ตกอยู่ในห้วงความคิดของตนเองรีบเอ่ยถาม

“ทำอะไรได้เพคะ?”

หลงเทียนอวี้รีบวางเสี่ยวจินลงตรงหน้าหลินเมิ้งหยา

“มันไม่เพียงส่งสารได้ แต่มันยังสามารถช่วยเจ้าของออกล่าได้ด้วย เจ้านี่ฉลาดมาก ขอเพียงเป่านกหวีดเรียก ไม่ว่ามันอยู่ที่ไหนก็จะสามารถหาเจ้าเจอ”

หลินเมิ้งหยาจ้องเหยี่ยวในกรงตาไม่กระพริบ

นางเคยเห็นพวกนกแร้งในสวนสัตว์ พวกมันทั้งดุและไม่มีไหวพริบเหมือนเหยี่ยวตัวนี้

มันเอียงคอไปมา มองดูหลินเมิ้งหยาด้วยความแปลกใจ หลินเมิ้งหยารู้สึกชอบมันเหลือเกิน ดังนั้นนางจึงผ่อนคลายขึ้นกว่าเดิมมาก

“นั่นสิเพคะ เพียงได้เห็นก็รู้สึกขึ้นมาทันทีเลย เช่นนั้นพวกเราไปตามเสี่ยวอวี้ด้วยกันเถิด จะได้ดูว่ามันยังทำอะไรได้อีกบ้าง?”

ดวงตาเปล่งประกายเปี่ยมไปด้วยความหวังจ้องหลงเทียนอวี้

กลืนคำปฏิเสธลงคอ แม้จะมีเอกสารกองเท่าภูเขารอเขาไปจัดการ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็มิอาจทนเห็นสายตาผิดหวังของนางได้

“ได้ ไปด้วยกันเถิด”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+