ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ เล่มที่ 10 บทที่ 289 เหมยเหม่ยเหริน

Now you are reading ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ Chapter เล่มที่ 10 บทที่ 289 เหมยเหม่ยเหริน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“แต่งงาน? นายหญิงพูดเรื่องอะไรเจ้าคะ!”

ป๋ายจีรีบหลบตา ใบหน้าแดงระเรื่อ นางอายุมากที่สุดดังนั้นจึงเข้าใจความหมายของหลินเมิ้งหยาดี

แต่เรื่องนี้ควรพูดในที่ลับ เหตุใดนายหญิงจึงกล่าวอย่างเปิดเผยเช่นนี้?

“อายอะไรกัน? การแต่งงานออกเรือนเป็นเรื่องธรรมชาติ หรือเจ้าคิดจะใช้ชีวิตอย่างเดียวดายอยู่กับข้าไปตลอดชีวิตเช่นนั้นหรือ?”

นอกจากป๋ายซู สาวใช้ที่เหลือล้วนเป็นคนธรรมดา อีกไม่นานนางต้องเข้าวังหลวงแล้ว หากทุกอย่างราบรื่น นางจะได้มีชีวิตอิสระเสียที

การค้าของร้านยาสามสหายนั้นไม่เลวเลย คาดว่าเงินสินเดิมของพวกนางจะต้องมีมากพอสมควร

แม้จะไม่อาจแต่งงานกับตระกูลใหญ่ได้ แต่ก็คงสามารถออกเรือนกับบุรุษผู้มีความรู้ความสามารถและเพียบพร้อม ยิ่งไปกว่านั้น หากตัวนางต้องย้ายไปอยู่ที่กลุ่มลับสามสหาย เช่นนั้นนางต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนเจียงหูค่อนข้างมาก

สาวใช้ทั้งสามไม่เหมาะที่จะใช้ชีวิตท่ามกลางคมหอกคมดาบ สู้ปล่อยให้พวกนางแต่งงานออกเรือนแล้วใช้ชีวิตอย่างสงบสุขจะดีเสียกว่า

“ข้ากับป๋ายจื่อขออยู่รับใช้นายหญิงตลอดชีวิตดีกว่าเจ้าค่ะ แต่ข้าได้ยินมาว่าพี่ป๋ายจีมีคู่หมั้นคู่หมายแล้ว ไม่รู้ว่าคุณชายสกุลใดกันนะที่ถูกอกถูกใจพี่สาวของข้าคนนี้”

ป๋ายซ่าวกอดป๋ายจี ก่อนจะดึงป๋ายจื่อให้เข้าร่วมวงสนทนา

หลินเมิ้งหยาตกตะลึง นางมีว่าที่เจ้าบ่าวตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? เหตุใดตนเองจึงไม่รู้เรื่อง

ใบหน้าของป๋ายจีแดงก่ำขณะฟังคำพูดของป๋ายซ่าว

“ยัยเด็กบ้า กล้าเอาเรื่องข้ามาล้อเล่นอย่างนั้นหรือ หากข้าไม่ฉีกปากเจ้า เจ้าจะต้องพูดจาเลื่อนเปื้อนออกไปอย่างแน่นอน”

ป๋ายจีที่กำลังเขินอายส่งเสียงกึ่งหัวเราะขณะเข้าไปวิ่งไล่ป๋ายซ่าว ป๋ายจื่อที่อายุน้อยที่สุดมองตามอย่างสนุกสนาน

“พวกเขาจากไปแล้ว ต่อไปอาจจะไม่ได้เจอกันอีก เจ้าไม่เสียใจหรือที่ต้องอยู่ข้างกายข้า?”

คำถามนี้พุ่งตรงไปที่ป๋ายซู

ตอนแรกหลินเมิ้งหยาพูดกับเสี่ยวอวี้เรียบร้อยแล้วว่าให้พาป๋ายซูกลับไปยังเลี่ยหยุนด้วย แต่สาวใช้คนนี้กลับยืนกรานที่จะอยู่ข้างกายนาง

“ข้าเป็นสาวใช้ของนายหญิง หากนายหญิงไม่ไป ข้าจะไปไหนได้เล่าเจ้าคะ”

ปกติป๋ายซูเป็นคนเงียบขรึม ทว่าคำพูดที่หลุดออกจากปากของนางในวันนี้ทำให้หลินเมิ้งหยารู้สึกอบอุ่นหัวใจ

หลินเมิ้งหยาผินหน้า ยื่นมือเข้าไปกุมมือของนาง ใบหน้าขาวราวหิมะแดงระเรื่อ

“ได้ เช่นนั้นพวกเรามารอการกลับมาของเสี่ยวอวี้กันเถิด พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน เพียงแค่อยู่กันคนละฟากฟ้า สักวันหนึ่งจะต้องได้พบกันอย่างแน่นอน”

ป๋ายซูผงกศีรษะรับ บางทีการที่ต้องอยู่ข้างกายนายหญิงนั่นอาจหมายถึงนางจะไม่สามารถกลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอนได้อีกแล้ว

แต่นางยินดี เหตุเพราะที่นี่ต่างหากที่เป็นบ้านของนาง

“โอ้ ตอนแรกข้าคิดว่าสาวใช้ของชายาอวี้จะรู้กฎระเบียบมากกว่านี้เสียอีก แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะเอะอะโวยวายไร้มารยาทเช่นนี้ พวกเจ้าคิดว่านี่เป็นบ้านเกิดที่บ้านนอกของพวกเจ้าอย่างนั้นหรือ?”

เบื้องหน้า จู่ๆ เสียงเยาะเย้ยยั่วยุพลันดังขึ้น

หลินเมิ้งหยาเก็บรอยยิ้มบนใบหน้า ก่อนจะเหลือบมองหญิงสาวคู่หนึ่งที่กำลังย่างกรายเข้ามา

เสียงหัวเราะเยาะเย้ยดังขึ้นจากริมฝีปากของพวกนางทั้งสอง หญิงสาวผมสั้นมีใบหน้าสะอาดสะอ้าน คิ้วเรียวบาง แต่ท่าทางไม่ต่างจากแม่ค้าปากตลาด ไม่เหมือนกับหญิงสาวที่อยู่ด้านข้าง

“ฮึ ที่นี่คือจวนอวี้ หาใช่สถานที่ของคนแปลกหน้าเช่นเจ้า ข้าว่าเจ้าต่างหากที่ไม่มีมารยาท บังอาจลบหลู่เจ้านายของข้า เจ้าจะต้องชดใช้!”

ป๋ายซ่าวเข้าไปออกโรงปกป้องป๋ายจีและป๋ายจื่อ

นางต่างหากที่เป็นสาวเผ็ดร้อนแห่งจวนอวี้ หากใครกล้ากระตุกหนวดเสือแล้วล่ะก็ คนผู้นั้นต้องพบจุดจบที่ไม่สวยแน่

“เหตุใดสาวใช้ของพระชายาจึงไร้มารยาทเช่นนี้? ข้าว่าพวกนางมิได้แตกต่างจากผอจื่อที่คอยล้างผักอยู่ในร้านของข้าเลยแม้แต่น้อย”

ดูท่าจะไม่รักตัวกลัวตายเลยแม้แต่น้อย ป๋ายซ่าวจ้องสาวผมสั้นก่อนจะแค่นหัวเราะเสียงเย็น

“ข้าเหมือนกับผอจื่อของพวกเจ้าเช่นไรเล่า ลองอธิบายออกมาให้ฟังทีเถิด ไม่ว่าพวกเจ้าจะเป็นแขกใหญ่โตมาจากไหน แต่ถ้าหากกล้าทำเรื่องเสียมารยาทกับเจ้านายของข้า ข้าก็พร้อมจะตบตีพวกเจ้าจนตาย”

ป๋ายซ่าวถลึงดวงตาคมกริบคู่สวย กล่าววาจาข่มขู่

สาวใช้คนนั้นคงคิดไม่ถึงเลยว่าคู่ปรับของนางคนนี้จะเก่งกาจยิ่งนัก นางอดไม่ได้ที่จะหดคอลง แม้ดวงตาจะเผยความรู้สึกไม่ยินยอมก็ตาม

ป๋ายซ่าวปรับท่วงท่าและอารมณ์ของตัวเองให้กลับมาเป็นปกติ ตอนนี้นางรับหน้าที่กึ่งผู้ดูแลบ้านแล้ว ปกติพวกผู้ชายในจวนมักจะเกรงกลัวนาง แต่นั่นหาใช่เพราะมีหลินเมิ้งหยาเป็นเจ้านายไม่ แต่สาเหตุหลักก็เพราะนางเป็นคนเก่งกาจมากความสามารถ

เมื่อเห็นว่าสาวใช้ของตนเองเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ฝ่ายเจ้านายจึงมิอาจทนเฉยได้อีกต่อไป

“ขออภัยแม่นางด้วย สวี่เอ๋อร์ไม่รู้ความ ดังนั้นจึงทำให้พี่สาวขุ่นเคือง พี่สาวได้โปรดเห็นแก่หน้าข้าสักครั้ง อย่าได้ถือสาหาความนางเลย”

ส่งเสียงอ่อนหวานเสมือนนกแก้วก็มิปาน

หลินเมิ้งหยามองหญิงสาวตรงหน้า หัวใจราวกับถูกบีบรัดแน่น ผ้าคลุมผืนงามปิดบังใบหน้าเอาไว้ ทัศนคติงดงาม ทว่าชุดกระโปรงลายดอกเหมยทำให้หลินเมิ้งหยารู้สึกเจ็บปวด

ครุ่นคิด นางคงเป็นเจ้าของเกี้ยว มิเช่นนั้นเหตุใดลวดลายดอกเหมยบนชุดของนางจึงเหมือนกับสัญลักษณ์บนเกี้ยวไม่มีผิดเพี้ยน

เหตุที่นางไม่หยุดการกระทำของสาวใช้ นั่นก็เพราะต้องการทดสอบดู

ช่างเป็นเหม่ยเหรินที่อาจหาญยิ่งนัก ยังไม่ทันจะตบแต่งเข้าจวนก็คิดจะเข้ามาสั่นคลอนอำนาจของนางแล้วเช่นนั้นหรือ?

ป๋ายซ่าวหาใช่คนไร้มารยาท เพียงได้เห็นท่าทางของเจ้านาย นางจึงจำเป็นต้องปรับท่าทีของตนเอง

“คุณหนูเอ่ยเกินไปแล้ว หนู่ปี้ป๋ายซ่าวเสียมารยาทกับท่านแล้ว”

เมื่อเทียบกับสาวใช้ผมสั้นที่ยังคงแสดงท่าทางกระฟัดกระเฟียด ป๋ายซ่าวเป็นคนที่มีชั้นเชิงกว่ามาก หลังจากโค้งคำนับแล้ว นางจึงกลับมายืนข้างกายหลินเมิ้งหยา

เพียงเท่านี้ก็สามารถเล็งเห็นถึงความสูงส่งและต่ำต้อยของสาวใช้ได้แล้ว

“ท่านนี้คงเป็นชายาอวี้ หม่อมฉันเหมยซื่อถวายพระพรพระชายา”

ดูเหมือนนางจะเป็นคุณชายเหมยแห่งร้านเป่ยโหลวอย่างนั้นสินะ หัวใจของหลินเมิ้งหยายิ่งบีบเข้าหากันแน่น ภาพคืนนั้นสะท้อนออกมาจากดวงตา

หญิงสาวตรงหน้าคือคนที่ร่วมเตียงเคียงหมอนกับหลงเทียนอวี้ที่แท้จริง ส่วนชายาวี้แต่เพียงในนามเช่นนั้นคงเป็นเพียงตัวตลก

“อย่ามากพิธีไปเลย นางเป็นสาวใช้ของข้า แต่กลับทำเรื่องเสียมารยาทกับคุณหนูเหมย เชิญคุณหนูเหมยทำตัวตามสบาย”

หลินเมิ้งหยาตั้งใจพาสาวใช้ของตัวเองเดินผ่านคุณหนูเหมยแล้วเดินจากไป

“คุณหนู ข้าว่าชายาอวี้คนนี้หาใช่คนเก่งกาจอันใดไม่ เหตุใดคุณชายจู๋จึงไม่ยอมให้ท่านมายุ่งกับนางเล่า?”

สวี่เอ๋อร์มองตามพระชายาที่เดินหายลับไป พระชายาคนนี้อายุน่าจะราวสิบกว่าปี เสน่ห์ของนางมิอาจเทียบกับคุณหนูของนางได้

“เสี่ยวจู๋มีเหตุผลของนาง แต่น่าเสียดาย ข้าจะชิงตำแหน่งชายาอวี้มาให้ได้”

คุณชายเหมยจ้องหลินเมิ้งหยาที่เดินลับหายไป ได้ยินคนในจวนเล่าว่าตำหนักหลิวซินของชายาวี้งดงามดั่งทอง

เหตุใดหญิงสาวน่าเบื่อเช่นนี้จึงครองหัวใจหลงเทียนอวี้ได้?

“จำเอาไว้ ห้ามบอกใครเรื่องที่ข้ามาจวนอวี้ในวันนี้เป็นอันขาด”

แสงประกายวาววับในดวงตา เสี่ยวจู๋เตือนนางอยู่หลายครั้งว่าอย่าได้เรียกร้องความสนใจจากหลงเทียนอวี้ แต่ผู้ชายที่เพียบพร้อมคนนั้นเหมาะที่จะเป็นของนาง!

รอก่อนเถิดชายาอวี้!

“ข้าไม่เข้าใจจริงๆ เจ้าค่ะ เหตุใดนายหญิงต้องหลีกทางให้ผู้หญิงคนนั้น คุณหนูเหมยอะไรกัน ข้าว่าอุปนิสัยใจคอของนางมิต่างอันใดจากสาวใช้เลยแม้แต่น้อย”

เพียงกลับมาถึงตำหนัก ป๋ายซ่าวส่งเสียงบ่นพึมพำ

แต่ก่อนเจียงหรูฉินที่มักจะหาเรื่องนายหญิงยังรักษามารยาทเอาไว้บ้าง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหญิงสาวที่ไม่เปิดเผยกระทั่งใบหน้าให้เห็นจะกล้าปีนเกลียว

“นางมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับท่านอ๋อง ดังนั้นจึงสมเหตุสมผลแล้วที่จะแสดงความเย่อหยิ่งออกมา เจ้าจงบอกคนรับใช้ทั้งหมดว่าหากพบเจอคุณหนูเหมยผู้นี้อีก ขอให้ทุกคนอย่ากระด้างกระเดื่องต่อนาง แต่ต้องเคารพนางให้มาก”

บางทีนางอาจจะกลายเป็นนายหญิงของจวนในอนาคต นางไม่อยากให้ทุกคนทำอะไรเกินเลย เหตุเพราะตัวนางเองคงมิอาจดูแลความปลอดภัยของทุกคนได้

“นายหญิง ท่าน…ความสัมพันธ์ของท่านกับท่านอ๋องเล่า? แต่ก่อนเจียงหรูฉินยังเป็นญาติผู้น้องของท่านอ๋อง แต่ตอนนี้กลายเป็นหนอนไชผลไม้ไปแล้ว”

ป๋ายซ่าวยังคงระบายความโกรธออกมา ทว่าหลินเมิ้งหยามิได้อธิบายสิ่งใด ถอนหายใจยาวและทำเพียงเอ่ยกำชับ

“อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันสิ้นปีแล้ว ข้าจะไปถวายพระพรพระสนมเต๋อเฟย ป๋ายจีและป๋ายซูตามข้ามา ป๋ายจื่อจงไปตรวจดูว่าโรงครัวว่าเตรียมขนมเอาไว้เรียบร้อยแล้วหรือไม่”

ทั้งสี่ฟังคำสั่งอย่างเชื่อฟัง แม้จะยังรู้สึกสงสัยก็ตาม

นับตั้งแต่วันที่นายหญิงกลับมาจากด้านนอก นางเปลี่ยนไปไม่เหมือนก่อน แต่พวกนางไม่อาจบอกได้ว่าสิ่งใดกันแน่ที่เปลี่ยนไป

เพียงแค่รู้สึกว่านายหญิงที่เคยส่องแสงเจิดจ้าดั่งดวงตะวันกลับกลายเป็นดวงจันทร์ส่องแสงสว่างรำไรแต่เพียงเท่านั้น

แม้แต่เสี่ยวป๋ายและเสือน้อยเองก็มักจะนอนฟุบลงบนเท้าของนาง พวกมันไม่ร่าเริงเหมือนก่อน

ตำหนักหยาเสวียน

หลินเมิ้งหยามองสวนขนาดเล็กตรงหน้า

นานมากแล้วที่ไม่ได้มาที่นี่ บรรยากาศที่แห่งนี้เย็นยะเยือกกว่าเดิมมาก

ได้ยินมาว่าพระสนมเต๋อเฟยไล่สาวใช้ออกเป็นจำนวนมาก ยิ่งไปกว่านั้นยังขลุกตัวอยู่แต่ในห้อง โดยอ้างว่าเพราะอาการเจ็บป่วย

แม้หลงเทียนอวี้จะไม่พูดอะไร แต่เขาจำได้ขึ้นใจ ดังนั้นเขาจึงพยายามหาหมอมารักษาอาการของพระสนมเต๋อเฟย

เมื่อเทียบกับแต่ก่อน ความสัมพันธ์ที่เคยเย็นชาของพวกเขาเริ่มอบอุ่นขึ้นมาก

“เข้าไปรายงานเถิดว่าพระชายามาถวายพระพรพระสนมเต๋อเฟย”

ป๋ายจีเอ่ยกับผอจื่อเฝ้าประตู หลังจากผอจื่อมองหลินเมิ้งหยาด้วยความประหลาดใจแล้ว นางรีบเดินเข้าไปในตำหนักหยาเสวียน

ไม่นานผอจื่อคนนั้นก็ออกมาส่งข่าวว่าพระสนมเต๋อเฟยเชิญหลินเมิ้งหยาเข้าไป

ทั้งสามสบตากัน ดูเหมือนวันนี้จวนอวี้จะมีแต่เรื่องให้ประหลาดใจ

ปกติเวลาหลินเมิ้งหยามาขอเข้าเฝ้าเพื่อถวายพระพร พระสนมเต๋อเฟยมักจะปฏิเสธทุกครั้ง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้นางจะอนุญาตให้เข้าเฝ้า

เพียงเดินเข้าไป กลิ่นยาสมุนไพรพลันลอยเตะจมูก แต่เมื่อกลิ่นยาสมุนไพรแต่ละชนิดผสมผสานเข้าด้วยกันก็กลับกลายเป็นกลิ่นหอมฉุน

หลินเมิ้งหยาขมวดคิ้ว การมีกลิ่นยาในห้องของคนที่มีอาการป่วยนั้นไม่แปลก แต่เหตุใดกลิ่นยาเหล่านี้จึงแปลกๆ กันนะ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ เล่มที่ 10 บทที่ 289 เหมยเหม่ยเหริน

Now you are reading ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ Chapter เล่มที่ 10 บทที่ 289 เหมยเหม่ยเหริน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“แต่งงาน? นายหญิงพูดเรื่องอะไรเจ้าคะ!”

ป๋ายจีรีบหลบตา ใบหน้าแดงระเรื่อ นางอายุมากที่สุดดังนั้นจึงเข้าใจความหมายของหลินเมิ้งหยาดี

แต่เรื่องนี้ควรพูดในที่ลับ เหตุใดนายหญิงจึงกล่าวอย่างเปิดเผยเช่นนี้?

“อายอะไรกัน? การแต่งงานออกเรือนเป็นเรื่องธรรมชาติ หรือเจ้าคิดจะใช้ชีวิตอย่างเดียวดายอยู่กับข้าไปตลอดชีวิตเช่นนั้นหรือ?”

นอกจากป๋ายซู สาวใช้ที่เหลือล้วนเป็นคนธรรมดา อีกไม่นานนางต้องเข้าวังหลวงแล้ว หากทุกอย่างราบรื่น นางจะได้มีชีวิตอิสระเสียที

การค้าของร้านยาสามสหายนั้นไม่เลวเลย คาดว่าเงินสินเดิมของพวกนางจะต้องมีมากพอสมควร

แม้จะไม่อาจแต่งงานกับตระกูลใหญ่ได้ แต่ก็คงสามารถออกเรือนกับบุรุษผู้มีความรู้ความสามารถและเพียบพร้อม ยิ่งไปกว่านั้น หากตัวนางต้องย้ายไปอยู่ที่กลุ่มลับสามสหาย เช่นนั้นนางต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนเจียงหูค่อนข้างมาก

สาวใช้ทั้งสามไม่เหมาะที่จะใช้ชีวิตท่ามกลางคมหอกคมดาบ สู้ปล่อยให้พวกนางแต่งงานออกเรือนแล้วใช้ชีวิตอย่างสงบสุขจะดีเสียกว่า

“ข้ากับป๋ายจื่อขออยู่รับใช้นายหญิงตลอดชีวิตดีกว่าเจ้าค่ะ แต่ข้าได้ยินมาว่าพี่ป๋ายจีมีคู่หมั้นคู่หมายแล้ว ไม่รู้ว่าคุณชายสกุลใดกันนะที่ถูกอกถูกใจพี่สาวของข้าคนนี้”

ป๋ายซ่าวกอดป๋ายจี ก่อนจะดึงป๋ายจื่อให้เข้าร่วมวงสนทนา

หลินเมิ้งหยาตกตะลึง นางมีว่าที่เจ้าบ่าวตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? เหตุใดตนเองจึงไม่รู้เรื่อง

ใบหน้าของป๋ายจีแดงก่ำขณะฟังคำพูดของป๋ายซ่าว

“ยัยเด็กบ้า กล้าเอาเรื่องข้ามาล้อเล่นอย่างนั้นหรือ หากข้าไม่ฉีกปากเจ้า เจ้าจะต้องพูดจาเลื่อนเปื้อนออกไปอย่างแน่นอน”

ป๋ายจีที่กำลังเขินอายส่งเสียงกึ่งหัวเราะขณะเข้าไปวิ่งไล่ป๋ายซ่าว ป๋ายจื่อที่อายุน้อยที่สุดมองตามอย่างสนุกสนาน

“พวกเขาจากไปแล้ว ต่อไปอาจจะไม่ได้เจอกันอีก เจ้าไม่เสียใจหรือที่ต้องอยู่ข้างกายข้า?”

คำถามนี้พุ่งตรงไปที่ป๋ายซู

ตอนแรกหลินเมิ้งหยาพูดกับเสี่ยวอวี้เรียบร้อยแล้วว่าให้พาป๋ายซูกลับไปยังเลี่ยหยุนด้วย แต่สาวใช้คนนี้กลับยืนกรานที่จะอยู่ข้างกายนาง

“ข้าเป็นสาวใช้ของนายหญิง หากนายหญิงไม่ไป ข้าจะไปไหนได้เล่าเจ้าคะ”

ปกติป๋ายซูเป็นคนเงียบขรึม ทว่าคำพูดที่หลุดออกจากปากของนางในวันนี้ทำให้หลินเมิ้งหยารู้สึกอบอุ่นหัวใจ

หลินเมิ้งหยาผินหน้า ยื่นมือเข้าไปกุมมือของนาง ใบหน้าขาวราวหิมะแดงระเรื่อ

“ได้ เช่นนั้นพวกเรามารอการกลับมาของเสี่ยวอวี้กันเถิด พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน เพียงแค่อยู่กันคนละฟากฟ้า สักวันหนึ่งจะต้องได้พบกันอย่างแน่นอน”

ป๋ายซูผงกศีรษะรับ บางทีการที่ต้องอยู่ข้างกายนายหญิงนั่นอาจหมายถึงนางจะไม่สามารถกลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอนได้อีกแล้ว

แต่นางยินดี เหตุเพราะที่นี่ต่างหากที่เป็นบ้านของนาง

“โอ้ ตอนแรกข้าคิดว่าสาวใช้ของชายาอวี้จะรู้กฎระเบียบมากกว่านี้เสียอีก แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะเอะอะโวยวายไร้มารยาทเช่นนี้ พวกเจ้าคิดว่านี่เป็นบ้านเกิดที่บ้านนอกของพวกเจ้าอย่างนั้นหรือ?”

เบื้องหน้า จู่ๆ เสียงเยาะเย้ยยั่วยุพลันดังขึ้น

หลินเมิ้งหยาเก็บรอยยิ้มบนใบหน้า ก่อนจะเหลือบมองหญิงสาวคู่หนึ่งที่กำลังย่างกรายเข้ามา

เสียงหัวเราะเยาะเย้ยดังขึ้นจากริมฝีปากของพวกนางทั้งสอง หญิงสาวผมสั้นมีใบหน้าสะอาดสะอ้าน คิ้วเรียวบาง แต่ท่าทางไม่ต่างจากแม่ค้าปากตลาด ไม่เหมือนกับหญิงสาวที่อยู่ด้านข้าง

“ฮึ ที่นี่คือจวนอวี้ หาใช่สถานที่ของคนแปลกหน้าเช่นเจ้า ข้าว่าเจ้าต่างหากที่ไม่มีมารยาท บังอาจลบหลู่เจ้านายของข้า เจ้าจะต้องชดใช้!”

ป๋ายซ่าวเข้าไปออกโรงปกป้องป๋ายจีและป๋ายจื่อ

นางต่างหากที่เป็นสาวเผ็ดร้อนแห่งจวนอวี้ หากใครกล้ากระตุกหนวดเสือแล้วล่ะก็ คนผู้นั้นต้องพบจุดจบที่ไม่สวยแน่

“เหตุใดสาวใช้ของพระชายาจึงไร้มารยาทเช่นนี้? ข้าว่าพวกนางมิได้แตกต่างจากผอจื่อที่คอยล้างผักอยู่ในร้านของข้าเลยแม้แต่น้อย”

ดูท่าจะไม่รักตัวกลัวตายเลยแม้แต่น้อย ป๋ายซ่าวจ้องสาวผมสั้นก่อนจะแค่นหัวเราะเสียงเย็น

“ข้าเหมือนกับผอจื่อของพวกเจ้าเช่นไรเล่า ลองอธิบายออกมาให้ฟังทีเถิด ไม่ว่าพวกเจ้าจะเป็นแขกใหญ่โตมาจากไหน แต่ถ้าหากกล้าทำเรื่องเสียมารยาทกับเจ้านายของข้า ข้าก็พร้อมจะตบตีพวกเจ้าจนตาย”

ป๋ายซ่าวถลึงดวงตาคมกริบคู่สวย กล่าววาจาข่มขู่

สาวใช้คนนั้นคงคิดไม่ถึงเลยว่าคู่ปรับของนางคนนี้จะเก่งกาจยิ่งนัก นางอดไม่ได้ที่จะหดคอลง แม้ดวงตาจะเผยความรู้สึกไม่ยินยอมก็ตาม

ป๋ายซ่าวปรับท่วงท่าและอารมณ์ของตัวเองให้กลับมาเป็นปกติ ตอนนี้นางรับหน้าที่กึ่งผู้ดูแลบ้านแล้ว ปกติพวกผู้ชายในจวนมักจะเกรงกลัวนาง แต่นั่นหาใช่เพราะมีหลินเมิ้งหยาเป็นเจ้านายไม่ แต่สาเหตุหลักก็เพราะนางเป็นคนเก่งกาจมากความสามารถ

เมื่อเห็นว่าสาวใช้ของตนเองเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ฝ่ายเจ้านายจึงมิอาจทนเฉยได้อีกต่อไป

“ขออภัยแม่นางด้วย สวี่เอ๋อร์ไม่รู้ความ ดังนั้นจึงทำให้พี่สาวขุ่นเคือง พี่สาวได้โปรดเห็นแก่หน้าข้าสักครั้ง อย่าได้ถือสาหาความนางเลย”

ส่งเสียงอ่อนหวานเสมือนนกแก้วก็มิปาน

หลินเมิ้งหยามองหญิงสาวตรงหน้า หัวใจราวกับถูกบีบรัดแน่น ผ้าคลุมผืนงามปิดบังใบหน้าเอาไว้ ทัศนคติงดงาม ทว่าชุดกระโปรงลายดอกเหมยทำให้หลินเมิ้งหยารู้สึกเจ็บปวด

ครุ่นคิด นางคงเป็นเจ้าของเกี้ยว มิเช่นนั้นเหตุใดลวดลายดอกเหมยบนชุดของนางจึงเหมือนกับสัญลักษณ์บนเกี้ยวไม่มีผิดเพี้ยน

เหตุที่นางไม่หยุดการกระทำของสาวใช้ นั่นก็เพราะต้องการทดสอบดู

ช่างเป็นเหม่ยเหรินที่อาจหาญยิ่งนัก ยังไม่ทันจะตบแต่งเข้าจวนก็คิดจะเข้ามาสั่นคลอนอำนาจของนางแล้วเช่นนั้นหรือ?

ป๋ายซ่าวหาใช่คนไร้มารยาท เพียงได้เห็นท่าทางของเจ้านาย นางจึงจำเป็นต้องปรับท่าทีของตนเอง

“คุณหนูเอ่ยเกินไปแล้ว หนู่ปี้ป๋ายซ่าวเสียมารยาทกับท่านแล้ว”

เมื่อเทียบกับสาวใช้ผมสั้นที่ยังคงแสดงท่าทางกระฟัดกระเฟียด ป๋ายซ่าวเป็นคนที่มีชั้นเชิงกว่ามาก หลังจากโค้งคำนับแล้ว นางจึงกลับมายืนข้างกายหลินเมิ้งหยา

เพียงเท่านี้ก็สามารถเล็งเห็นถึงความสูงส่งและต่ำต้อยของสาวใช้ได้แล้ว

“ท่านนี้คงเป็นชายาอวี้ หม่อมฉันเหมยซื่อถวายพระพรพระชายา”

ดูเหมือนนางจะเป็นคุณชายเหมยแห่งร้านเป่ยโหลวอย่างนั้นสินะ หัวใจของหลินเมิ้งหยายิ่งบีบเข้าหากันแน่น ภาพคืนนั้นสะท้อนออกมาจากดวงตา

หญิงสาวตรงหน้าคือคนที่ร่วมเตียงเคียงหมอนกับหลงเทียนอวี้ที่แท้จริง ส่วนชายาวี้แต่เพียงในนามเช่นนั้นคงเป็นเพียงตัวตลก

“อย่ามากพิธีไปเลย นางเป็นสาวใช้ของข้า แต่กลับทำเรื่องเสียมารยาทกับคุณหนูเหมย เชิญคุณหนูเหมยทำตัวตามสบาย”

หลินเมิ้งหยาตั้งใจพาสาวใช้ของตัวเองเดินผ่านคุณหนูเหมยแล้วเดินจากไป

“คุณหนู ข้าว่าชายาอวี้คนนี้หาใช่คนเก่งกาจอันใดไม่ เหตุใดคุณชายจู๋จึงไม่ยอมให้ท่านมายุ่งกับนางเล่า?”

สวี่เอ๋อร์มองตามพระชายาที่เดินหายลับไป พระชายาคนนี้อายุน่าจะราวสิบกว่าปี เสน่ห์ของนางมิอาจเทียบกับคุณหนูของนางได้

“เสี่ยวจู๋มีเหตุผลของนาง แต่น่าเสียดาย ข้าจะชิงตำแหน่งชายาอวี้มาให้ได้”

คุณชายเหมยจ้องหลินเมิ้งหยาที่เดินลับหายไป ได้ยินคนในจวนเล่าว่าตำหนักหลิวซินของชายาวี้งดงามดั่งทอง

เหตุใดหญิงสาวน่าเบื่อเช่นนี้จึงครองหัวใจหลงเทียนอวี้ได้?

“จำเอาไว้ ห้ามบอกใครเรื่องที่ข้ามาจวนอวี้ในวันนี้เป็นอันขาด”

แสงประกายวาววับในดวงตา เสี่ยวจู๋เตือนนางอยู่หลายครั้งว่าอย่าได้เรียกร้องความสนใจจากหลงเทียนอวี้ แต่ผู้ชายที่เพียบพร้อมคนนั้นเหมาะที่จะเป็นของนาง!

รอก่อนเถิดชายาอวี้!

“ข้าไม่เข้าใจจริงๆ เจ้าค่ะ เหตุใดนายหญิงต้องหลีกทางให้ผู้หญิงคนนั้น คุณหนูเหมยอะไรกัน ข้าว่าอุปนิสัยใจคอของนางมิต่างอันใดจากสาวใช้เลยแม้แต่น้อย”

เพียงกลับมาถึงตำหนัก ป๋ายซ่าวส่งเสียงบ่นพึมพำ

แต่ก่อนเจียงหรูฉินที่มักจะหาเรื่องนายหญิงยังรักษามารยาทเอาไว้บ้าง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหญิงสาวที่ไม่เปิดเผยกระทั่งใบหน้าให้เห็นจะกล้าปีนเกลียว

“นางมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับท่านอ๋อง ดังนั้นจึงสมเหตุสมผลแล้วที่จะแสดงความเย่อหยิ่งออกมา เจ้าจงบอกคนรับใช้ทั้งหมดว่าหากพบเจอคุณหนูเหมยผู้นี้อีก ขอให้ทุกคนอย่ากระด้างกระเดื่องต่อนาง แต่ต้องเคารพนางให้มาก”

บางทีนางอาจจะกลายเป็นนายหญิงของจวนในอนาคต นางไม่อยากให้ทุกคนทำอะไรเกินเลย เหตุเพราะตัวนางเองคงมิอาจดูแลความปลอดภัยของทุกคนได้

“นายหญิง ท่าน…ความสัมพันธ์ของท่านกับท่านอ๋องเล่า? แต่ก่อนเจียงหรูฉินยังเป็นญาติผู้น้องของท่านอ๋อง แต่ตอนนี้กลายเป็นหนอนไชผลไม้ไปแล้ว”

ป๋ายซ่าวยังคงระบายความโกรธออกมา ทว่าหลินเมิ้งหยามิได้อธิบายสิ่งใด ถอนหายใจยาวและทำเพียงเอ่ยกำชับ

“อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันสิ้นปีแล้ว ข้าจะไปถวายพระพรพระสนมเต๋อเฟย ป๋ายจีและป๋ายซูตามข้ามา ป๋ายจื่อจงไปตรวจดูว่าโรงครัวว่าเตรียมขนมเอาไว้เรียบร้อยแล้วหรือไม่”

ทั้งสี่ฟังคำสั่งอย่างเชื่อฟัง แม้จะยังรู้สึกสงสัยก็ตาม

นับตั้งแต่วันที่นายหญิงกลับมาจากด้านนอก นางเปลี่ยนไปไม่เหมือนก่อน แต่พวกนางไม่อาจบอกได้ว่าสิ่งใดกันแน่ที่เปลี่ยนไป

เพียงแค่รู้สึกว่านายหญิงที่เคยส่องแสงเจิดจ้าดั่งดวงตะวันกลับกลายเป็นดวงจันทร์ส่องแสงสว่างรำไรแต่เพียงเท่านั้น

แม้แต่เสี่ยวป๋ายและเสือน้อยเองก็มักจะนอนฟุบลงบนเท้าของนาง พวกมันไม่ร่าเริงเหมือนก่อน

ตำหนักหยาเสวียน

หลินเมิ้งหยามองสวนขนาดเล็กตรงหน้า

นานมากแล้วที่ไม่ได้มาที่นี่ บรรยากาศที่แห่งนี้เย็นยะเยือกกว่าเดิมมาก

ได้ยินมาว่าพระสนมเต๋อเฟยไล่สาวใช้ออกเป็นจำนวนมาก ยิ่งไปกว่านั้นยังขลุกตัวอยู่แต่ในห้อง โดยอ้างว่าเพราะอาการเจ็บป่วย

แม้หลงเทียนอวี้จะไม่พูดอะไร แต่เขาจำได้ขึ้นใจ ดังนั้นเขาจึงพยายามหาหมอมารักษาอาการของพระสนมเต๋อเฟย

เมื่อเทียบกับแต่ก่อน ความสัมพันธ์ที่เคยเย็นชาของพวกเขาเริ่มอบอุ่นขึ้นมาก

“เข้าไปรายงานเถิดว่าพระชายามาถวายพระพรพระสนมเต๋อเฟย”

ป๋ายจีเอ่ยกับผอจื่อเฝ้าประตู หลังจากผอจื่อมองหลินเมิ้งหยาด้วยความประหลาดใจแล้ว นางรีบเดินเข้าไปในตำหนักหยาเสวียน

ไม่นานผอจื่อคนนั้นก็ออกมาส่งข่าวว่าพระสนมเต๋อเฟยเชิญหลินเมิ้งหยาเข้าไป

ทั้งสามสบตากัน ดูเหมือนวันนี้จวนอวี้จะมีแต่เรื่องให้ประหลาดใจ

ปกติเวลาหลินเมิ้งหยามาขอเข้าเฝ้าเพื่อถวายพระพร พระสนมเต๋อเฟยมักจะปฏิเสธทุกครั้ง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้นางจะอนุญาตให้เข้าเฝ้า

เพียงเดินเข้าไป กลิ่นยาสมุนไพรพลันลอยเตะจมูก แต่เมื่อกลิ่นยาสมุนไพรแต่ละชนิดผสมผสานเข้าด้วยกันก็กลับกลายเป็นกลิ่นหอมฉุน

หลินเมิ้งหยาขมวดคิ้ว การมีกลิ่นยาในห้องของคนที่มีอาการป่วยนั้นไม่แปลก แต่เหตุใดกลิ่นยาเหล่านี้จึงแปลกๆ กันนะ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+