ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ เล่มที่ 10 บทที่ 290 ความลับของพระสนมเต๋อเฟย

Now you are reading ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ Chapter เล่มที่ 10 บทที่ 290 ความลับของพระสนมเต๋อเฟย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ที่น่าแปลกไปกว่านั้นก็คือไม่รู้ว่ากลิ่นหอมฉุนเหล่านี้ผลิตขึ้นจากสิ่งใด มันกลบกลิ่นยาทั้งหมด นางสัมผัสได้เพียงกลิ่นฉุนจนเหม็นโดยมิอาจจำแนกได้ว่ามันคือยาอะไรกันแน่

นางเดินเข้าไปในห้อง เห็นพระสนมเต๋อเฟยนอนอยู่บนเตียงโดยไม่เปิดแม้กระทั่งผ้าม่านคลุมเตียง

ครุ่นคิด หนึ่งคงเพราะอาการป่วยยังไม่ดีขึ้น สองคงเพราะไม่อยากเห็นหน้าลูกสะใภ้อกตัญญูเช่นหลินเมิ้งหยา

“ถวายพระพรหมู่เฟย หม่อมฉันได้ยินมาว่าพระองค์ประชวรมาหลายวันแล้ว หม่อมฉันเป็นห่วง แต่ก็ไม่อยากรบกวนการพักผ่อนของหมู่เฟย หมู่เฟยได้โปรดอภัยด้วยเพคะ”

เรือนในตำหนักหยาเสวียนมีเพียงแสงริบหรี่ เตาจุดเครื่องหอมตรงหน้าส่งกลิ่นฉุนยิ่งขึ้น

แปลกเหลือเกิน หลินเมิ้งหยาไม่รู้สึกระคายจมูก แต่กลับรู้สึกจิตใจสงบ ดูเหมือนกลิ่นนั้นจะต้องมีส่วนผสมของยาระงับประสาท

ที่น่าแปลกไปกว่านั้นก็คือกลิ่นของยาตัวนี้เหม็นจนมิอาจรู้ได้ว่ามันคือยาชนิดใด ยิ่งไปกว่านั้นเรดาร์ยังไม่ส่งสัญญาณเตือน เห็นได้ชัดว่ามันมีส่วนผสมที่ค่อนข้างปลอดภัย

“พวกเจ้าคนหนุ่มสาวล้วนมีงานของตัวเองให้ต้องทำ ช่วยไม่ได้หรอกที่จะไม่มีเวลามาที่นี่ ร่างกายของเปิ่นกงยังไม่แข็งแรง รบกวนเจ้าไปบอกอวี้เอ๋อร์ด้วยว่าเปิ่นกงคงไม่ไปร่วมงานเลี้ยงวันมะรืน”

เอ่ยเสียงแผ่วราวกับคนไร้เรี่ยวแรง แตกต่างจากเมื่อก่อนราวฟ้ากับเหว หลินเมิ้งหยาสงสัย หรือพระสนมเต๋อเฟยจะป่วยจริงๆ?

“เพคะ หมู่เฟยโปรดรักษาสุขภาพด้วย หม่อมฉันจะจัดการเรื่องอื่นๆ ให้ดีเพื่อมิให้หมู่เฟยต้องกังวล ได้ยินมาว่าหมู่เฟยมีอาการไข้หนาวสั่น เกรงว่ากลิ่นหอมฉุนเช่นนี้จะไม่ดีต่อร่างกายของพระองค์นะเพคะ”

หลินเมิ้งหยาลุกขึ้นถวายคำนับ เตรียมตัวจะจากไป

แต่นางกลับเหลือบไปเห็นใบหน้าของพระสนมเต๋อเฟยที่แปลกไปจากแต่ก่อนเล็กน้อย ขณะที่คิดจะพิจารณาให้ดี จู่ๆ มือคู่หนึ่งพลันเอื้อมไปวางฉากกั้นลง

“ขอบพระทัยพระชายาที่ช่วยชี้แนะ หนู่ปี้จะระมัดระวังเรื่องนี้เองเพคะ นี่คือสร้อยข้อมือหยกแดงที่พระสนมเต๋อเฟยเตรียมเอาไว้มอบให้พระองค์”

เสียงคุ้นหูดังขึ้น นางคือหยุนลั่ว

หลินเมิ้งหยามักคิดเสมอว่าภายใต้ใบหน้างดงามเรียวเล็กรูปไข่นี้จะต้องมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่ แม้นางจะแย้มยิ้มอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนก็ตาม

“ขอบพระทัยหมู่เฟย หม่อมฉันทูลลา”

เรียกป๋ายจีให้เข้ามาเก็บสร้อยหยกแดง ก่อนหลินเมิ้งหยาจะเดินออกจากตำหนักหยาเสวียน

แปลก เมื่อครู่เหมือนนางจะเห็น….หรือนางจะตาฝาด?

“พระสนมเต๋อเฟยแปลกไปเหลือเกินเจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินมาว่าพระนางใช้ดอกกุหลาบล้างหน้า เหตุใดพอมาวันนี้นางจึง…จึงเหมือนหญิงชราอายุเจ็ดสิบแปดสิบแล้วเล่าเจ้าคะ?”

ป๋ายจียืนอยู่ด้านหลัง ดังนั้นนางก็น่าจะเห็นสิ่งที่ตนเองเห็นเช่นเดียวกัน

“เจ้าเองก็เห็นหรือ?”

หลินเมิ้งหยาหันไปถามป๋ายจี เมื่อครู่นางคิดว่าตัวเองตาฝาดเสียอีก ทว่าอีกฝ่ายกลับผงกศีรษะลง ตอนแรกป๋ายจีคิดว่าตนเองตาฝาด แต่คิดไม่ถึงเลยว่าพวกนางทั้งสองจะได้เห็นเหมือนกัน

“ข้าคิดว่าคงเพราะอาการป่วยของนางกระมัง ดังนั้นร่างกายจึงโรยรา”

มิได้เก็บเรื่องนี้เอามาใส่ใจ เมื่อดูจากอายุของพระสนมเต๋อเฟยแล้ว การมีร่องรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าถือเป็นเรื่องปกติ

พวกนางไม่รู้เลยว่า ทันทีที่พวกนางเดินถึงประตูหน้าตำหนักหยาเสวียน ดวงตาอาฆาตมาดร้ายคู่หนึ่งจะกำลังจับจ้องพวกนางอยู่

ภายในตำหนักหยาเสวียน ทุกคนถูกขับออกไปข้างนอกและเหลือไว้เพียงหยุนลั่วกับน้าจิ้งเยว่ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด สีหน้าของน้าจิ้งเยว่จึงขาวซีดด้วยความหวาดกลัว นางก้มหน้าลงราวกับหวาดกลัวหยุนลั่วที่กำลังรับใช้พระสนมเต๋อเฟยอยู่ข้างๆ เป็นอย่างยิ่ง

“ไม่ได้เรื่อง แค่ใบหน้าของเหนียงเหนียงก็มิอาจรักษาเอาไว้ให้ดีได้ เช่นนั้นเจ้าจะยังมีประโยชน์อันใดอีก?”

น้ำเสียงหยุนลั่วแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา

จิ้งเยว่รีบคุกเขาลงกับพื้น ไม่กล้าส่งเสียงอันใดออกมา

“เอาล่ะ นางมิได้ทำอะไรผิดหรอก จริงสิ เจ้าคิดว่าใบหน้านี้จะยังสามารถใช้งานได้อีกนานหรือไม่?”

พระสนมเต๋อเฟยที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงลุกขึ้นนั่งอย่างสง่างาม ใบหน้าที่เคยมีริ้วรอยเหี่ยวย่นเริ่มกลับมาเป็นปกติ

พระสนมเต๋อเฟยยกมือขึ้นลูบไล้ใบหน้าของตนเอง ไม่นานผิวหน้าก็ถูกนางฉีกออก

หยุนลั่วหัวเราะขณะมองใบหน้าของพระสนมเต๋อเฟย ดวงตาคมกริบแฝงไว้ซึ่งความชื่นชม

“สมแล้วที่เป็นน้าจิ้งเยว่ซึ่งอยู่ข้างกายพระสนมเต๋อเฟยมาอย่างยาวนาน เจ้าทำงานได้อย่างไร้ที่ติ วางใจเถิด หน้ากากหนังมนุษย์สำรองที่เตรียมเอาไว้ใกล้จะส่งมาถึงแล้ว อีกไม่นานเจ้าจะได้กลายเป็นพระสนมเต๋อเฟยสมใจ”

ใบหน้าสองคนที่เหมือนกัน คนหนึ่งหดตัวคุกเข่าอยู่บนพื้น อีกคนสวมใส่ชุดหรูหรานั่งอยู่บนเตียงด้วยท่วงท่าสง่างาม แต่หากลองสังเกตให้ดีจะเห็นได้ถึงความแตกต่าง

สีหน้าของจิ้งเยว่ซึ่งกำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นแปลกประหลาดไม่เป็นธรรมชาติ ทว่าแม้จิ้งเยว่ที่สวมชุดของพระสนมเต๋อเฟยจะมีใบหน้าขาวซีดเล็กน้อย แต่กลับดูเป็นธรรมชาติ

พระสนมเต๋อเฟยคุกเข่าลง ดวงตาคู่สวยแสดงท่าทางหยิ่งผยอง ยื่นมือเข้าไปเชยคางจิ้งเยว่ที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น

“จิ่นเยว่ เจ้ากับข้าเป็นพี่น้องกันมานานหลายปี คิดไม่ถึงเลยว่าตอนนี้พวกเราจะต่างกันราวฟ้ากับเหว ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการหาโอกาสบอกอวี้เอ๋อร์ว่าข้าหาใช่แม่แท้ๆ ของเขา ช่างซื่อสัตย์เหลือเกิน แต่น่าเสียดาย ชีวิตของนังแพศยาอยู่ในกำมือของข้า หากเจ้าปากโป้ง นังแพศยานั่นต้องตาย”

จิ้งเยว่ ไม่สิ ต้องพูดว่าจิ่นเยว่ที่สวมหน้ากากหนังมนุษย์ของจิ้งเยว่ปล่อยให้น้ำตารินไหล ความเจ็บปวดถาโถมเข้ามา

“จิ้งเยว่ พวกเราอยู่รับใช้คุณหนูมาตั้งแต่เด็ก แม้จะอยู่ในฐานะนายบ่าว แต่ถึงกระนั้นก็รักใคร่เสมือนพี่น้อง คุณหนูดีกับเจ้ามาก เหตุใด…เหตุใดเจ้าจึงหักหลังคุณหนูเช่นนี้?”

จิ่นเยว่พยายามแย้งเรียกสติของจิ้งเยว่

“พี่น้อง? ฮ่า ฮ่า ฮ่า หากเป็นพี่น้องกันจริง เหตุใดนางจึงแย่งตำแหน่งของข้าไป! พระสนมเต๋อเฟย? น่าขันเหลือเกิน! เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนที่ฮ่องเต้ทรงตกหลุมรักคือข้า หาใช่นางไม่!”

ท่าทางของจิ้งเยว่ราวกับคนกำลังบ้าคลั่ง จิ่นเยว่ปล่อยให้น้ำตาไหลนองหน้า นางไม่รู้เลยว่าเพราะเหตุใดพวกนางสามพี่น้องจึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้

“ตอนนี้ข้าเพียงแย่งสิ่งที่เคยเป็นของข้าคืนมาเท่านั้น แม้แต่อวี้เอ๋อร์ก็ต้องเป็นของข้า ข้าต่างหากที่ควรเป็นพระสนมเต๋อเฟยผู้งามสง่า เจ้า…จงเป็นสาวใช้ผู้ซื่อสัตย์ต่อไปเถิด วางใจ ข้าไม่ทำร้ายเจ้าอย่างแน่นอน”

นัยน์ตาของจิ้งเยว่ไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะอย่างสิ้นเชิง

ราวกับหยุนลั่วรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว ดังนั้นนางจึงมิได้แสดงท่าทางแปลกใจ

“ข้าเลี้ยงอวี้เอ๋อร์มาเองกับมือ ดังนั้นข้าย่อมรู้จักเขาดี แม้ตอนนี้เขาจะยังเคารพเจ้า แต่หากเขารู้ว่าเจ้าทำร้ายเหนียงเหนียง เขาจะไม่มีวันปล่อยเจ้าไปแน่”

จิ่นเยว่ร้องออกมาด้วยความขมขื่น แต่กลับกระตุ้นต่อมอารมณ์ของจิ้งเยว่ นางทั้งโกรธและอับอาย ฝ่ามือเงื้อขึ้นเพราะคิดอยากจะตบหน้านาง แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่เหมือนกับใบหน้าของตนเอง นางก็เปลี่ยนใจ

“ใบหน้าของข้าจะเสียหายไม่ได้ จิ่นเยว่ เจ้าจงเป็นสาวใช้ผู้ซื่อสัตย์ของข้า มิเช่นนั้น ข้าจะทำให้เจ้ารู้จักความร้ายกาจของข้า”

จิ้งเยว่ออกแรงบีบแขนของจิ่นเยว่ แม้ใบหน้านั้นจะกำลังยิ้ม แต่มันคือรอยยิ้มของความบ้าคลั่ง

ไม่มีใครรู้เลยว่าวังหลวงจะเกิดเรื่องราวอันเป็นความลับเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน

หลินเมิ้งหยากลับมายังตำหนักของตนเอง ทว่าความสงสัยยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

นับตั้งแต่วันที่พระสนมเต๋อเฟยออกมาจากวัง นางเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ยิ่งไปกว่านั้น แต่ก่อนนางยังเคยได้กลิ่นของยาพิษบนร่างของพระสนมเต๋อเฟยอีกด้วย

แต่ตอนนี้นางกลับไม่ได้กลิ่นเลยแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น คนปกติทั่วไปไม่มีทางเปลี่ยนทัศนคติง่ายๆ เช่นนี้แน่

นางเคยสงสัยว่าพระสนมเต๋อเฟยคนนี้อาจเป็นคนอื่นปลอมตัวมา แต่ทั้งการกระทำและน้ำเสียงล้วนมิแตกต่างกันเลยแม้แต่เพียงนิดเดียว

ตกลงมีเรื่องอะไรที่นางยังไม่รู้กันนะ?

“นายหญิง วังหลวงส่งเงินมาให้เจ้าค่ะ ท่านจะดูด้วยตนเองหรือไม่?”

ป๋ายซ่าวยกหีบเงินเข้ามา หลินเมิ้งหยาชายตามอง เงินเหล่านั้นมีมากพอควร แต่ถึงกระนั้นก็เป็นเพียงการจัดสรรปันส่วนอย่างเท่าเทียมกันขององค์ชายเพียงเท่านั้น ถึงอย่างไรฮองเฮาและไท่จื่อก็ไม่มีทางให้เงินมากมายมหาศาลแก่หลงเทียนอวี้อย่างแน่นอน ขี้งกชะมัด

“เจ้าเอาไปนับเถิด ข้าคงไม่ไปดูแล้วล่ะ วันมะรืนก็ถึงงานเลี้ยงในวังหลวงแล้ว พวกเจ้าไปกับข้าก็แล้วกัน หลังจากปีใหม่ ข้าคงต้องเข้าวังหลวง เมื่อถึงเวลานั้น นอกจากป๋ายซู พวกเจ้าอีกสามคนที่เหลือจงไปอยู่ที่ร้านยาสามสหายเถิด”

ป๋ายจื่อที่กำลังยกน้ำชามาให้หลินเมิ้งหยาถึงกับตกตะลึง มิใช่เพียงนาง นอกจากป๋ายซูแล้ว อีกสองคนที่เหลือเองก็ตกตะลึงเช่นเดียวกัน

“เข้าวัง? นายหญิง หากท่านต้องเข้าวัง เช่นนั้นพาพวกเราทั้งสามไปกับท่านด้วยเถิด คนในวังหลวงล้วนไม่ประสงค์ดีกับท่าน หากพวกเราไม่อยู่แล้วใครจะดูแลท่านเล่า?”

ป๋ายจีรีบส่ายหน้าปฏิเสธ นางไม่อยากจากหลินเมิ้งหยาไป

ชิงหูกับเสี่ยวอวี้จากไปแล้ว ดังนั้นหลินเมิ้งหยาย่อมรู้ดีว่าทุกคนล้วนมีเส้นทางชีวิตของตนเอง เส้นทางที่นางเลือกล้วนเต็มไปด้วยขวากหนาม แม้จะสามารถออกจากวังหลวงได้อย่างราบรื่นและหย่าร้างกับหลงเทียนอวี้สำเร็จ แต่สุดท้ายนางก็ยังคงเป็นหนามยอกอกของฮองเฮาเสมอ

หากสกุลหลินยังมีสถานะเช่นนี้ ไม่ว่าใครต่างก็คิดอยากโจมตีนาง โจมตีสกุลหลิน

สาวใช้ทั้งสามอ่อนแอเกินไป หากอยู่ที่ร้านยาสามสหาย พวกนางจะยังสามารถใช้ชีวิตอย่างปลอดภัย หากพวกนางเข้าวังและตกอยู่ในอันตราย พวกนางคงไม่อาจปกป้องตัวเองได้

ครุ่นคิด ก่อนจะต้องทำใจตัดสินใจเช่นนี้

“ดูพวกเจ้าเถิด พวกเราหาได้ตายจากกันไม่ หากข้าเข้าไปอยู่ในวังแล้ว จวนแห่งนี้จะไม่มีใครปกป้องพวกเจ้าได้อีก หากพวกเจ้าถูกทำร้ายจะทำเช่นไร? เช่นนั้นพวกเจ้าไปช่วยข้าดูแลร้านยาสามสหายจะไม่ดีกว่าหรือ เท่านี้ข้าเองก็หมดกังวล ยิ่งไปกว่านั้น ข้าเองก็มีทางหนีทีไล่อยู่แล้ว วางใจเถิด ข้ามีเก้าชีวิตเหมือนแมว ไม่มีทางตกหลุมพรางใครง่ายๆ หรอก ยิ่งไปกว่านั้นยังมีป๋ายซูคอยปกป้อง ข้าไม่มีทางตกอยู่ในอันตรายอย่างแน่นอน”

แม้หลินเมิ้งหยาจะเอ่ยปลอบโยนเช่นนี้ ทว่าสาวใช้ทั้งสามยังคงส่งเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ เล่มที่ 10 บทที่ 290 ความลับของพระสนมเต๋อเฟย

Now you are reading ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ Chapter เล่มที่ 10 บทที่ 290 ความลับของพระสนมเต๋อเฟย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ที่น่าแปลกไปกว่านั้นก็คือไม่รู้ว่ากลิ่นหอมฉุนเหล่านี้ผลิตขึ้นจากสิ่งใด มันกลบกลิ่นยาทั้งหมด นางสัมผัสได้เพียงกลิ่นฉุนจนเหม็นโดยมิอาจจำแนกได้ว่ามันคือยาอะไรกันแน่

นางเดินเข้าไปในห้อง เห็นพระสนมเต๋อเฟยนอนอยู่บนเตียงโดยไม่เปิดแม้กระทั่งผ้าม่านคลุมเตียง

ครุ่นคิด หนึ่งคงเพราะอาการป่วยยังไม่ดีขึ้น สองคงเพราะไม่อยากเห็นหน้าลูกสะใภ้อกตัญญูเช่นหลินเมิ้งหยา

“ถวายพระพรหมู่เฟย หม่อมฉันได้ยินมาว่าพระองค์ประชวรมาหลายวันแล้ว หม่อมฉันเป็นห่วง แต่ก็ไม่อยากรบกวนการพักผ่อนของหมู่เฟย หมู่เฟยได้โปรดอภัยด้วยเพคะ”

เรือนในตำหนักหยาเสวียนมีเพียงแสงริบหรี่ เตาจุดเครื่องหอมตรงหน้าส่งกลิ่นฉุนยิ่งขึ้น

แปลกเหลือเกิน หลินเมิ้งหยาไม่รู้สึกระคายจมูก แต่กลับรู้สึกจิตใจสงบ ดูเหมือนกลิ่นนั้นจะต้องมีส่วนผสมของยาระงับประสาท

ที่น่าแปลกไปกว่านั้นก็คือกลิ่นของยาตัวนี้เหม็นจนมิอาจรู้ได้ว่ามันคือยาชนิดใด ยิ่งไปกว่านั้นเรดาร์ยังไม่ส่งสัญญาณเตือน เห็นได้ชัดว่ามันมีส่วนผสมที่ค่อนข้างปลอดภัย

“พวกเจ้าคนหนุ่มสาวล้วนมีงานของตัวเองให้ต้องทำ ช่วยไม่ได้หรอกที่จะไม่มีเวลามาที่นี่ ร่างกายของเปิ่นกงยังไม่แข็งแรง รบกวนเจ้าไปบอกอวี้เอ๋อร์ด้วยว่าเปิ่นกงคงไม่ไปร่วมงานเลี้ยงวันมะรืน”

เอ่ยเสียงแผ่วราวกับคนไร้เรี่ยวแรง แตกต่างจากเมื่อก่อนราวฟ้ากับเหว หลินเมิ้งหยาสงสัย หรือพระสนมเต๋อเฟยจะป่วยจริงๆ?

“เพคะ หมู่เฟยโปรดรักษาสุขภาพด้วย หม่อมฉันจะจัดการเรื่องอื่นๆ ให้ดีเพื่อมิให้หมู่เฟยต้องกังวล ได้ยินมาว่าหมู่เฟยมีอาการไข้หนาวสั่น เกรงว่ากลิ่นหอมฉุนเช่นนี้จะไม่ดีต่อร่างกายของพระองค์นะเพคะ”

หลินเมิ้งหยาลุกขึ้นถวายคำนับ เตรียมตัวจะจากไป

แต่นางกลับเหลือบไปเห็นใบหน้าของพระสนมเต๋อเฟยที่แปลกไปจากแต่ก่อนเล็กน้อย ขณะที่คิดจะพิจารณาให้ดี จู่ๆ มือคู่หนึ่งพลันเอื้อมไปวางฉากกั้นลง

“ขอบพระทัยพระชายาที่ช่วยชี้แนะ หนู่ปี้จะระมัดระวังเรื่องนี้เองเพคะ นี่คือสร้อยข้อมือหยกแดงที่พระสนมเต๋อเฟยเตรียมเอาไว้มอบให้พระองค์”

เสียงคุ้นหูดังขึ้น นางคือหยุนลั่ว

หลินเมิ้งหยามักคิดเสมอว่าภายใต้ใบหน้างดงามเรียวเล็กรูปไข่นี้จะต้องมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่ แม้นางจะแย้มยิ้มอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนก็ตาม

“ขอบพระทัยหมู่เฟย หม่อมฉันทูลลา”

เรียกป๋ายจีให้เข้ามาเก็บสร้อยหยกแดง ก่อนหลินเมิ้งหยาจะเดินออกจากตำหนักหยาเสวียน

แปลก เมื่อครู่เหมือนนางจะเห็น….หรือนางจะตาฝาด?

“พระสนมเต๋อเฟยแปลกไปเหลือเกินเจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินมาว่าพระนางใช้ดอกกุหลาบล้างหน้า เหตุใดพอมาวันนี้นางจึง…จึงเหมือนหญิงชราอายุเจ็ดสิบแปดสิบแล้วเล่าเจ้าคะ?”

ป๋ายจียืนอยู่ด้านหลัง ดังนั้นนางก็น่าจะเห็นสิ่งที่ตนเองเห็นเช่นเดียวกัน

“เจ้าเองก็เห็นหรือ?”

หลินเมิ้งหยาหันไปถามป๋ายจี เมื่อครู่นางคิดว่าตัวเองตาฝาดเสียอีก ทว่าอีกฝ่ายกลับผงกศีรษะลง ตอนแรกป๋ายจีคิดว่าตนเองตาฝาด แต่คิดไม่ถึงเลยว่าพวกนางทั้งสองจะได้เห็นเหมือนกัน

“ข้าคิดว่าคงเพราะอาการป่วยของนางกระมัง ดังนั้นร่างกายจึงโรยรา”

มิได้เก็บเรื่องนี้เอามาใส่ใจ เมื่อดูจากอายุของพระสนมเต๋อเฟยแล้ว การมีร่องรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าถือเป็นเรื่องปกติ

พวกนางไม่รู้เลยว่า ทันทีที่พวกนางเดินถึงประตูหน้าตำหนักหยาเสวียน ดวงตาอาฆาตมาดร้ายคู่หนึ่งจะกำลังจับจ้องพวกนางอยู่

ภายในตำหนักหยาเสวียน ทุกคนถูกขับออกไปข้างนอกและเหลือไว้เพียงหยุนลั่วกับน้าจิ้งเยว่ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด สีหน้าของน้าจิ้งเยว่จึงขาวซีดด้วยความหวาดกลัว นางก้มหน้าลงราวกับหวาดกลัวหยุนลั่วที่กำลังรับใช้พระสนมเต๋อเฟยอยู่ข้างๆ เป็นอย่างยิ่ง

“ไม่ได้เรื่อง แค่ใบหน้าของเหนียงเหนียงก็มิอาจรักษาเอาไว้ให้ดีได้ เช่นนั้นเจ้าจะยังมีประโยชน์อันใดอีก?”

น้ำเสียงหยุนลั่วแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา

จิ้งเยว่รีบคุกเขาลงกับพื้น ไม่กล้าส่งเสียงอันใดออกมา

“เอาล่ะ นางมิได้ทำอะไรผิดหรอก จริงสิ เจ้าคิดว่าใบหน้านี้จะยังสามารถใช้งานได้อีกนานหรือไม่?”

พระสนมเต๋อเฟยที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงลุกขึ้นนั่งอย่างสง่างาม ใบหน้าที่เคยมีริ้วรอยเหี่ยวย่นเริ่มกลับมาเป็นปกติ

พระสนมเต๋อเฟยยกมือขึ้นลูบไล้ใบหน้าของตนเอง ไม่นานผิวหน้าก็ถูกนางฉีกออก

หยุนลั่วหัวเราะขณะมองใบหน้าของพระสนมเต๋อเฟย ดวงตาคมกริบแฝงไว้ซึ่งความชื่นชม

“สมแล้วที่เป็นน้าจิ้งเยว่ซึ่งอยู่ข้างกายพระสนมเต๋อเฟยมาอย่างยาวนาน เจ้าทำงานได้อย่างไร้ที่ติ วางใจเถิด หน้ากากหนังมนุษย์สำรองที่เตรียมเอาไว้ใกล้จะส่งมาถึงแล้ว อีกไม่นานเจ้าจะได้กลายเป็นพระสนมเต๋อเฟยสมใจ”

ใบหน้าสองคนที่เหมือนกัน คนหนึ่งหดตัวคุกเข่าอยู่บนพื้น อีกคนสวมใส่ชุดหรูหรานั่งอยู่บนเตียงด้วยท่วงท่าสง่างาม แต่หากลองสังเกตให้ดีจะเห็นได้ถึงความแตกต่าง

สีหน้าของจิ้งเยว่ซึ่งกำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นแปลกประหลาดไม่เป็นธรรมชาติ ทว่าแม้จิ้งเยว่ที่สวมชุดของพระสนมเต๋อเฟยจะมีใบหน้าขาวซีดเล็กน้อย แต่กลับดูเป็นธรรมชาติ

พระสนมเต๋อเฟยคุกเข่าลง ดวงตาคู่สวยแสดงท่าทางหยิ่งผยอง ยื่นมือเข้าไปเชยคางจิ้งเยว่ที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น

“จิ่นเยว่ เจ้ากับข้าเป็นพี่น้องกันมานานหลายปี คิดไม่ถึงเลยว่าตอนนี้พวกเราจะต่างกันราวฟ้ากับเหว ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการหาโอกาสบอกอวี้เอ๋อร์ว่าข้าหาใช่แม่แท้ๆ ของเขา ช่างซื่อสัตย์เหลือเกิน แต่น่าเสียดาย ชีวิตของนังแพศยาอยู่ในกำมือของข้า หากเจ้าปากโป้ง นังแพศยานั่นต้องตาย”

จิ้งเยว่ ไม่สิ ต้องพูดว่าจิ่นเยว่ที่สวมหน้ากากหนังมนุษย์ของจิ้งเยว่ปล่อยให้น้ำตารินไหล ความเจ็บปวดถาโถมเข้ามา

“จิ้งเยว่ พวกเราอยู่รับใช้คุณหนูมาตั้งแต่เด็ก แม้จะอยู่ในฐานะนายบ่าว แต่ถึงกระนั้นก็รักใคร่เสมือนพี่น้อง คุณหนูดีกับเจ้ามาก เหตุใด…เหตุใดเจ้าจึงหักหลังคุณหนูเช่นนี้?”

จิ่นเยว่พยายามแย้งเรียกสติของจิ้งเยว่

“พี่น้อง? ฮ่า ฮ่า ฮ่า หากเป็นพี่น้องกันจริง เหตุใดนางจึงแย่งตำแหน่งของข้าไป! พระสนมเต๋อเฟย? น่าขันเหลือเกิน! เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนที่ฮ่องเต้ทรงตกหลุมรักคือข้า หาใช่นางไม่!”

ท่าทางของจิ้งเยว่ราวกับคนกำลังบ้าคลั่ง จิ่นเยว่ปล่อยให้น้ำตาไหลนองหน้า นางไม่รู้เลยว่าเพราะเหตุใดพวกนางสามพี่น้องจึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้

“ตอนนี้ข้าเพียงแย่งสิ่งที่เคยเป็นของข้าคืนมาเท่านั้น แม้แต่อวี้เอ๋อร์ก็ต้องเป็นของข้า ข้าต่างหากที่ควรเป็นพระสนมเต๋อเฟยผู้งามสง่า เจ้า…จงเป็นสาวใช้ผู้ซื่อสัตย์ต่อไปเถิด วางใจ ข้าไม่ทำร้ายเจ้าอย่างแน่นอน”

นัยน์ตาของจิ้งเยว่ไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะอย่างสิ้นเชิง

ราวกับหยุนลั่วรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว ดังนั้นนางจึงมิได้แสดงท่าทางแปลกใจ

“ข้าเลี้ยงอวี้เอ๋อร์มาเองกับมือ ดังนั้นข้าย่อมรู้จักเขาดี แม้ตอนนี้เขาจะยังเคารพเจ้า แต่หากเขารู้ว่าเจ้าทำร้ายเหนียงเหนียง เขาจะไม่มีวันปล่อยเจ้าไปแน่”

จิ่นเยว่ร้องออกมาด้วยความขมขื่น แต่กลับกระตุ้นต่อมอารมณ์ของจิ้งเยว่ นางทั้งโกรธและอับอาย ฝ่ามือเงื้อขึ้นเพราะคิดอยากจะตบหน้านาง แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่เหมือนกับใบหน้าของตนเอง นางก็เปลี่ยนใจ

“ใบหน้าของข้าจะเสียหายไม่ได้ จิ่นเยว่ เจ้าจงเป็นสาวใช้ผู้ซื่อสัตย์ของข้า มิเช่นนั้น ข้าจะทำให้เจ้ารู้จักความร้ายกาจของข้า”

จิ้งเยว่ออกแรงบีบแขนของจิ่นเยว่ แม้ใบหน้านั้นจะกำลังยิ้ม แต่มันคือรอยยิ้มของความบ้าคลั่ง

ไม่มีใครรู้เลยว่าวังหลวงจะเกิดเรื่องราวอันเป็นความลับเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน

หลินเมิ้งหยากลับมายังตำหนักของตนเอง ทว่าความสงสัยยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

นับตั้งแต่วันที่พระสนมเต๋อเฟยออกมาจากวัง นางเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ยิ่งไปกว่านั้น แต่ก่อนนางยังเคยได้กลิ่นของยาพิษบนร่างของพระสนมเต๋อเฟยอีกด้วย

แต่ตอนนี้นางกลับไม่ได้กลิ่นเลยแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น คนปกติทั่วไปไม่มีทางเปลี่ยนทัศนคติง่ายๆ เช่นนี้แน่

นางเคยสงสัยว่าพระสนมเต๋อเฟยคนนี้อาจเป็นคนอื่นปลอมตัวมา แต่ทั้งการกระทำและน้ำเสียงล้วนมิแตกต่างกันเลยแม้แต่เพียงนิดเดียว

ตกลงมีเรื่องอะไรที่นางยังไม่รู้กันนะ?

“นายหญิง วังหลวงส่งเงินมาให้เจ้าค่ะ ท่านจะดูด้วยตนเองหรือไม่?”

ป๋ายซ่าวยกหีบเงินเข้ามา หลินเมิ้งหยาชายตามอง เงินเหล่านั้นมีมากพอควร แต่ถึงกระนั้นก็เป็นเพียงการจัดสรรปันส่วนอย่างเท่าเทียมกันขององค์ชายเพียงเท่านั้น ถึงอย่างไรฮองเฮาและไท่จื่อก็ไม่มีทางให้เงินมากมายมหาศาลแก่หลงเทียนอวี้อย่างแน่นอน ขี้งกชะมัด

“เจ้าเอาไปนับเถิด ข้าคงไม่ไปดูแล้วล่ะ วันมะรืนก็ถึงงานเลี้ยงในวังหลวงแล้ว พวกเจ้าไปกับข้าก็แล้วกัน หลังจากปีใหม่ ข้าคงต้องเข้าวังหลวง เมื่อถึงเวลานั้น นอกจากป๋ายซู พวกเจ้าอีกสามคนที่เหลือจงไปอยู่ที่ร้านยาสามสหายเถิด”

ป๋ายจื่อที่กำลังยกน้ำชามาให้หลินเมิ้งหยาถึงกับตกตะลึง มิใช่เพียงนาง นอกจากป๋ายซูแล้ว อีกสองคนที่เหลือเองก็ตกตะลึงเช่นเดียวกัน

“เข้าวัง? นายหญิง หากท่านต้องเข้าวัง เช่นนั้นพาพวกเราทั้งสามไปกับท่านด้วยเถิด คนในวังหลวงล้วนไม่ประสงค์ดีกับท่าน หากพวกเราไม่อยู่แล้วใครจะดูแลท่านเล่า?”

ป๋ายจีรีบส่ายหน้าปฏิเสธ นางไม่อยากจากหลินเมิ้งหยาไป

ชิงหูกับเสี่ยวอวี้จากไปแล้ว ดังนั้นหลินเมิ้งหยาย่อมรู้ดีว่าทุกคนล้วนมีเส้นทางชีวิตของตนเอง เส้นทางที่นางเลือกล้วนเต็มไปด้วยขวากหนาม แม้จะสามารถออกจากวังหลวงได้อย่างราบรื่นและหย่าร้างกับหลงเทียนอวี้สำเร็จ แต่สุดท้ายนางก็ยังคงเป็นหนามยอกอกของฮองเฮาเสมอ

หากสกุลหลินยังมีสถานะเช่นนี้ ไม่ว่าใครต่างก็คิดอยากโจมตีนาง โจมตีสกุลหลิน

สาวใช้ทั้งสามอ่อนแอเกินไป หากอยู่ที่ร้านยาสามสหาย พวกนางจะยังสามารถใช้ชีวิตอย่างปลอดภัย หากพวกนางเข้าวังและตกอยู่ในอันตราย พวกนางคงไม่อาจปกป้องตัวเองได้

ครุ่นคิด ก่อนจะต้องทำใจตัดสินใจเช่นนี้

“ดูพวกเจ้าเถิด พวกเราหาได้ตายจากกันไม่ หากข้าเข้าไปอยู่ในวังแล้ว จวนแห่งนี้จะไม่มีใครปกป้องพวกเจ้าได้อีก หากพวกเจ้าถูกทำร้ายจะทำเช่นไร? เช่นนั้นพวกเจ้าไปช่วยข้าดูแลร้านยาสามสหายจะไม่ดีกว่าหรือ เท่านี้ข้าเองก็หมดกังวล ยิ่งไปกว่านั้น ข้าเองก็มีทางหนีทีไล่อยู่แล้ว วางใจเถิด ข้ามีเก้าชีวิตเหมือนแมว ไม่มีทางตกหลุมพรางใครง่ายๆ หรอก ยิ่งไปกว่านั้นยังมีป๋ายซูคอยปกป้อง ข้าไม่มีทางตกอยู่ในอันตรายอย่างแน่นอน”

แม้หลินเมิ้งหยาจะเอ่ยปลอบโยนเช่นนี้ ทว่าสาวใช้ทั้งสามยังคงส่งเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+