ข้ามเวลาล่าฝันบทที่ 30 1
ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 30 ตอนที่ 1
ลมโชยพัดบนดาดฟ้าอย่างรุนแรง มิโซเปิดประตูออกด้วยกุญแจที่ได้มาจากพวกครู ๆ เธอคงไปบอกว่าอยากจะเอาไว้ใช้ฝึกซ้อมหรืออะไรสักอย่าง
“ยุ่งเหรอ?”
“นักเรียนจะมีเรื่องอะไรให้ยุ่งกัน?”
“เหรอ?”
มิโซเดินไปยังรั้วกั้น เธอวางมือลงบนกําแพงคอนกรีตและจ้องมองลงไปด้านล่าง มารุเดินเข้าไปยืนข้าง ๆ เขาเห็นพระอาทิตย์กําลังตกลับขอบฟ้าไป ด้านล่างเขาเห็นสมาชิกชมรมฟุตบอลกําลังคุยกันเสียงดังพร้อมขนมและเครื่องดื่มในมือ
“แรงเธอดีไม่เลวเลยใช่ไหม?”
“ก็ยังหนุ่มยังแน่นนี่นา”
“หนุ่มเหรอ?”
มิโซหันมามองที่เขา สายตาในครั้งนี้… มันต่างออกไป ในห้องประชุมนั้นเธอเป็นดั่งจักรพรรดินี คนทั้ง 11 ต่างเชื่อฟังคําสั่งของเธอราวกับเธอเป็นพระเจ้า การถูกเธอดุด่าครั้งหนึ่งทําให้พวกเขาแทบจะต้องก้มลงกราบขอโทษ ที่นั่น เธอมักจะมั่นใจและแข็งแกร่งเสมอ ไม่มีร่องรอยของความเสียใจหรืออ่อนแอให้เห็นแม้แต่นิด
แต่ตอนนี้เธอกลับ…
“กําลังจะพูดเรื่องที่คุยลําบากอยู่?”
เขาเห็นได้จากการที่เธอขยับร่างกาย ริมฝีปากที่ขยับไปมา การถอนหายใจบ่อยครั้ง และที่สําคัญ
[เด็กคนนี้มันยุ่งยากจริง]
คําพูดที่ลอยขึ้นมาบนหัวช่วยยืนยันทุกสิ่ง
“อะไร มีอะไรบนหัวฉันเหรอ?” มิโซถามมารุที่กําลังเงยหน้าไปมองบนหัวเธอ
“…ยุงน่ะ”
“อ่า อ่อ”
“ไม่ใช่ว่ามีเรื่องอยากคุยด้วยเหรอ?”
“เรื่องอยากคุยเหรอ…”
มิโซยกมือขึ้นมาม้วนผมเล่นพร้อมกับเสียงครวญครางเบา ๆ
“เป็นอะไรของเธอ?”
“อะไรนะครับ?”
จู่ ๆ คําถามก็ถูกถามขึ้นอย่างไม่มีที่มา แต่มารุกลับถูกคําถามนี้กระแทกเข้าอย่างจัง
“ฉันไม่เคยเห็นเด็กมัธยมที่ไหนทําตัวได้น่าหดหูขนาดนี้มาก่อนเลย มีเรื่องอะไรที่บ้านรึไง?”
“พ่อแม่ผมสบายดี ตอนนี้ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นกังวล”
“ดูพูดเข้าสิ อย่างกับเป็นตาลุง”
“…เหรอ?”
เธอก็พูดไม่ผิดหรอก เขาพยายามทําตัวให้สมวัยเวลาคุยกับเพื่อนๆ แต่เวลาได้คุยกับผู้ใหญ่เหรอ? เขาไม่แม้แต่จะคิด ตัวเขาในวัย 45 ปีอาจจะออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนเลยก็ได้
ถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็คงอธิบายเหตุผลที่เมื่อคืนแม่ของเขาเข้ามาพูดแบบนั้น โดวุคเองว่าเขาเรื่องนี้เหมือนกัน ว่าอย่าทําตัวเหมือนรู้ไปหมดเสียทุกเรื่อง พอคิดได้แบบนั้นเขาก็ได้แต่ยิ้มออกมา
“อะไร?”
“เปล่า แค่นึกถึงเรื่องตลก ๆ ได้นะ สรุปมีเรื่องอะไรจะคุยเหรอ? ดูท่าคงไม่ใช่จะมาติเรื่องการอ่านบทของผมใช่ไหม?”
“…เธอมาจากหลังเขารียังไง?”
“เปล่า”
“โตมากับปู่เหรอ?”
“ตายไปนานแล้ว”
“…”
“อยากพูดอะไรกันแน่?”
มิโซถอนหายใจอย่างยาวนานก่อนจะหันมาหาเขา
“ขอพูดตรง ๆ เลยนะ เธอจะนั่งอยู่แบบนั้นต่อไปจริง ๆ เหรอ?”
“ผม?”
“ใช่ เธอนั่นแหละ”
มิโซกอดอก
“ฉันสอนเด็กมาเยอะ เด็กอายุรุ่นราวเท่านี้นะ ไม่ว่าจะดูเป็นผู้ใหญ่แค่ไหน สุดท้ายก็จะยังมีความเป็นเด็กหลงเหลืออยู่บ้าง มันช่วยไม่ได้หรอกเพราะพวกเขายังไม่เคยได้เจอโลกภายนอกจริง ๆ เพราะแบบนั้นเด็กรุ่นนี้ถึงห่วงเรื่องการเข้ากลุ่มกับเพื่อนมาก ๆ พวกเขาอยากจะมีความรู้สึกว่า “ฉันทําแบบเดียวกับเธออยู่นะ” พวกที่ไม่ได้เข้ากลุ่มก็จะรู้สึกเหมือนถูกทิ้งและกังวลใจที่ไม่สามารถเข้าไปร่วมได้”
มิโซเดาะลิ้นขึ้นอีกที เธอรู้สึกรําคาญเอามาก ๆ ที่ต้องมาอธิบาย ทุกอย่าง
“เด็กอายุเท่านี้นะ มีตลอดแหละเวลาฉันเข้ามาดูแลชมรม เด็กที่มักจะยืนอยู่ฝั่งขวา แต่ฉันก็จะไม่สนใจมัน เพราะอะไรน่ะเหรอ? เพราะฉันรู้ว่าสุดท้าย ถ้าพวกนั้นไม่ออกจากชมรมไป ก็จะต้องเข้ามาร่วมกับฝั่งซ้าย การเปลี่ยนแปลงชมรมน่ะมันไม่ได้ยากขนาดนั้น”
เธอดูมีท่าทีหงุดหงิดขึ้น
[มาทําอะไรต่อหน้าเด็กมันเนี่ยเรา?]
กล่องคําพูดสีชมพูลอยขึ้นมาเมื่อสายตาของทั้งสองสบกันเข้ามารุเคยคิดว่าสีกล่องอาจจะมีความหมายอะไรซ่อนอยู่ แต่พอได้เห็นว่ากล่องคําพูดส่วนใหญ่ก็เป็นสีชมพู เขาเลยได้แต่คิดว่าพระเจ้าคงชอบสีชมพู
“แต่เธอ… ไม่ใช่ทั้งสองแบบนั้น ไม่ ไม่ใช่สิ เธอน่ะยืนอยู่ตรงกลาง อยู่ในจุดสมดุลระหว่างอยากจะทํากิจกรรมและไม่อยากจะทํา เด็กคนอื่น ๆ เขาคงใช้เวลาตัดสินใจอย่างมากแค่สองอาทิตย์ แต่…”
มิโซดึงที่คาดผมออกอย่างหงุดหงิด เส้นผมสีทองของเธอปลิวไสวไปกับสายลมบนดาดฟ้า เธอดูเหมือนแมงกะพรุน นั่นคือสิ่งที่มารุคิด ตรงกันข้ามกับหญิงสาวแสนสวย มารุกลับนึกถึงแมงกระพรุนขึ้นมาแทน
“เธอคงสวยเหมือนแมงกระพรุนละมั้ง”
“เอาอีกแล้ว”
“หือ?”
“คิดเรื่องอื่นอยู่อีกแล้ว”
เธอนั้นเก่งในด้านการสังเกตมาก สมแล้วจริง ๆ ที่เป็นนักแสดง
“อ่า ใช่”
“ว่าแล้ว มาคุยด้วยนี่มันไม่ช่วยอะไรเลยจริง ๆ เธอกลัวฉันเหรอ?”
“ก็ประมาณหนึ่ง”
“แปลก เป็นเด็กมัธยมแท้ ๆ ทําไมถึงทําตัวใจเย็นได้ขนาดนี้? มันเดือนหนึ่งแล้วนะ ไม่สิ เดือนกว่าแล้ว แต่เธอกลับยังไม่คิดจะทําอะไรเลย แม้เวลาจะผ่านไปนานขนาดนั้น ทีแรกก็นึกว่าจะออก แต่สุดท้ายก็ไม่เคยแม้แต่จะมาเข้าชมรมสาย แถมยังเข้าร่วมกิจกร รมเป็นครั้งคราวด้วย ทั้ง ๆ อย่างนั้น แต่ก็ยังไม่เข้ามาร่วม อย่างกับว่าพอใจที่จะอยู่ตรงนั้นแล้ว”
มิโซจับราวกั้นไว้มั่นก่อนจะตะโกนออกไป “อ้า” พวกเด็ก ๆ ที่สนามหันขึ้นมามองด้วยความงุนงง มารดึงเธอกลับเข้ามาด้วยความอับอาย ทําให้เธอยิ่งตอบสนองแรงกว่าเดิม
“อ่าให้ตาย จะบ้าตาย” มิโซถอนหายใจด้วยท่าทางของผู้แพ้ “รู้ไหม คนเขาเรียกพวกอายุ 40 ว่าอะไร?”
“พวกตั้งมั่น”
“รู้ไหมมันหมายความว่ายังไง?”
“ตามที่เข้าใจคือ มันเป็นช่วงอายุที่คนเราตั้งมั่นไปกับชีวิตและจะไม่รู้สึกสงสัยในตัวเอง”
“ใช่เลย นี่เลยคือความคิดที่ฉันมีตอนเห็นเธอ ตั้งมั่น ไม่เคยสงสัยในเส้นทางที่ตัวเองเลือกเดิน”
“ก็เป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่เหรอ?”
“อ่า ดี แน่นอน เยี่ยมเลยล่ะ แต่กับเธอแล้วมันเกินไปหน่อย ฉันรู้นะว่าฉันไม่ได้รู้จักชีวิตเธอมากมายอะไร แต่…”
มิโซสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะตัดสินใจพูดต่อ
“เธอทําตัวอย่างกับคนที่รู้ว่าวันสิ้นโลกจะมาถึงในวันพรุ่งนี้”
Comments
ข้ามเวลาล่าฝันบทที่ 30 1
ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 30 ตอนที่ 1
ลมโชยพัดบนดาดฟ้าอย่างรุนแรง มิโซเปิดประตูออกด้วยกุญแจที่ได้มาจากพวกครู ๆ เธอคงไปบอกว่าอยากจะเอาไว้ใช้ฝึกซ้อมหรืออะไรสักอย่าง
“ยุ่งเหรอ?”
“นักเรียนจะมีเรื่องอะไรให้ยุ่งกัน?”
“เหรอ?”
มิโซเดินไปยังรั้วกั้น เธอวางมือลงบนกําแพงคอนกรีตและจ้องมองลงไปด้านล่าง มารุเดินเข้าไปยืนข้าง ๆ เขาเห็นพระอาทิตย์กําลังตกลับขอบฟ้าไป ด้านล่างเขาเห็นสมาชิกชมรมฟุตบอลกําลังคุยกันเสียงดังพร้อมขนมและเครื่องดื่มในมือ
“แรงเธอดีไม่เลวเลยใช่ไหม?”
“ก็ยังหนุ่มยังแน่นนี่นา”
“หนุ่มเหรอ?”
มิโซหันมามองที่เขา สายตาในครั้งนี้… มันต่างออกไป ในห้องประชุมนั้นเธอเป็นดั่งจักรพรรดินี คนทั้ง 11 ต่างเชื่อฟังคําสั่งของเธอราวกับเธอเป็นพระเจ้า การถูกเธอดุด่าครั้งหนึ่งทําให้พวกเขาแทบจะต้องก้มลงกราบขอโทษ ที่นั่น เธอมักจะมั่นใจและแข็งแกร่งเสมอ ไม่มีร่องรอยของความเสียใจหรืออ่อนแอให้เห็นแม้แต่นิด
แต่ตอนนี้เธอกลับ…
“กําลังจะพูดเรื่องที่คุยลําบากอยู่?”
เขาเห็นได้จากการที่เธอขยับร่างกาย ริมฝีปากที่ขยับไปมา การถอนหายใจบ่อยครั้ง และที่สําคัญ
[เด็กคนนี้มันยุ่งยากจริง]
คําพูดที่ลอยขึ้นมาบนหัวช่วยยืนยันทุกสิ่ง
“อะไร มีอะไรบนหัวฉันเหรอ?” มิโซถามมารุที่กําลังเงยหน้าไปมองบนหัวเธอ
“…ยุงน่ะ”
“อ่า อ่อ”
“ไม่ใช่ว่ามีเรื่องอยากคุยด้วยเหรอ?”
“เรื่องอยากคุยเหรอ…”
มิโซยกมือขึ้นมาม้วนผมเล่นพร้อมกับเสียงครวญครางเบา ๆ
“เป็นอะไรของเธอ?”
“อะไรนะครับ?”
จู่ ๆ คําถามก็ถูกถามขึ้นอย่างไม่มีที่มา แต่มารุกลับถูกคําถามนี้กระแทกเข้าอย่างจัง
“ฉันไม่เคยเห็นเด็กมัธยมที่ไหนทําตัวได้น่าหดหูขนาดนี้มาก่อนเลย มีเรื่องอะไรที่บ้านรึไง?”
“พ่อแม่ผมสบายดี ตอนนี้ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นกังวล”
“ดูพูดเข้าสิ อย่างกับเป็นตาลุง”
“…เหรอ?”
เธอก็พูดไม่ผิดหรอก เขาพยายามทําตัวให้สมวัยเวลาคุยกับเพื่อนๆ แต่เวลาได้คุยกับผู้ใหญ่เหรอ? เขาไม่แม้แต่จะคิด ตัวเขาในวัย 45 ปีอาจจะออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนเลยก็ได้
ถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็คงอธิบายเหตุผลที่เมื่อคืนแม่ของเขาเข้ามาพูดแบบนั้น โดวุคเองว่าเขาเรื่องนี้เหมือนกัน ว่าอย่าทําตัวเหมือนรู้ไปหมดเสียทุกเรื่อง พอคิดได้แบบนั้นเขาก็ได้แต่ยิ้มออกมา
“อะไร?”
“เปล่า แค่นึกถึงเรื่องตลก ๆ ได้นะ สรุปมีเรื่องอะไรจะคุยเหรอ? ดูท่าคงไม่ใช่จะมาติเรื่องการอ่านบทของผมใช่ไหม?”
“…เธอมาจากหลังเขารียังไง?”
“เปล่า”
“โตมากับปู่เหรอ?”
“ตายไปนานแล้ว”
“…”
“อยากพูดอะไรกันแน่?”
มิโซถอนหายใจอย่างยาวนานก่อนจะหันมาหาเขา
“ขอพูดตรง ๆ เลยนะ เธอจะนั่งอยู่แบบนั้นต่อไปจริง ๆ เหรอ?”
“ผม?”
“ใช่ เธอนั่นแหละ”
มิโซกอดอก
“ฉันสอนเด็กมาเยอะ เด็กอายุรุ่นราวเท่านี้นะ ไม่ว่าจะดูเป็นผู้ใหญ่แค่ไหน สุดท้ายก็จะยังมีความเป็นเด็กหลงเหลืออยู่บ้าง มันช่วยไม่ได้หรอกเพราะพวกเขายังไม่เคยได้เจอโลกภายนอกจริง ๆ เพราะแบบนั้นเด็กรุ่นนี้ถึงห่วงเรื่องการเข้ากลุ่มกับเพื่อนมาก ๆ พวกเขาอยากจะมีความรู้สึกว่า “ฉันทําแบบเดียวกับเธออยู่นะ” พวกที่ไม่ได้เข้ากลุ่มก็จะรู้สึกเหมือนถูกทิ้งและกังวลใจที่ไม่สามารถเข้าไปร่วมได้”
มิโซเดาะลิ้นขึ้นอีกที เธอรู้สึกรําคาญเอามาก ๆ ที่ต้องมาอธิบาย ทุกอย่าง
“เด็กอายุเท่านี้นะ มีตลอดแหละเวลาฉันเข้ามาดูแลชมรม เด็กที่มักจะยืนอยู่ฝั่งขวา แต่ฉันก็จะไม่สนใจมัน เพราะอะไรน่ะเหรอ? เพราะฉันรู้ว่าสุดท้าย ถ้าพวกนั้นไม่ออกจากชมรมไป ก็จะต้องเข้ามาร่วมกับฝั่งซ้าย การเปลี่ยนแปลงชมรมน่ะมันไม่ได้ยากขนาดนั้น”
เธอดูมีท่าทีหงุดหงิดขึ้น
[มาทําอะไรต่อหน้าเด็กมันเนี่ยเรา?]
กล่องคําพูดสีชมพูลอยขึ้นมาเมื่อสายตาของทั้งสองสบกันเข้ามารุเคยคิดว่าสีกล่องอาจจะมีความหมายอะไรซ่อนอยู่ แต่พอได้เห็นว่ากล่องคําพูดส่วนใหญ่ก็เป็นสีชมพู เขาเลยได้แต่คิดว่าพระเจ้าคงชอบสีชมพู
“แต่เธอ… ไม่ใช่ทั้งสองแบบนั้น ไม่ ไม่ใช่สิ เธอน่ะยืนอยู่ตรงกลาง อยู่ในจุดสมดุลระหว่างอยากจะทํากิจกรรมและไม่อยากจะทํา เด็กคนอื่น ๆ เขาคงใช้เวลาตัดสินใจอย่างมากแค่สองอาทิตย์ แต่…”
มิโซดึงที่คาดผมออกอย่างหงุดหงิด เส้นผมสีทองของเธอปลิวไสวไปกับสายลมบนดาดฟ้า เธอดูเหมือนแมงกะพรุน นั่นคือสิ่งที่มารุคิด ตรงกันข้ามกับหญิงสาวแสนสวย มารุกลับนึกถึงแมงกระพรุนขึ้นมาแทน
“เธอคงสวยเหมือนแมงกระพรุนละมั้ง”
“เอาอีกแล้ว”
“หือ?”
“คิดเรื่องอื่นอยู่อีกแล้ว”
เธอนั้นเก่งในด้านการสังเกตมาก สมแล้วจริง ๆ ที่เป็นนักแสดง
“อ่า ใช่”
“ว่าแล้ว มาคุยด้วยนี่มันไม่ช่วยอะไรเลยจริง ๆ เธอกลัวฉันเหรอ?”
“ก็ประมาณหนึ่ง”
“แปลก เป็นเด็กมัธยมแท้ ๆ ทําไมถึงทําตัวใจเย็นได้ขนาดนี้? มันเดือนหนึ่งแล้วนะ ไม่สิ เดือนกว่าแล้ว แต่เธอกลับยังไม่คิดจะทําอะไรเลย แม้เวลาจะผ่านไปนานขนาดนั้น ทีแรกก็นึกว่าจะออก แต่สุดท้ายก็ไม่เคยแม้แต่จะมาเข้าชมรมสาย แถมยังเข้าร่วมกิจกร รมเป็นครั้งคราวด้วย ทั้ง ๆ อย่างนั้น แต่ก็ยังไม่เข้ามาร่วม อย่างกับว่าพอใจที่จะอยู่ตรงนั้นแล้ว”
มิโซจับราวกั้นไว้มั่นก่อนจะตะโกนออกไป “อ้า” พวกเด็ก ๆ ที่สนามหันขึ้นมามองด้วยความงุนงง มารดึงเธอกลับเข้ามาด้วยความอับอาย ทําให้เธอยิ่งตอบสนองแรงกว่าเดิม
“อ่าให้ตาย จะบ้าตาย” มิโซถอนหายใจด้วยท่าทางของผู้แพ้ “รู้ไหม คนเขาเรียกพวกอายุ 40 ว่าอะไร?”
“พวกตั้งมั่น”
“รู้ไหมมันหมายความว่ายังไง?”
“ตามที่เข้าใจคือ มันเป็นช่วงอายุที่คนเราตั้งมั่นไปกับชีวิตและจะไม่รู้สึกสงสัยในตัวเอง”
“ใช่เลย นี่เลยคือความคิดที่ฉันมีตอนเห็นเธอ ตั้งมั่น ไม่เคยสงสัยในเส้นทางที่ตัวเองเลือกเดิน”
“ก็เป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่เหรอ?”
“อ่า ดี แน่นอน เยี่ยมเลยล่ะ แต่กับเธอแล้วมันเกินไปหน่อย ฉันรู้นะว่าฉันไม่ได้รู้จักชีวิตเธอมากมายอะไร แต่…”
มิโซสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะตัดสินใจพูดต่อ
“เธอทําตัวอย่างกับคนที่รู้ว่าวันสิ้นโลกจะมาถึงในวันพรุ่งนี้”
Comments