ข้ามเวลาล่าฝันบทที่ 35 1
ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 35
มารุมองดูบทผ่านไปเรื่อย ๆ หลังจากเขาเริ่มอ่านมัน สายตาของเขาก็จดจ่ออยู่กับกระดาษที่เบื้องหน้า เขาค่อย ๆ พูดออกมาอย่างหนักแน่น ราวกับว่ากําลังเล่านิทานให้เด็ก ๆ ฟัง การออกเสียงของเขาก็ชัดเจนดี ถึงจะเบาไปหน่อย แต่เรื่องนั้นก็ฝึกกันได้ไม่ยาก
“ว่าไง?” มิโซหันไปหานักแสดงคนอื่น
“หือ?” นักแสดงคนหนึ่งถามมาด้วยความแปลกใจ
“คิดว่าเด็กคนนี้เป็นไงบ้าง?”
“ก็ ดีนะ พูดชัดถ้อยชัดคําดี”
“เธอล่ะ?”
“ก็ดีนะ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรเด่น”
คนอื่น ๆ เองก็มีความคิดคล้าย ๆ กัน มันไม่มีอะไรพิเศษในตัวเด็กหนุ่มเลย
“มารุ”
“ครับ?” มารุตอบกลับมาด้วยเสียงที่แสดงถึงความรําคาญอย่างชัดเจน
“หยุดมองที่กระดาษได้ไหม? หันมามองเราตอนพูดแทน”
“จริงดิ จะทําเพื่ออะไรเนี่ย?”
“ทําทีเถอะนะ ถือว่าขอล่ะ เดี๋ยวเลี้ยงข้าว”
“ถ้าผมไม่อยากกินล่ะ?”
“แกจะเอาใช่ไหม?”
“ก็ได้”
มารุเงยหน้าขึ้นมองไปทางผู้ชม มิโซมองดูมารุ ความแตกต่างระหว่างการมองบทกับมองหน้าคนดูนั้นมันต่างกันราวฟ้ากับเหว การสบตาคนดูนั้นมักจะสร้างความกดดันมหาศาลให้นักแสดง ยิ่งเมื่อพวกเขาเริ่มมองดูผู้ชมอย่างจริงจัง ข้อมูลต่าง ๆ มากมายจะหลั่งไหลเข้ามาในหัว นั่นเป็นเหตุผลใหญ่ ๆ ที่จะทําให้นักแสดงแสดงผิดพลาด
แล้วมารุล่ะ? พอเขาต้องมาเจอสถานการณ์แบบนี้บ้างเขาจะยังสามารถอ่านบทพูดได้อย่างใจเย็นอีกไหม? มารุเริ่มอ้าปากหลังจากผ่านไปได้หลายวินาที เขาลดมือที่ถือบทลง สายตาจ้องมองมาที่มิโซ
มิโซได้แต่ขํา พอเด็กหนุ่มเห็นผู้ชม เขากลับมีท่าที่สบายขึ้น แถมยังสอดส่ายสายตาไปหาทุกคน แม้เธอจะไม่ได้ ขอให้ทําเพราะแบบนั้นแหละการแสดงของเขาถึงได้น่าสนใจนัก
เด็กหนุ่มเริ่มอ่าน พร้อมกับมองหน้าคน ดูไปทีละคน ราวกับว่าเขากําลังเล่าเรื่อง ราวให้พวกนั้นฟังอย่างที่เธอคิดไว้ไม่มีผิด เด็กหนุ่มคนนี้มีพรสวรรค์จริง ๆ
“คิดว่าเด็กที่ไม่เคยฝึกมาก่อนเลยจะพูดได้ขนาดนั้นไหม?” เธอหันไปกระซิบ ถามรุ่นน้องข้าง ๆ
“เดี๋ยวนะ นี่เขาไม่เคยฝึกมาเลยเหรอ?”
“ใช่”
“อ้าว งั้นก็คนละเรื่องละ ทีแรกนึกว่าเป็นเด็กที่พี่ฝึกมาอย่างดีแล้ว เพราะ แบบนั้นถึงได้บอกว่าไม่ได้มีอะไรพิเศษ.
“ฉันด้วย”
“เหมือนกัน”
นักแสดงเหล่านี้ก็เป็นระดับมืออาชีพในงานของตัวเอง ไม่แปลกหรอกที่มารุจะไม่ได้ดูพิเศษอะไรในสายตาของพวกเขา แต่พอได้รู้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เด็กหนุ่มได้มาทําอะไรแบบนี้? การแสดงของมารุมันก็สมควรได้รับคําชมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย
“หมายความว่าหมอนี่จะเป็นดาวของงานประกวดปีนี้เหรอ?”
“เปล่า”
“งั้นจะเป็นอะไร?”
“เขาเป็นแค่ผู้กํากับเวที”
“แค่ผู้กํากับเวที?”
“ใช่”
“แล้วพาเขามาทําอะไรแบบนี้ทําไม? ดูท่าเขาเองก็ไม่ได้อยากด้วย”
“นั่นแหละปัญหา เพราะเขาดูท่าอยากจะทําไง ฉันอยู่ด้วยกันมา ฉันพอดูออก”
มิโซหันไปดูมารุอีกครั้งขณะพูด เด็กหนุ่มนั้นเข้าใจยาก แต่เธอก็ยังเข้าใจ อย่างหนึ่ง นั่นคือถ้าใครทําเส้นทางให้เขาเดิน เขาก็พร้อมจะลุยไปจนสุดทาง
“รู้สึกโลภขึ้นมาน่ะ พวกเธอก็รู้ว่าฉันอยากให้คนแบบเขาได้แสดง”
“อ่า งานอดิเรกแปลก ๆ นั่นสินะ สุดท้ายก็ทําให้เด็กหลายคนเป็นผีแห่งสถานีฮเยวาด้วย ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น”
“แล้ว? แกเสียใจที่มาเป็นเหรอ?”
นักแสดงหนุ่มส่ายหัวเบา ๆ
“ขออยู่ที่นี่ในฐานะผี ดีกว่าไปอยู่ข้างนอกในฐานะคนตาย”
“ใช่ไหมล่ะ เพราะแบบนั้นแหละฉันถึงได้พาพวกเธอมา คนแบบนี้น่ะ มันต้องให้แสดง ไม่งั้นพวกเขาจะได้มีชีวิตที่ไร้จุดหมายแน่ ๆ”
“วิธีพูดแบบนี้…”
“อะไร? ถ้าไม่ชอบฉันพูดแบบนี้ก็มาเป็นรุ่นพี่ฉันไหมล่ะ?”
“ไม่เอาล่ะ แบบนั้นยิ่งฟังดูน่าปวดหัวกว่า ฟังดูเป็นชีวิตที่น่าหดหูเนอะว่าไหม ทุกคน?”
คนอื่น ๆ ต่างพากันพยักหน้ารับจนทํา ให้มิโซต้องมองพวกเขาด้วยตาขวางอีกครั้ง
“ให้ตายสิ ดูทําหน้าเข้า เหมือนจะไม่รู้จุดยืนตัวเองกันสินะ?”
“มันแค่หมายความว่าเราโตขึ้นแล้ว เท่านั้นแหละ”
มิโซไม่ได้เกลียดคําตอบแบบนี้เลย จริง ๆ แล้วออกจะชอบเสียด้วยซ้ําไป มันไม่มีเหตุผลอะไรที่รุ่นน้องจะเป็นรุ่นน้องไปตลอด พวกเขาต่างมีสิทธิที่จะก้าวข้ามและบทขยี้รุ่นพี่ของตัวเองกันทั้งนั้น มิโซยังจําคําที่เธอบอกรุ่นน้องของเธอได้
[ถ้ามีความสามารถแล้วก็ต้องมีศักดิ์ศรีด้วย แบบนั้นแหละมันจะได้ทําให้รุ่นพี่กลัวว่าตัวเองจะโดยเขี่ยทิ้ง และจะได้มีแรงพัฒนาตัวเอง ฉะนั้น พวกแกควรจะพัฒนาตัวเองและเขียฉันออกไปจากโรงละครนี้เสีย นั่นคือของขวัญที่ดีที่สุด ที่รุ่นน้องจะมอบให้รุ่นพี่ได้]
ตอนนี้เธอไม่มีที่ยืนในโรงละครนี้แล้ว ผู้ชมของบลูสกายไม่มีใครมาเพื่อดูเธออีก แต่มาเพื่อดูรุ่นน้องของเธอ
“จะว่าไปพี่ ได้ยินว่าใกล้ขึ้นคานแล้วนี่?”
“อยากตายไหม?”
Comments
ข้ามเวลาล่าฝันบทที่ 35 1
ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 35
มารุมองดูบทผ่านไปเรื่อย ๆ หลังจากเขาเริ่มอ่านมัน สายตาของเขาก็จดจ่ออยู่กับกระดาษที่เบื้องหน้า เขาค่อย ๆ พูดออกมาอย่างหนักแน่น ราวกับว่ากําลังเล่านิทานให้เด็ก ๆ ฟัง การออกเสียงของเขาก็ชัดเจนดี ถึงจะเบาไปหน่อย แต่เรื่องนั้นก็ฝึกกันได้ไม่ยาก
“ว่าไง?” มิโซหันไปหานักแสดงคนอื่น
“หือ?” นักแสดงคนหนึ่งถามมาด้วยความแปลกใจ
“คิดว่าเด็กคนนี้เป็นไงบ้าง?”
“ก็ ดีนะ พูดชัดถ้อยชัดคําดี”
“เธอล่ะ?”
“ก็ดีนะ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรเด่น”
คนอื่น ๆ เองก็มีความคิดคล้าย ๆ กัน มันไม่มีอะไรพิเศษในตัวเด็กหนุ่มเลย
“มารุ”
“ครับ?” มารุตอบกลับมาด้วยเสียงที่แสดงถึงความรําคาญอย่างชัดเจน
“หยุดมองที่กระดาษได้ไหม? หันมามองเราตอนพูดแทน”
“จริงดิ จะทําเพื่ออะไรเนี่ย?”
“ทําทีเถอะนะ ถือว่าขอล่ะ เดี๋ยวเลี้ยงข้าว”
“ถ้าผมไม่อยากกินล่ะ?”
“แกจะเอาใช่ไหม?”
“ก็ได้”
มารุเงยหน้าขึ้นมองไปทางผู้ชม มิโซมองดูมารุ ความแตกต่างระหว่างการมองบทกับมองหน้าคนดูนั้นมันต่างกันราวฟ้ากับเหว การสบตาคนดูนั้นมักจะสร้างความกดดันมหาศาลให้นักแสดง ยิ่งเมื่อพวกเขาเริ่มมองดูผู้ชมอย่างจริงจัง ข้อมูลต่าง ๆ มากมายจะหลั่งไหลเข้ามาในหัว นั่นเป็นเหตุผลใหญ่ ๆ ที่จะทําให้นักแสดงแสดงผิดพลาด
แล้วมารุล่ะ? พอเขาต้องมาเจอสถานการณ์แบบนี้บ้างเขาจะยังสามารถอ่านบทพูดได้อย่างใจเย็นอีกไหม? มารุเริ่มอ้าปากหลังจากผ่านไปได้หลายวินาที เขาลดมือที่ถือบทลง สายตาจ้องมองมาที่มิโซ
มิโซได้แต่ขํา พอเด็กหนุ่มเห็นผู้ชม เขากลับมีท่าที่สบายขึ้น แถมยังสอดส่ายสายตาไปหาทุกคน แม้เธอจะไม่ได้ ขอให้ทําเพราะแบบนั้นแหละการแสดงของเขาถึงได้น่าสนใจนัก
เด็กหนุ่มเริ่มอ่าน พร้อมกับมองหน้าคน ดูไปทีละคน ราวกับว่าเขากําลังเล่าเรื่อง ราวให้พวกนั้นฟังอย่างที่เธอคิดไว้ไม่มีผิด เด็กหนุ่มคนนี้มีพรสวรรค์จริง ๆ
“คิดว่าเด็กที่ไม่เคยฝึกมาก่อนเลยจะพูดได้ขนาดนั้นไหม?” เธอหันไปกระซิบ ถามรุ่นน้องข้าง ๆ
“เดี๋ยวนะ นี่เขาไม่เคยฝึกมาเลยเหรอ?”
“ใช่”
“อ้าว งั้นก็คนละเรื่องละ ทีแรกนึกว่าเป็นเด็กที่พี่ฝึกมาอย่างดีแล้ว เพราะ แบบนั้นถึงได้บอกว่าไม่ได้มีอะไรพิเศษ.
“ฉันด้วย”
“เหมือนกัน”
นักแสดงเหล่านี้ก็เป็นระดับมืออาชีพในงานของตัวเอง ไม่แปลกหรอกที่มารุจะไม่ได้ดูพิเศษอะไรในสายตาของพวกเขา แต่พอได้รู้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เด็กหนุ่มได้มาทําอะไรแบบนี้? การแสดงของมารุมันก็สมควรได้รับคําชมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย
“หมายความว่าหมอนี่จะเป็นดาวของงานประกวดปีนี้เหรอ?”
“เปล่า”
“งั้นจะเป็นอะไร?”
“เขาเป็นแค่ผู้กํากับเวที”
“แค่ผู้กํากับเวที?”
“ใช่”
“แล้วพาเขามาทําอะไรแบบนี้ทําไม? ดูท่าเขาเองก็ไม่ได้อยากด้วย”
“นั่นแหละปัญหา เพราะเขาดูท่าอยากจะทําไง ฉันอยู่ด้วยกันมา ฉันพอดูออก”
มิโซหันไปดูมารุอีกครั้งขณะพูด เด็กหนุ่มนั้นเข้าใจยาก แต่เธอก็ยังเข้าใจ อย่างหนึ่ง นั่นคือถ้าใครทําเส้นทางให้เขาเดิน เขาก็พร้อมจะลุยไปจนสุดทาง
“รู้สึกโลภขึ้นมาน่ะ พวกเธอก็รู้ว่าฉันอยากให้คนแบบเขาได้แสดง”
“อ่า งานอดิเรกแปลก ๆ นั่นสินะ สุดท้ายก็ทําให้เด็กหลายคนเป็นผีแห่งสถานีฮเยวาด้วย ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น”
“แล้ว? แกเสียใจที่มาเป็นเหรอ?”
นักแสดงหนุ่มส่ายหัวเบา ๆ
“ขออยู่ที่นี่ในฐานะผี ดีกว่าไปอยู่ข้างนอกในฐานะคนตาย”
“ใช่ไหมล่ะ เพราะแบบนั้นแหละฉันถึงได้พาพวกเธอมา คนแบบนี้น่ะ มันต้องให้แสดง ไม่งั้นพวกเขาจะได้มีชีวิตที่ไร้จุดหมายแน่ ๆ”
“วิธีพูดแบบนี้…”
“อะไร? ถ้าไม่ชอบฉันพูดแบบนี้ก็มาเป็นรุ่นพี่ฉันไหมล่ะ?”
“ไม่เอาล่ะ แบบนั้นยิ่งฟังดูน่าปวดหัวกว่า ฟังดูเป็นชีวิตที่น่าหดหูเนอะว่าไหม ทุกคน?”
คนอื่น ๆ ต่างพากันพยักหน้ารับจนทํา ให้มิโซต้องมองพวกเขาด้วยตาขวางอีกครั้ง
“ให้ตายสิ ดูทําหน้าเข้า เหมือนจะไม่รู้จุดยืนตัวเองกันสินะ?”
“มันแค่หมายความว่าเราโตขึ้นแล้ว เท่านั้นแหละ”
มิโซไม่ได้เกลียดคําตอบแบบนี้เลย จริง ๆ แล้วออกจะชอบเสียด้วยซ้ําไป มันไม่มีเหตุผลอะไรที่รุ่นน้องจะเป็นรุ่นน้องไปตลอด พวกเขาต่างมีสิทธิที่จะก้าวข้ามและบทขยี้รุ่นพี่ของตัวเองกันทั้งนั้น มิโซยังจําคําที่เธอบอกรุ่นน้องของเธอได้
[ถ้ามีความสามารถแล้วก็ต้องมีศักดิ์ศรีด้วย แบบนั้นแหละมันจะได้ทําให้รุ่นพี่กลัวว่าตัวเองจะโดยเขี่ยทิ้ง และจะได้มีแรงพัฒนาตัวเอง ฉะนั้น พวกแกควรจะพัฒนาตัวเองและเขียฉันออกไปจากโรงละครนี้เสีย นั่นคือของขวัญที่ดีที่สุด ที่รุ่นน้องจะมอบให้รุ่นพี่ได้]
ตอนนี้เธอไม่มีที่ยืนในโรงละครนี้แล้ว ผู้ชมของบลูสกายไม่มีใครมาเพื่อดูเธออีก แต่มาเพื่อดูรุ่นน้องของเธอ
“จะว่าไปพี่ ได้ยินว่าใกล้ขึ้นคานแล้วนี่?”
“อยากตายไหม?”
Comments