ข้ามเวลาล่าฝันบทที่ 37 1
ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 37 ตอนที่ 1
มารเดินขึ้นบันไดตึกเรียนไปพร้อมถุงอาหารในมือ กลิ่นเหงื่อเป็นสิ่งแรกที่เขาต้องเจอหลังเปิดประตูห้องประชุมออก เขาเห็นสีหน้าท่าทางตกใจของทุกคนในห้องที่มองมาได้อย่างดี
“กินกันเถอะ”
มิโซวางอาหารลงพร้อมตะโกนเรียกเหล่าสมาชิกชมรมต่างพากันกรูเข้ามา หยิบไปด้วยความหิวกระหาย
“ขอบคุณสําหรับอาหาร
“ขอบคุณครับ”
แต่ละคนต่างหยิบถุงพลาสติกของใคร ของมันไปหาที่นั่งกิน มารุเองก็หยิบมา เหมือนกัน เขามองไปรอบ ๆ และก็สัง เกตเห็นว่าสมาชิกชมรมนั่งล้อมกันเป็นวงกลม
ช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาสมาชิกชมรมต่างมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นขึ้นมาก แม้แต่ตอนกินข้าว พวกเขาก็ยังคุยกัน เรื่องการแสดงไม่หยุดปาก มารุหยิบข้าวของตัวเองและเดินไปทางเวที เขามองว่าจะไปนั่งกินแถวนั้นคนเดียว จนมิโซเดินตามไปนั่งกับเขา
“มาทําอะไรคนเดียวตรงนี้?”
“ก็ไม่เห็นต้องไปอยู่ด้วยเลย พวกนั้นกําลังคุยเรื่องสําคัญกันอยู่”
ตอนนั้นเองที่ทั้ง 11 คนต่างหยุดพูดกันและหันมาหาเขา
“นี่ ไปทําอะไรตรงนั้น? มากินด้วยกันสิมารุ”
ต้นเสียงคือยูนจัง เธอกําลังโบกมือเรียกเขาอย่างสุดแขน แม้แต่จุงฮยุกก็หันมาเรียกเขาเหมือนกัน ส่วนโดจินกับเดมยัง ยิ่งแล้วใหญ่เลย ใจดีกันจริง ๆ
“ไม่ต้องห่วงไปเด็ก ๆ ขอฉันคุยกับหัวหน้าเดี๋ยวนะ” มิโซตอบแทน
สมาชิกคนอื่น ๆ ทําหน้าตาเข้าใจได้ทันที และกลับไปคุยเรื่องการแสดงกันต่อ
หัวหน้า เหรอ เขาไม่ได้ยินคํานี้มาเกีอบเดือนแล้ว
“แล้ว เรื่องที่อยากคุยคืออะไร?” มิโซถามพร้อม ๆ กับตักทงกัตสึสามชิ้นขึ้นมาใส่ปากไปด้วย มารุเองก็ตอบหลังจากดื่มน้ําซุปไปได้อีกหนึ่ง
“ได้ยินว่าจะไปแข่งรอบคัดเลือกในอีกสามสัปดาห์
“ใช่ ถ้าอยากร่วมวงก็ขอ…”
มารุส่ายหัว
“ผมไม่อยากเข้าร่วมการแข่งขัน”
“ไหนว่าอยากลอง?”
“อยากสิ แต่ไม่ใช่การแข่งขัน
“ทําไมล่ะ?”
“เพราะไม่อยากไปรบกวนพวกนั้น สมาชิกคนอื่น ๆ เขาฝึกกันมาอย่างหนักตลอดทั้งเดือน
“อืม”
“แถมบทเองก็ตกลงกันเรียบร้อยแล้วด้วย ฉากก็เสร็จแล้ว มันยังมีที่ให้ผมเข้าไปแทรกเหรอ?”
“ไม่มีแล้ว”
มิโซพยักหน้ารับทันที
“ไม่อยากไปแย่งบทคนอื่นเหรอ?”
“ไม่ได้อยากจะเล่นขนาดนั้นสักหน่อย”
“โอ้ หมายความว่าถ้าอยากมากจริง ๆ จะแย่งเหรอ?”
“ถ้าอยากมีชีวิตต่อไป ทางเลือกมันก็มีไม่มากหรอก”
เขายอมจะทําทุกอย่างเพื่อให้ภรรยา และลูกของเขาได้มีอาหารตกถึงท้อง นั่นคือคํามั่นที่เขาในวัย 45 ได้สาบานเอาไว้ ถึงแม้ตอนนี้เขาจะไม่จําเป็นต้องใช้ความคิดแบบนั้นแล้ว แต่เขาก็ยังคิดว่ามันควรค่าแก่การยึดถือ
“ดูเห็นแก่ตัวหน่อย ๆ นะน่ะ”
“มันไม่ดีเหรอ?”
“เปล่า คนเราต้องเห็นแก่ตัวแหละ เพราะต่างคนต่างต้องหาทางมีชีวิตของตัวเอง จะรอให้ถูกป้อนอย่างเดียวไม่ได้ ต้องแย่งมาเองด้วย แล้วพอตัวเองอิ่มท้องแล้ว พวกเขาถึงจะเริ่มเป็นห่วงคนอื่นและมีเมตตาได้”
“ก็จริง”
เขายังจําคําที่หญิงสาวบอกเขาหลังจากเขาตายได้ดี เธอบอกว่าให้หัดเห็นแก่ตัวบ้าง อย่าเอาแต่ให้ แต่มารุเองไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนที่เอาแต่ให้เลยสักนิด เขาแค่มีมารยาทและจิตสํานึกมากพอเท่านั้น
ตอบแทนบุณคุณที่ได้รับ ทําตามกฎเท่าที่จะทําได้ พยายามไม่ทําให้คนรอบตัวต้องลําบาก นั่นคือสิ่งที่เขายึดถือ
แต่ในโลกสมัยใหม่นี้ การคิดแบบนั้นได้ ก็อาจจะนับว่าเป็นคนเอาแต่ให้ได้แล้ว
“แล้ว อยากถามเรื่องอะไร?
“อยากลองเล่นละครดู”
“หืม?”
“เคยบอกผมใช่ไหม? เกี่ยวกับเรื่องการแสดงการกุศลที่จัดโดยภาครัฐน่ะ มีการจัดให้เด็กดูด้วย แค่อยากไปลองดูน่ะว่ามันเป็นยังไง”
“หืม”
มิโซกินข้าวต่อไปพร้อมครุ่นคิดอยู่สักพัก พอกินอิ่มท้องเธอก็เอามือตบพุ่งตัวเองเบา ๆ ก่อนจะพูดต่อ
“หมายความว่าอยากได้อะไรง่าย ๆ ? ที่ไม่ต้องลงแรงเยอะเหรอ?”
“ก็คงงั้น”
“บอกก่อนเลยนะ ว่ามันไม่มีการแสดงไหนที่ง่ายหรอก ถึงจะมีพวกที่ใช้เวลาเตรียมตัวกันไม่นานก็เถอะ”
“ขอโทษที่แล้วกัน แค่อยากลองเล่นอะไรที่มันสั้น ๆ น่ะ”
“งั้นเหรอ อยากลองเอานิ้วจุ่มน้ําดูสินะ ฉันไม่มีเหตุผลให้ต้องห้ามเธออยู่แล้ว ฉันมีคนรู้จักที่ทําการแสดงหุ่นเชิดสําหรับเด็กอนุบาลอยู่นะ เธอมักจะเล่นพวกเรื่องดัง ๆ อย่างนิทานอีสปหรือเรื่องราวของนักเขียนแอนเดอร์เซน ถึงมันจะไม่ง่ายก็เถอะ เพราะบางทีการเชิดหุ่นน่ะ ยากกว่าการแสดงโดยคนเสียอีก แต่มันค่อนข้างสั้นนะ จะแนะนําให้รู้จักแล้วกัน คิดว่าวันหยุดเสาร์-อาทิตย์เป็นไง? ว่างไหม?”
“ก็ดีนะ”
“เยี่ยม งั้นลองดู ถึงมันจะไม่ง่ายก็เถอะ” มิโซยิ้มอย่างมีเลศนัย เธอหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมาและโทรออก หลังจากคุยกันไปได้สักพัก เธอก็ยื่นโทรศัพท์มาให้มาร
“รับ”
“ได้
มารุรับโทรศัพท์มา เขาได้ยินเสียงเด็กดังเจี้ยวจ้าวมาจากปลายสาย พร้อมด้วยเสียงอันฟังดูเจ็บปวดของหญิงสาว “อย่าดึงผมพี่ พี่เจ็บนะ” เขานึกออกเลย ว่าที่อีกด้านตอนนี้มีสภาพเป็นยังไง
Comments
ข้ามเวลาล่าฝันบทที่ 37 1
ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 37 ตอนที่ 1
มารเดินขึ้นบันไดตึกเรียนไปพร้อมถุงอาหารในมือ กลิ่นเหงื่อเป็นสิ่งแรกที่เขาต้องเจอหลังเปิดประตูห้องประชุมออก เขาเห็นสีหน้าท่าทางตกใจของทุกคนในห้องที่มองมาได้อย่างดี
“กินกันเถอะ”
มิโซวางอาหารลงพร้อมตะโกนเรียกเหล่าสมาชิกชมรมต่างพากันกรูเข้ามา หยิบไปด้วยความหิวกระหาย
“ขอบคุณสําหรับอาหาร
“ขอบคุณครับ”
แต่ละคนต่างหยิบถุงพลาสติกของใคร ของมันไปหาที่นั่งกิน มารุเองก็หยิบมา เหมือนกัน เขามองไปรอบ ๆ และก็สัง เกตเห็นว่าสมาชิกชมรมนั่งล้อมกันเป็นวงกลม
ช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาสมาชิกชมรมต่างมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นขึ้นมาก แม้แต่ตอนกินข้าว พวกเขาก็ยังคุยกัน เรื่องการแสดงไม่หยุดปาก มารุหยิบข้าวของตัวเองและเดินไปทางเวที เขามองว่าจะไปนั่งกินแถวนั้นคนเดียว จนมิโซเดินตามไปนั่งกับเขา
“มาทําอะไรคนเดียวตรงนี้?”
“ก็ไม่เห็นต้องไปอยู่ด้วยเลย พวกนั้นกําลังคุยเรื่องสําคัญกันอยู่”
ตอนนั้นเองที่ทั้ง 11 คนต่างหยุดพูดกันและหันมาหาเขา
“นี่ ไปทําอะไรตรงนั้น? มากินด้วยกันสิมารุ”
ต้นเสียงคือยูนจัง เธอกําลังโบกมือเรียกเขาอย่างสุดแขน แม้แต่จุงฮยุกก็หันมาเรียกเขาเหมือนกัน ส่วนโดจินกับเดมยัง ยิ่งแล้วใหญ่เลย ใจดีกันจริง ๆ
“ไม่ต้องห่วงไปเด็ก ๆ ขอฉันคุยกับหัวหน้าเดี๋ยวนะ” มิโซตอบแทน
สมาชิกคนอื่น ๆ ทําหน้าตาเข้าใจได้ทันที และกลับไปคุยเรื่องการแสดงกันต่อ
หัวหน้า เหรอ เขาไม่ได้ยินคํานี้มาเกีอบเดือนแล้ว
“แล้ว เรื่องที่อยากคุยคืออะไร?” มิโซถามพร้อม ๆ กับตักทงกัตสึสามชิ้นขึ้นมาใส่ปากไปด้วย มารุเองก็ตอบหลังจากดื่มน้ําซุปไปได้อีกหนึ่ง
“ได้ยินว่าจะไปแข่งรอบคัดเลือกในอีกสามสัปดาห์
“ใช่ ถ้าอยากร่วมวงก็ขอ…”
มารุส่ายหัว
“ผมไม่อยากเข้าร่วมการแข่งขัน”
“ไหนว่าอยากลอง?”
“อยากสิ แต่ไม่ใช่การแข่งขัน
“ทําไมล่ะ?”
“เพราะไม่อยากไปรบกวนพวกนั้น สมาชิกคนอื่น ๆ เขาฝึกกันมาอย่างหนักตลอดทั้งเดือน
“อืม”
“แถมบทเองก็ตกลงกันเรียบร้อยแล้วด้วย ฉากก็เสร็จแล้ว มันยังมีที่ให้ผมเข้าไปแทรกเหรอ?”
“ไม่มีแล้ว”
มิโซพยักหน้ารับทันที
“ไม่อยากไปแย่งบทคนอื่นเหรอ?”
“ไม่ได้อยากจะเล่นขนาดนั้นสักหน่อย”
“โอ้ หมายความว่าถ้าอยากมากจริง ๆ จะแย่งเหรอ?”
“ถ้าอยากมีชีวิตต่อไป ทางเลือกมันก็มีไม่มากหรอก”
เขายอมจะทําทุกอย่างเพื่อให้ภรรยา และลูกของเขาได้มีอาหารตกถึงท้อง นั่นคือคํามั่นที่เขาในวัย 45 ได้สาบานเอาไว้ ถึงแม้ตอนนี้เขาจะไม่จําเป็นต้องใช้ความคิดแบบนั้นแล้ว แต่เขาก็ยังคิดว่ามันควรค่าแก่การยึดถือ
“ดูเห็นแก่ตัวหน่อย ๆ นะน่ะ”
“มันไม่ดีเหรอ?”
“เปล่า คนเราต้องเห็นแก่ตัวแหละ เพราะต่างคนต่างต้องหาทางมีชีวิตของตัวเอง จะรอให้ถูกป้อนอย่างเดียวไม่ได้ ต้องแย่งมาเองด้วย แล้วพอตัวเองอิ่มท้องแล้ว พวกเขาถึงจะเริ่มเป็นห่วงคนอื่นและมีเมตตาได้”
“ก็จริง”
เขายังจําคําที่หญิงสาวบอกเขาหลังจากเขาตายได้ดี เธอบอกว่าให้หัดเห็นแก่ตัวบ้าง อย่าเอาแต่ให้ แต่มารุเองไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนที่เอาแต่ให้เลยสักนิด เขาแค่มีมารยาทและจิตสํานึกมากพอเท่านั้น
ตอบแทนบุณคุณที่ได้รับ ทําตามกฎเท่าที่จะทําได้ พยายามไม่ทําให้คนรอบตัวต้องลําบาก นั่นคือสิ่งที่เขายึดถือ
แต่ในโลกสมัยใหม่นี้ การคิดแบบนั้นได้ ก็อาจจะนับว่าเป็นคนเอาแต่ให้ได้แล้ว
“แล้ว อยากถามเรื่องอะไร?
“อยากลองเล่นละครดู”
“หืม?”
“เคยบอกผมใช่ไหม? เกี่ยวกับเรื่องการแสดงการกุศลที่จัดโดยภาครัฐน่ะ มีการจัดให้เด็กดูด้วย แค่อยากไปลองดูน่ะว่ามันเป็นยังไง”
“หืม”
มิโซกินข้าวต่อไปพร้อมครุ่นคิดอยู่สักพัก พอกินอิ่มท้องเธอก็เอามือตบพุ่งตัวเองเบา ๆ ก่อนจะพูดต่อ
“หมายความว่าอยากได้อะไรง่าย ๆ ? ที่ไม่ต้องลงแรงเยอะเหรอ?”
“ก็คงงั้น”
“บอกก่อนเลยนะ ว่ามันไม่มีการแสดงไหนที่ง่ายหรอก ถึงจะมีพวกที่ใช้เวลาเตรียมตัวกันไม่นานก็เถอะ”
“ขอโทษที่แล้วกัน แค่อยากลองเล่นอะไรที่มันสั้น ๆ น่ะ”
“งั้นเหรอ อยากลองเอานิ้วจุ่มน้ําดูสินะ ฉันไม่มีเหตุผลให้ต้องห้ามเธออยู่แล้ว ฉันมีคนรู้จักที่ทําการแสดงหุ่นเชิดสําหรับเด็กอนุบาลอยู่นะ เธอมักจะเล่นพวกเรื่องดัง ๆ อย่างนิทานอีสปหรือเรื่องราวของนักเขียนแอนเดอร์เซน ถึงมันจะไม่ง่ายก็เถอะ เพราะบางทีการเชิดหุ่นน่ะ ยากกว่าการแสดงโดยคนเสียอีก แต่มันค่อนข้างสั้นนะ จะแนะนําให้รู้จักแล้วกัน คิดว่าวันหยุดเสาร์-อาทิตย์เป็นไง? ว่างไหม?”
“ก็ดีนะ”
“เยี่ยม งั้นลองดู ถึงมันจะไม่ง่ายก็เถอะ” มิโซยิ้มอย่างมีเลศนัย เธอหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมาและโทรออก หลังจากคุยกันไปได้สักพัก เธอก็ยื่นโทรศัพท์มาให้มาร
“รับ”
“ได้
มารุรับโทรศัพท์มา เขาได้ยินเสียงเด็กดังเจี้ยวจ้าวมาจากปลายสาย พร้อมด้วยเสียงอันฟังดูเจ็บปวดของหญิงสาว “อย่าดึงผมพี่ พี่เจ็บนะ” เขานึกออกเลย ว่าที่อีกด้านตอนนี้มีสภาพเป็นยังไง
Comments