คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตายบทที่ 281 ปรากฏการณ์ประหลาดที่เทือกเขาอูอวิ๋น
คอลัมน์ใหญ่ในซื่อเต้าจิงครั้งนี้แนะนำเรื่องงานคบหาสหายทางเวทมนตร์ ฉากหน้าก็เพื่อให้ทุกคนไม่ลืมต่อต้านเผ่ามาร ความจริงเป็นงานประชุมวิญญาณที่มีชื่อน่าฟังเพื่อยกระดับหน้าตาให้ตนเอง
จินเฟยเหยาไม่มีทางทำให้ตนเองบรรลุขั้นกำเนิดใหม่ภายในสองปี ย่อมไม่อาจไปร่วมงานประชุมวิญญาณกับปู้จื้อโหยวได้ แต่นางไม่รู้สึกเสียใจเลยสักนิด ถึงอย่างไรห้าสิบปีมีครั้งหนึ่ง อย่างมากก็รอจนถึงงานประชุมวิญญาณครั้งหน้าค่อยไป
แต่ปริมาณของโลกระดับวิญญาณทำให้นางรู้สึกคาดไม่ถึงอยู่บ้าง นางนึกว่ามีสถานที่อย่างโลกวิญญาณเป่ยเฉินเพียงแห่งเดียว พออ่านดูจึงรู้ว่าสถานที่ภายนอกจำนวนมากยังมีโลกวิญญาณอื่นๆ อีก ส่วนเผ่ามารก็ราวกับฝาแฝด สถานที่ซึ่งมีเผ่ามนุษย์ก็ต้องมีเผ่ามาร ส่วนสถานที่ซึ่งมีทั้งสองเผ่าก็จะปรากฏผู้ฝึกวิชาชั่วร้าย ราวกับขาดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปจะทำให้คนรู้สึกไม่คุ้นเคย
เพียงแต่โลกวิญญาณบางแห่งผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายเป็นคนสร้าง บางแห่งมนุษย์ มาร ผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข คิดไม่ถึงว่าจะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขได้ ไม่รู้จริงๆ ว่าพวกเขาทำได้อย่างไร
ส่วนโลกระดับดินแค่เนื่องจากปราณวิญญาณและความขาดแคลนสิ่งของในการดำรงชีวิต จึงถูกแบ่งตามเขตแดนและสภาพแวดล้อมอันเลวร้ายตามธรรมชาติ หลังจากเข้าใจเรื่องนี้จินเฟยเหยาแค่ทอดถอนใจว่าทั้งหมดนี้เป็นการเหยียด รังเกียจว่าผู้อื่นยากจนที่ไหน แค่กลัวว่าคนเหล่านี้จะแล่นมายังสถานที่ของตนเองจึงจงใจใช้สถานที่อันตรายบางแห่งกั้นทำเป็นโลกระดับดิน
โลกระดับดินยังปฏิบัติต่อโลกระดับวิญญาณและโลกระดับเทพราวกับเป็นสิ่งล้ำค่า ที่จริงแค่ถูกเหยียดเท่านั้น ใช้ชีวิตอยู่บนแผ่นดินใหญ่ผืนเดียวกันกับโลกระดับวิญญาณชัดๆ
งานประชุมวิญญาณจัดขึ้นที่โลกวิญญาณซิงหลัว นั่นเป็นโลกวิญญาณที่สร้างขึ้นจากเกาะน้อยใหญ่หลายแสนเกาะ ไม่ต้องแบ่งเป็นโลกระดับดิน หมู่เกาะเล็กๆ ในทะเลลึกอันห่างไกลบางแห่งก็อยู่ในฐานะโลกระดับดิน
จินเฟยเหยาพลิกซื่อเต้าจิง สิ่งที่กล่าวถึงส่วนมากล้วนเป็นเรื่องเหล่านี้เนื่องจากงานประชุมวิญญาณ ทันใดนั้นนางก็เห็นคอลัมน์ตามหาคนในมุมหนึ่ง
มักจะมีคนซื้อข่าวสารโดยการส่งข้อความเพื่อหาญาติสนิทที่หายไปหรือศัตรูในซื่อเต้าจิง ส่วนข้อความบรรทัดนั้นก็อยู่ในข้อความตามหาคน ข้อความอื่นล้วนเป็นการตามหาคนหรือตามหาสิ่งของพิเศษ ข้อความนี้กลับเขียนอย่างแปลกประหลาด
เห็นบนนั้นเขียนว่า ‘เสี่ยวเหยา ท่านลุงซื้อข่าวสารตามหาเจ้าจากข้า ถ้าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ก็ซ่อนตัวให้ดี หลังข้ากลับมาจากโลกวิญญาณหลัวซิง เจ้าค่อยบอกสถานที่ซ่อนตัวกับข้า อย่าให้ถูกคนพบเห็นเด็ดขาด ข้าขอค่าตอบแทนอย่างงามจากเขาแล้ว’
เห็นข้อความบรรทัดนี้ จินเฟยเหยาแน่ใจว่าปู้จื้อโหยวต้องเป็นคนส่งอย่างแน่นอน เพียงแต่เขาเห็นตนเองเป็นคนโง่งมหรือ คิดไม่ถึงว่าจะเขียนข้อความแบบนี้ออกมาให้ตนเองบอกร่องรอยแก่เขา เขาจะได้เอาไปขายง่ายๆ
“ฝันไปเถอะ ฮึ” แล้วพลิกอ่านข้อความอื่นๆ ต่อ
“ผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายของโลกวิญญาณหนานเฟิงทำเรื่องไร้คุณธรรมไม่น้อย คิดไม่ถึงว่าจะมีเนื้อหาด่าทอพวกเขาหนึ่งหน้าเต็มๆ” อ่านหน้านั้นทั้งหมดเป็นผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายในโลกหนานเฟิงที่ปล้นชิงผู้บำเพ็ญเซียนสตรี สังหารคนชิงวิญญาณ จับคนมาป้อนสัตว์เลี้ยง จินเฟยเหยาอดส่ายศีรษะไม่ได้
ในเมื่อน่าชังขนาดนี้ ทำไมไม่ร่วมมือกันไปโจมตีพวกเขาเหมือนที่ทำกับเผ่ามาร คาดว่าสภาพแวดล้อมของโลกวิญญาณหนานเฟิงคงเลวร้ายถึงขีดสุด ทำให้พวกเขาไม่สนใจจะไปสำรวจโลกหนานเฟิงสังหารผู้ฝึกวิชาชั่วร้าย ส่วนเผ่ามารเหมือนจะไม่กระทำเรื่องเหล่านี้ เนื่องจากยึดครองสถานที่ดีๆ จึงเห็นเผ่ามนุษย์เป็นที่ขัดตามาโดยตลอด
แต่เรื่องที่เจ้าพวกนี้กระทำเลวร้ายเกินไป เมื่อเทียบกันแล้วตนเองดูเหมือนยังพอไหว
คิดถึงตรงนี้จินเฟยเหยาพลันเกิดความคิดขึ้น ทำไมตนเองไม่ไปโลกหนานเฟิง ที่นั่นความชั่วร้ายเป็นใหญ่ ถึงตนเองจะไม่ถือว่าเลวร้ายนัก แต่ก็สามารถเดินบนถนนได้อย่างเปิดเผย ไม่ถูกผู้บำเพ็ญเซียนก้าวออกมาบอกว่าตนเองเป็นภัยต่อปวงชน
มิน่าเล่าโลกวิญญาณหนานเฟิงจึงเต็มไปด้วยผู้ฝึกวิชาชั่วร้าย คาดว่าเป็นคนประเภทเดียวกันจึงมารวมอยู่ด้วยกัน รวมตัวกันมากเข้า สำนักอันเที่ยงธรรมก็ไม่กล้าล้อมปราบพวกเขาง่ายๆ
พลิกซื่อเต้าจิงอ่านจนจบ พวกสัตว์หลัวซิงก็กินกันใกล้จะหมดแล้ว สัตว์ปิศาจสามตัวกลายเป็นโครงกระดูก จินเฟยเหยาเตะกระดูกลงในน้ำพิษ แล้วพูดกับบรรดาสัตว์ภูติที่ท้องกลมดิก ในดวงตาทอประกายความสุข “พวกเจ้ากลับไปเถอะ จำไว้ว่าอย่าเปิดเผยที่อยู่ของข้าเด็ดขาด”
บรรดาสัตว์ภูติพร้อมใจกันพยักหน้ารับ พวกมันไม่อยากสูญเสียสถานที่เปลี่ยนรสชาติอาหารไป กินเนื้อสัตว์ปิศาจที่สดใหม่มากๆ เข้าจึงพบว่าสิ่งที่ผ่านการแปรรูปแล้วอย่างอาหารสัตว์รสชาติแย่จริงๆ
จินเฟยเหยามองส่งพวกมันจากไปแล้วกลับมาที่เกาะลอยได้ พั่งจื่อยังบรรจุศิลาวิญญาณชั้นล่างในสระน้ำด้วยสีหน้าไม่ได้รับความเป็นธรรม จินเฟยเหยาคร้านจะสนใจมัน ผ่านไปครู่หนึ่งดูเหมือนพั่งจื่อจะพบวิธีทำงานให้เสร็จเร็วๆ แล้วไปแอบเกียจคร้าน มันเทศิลาวิญญาณชั้นล่างทั้งหมดลงในสระน้ำ หลังจากใช้ขากบตบๆ ค่อยเทน้ำลงไป
เจ้านี่ไม่เป็นเวทควบคุมน้ำ เดิมทียังหวังจะให้จินเฟยเหยาช่วยเหลือ แต่นางยังกังวลว่าต้านิวจะให้กำเนิดลูกมากมายเพียงใด ไหนเลยจะสนใจความปรารถนาของพั่งจื่อ ย่อมต้องวิ่งเข้าไปในกระท่อมแล้วปิดประตูก่อนที่มันจะเอ่ยปาก พั่งจื่อพึ่งพาใครไม่ได้ ปากบ่อน้ำก็เล็ก ได้แต่หิ้วถังน้ำเทน้ำลงไปในสระที่เต็มไปด้วยศิลาวิญญาณทีละถังอย่างจนปัญญา
วันเวลาผันผ่าน ต้านิวอุ้มท้องด้วยความพยายามถึงสิบสองปี จึงออกไข่หกสิบสองฟองในสระน้ำที่ขุดเสร็จนานแล้ว มองไข่ที่มีลวดลายเปลือกไข่แมวบินได้เหล่านี้ จินเฟยเหยาเกิดความคิดจะเอาไข่ทั้งหมดไปขายเป็นไข่แมวบินได้
ต้านิวปกป้องลูกน้อยอย่างห่วงใย จินเฟยเหยาและพั่งจื่อเพิ่งโผล่ออกมาด้วยสีหน้าไม่สบายใจ มันก็มองอย่างมีโทสะ ทั้งยังเฝ้าอยู่ข้างสระน้ำไม่ห่างทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้
ลูกอ๊อด? ไข่…จินเฟยเหยามองไข่เหล่านี้อย่างกังวลและไม่สบายใจ ด้านในคงไม่ใช่ลูกอ๊อดตัวเดียว แต่เป็นไข่ใบหนึ่งมีลูกอ๊อดหลายสิบตัวหรอกนะ
ถ้าเป็นแบบนั้น ตนเองคงจบสิ้นแล้ว บางทีอาจจะได้กินลูกอ๊อดน้ำแดง ลูกอ๊อดผัดซอส ลูกอ๊อดทอดกรอบ แต่มองสีหน้าดุร้ายของต้านิวแล้ว จินเฟยเหยารู้สึกว่ากินแกงจืดกบก่อนจะดีกว่า
นางจ้องมองไข่เหล่านั้นอยู่นาน พลันย้ายสายตาไปที่ศิลาวิญญาณพวกนั้น
นี่ทำให้นางคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ถ้าตอนนั้นตนเองไม่ได้ให้ไข่ของพั่งจื่อใช้ศิลาวิญญาณอย่างประหยัด ตอนพั่งจื่อออกมาจากไข่ยังเป็นลูกอ๊อดตัวหนึ่ง ถ้าไม่มีการหล่อเลี้ยงของศิลาวิญญาณ มันคงไม่เปลี่ยนเป็นกบพิเศษ ถ้าไม่พิเศษคงไม่ดึงดูดต้านิวมาและพวกมันคงไม่รู้จักกัน ตอนนี้คงไม่ปรากฏสระน้ำที่เต็มไปด้วยไข่กบในเกาะลอยได้เล็กๆ
คิดถึงตรงนี้จินเฟยเหยาพลันตกตะลึง อย่าเห็นว่าพั่งจื่อไม่เคยมีท่าทางจริงจังมาก่อน ตอนนี้พั่งจื่อคิดเรียบร้อยแล้วว่าจะใช้ศิลาวิญญาณหล่อเลี้ยงพวกมันก่อนออกจากไข่ นี่คือคิดจะให้ลูกอ๊อดในไข่กลายเป็นกบโดยตรง พั่งจื่อช่างคิดได้รอบคอบจริงๆ
เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นความคิดของพั่งจื่อแน่ มันเกียจคร้านออกอย่างนั้น ต่อให้คิดได้มันก็ไม่ไปทำ ทั้งหมดนี้ต้านิวที่จะเป็นแม่เป็นตัวออกความคิด มันคิดว่าลูกๆ ของมันสมควรอาศัยอยู่ในสถานที่อันงดงาม
ทว่าการปูเตียงด้วยศิลาวิญญาณชั้นล่างก็ทำให้ลูกๆ ที่เกิดมานอนบนศิลาวิญญาณได้ นอกจากดูใสเป็นประกายงดงามสุดเปรียบปาน ยังมีความหมายว่า วันหน้าเติบโตแล้วจะได้ติดตามเจ้านายผู้ร่ำรวย ไม่เหมือนท่านพ่อท่านแม่ของพวกมันที่ต้องลำบากลำบนทำงานหนักใช้ชีวิตอย่างทุกข์ยาก
จินเฟยเหยาที่สมองถูกลูกอ๊อดและกบทรมานจนใกล้จะเป็นบ้าตัดสินใจไปปิดด่านกักตน ตาไม่เห็นใจก็สงบ ไม่ถึงขั้นกำเนิดใหม่จะไม่ออกจากบ้าน ถ้าสัตว์ภูติของสำนักเทียนตี้เหล่านั้นมากินอาหารอีกก็ให้พั่งจื่อไปจัดการ ทางที่ดีให้พั่งจื่อเอาไข่ทั้งหมดไปให้พวกมันกินต่างขนม จะได้ไม่เห็นแล้วหงุดหงิด
พอจินเฟยเหยาปิดประตู จิตใจก็จมอยู่ในการฝึกบำเพ็ญ สิ่งที่กินคือแก่นของผู้บำเพ็ญเซียนในสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณ ติงจั๋ววางแผนมานานอย่างเสียเปล่า สุดท้ายปล่อยให้จินเฟยเหยาได้ประโยชน์
นอกจากกรอกท้องอิ่ม ความสามารถในนั้นก็มหาศาล แทบจะถือว่าสิบวันครึ่งเดือนได้กินผู้บำเพ็ญเซียนหนึ่งคน พลังวิญญาณและห้วงการรับรู้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ผลักดันให้พลังการบำเพ็ญเพียรของจินเฟยเหยาห้อตะบึงอย่างบ้าคลั่งมาตลอด
น่าเสียดายที่ต่อให้นางมีร่างของเทาเที่ย มีคุณสมบัติแย่กลับเป็นความจริงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เปลี่ยนเป็นคนอื่นต้องบรรลุขั้นกำเนิดใหม่ไปนานแล้ว ทว่านางยังเบียดอยู่ในขั้นหลอมรวมโดยสมบูรณ์นิดๆ
วันเวลาผ่านไป จินเฟยเหยาอยู่ที่เทือกเขาอูอวิ๋นรับการมาเยือนของฤดูใบไม้ผลิปีที่ห้าสิบสาม นางพลาดงานประชุมวิญญาณไปสองครั้งแล้ว แก่นผู้บำเพ็ญเซียนของสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณเกือบจะถูกนางกินจนเกลี้ยงแล้ว ในเทือกเขาอูอวิ๋นจึงปรากฏทิวทัศน์ที่ไม่เหมือนในอดีต
เช้าตรู่ ศิษย์สำนักเทียนตี้กำลังคิดจะฉวยโอกาสช่วงฤดูใบไม้ผลิย้ายลูกสัตว์อ่อนแอที่ซ่อนไว้ในบ้านอันอบอุ่นมาตลอดฤดูหนาวอันหนาวเหน็บไปไว้อีกที่ ท้องนภาพลันมีเกล็ดหิมะล่องลอย
ทุกคนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอย่างประหลาดใจ เมื่อครู่ท้องฟ้ายังแจ่มใสชัดๆ ไม่รู้ว่ามีชั้นเมฆขนาดใหญ่มารวมกันตั้งแต่เมื่อใด หิมะเริ่มตก หิมะในฤดูใบไม้ผลิตกคราหนึ่งเป็นเวลาครึ่งเดือนกว่าอย่างอธิบายไม่ได้ รอหิมะหยุดอย่างยากเย็น ขณะที่ดวงอาทิตย์ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ท้องฟ้าก็เริ่มมีสายลมรุนแรงพัดพา
ไม่มีเมฆมีเพียงลม ลมพัดจนคนลืมตาไม่ขึ้น พัดจนทั่วทั้งสำนักเทียนตี้เต็มไปด้วยใบไม้เน่าที่เทือกเขาอูอวิ๋นสะสมมาไม่รู้กี่ปี ปรากฏการณ์บนท้องฟ้าแปลกประหลาดยิ่ง ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป บรรดาศิษย์ต้องอยู่ไม่ได้แน่ๆ
เจ้าสำนักและผู้อาวุโสของสำนักเทียนตี้ต่างรู้สึกงุนงง มองดูดวงดาวก็ไม่พบว่ามีปรากฏการณ์ร้าย ถ้าใช้การรับรู้กวดดู เทือกเขาอู๋อวิ๋นก็ไม่มีอะไรแตกต่างจากในอดีต และซ่อนสาเหตุของเรื่องนี้เอาไว้ไม่ได้
ถ้าบอกว่าไม่มีอะไร ทว่าสภาพอากาศที่ผิดปกติปรากฏขึ้นภายในเขตเทือกเขาอูอวิ๋นเท่านั้น ขอเพียงออกจากเทือกเขาอูอวิ๋น พายุหิมะและสายลมคลั่งเหล่านี้ก็จะหายไป ภายนอกเทือกเขาอูอวิ๋นเป็นฤดูใบไม้ผลิที่อบอุ่นมีดอกไม้เบ่งบาน สภาพอากาศสงบสุข คนละเรื่องกับภายในโดยสิ้นเชิง
ลมแรงพัดมาอีกครึ่งเดือน รวมทั้งหมดอาละวาดอยู่หนึ่งเดือนกว่า พอคิดว่าสมควรจะสงบลงได้แล้ว เหนือเทือกเขาอูอวิ๋นพลันปรากฏชั้นเมฆดำหนาทึบ ปราณวิญญาณแห่งฟ้าดินมารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว เมฆดำปรากฏขึ้นตรงเทือกเขาอูอวิ๋นราวกับขุนเขา
สภาพการณ์แปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว กลางอากาศปรากฏแสงรัศมีเจ็ดสีสันอย่างต่อเนื่อง ในเมฆดำก็มีสายฟ้าตัดสลับ ทำให้เกิดความรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนขึ้นในใจอย่างบอกไม่ถูก
สัตว์ปิศาจในเทือกเขาอูอวิ๋นเริ่มหลบหนีออกมาจากสถานที่ซึ่งมีมี่ตี้เป็นศูนย์กลาง แม้แต่สัตว์ภูติที่สำนักเทียนตี้เลี้ยงไว้ยังพากันหวาดกลัวและตื่นตระหนก ถ้าไม่ได้ทำสัญญาโลหิตไว้ พวกมันอาจจะสลัดหลุดจากเจ้านายและหลบหนีไปนานแล้ว
“มีคนกำลังกลายเป็นขั้นกำเนิดใหม่ที่นี่!” หลังจากเห็นความปั่นป่วนมาหนึ่งเดือน ในที่สุดปรากฏการณ์บนท้องฟ้าก็ปรากฏขึ้น บรรดาผู้อาวุโสขั้นกำเนิดใหม่ในสำนักเทียนตี้ต่างเข้าใจทันที คิดไม่ถึงว่าจะมีผู้บำเพ็ญเซียนซ่อนตัวอยู่ใต้เปลือกตาของตนเองอย่างเงียบๆ และตอนนี้จะบรรลุขั้นกำเนิดใหม่แล้ว!
Comments