คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตายบทที่ 325 เฝยเฝย
จินเฟยเหยาเดินออกมาจากลานประลองแห่งนี้โดยไม่ส่งเสียง นี่ไม่ใช่การต่อสู้ที่ยุติธรรมแล้ว เผ่ามนุษย์เพียงแค่นำโลหิตของเผ่ามารมาทำให้ตนเองพอใจเท่านั้น
การตรวจค้นภายในเมืองหลวงยิ่งรุนแรงมากขึ้นทุกที กลางอากาศมีองครักษ์เมืองหลวงจำนวนไม่น้อยบินไปบินมาค้นหาบุคคลน่าสงสัย ต่อมายังเพิ่มองครักษ์ในวังที่สวมเสื้อคลุมสีทอง แม้แต่ประชาชนในเมืองก็เริ่มขับไล่ออกมา ค้นหาคนน่าสงสัยทีละบ้าน
จินเฟยเหยาไม่เข้าใจ ทำไมค้นหาในเมือง หรือไม่รู้สึกว่าตนเองจะหนีไปยังสถานที่อื่น ถึงจะคิดเช่นนี้ แต่เวลานี้คนบนถนนต่างวิ่งกลับบ้าน ถ้าตนเองยังเดินเตร่อยู่บนถนนจะสะดุดตาเกินไป
ดังนั้นนางครุ่นคิด ถ้าอย่างไรก็นำเขาเล็กๆ ของเทาเที่ยออกและปลอมเป็นคนเผ่ามารปะปนเข้าไปในลานประลอง แต่ด้านในไม่ปลอดภัย ราชันภูติอะไรนั่นมีโลหิตเต็มหน้าจนน่าสงสาร ถ้าตนเองเข้าไปแล้วออกมาไม่ได้จะทำอย่างไร
คิดไปคิดมา มีสถานที่เพียงแห่งเดียวที่สามารถหลบซ่อนตัวได้ จินเฟยเหยาผินหน้าไปมองวังหลวง ในเมืองหลวงทั้งหมดตอนนี้มีเพียงองครักษ์ในวังหลวงผ่อนคลายที่สุด ราชวงศ์ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเซียน ยิ่งเข้าใกล้วังหลวง ระดับชั้นของผู้บำเพ็ญเซียนในนั้นยิ่งสูง และมีคนมากที่สุด
เนื่องจากมีผู้บำเพ็ญเซียนระดับสูงมากมาย ดังนั้นคงไม่มีใครคาดคิดว่าจินเฟยเหยาจะวิ่งเข้าไปหาที่ตายในวังหลวง องครักษ์ของสถานที่นั้นน้อยที่สุด ทุกคนล้วนค้นหานางในมุมอันห่างไกลของเมืองหลวง
“พั่งจื่อ ไป พวกเราไปกินอาหาร” จินเฟยเหยาตะโกน พาพั่งจื่อเดินไปยังเมืองหลวง นางพลันมีความรู้สึกเหมือนตนเองกำลังเดินอยู่ในคอกสัตว์ ที่นั่นมีสัตว์แสนอร่อยจำนวนมาก
ตรงนี้คือมุมด้านหลังวังหลวง จินเฟยเหยาถูกกลิ่นหอมของผลไม้ดึงดูดมา ยอดไม้โผล่ออกมาจากกำแพงสูงของวังหลวง ดูเหมือนที่นี่จะปลูกผลไม้น่าอร่อยไว้
ทันใดนั้น บนกำแพงสูงพลันปรากฏคนผู้หนึ่ง เป็นสตรีอายุยี่สิบกว่าปีกำลังหันหลังให้ข้างนอกคิดจะปีนลงมาจากกำแพงสูงสามจั้ง ในมือของนางดึงเชือกที่ทำจากผ้าม่านเส้นหนึ่งคิดจะไถลตัวลงมาจากด้านบน
“คนธรรมดา? นี่คือนางกำนัลหรือพระสนม ถึงกับคิดจะหนีออกจากวัง” จินเฟยเหยายืนมองอยู่ตรงนั้นอย่างสงสัย เสื้อผ้าบนร่างของสตรีผู้นี้ไม่งดงามนักแต่กลับเป็นชุดอาคมชั้นบน ฐานะอาจจะไม่ต่ำต้อย
ม่านหน้าต่างใช้วัสดุเบาบาง อย่าเห็นว่าวัสดุงดงามอย่างยิ่งแต่กลับไม่แข็งแรงเลยสักนิด แค่สตรีบอบบางห้อยอยู่คนหนึ่งถึงกับรับน้ำหนักไม่ไหวจนฉีกขาด สตรีผู้นี้เพิ่งไถลตัวลงมาได้ครึ่งทางก็เห็นผ้าเหนือศีรษะขาดเป็นสองส่วน
“อ๊า!” สตรีผู้นั้นร้องอุทานเบาๆ หวาดกลัวจนต้องรีบปิดตา
เสียงดังตุ้บ นางไม่ได้ร่วงพื้นทว่าถูกคนรับไว้ นางลืมตาขึ้นมองพบว่าตนเองกำลังอยู่ในอ้อมอกของสตรีผู้หนึ่ง ที่แท้ถูกคนผู้นี้ช่วยไว้ จินเฟยเหยารับนางไว้โดยไม่รู้ตัว ยามนี้เห็นว่าไม่เป็นไรแล้วจึงวางนางลง
“ขอบ...ขอบคุณ” สตรีผู้นั้นเอ่ยขอบคุณอย่างลนลาน จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองคนที่ช่วยตนเองแวบหนึ่ง พอเห็นนางก็ตะลึงงันไป
จินเฟยเหยาก็มองสตรีผู้นี้อย่างสงสัย หน้าตาไม่ได้งามล่มเมืองและอาจจะไม่ถือว่างดงาม ทว่ากลับให้ความรู้สึกอ่อนโยนมีเมตตา อยู่กับนางจะรู้สึกจิตใจสงบ
ทว่าสตรีผู้นั้นมองจินเฟยเหยาอย่างตั้งใจ ในดวงตาปรากฏความหวาดกลัว จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นลังเล สุดท้ายนางพลันใช้มือฉุดดึงมือของจินเฟยเหยา เอ่ยอย่างรีบร้อน “ท่านช่วยข้าหน่อยได้หรือไม่?”
“หา?” จินเฟยเหยามองนางอย่างงุนงง นี่นับเป็นเรื่องอะไร?
ยืนพูดจาอยู่นอกวังหลวงไม่ค่อยสะดวก สตรีผู้นั้นจึงฉุดลากจินเฟยเหยาปีนกำแพงเข้าไปในสถานที่ซึ่งเพิ่งปีนออกมาเมื่อครู่
จินเฟยเหยาไม่อยากตอแยความยุ่งยาก ตนเองไม่ได้อยู่ว่างไม่มีอะไรทำเสียหน่อย บวกกับไม่ใช่บุรุษจึงไม่ได้คิดจะทำอะไรสตรี ดังนั้นจึงไม่เหมาะจะปฏิเสธ ไม่รู้เพราะเหตุใดนางจึงปฏิเสธสตรีผู้นี้ไม่ลงและเชื่อฟังคำพูดของนางอย่างอธิบายไม่ได้ ติดตามนางปีนกำแพงเข้าไปในวังหลวง
ในกำแพงวังมีสวนแห่งหนึ่งจริงๆ ปลูกพืชพรรณและดอกไม้ประหลาดไว้ไม่น้อย ทว่าไม่มีผลไม้ เรื่องนี้ทำให้จินเฟยเหยารู้สึกสงสัยอยู่บ้าง กลิ่นหอมของผลไม้เมื่อครู่มาจากที่ใด? หรือว่าปลูกไว้ในสถานที่อื่น เป็นผลไม้ชนิดใด กลิ่นจึงลอยตามลมมาไกลขนาดนี้
นางสูดดม รู้สึกว่ากลิ่นหอมเข้มข้นขึ้น พลันเอียงศีรษะไปดมบนตัวของสตรีผู้นั้นจึงรู้แจ้งทันที ที่แท้บนร่างของสตรีผู้นี้ส่งกลิ่นหอมออกมา
“ท่านเซียน ท่านกำลังดมอะไร?” สตรีผู้นั้นขัดเขินอยู่บ้าง ไม่ว่าใครถูกคนดมไม่หยุดในระยะประชิดแบบนี้ก็ต้องรู้สึกอึดอัด
จินเฟยเหยาสูดดมอีก หลังจากมั่นใจว่าไม่ผิดแน่จึงเอ่ยว่า “บนร่างเจ้ามีกลิ่นผลไม้ เจ้ากินผลไม้เป็นอาหารทั้งวันหรือ?”
สตรีผู้นั้นนิ่งงัน สายตาเหม่อลอย จากนั้นยิ้มเอ่ยว่า “ข้าน้อย ซูโม่โม่ องค์หญิงผิงอันแห่งอาณาจักรหลงเวย คารวะท่านเซียน”
“องค์หญิง?” พอจินเฟยเหยาได้ฟังก็ยินดี ที่แท้เป็นองค์หญิงหนีออกจากวัง “นี่เจ้าเตรียมหนีการแต่งงานหรือ? เมื่อครู่บอกว่าให้ข้าช่วยเจ้าคือคิดจะให้ข้าพาเจ้าออกจากเมืองหลวงหรือ เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะส่งเจ้ากลับไปรับรางวัล”
ซูโม่โม่ส่ายศีรษะเบาๆ “ท่านเซียนล้อเล่นแล้ว ท่านไม่ใช่คนเช่นนี้”
“เจ้าไม่รู้จักข้าเสียหน่อย เหตุใดจึงมั่นใจว่าข้าเป็นคนดี” จินเฟยเหยารู้สึกว่าน่าขำ เหตุใดองค์หญิงที่ถูกเลี้ยงอย่างตามใจจึงใสซื่อขนาดนี้นะ ดูแล้วน่าจะได้รับความรักอย่างยิ่งและไม่เคยถูกใครรังแก
“ถึงแม้สองมือของท่านเซียนจะเปื้อนเลือด กินคนมานับไม่ถ้วน ทว่าไม่ใช่คนที่มีจิตใจชั่วร้าย เพียงแต่ไร้หัวใจเท่านั้น ไร้หัวใจและไร้ความเปลี่ยนแปลง ข้ายินดีทำข้อแลกเปลี่ยนกับท่านเซียน การแลกเปลี่ยนอย่างยุติธรรม” ซูโม่โม่เอ่ยอย่างสงบนิ่ง
สายตาของจินเฟยเหยาเคร่งเครียด เอ่ยถามเสียงเย็นชา “เจ้าเป็นใคร!”
ซูโม่โม่ยังเอ่ยอย่างสงบนิ่งดังเดิม “ข้าคือองค์หญิงผิงอันแห่งอาณาจักรหลงเวย ท่านเซียนอย่าคิดมาก ข้าเพียงแค่คนธรรมดาที่สามารถมองทะลุเนื้อหนังเห็นสิ่งที่อยู่ภายในเท่านั้น ท่านเซียนไม่จำเป็นต้องสังหารข้า ข้าไม่มีแรงคุกคามใดๆ ต่อท่านเซียน อีกทั้งยังสามารถนำข้อแลกเปลี่ยนดีๆ มาให้ท่านเซียนด้วย”
เห็นจินเฟยเหยาไม่เอ่ยวาจา เพียงมองนางอย่างระแวดระวัง ซูโม่โม่ก็ถอนหายใจเบาๆ เอ่ยอย่างเสียใจอยู่บ้าง “ท่านเซียนเป็นขั้นกำเนิดใหม่แล้ว ถึงจะซ่อนพลังการบำเพ็ญเพียร ปิดบังผู้อื่นได้แต่กลับปิดบังข้าไม่ได้ บนร่างของท่านเซียนมีปราณมังกรทอง คาดว่าองค์ชายสามคงถูกท่านเซียนสังหาร ส่วนข้ามีเรื่องหนึ่ง มีเพียงคนที่กล้าสังหารเชื้อพระวงศ์จึงกล้าไปทำ ข้าหาคนช่วยเหลือในโลกวิญญาณเทียนตี้ไม่ได้ ไม่มีใครกล้าต่อต้านราชวงศ์”
นี่คืออะไรกันแน่? เพราะเหตุใดนางมองแวบเดียวก็มองทะลุข้าได้ เป็นเพียงคนธรรมดาชัดๆ จินเฟยเหยาสงสัยยิ่ง ยายนี่เป็นใครกันแน่ ขนาดข้ากินคนยังดูออก
“พั่งจื่อ ได้ยินหรือไม่ นางบอกว่าข้าเป็นคนดี นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนบอกว่าข้าเป็นคนดี ตาแหลมจริงๆ” แต่พอคิดอีกที จินเฟยเหยาก็ถ่ายทอดเสียงบอกพั่งจื่ออย่างกระหยิ่มใจ
พั่งจื่อถลึงตาใส่นางอย่างอารมณ์ไม่ดี “เปล่า นางไม่ได้พูดว่าเจ้าเป็นคนดีเสียหน่อย นางเพียงแค่บอกว่าเจ้าเป็นคนไร้หัวใจ เห็นผลประโยชน์มาก่อน ดังนั้นจึงทำข้อแลกเปลี่ยนกับเจ้าได้อย่างวางใจ”
พั่งจื่อส่งเสียงร้องอ๊บๆ ชุดหนึ่ง ผู้อื่นเพียงได้ยินเสียงกบร้อง จินเฟยเหยากลับได้ยินคำพูดเหล่านี้
ไม่รอให้จินเฟยเหยามีโทสะ ซูโม่โม่ก็รีบโบกมือเอ่ยว่า “ไม่ใช่ ไม่ใช่เช่นนั้น ข้าไม่ได้บอกว่าท่านเซียนเป็นคนไร้หัวใจ เพียงแต่บอกว่าท่านเซียนจริงใจ จะไม่ทำผิดสัญญา เป็นคนที่เชื่อถือได้”
เพิ่งเอ่ยจบนางก็เห็นจินเฟยเหยาและพั่งจื่อจ้องมองนางแน่วนิ่ง จึงได้แต่อธิบายว่า “ข้าฟังคำพูดของสัตว์ภูติเข้าใจตั้งแต่เล็ก ดังนั้น…”
“เจ้าบอกข้ามาให้ชัดเจน เจ้าเป็นใครกันแน่ ไม่เช่นนั้นข้าจะกินเจ้าเดี๋ยวนี้แหละ” จินเฟยเหยาเดือดดาล รู้สึกเหมือนถูกเด็กสาวคนนี้ล้อเล่น
ดังนั้นภายใต้สายตาดุร้ายของจินเฟยเหยา ซูโม่โม่จึงเริ่มเล่าอย่างจริงจัง นอกจากฐานะของตนเอง แม้แต่เรื่องของโลกวิญญาณเทียนตี้ก็บอกจินเฟยเหยา คาดว่าคงหาคนช่วยเหลือไม่ได้จริงๆ นางจริงใจอย่างยิ่ง เพียงคิดจะทำให้จินเฟยเหยาเชื่อถือจากนั้นทำข้อตกลงกับนาง
“เฝยเฝย[1]หรือ? มิน่าเล่าข้าว่าแล้วเหตุใดจึงทำให้คนวางใจและรู้สึกผิดที่จะปฏิเสธคำขอร้องของเจ้า เกือบจะตกลงช่วยเหลือเจ้าแล้ว แต่น่าแปลก เหตุใดเฝยเฝยจึงอยู่ในร่างของคนธรรมดา? ไม่ถูกสิ น่าจะเป็นคนที่มีวิญญาณจริงของเฝยเฝยถือกำเนิดจากครรภ์มารดา เพราะเหตุใดจึงฝึกบำเพ็ญไม่ได้?” จินเฟยเหยาจุปากเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ
“ข้าก็ไม่รู้” ซูโม่โม่ตอบตามตรง
จินเฟยเหยาลูบคางครุ่นคิด ด้วยฐานะองค์หญิงผิงอัน บรรพชนของนางมีวิญญาณจริงของเฝยเฝย ขณะนางถือกำเนิดจากครรภ์มารดาก็มีคุณสมบัติพิเศษบางอย่างของเฝยเฝยแล้ว ถึงแม้จะฝึกบำเพ็ญไม่ได้ ทว่าขอเพียงคนเข้าใกล้นางก็จะเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน อีกทั้งยังมีคุณสมบัติมองทะลุใจคนจึงสามารถหลีกเลี่ยงคนที่มีเจตนาร้ายได้
ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือนางมีต้นผลโสมอยู่ต้นหนึ่ง นางเล่าว่า นางเชื่อมโยงกับต้นไม้ต้นนี้ ต้นไม้อยู่คนอยู่ คนตายต้นไม้ตาย ต้นไม้ต้นนี้ห้าร้อยปีจะให้ผลหนึ่งครั้ง แต่ละครั้งออกสามสิบหกผล กินผลโสมสามารถเพิ่มอายุขัยได้ห้าร้อยปี แม้แต่คนธรรมดาก็สามารถกินได้ เป็นสิ่งล้ำค่าของโลกวิญญาณเทียนตี้
เดี๋ยวก่อน ห้าร้อยปีออกผลครั้งหนึ่ง! จินเฟยเหยาหันหน้าไปถามซูโม่โม่ว่า “เจ้าอายุเท่าไรแล้ว?”
“สี่พันหกร้อยยี่สิบหกปี อายุมากกว่าการก่อตั้งอาณาจักรเวยหลงหกร้อยปี” ซูโม่โม่เพียงแค่ยิ้ม
“แบบนี้ ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันก็ไม่ใช่บิดาของเจ้า ทว่าเป็นประเภทหลานชายของเจ้าสินะ เจ้าปลูกผลไม้กินเอง สบายจริงๆ” จินเฟยเหยามองนางอย่างอิจฉา ไม่ต้องฝึกบำเพ็ญให้ลำบาก กินผลไม้ก็อายุยืนยาวไม่ตายได้
“ใช่ ทุกห้าร้อยปีข้าจะกินผลโสมลูกหนึ่ง ส่วนผลอื่นๆ ก็มอบให้ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ให้เขาประทานแก่องค์ชายหรือขุนนางใหญ่” ซูโม่โม่ไม่รู้สึกว่าเรื่องนี้มีอะไรน่าเบิกบานใจ จึงเอ่ยอย่างเงียบเหงาอยู่บ้าง
เห็นสีหน้าของนางยังไม่พอใจกับชีวิตแบบนี้ จินเฟยเหยาจึงยืนขึ้นเอ่ยว่า “เจ้าไม่ต้องอาละวาด เป็นองค์หญิงของเจ้าไปดีๆ เถอะ พวกเราพยายามแทบเป็นแทบตายจึงมีชีวิตเพิ่มอีกหลายปี ส่วนเจ้าเพียงขยับปากก็ทำได้ ยังมีอะไรไม่พอใจอีก”
“ต้นผลโสมของเจ้าปลูกอยู่ในสวนนี้หรือ? ให้ข้าดูเปิดหูเปิดตาหน่อย”
“ท่านเซียน ถ้าข้าตายแล้วต้นผลโสมจะแห้งเหี่ยวทันที อีกทั้งหากไม่มีความคิดของข้าก็จะเปิดการป้องกันโดยกำเนิดของต้นผลโสมไม่ได้ ถึงใช้กำลังก็เปิดไม่ออก” ซูโม่โม่เอ่ยเบาๆ
จินเฟยเหยามีสีหน้าตกตะลึง “อะไร? ข้ายังไม่ได้คิดจะขโมยผลไม้ของเจ้าเลย เจ้าอย่าเข้าใจผิด”
“ท่านเซียน…ข้าไม่เคยพูดเช่นนั้น”
…………………………………….
[1] เฝยเฝย เป็นสัตว์ป่าในตำนานจีนโบราณ มีลักษณะเหมือนแรคคูน มีขนแผงคอยาว มีหางสีขาวหนึ่งหาง สามารถคลายความกังวลของคนได้
Comments