คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย 178 ตัดเขาขอความรัก

Now you are reading คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย Chapter 178 ตัดเขาขอความรัก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

นี่คือระบบทาสอันน่าชัง เห็นหน้าผากของผู้อื่นแนบติดพื้น ยามนี้จินเฟยเหยายังไม่ลืมว่าตนเองเป็นทาสใบ้ ถึงแม้ฟังไม่เข้าใจว่าสตรีเผ่ามารผู้นี้พูดว่าอะไร ทว่าเห็นท่าทางหวาดกลัวของนางก็รู้ ต้องเกรงกลัวปู้จื้อโหยวที่มี “ฐานะชนชั้นสูง” สุดขีดแน่

ปู้จื้อโหยวเองก็แสดงเก่งจริงๆ สายตาชืดชา ตลอดร่างมีกลิ่นอายหยิ่งทะนงแผ่ออกมา น้ำเสียงไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ เจ้าอยู่เผ่าใด มาทำอะไรที่นี่”

“ข้าน้อยเป็นคนเผ่าเยี่ยหมู่ กำลังล่าสัตว์อยู่ข้างนอก ไม่คาดว่าจะรบกวนใต้เท้า” สตรีเผ่ามารหมอบกับพื้นอย่างหวาดกลัว ไม่กล้าขยับตัวแม้แต่น้อย

ระบบชนชั้นของเผ่ามารยอดเยี่ยมยิ่งนัก เห็นสตรีเผ่ามารที่มีพลังการบำเพ็ญเพียรระดับเดียวกับพวกเราหวาดกลัวจนกลายเป็นแบบนี้ นี่ไม่ใช่ปัญหาด้านความแข็งแกร่ง ไม่รู้ว่าประชาชนธรรมดาขั้นหลอมรวมพบกับชนชั้นสูงขั้นสร้างฐานจะมีท่าทีเช่นนี้หรือไม่ จินเฟยเหยามองพวกเขาสองคน คนหนึ่งถามคนหนึ่งตอบ ท่าทางของสตรีเผ่ามารราวกับมุสิกพบเจอแมว

ปู้จื้อโหยวถามอย่างเรียบง่าย จึงรู้ว่าสตรีเผ่ามารผู้นี้ชื่อมู่ถ่า ถึงจะมาจากเผ่าเยี่ยหมู่ แต่กลับอาศัยอยู่ที่เมืองปาต๋าซึ่งเป็นเป้าหมายที่พวกเขาจะไปเป็นการชั่วคราว

ทุกคนไปทางเดียวกันพอดี ราวกับมู่ถ่าผู้นี้รู้สึกว่าได้พบกับนายท่านชนชั้นสูงและยังทำให้ผู้อื่นตกใจ ถ้าไม่นำทางให้คงไม่เหมาะสม จึงอาสาจะไปส่งพวกเขาถึงเมืองปาต๋า

ปู้จื้อโหยวก็ใจกว้าง มอบวัวยี่สิบสามสิบตัวทั้งหมดให้นางอย่างมีมาด น้ำเสียงสบายๆ ทำให้มู่ถ่านอกจากมีความหวาดกลัวก่อนหน้านี้ยังมีความเคารพเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อย

นางคิดไม่ถึงว่าตนเองจะได้วัวเป้าลี่มากมายปานนี้ในคราวเดียว เป็นขนมเปี๊ยะที่ร่วงจากฟ้าโดยแท้

จินเฟยเหยาฟังไม่เข้าใจว่าพวกเขาพูดคุยอะไรกัน ได้แต่เบิกตามองดูมู่ถ่าเก็บวัวเป้าลี่ทั้งหมดบนพื้นไป อยากถามสักหลายคำก็เกรงว่าฐานะจะเปิดเผย สุดท้ายได้แต่แอบถ่ายทอดเสียงถามปู้จื้อโหยว

“เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไร เพราะเหตุใดนางจึงเก็บวัวเหล่านี้ไป?”

ปู้จื้อโหยวก็ถ่ายทอดเสียงมา ถึงสีหน้าจะชืดชาและไม่แสดงความรู้สึกมากนัก ทว่าน้ำเสียงกลับยั่วเย้า “คนผู้นี้ชื่อมู่ถ่า นางคิดว่าทำให้ข้าตกใจ ดังนั้นยืนกรานจะช่วยนำทางให้ข้า เช่นนี้จึงสามารถทำให้ความผิดที่ตนเองกระทำเบาบางลง ข้ามีฐานะเป็นถึงชนชั้นสูงผู้หยิ่งทะนง ย่อมต้องให้รางวัลนางหน่อย เพื่อแสดงถึงศักดิ์ฐานะของข้าจึงประทานวัวเป้าลี่เหล่านี้ให้นาง”

“คุยโวนัก เจ้าแสดงได้เหมือนมาก บอกว่าประทานแต่ไม่บอกว่าให้” จินเฟยเหยาก็ถ่ายทอดเสียงไปล้อเลียนเขา ทว่าซ่อนความสงสัยในใจเอาไว้ นางยังไม่โง่งมถึงขั้นนั้น ผู้อื่นไม่ยอมรับว่าตนเองเป็นคนเผ่ามาร ตนเองไยต้องไปถามให้มากความ ขอเพียงไม่มีเจตนาร้ายกับตนเอง จะสนใจไปไยว่าเขาเป็นคนเผ่าใด

ปู้จื้อโหยวยิ้มให้นางโดยไม่ส่งเสียง “ถ้าเจ้าเกรงใจพวกเขามากไป ตรงกันข้ามกลับยิ่งแสดงว่าตนเองมีเลศนัย จะทำให้เกิดความสงสัยได้ ชนชั้นสูงก็ต้องมีบุคลิกของชนชั้นสูง ทาสก็ต้องมีบุคลิกของทาส สีหน้าของเจ้าเห็นได้ชัดเจนเกินไปแล้ว โง่งมอีกหน่อย”

จินเฟยเหยากลอกตาใส่เขา ตอนนี้มู่ถ่ากำลังเก็บวัวเป้าลี่ใส่ถุงเฉียนคุน ไม่ได้สังเกตเห็นความเคลื่อนไหวระหว่างพวกเขา

ในใจมู่ถ่ายามนี้ยินดีอย่างยิ่ง คิดไม่ถึงว่าตนเองจะได้ใกล้ชิดชนชั้นสูงท่านหนึ่งขนาดนี้ อีกทั้งเขายังใจกว้างมีเมตตา ถึงแม้เขานำทาสสองคนติดตามข้างกาย ทว่าทาสสาวผู้นั้นไม่ส่งเสียงสักนิด หน้าตาก็ไม่งดงาม ไม่น่าจะเป็นสาวใช้ ใต้เท้าท่านนี้เป็นคนดีจริงๆ ถ้าสามารถกลายเป็นคนรักของเขาได้ก็ดีสิ

สตรีเผ่ามารเปิดเผยใจกว้าง จะไม่ซ่อนเร้นความรู้สึกในใจของตนเอง จัดการวัวเป้าลี่บนพื้นเสร็จสรรพ นางก็เดินกลับมาคุกเข่าอีกครั้ง จากนั้นดึงมีดสั้นออกมาตัดเขาขวาบนศีรษะลงมาอย่างรวดเร็ว ใช้สองมือชูขึ้นเหนือศีรษะเอ่ยด้วยสีหน้าเปี่ยมความจริงใจ “ใต้เท้าโปรดรับไว้ ผู้น้อยไม่กล้าเพ้อฝัน เพียงขอให้ใต้เท้ารับความรู้สึกของข้าไว้”

ว้าว! ขอความรักในที่เกิดเหตุเลย จินเฟยเหยาอดตะโกนในใจไม่ได้ นี่เพิ่งเข้าโลกเผ่ามาร พบพานสตรีคนแรก พูดสองประโยคก็ขอความรักทันที เจ้าปู้จื้อโหยวนี่มีวาสนานารีไม่เบาจริงๆ ดูสิสตรีที่ชื่อมู่ถ่าคนนี้อกอูมตูมตั้ง แข็งแรง และผิวไม่ดำมาก ดวงตากลมโตใสกระจ่างถึงเพียงไหน เป็นสาวงามเพียงใด

คิดถึงตรงนี้ นางก็มองเต๋อสี่อย่างเห็นใจอยู่หลายครั้ง ไม่ว่าใครเห็นเขามีเพียงเขาเดียวก็คาดเดาว่าเขาคงมอบเขาให้คนอื่นไปแล้ว ทว่าเต๋อสี่หน้าตาไม่ดี หนวดเคราหรอมแหรมเหล่านั้นยิ่งมีผลกระทบกับหน้าตาเป็นพิเศษ เพิ่งอายุยี่สิบกว่าปีชัดๆ ทว่าหลังปลอมตัว คิดไม่ถึงว่าจะแก่ขึ้นยี่สิบกว่าปี ดูแล้วเป็นท่านลุงอายุสี่สิบกว่าปี

ระหว่างนั้นมู่ถ่าก็มองเต๋อสี่หลายครั้ง บุรุษผู้ลุ่มหลงในความรักที่แก่ขนาดนี้มิเพียงไม่ได้รับการเหยียดหยามในโลกเผ่ามาร ตรงกันข้ามเนื่องจากกล้ารักกล้าแค้นจึงได้รับความเคารพจากผู้คน

ตอนนี้จินเฟยเหยาตั้งตารอคอยอย่างยิ่ง อยากรู้ว่าปู้จื้อโหยวจะรับเขาของมู่ถ่าหรือไม่ สีหน้าที่แสร้งโง่งมมาตลอดของนางมีการเปลี่ยนแปลง ครู่หนึ่งก็ดึงดูดความสนใจของมู่ถ่า

เหตุใดสีหน้าของสตรีผู้นี้จึงเปลี่ยนไปหรือว่านางก็ชอบใต้เท้าท่านนี้ ก็โทษว่าไม่ได้ใต้เท้ามีเสน่ห์ออกปานนี้ นางชอบก็เป็นเรื่องปกติ

รูปแบบของโลกเผ่ามารยังเปิดกว้างมากกว่าสามภรรยาสี่อนุของโลกเผ่ามนุษย์ บุรุษสตรีสบตากัน มีความสัมพันธ์กันอย่างลับๆเป็นเรื่องปกติยิ่ง ต่อให้หึงหวงและต่อสู้ก็แค่แย่งชิงความโปรดปราน ไม่เกี่ยวกับฐานะ ตำแหน่ง และอีกฝ่ายมีสตรีมากเท่าไร ก็คือชอบเพราะชอบล้วนๆ

ยามนี้ปู้จื้อโหยวสีหน้าเย็นชาลงอย่างเหนือความคาดหมาย เอ่ยด้วยน้ำเสียงชืดชา “ในหมู่อนุภรรยาของข้าไม่มีคนธรรมดา เขานี้เจ้าเอากลับไปเถอะ”

“ใต้เท้า!” มู่ถ่าคิดไม่ถึงว่าตนเองจะถูกปฏิเสธ ได้แต่เก็บเขาอย่างเสียใจ ไม่ใช่ตัดเขาลงมาแล้วอีกฝ่ายต้องรับไว้ บวกกับฐานะของคนทั้งสองแตกต่างกัน เดิมทีนางมั่นใจเพียงครึ่งเดียว ยามนี้จึงไม่ได้รู้สึกเสียใจมากเป็นพิเศษ

เมื่อนางเก็บเขากลับคืนก็ทำใจให้ร่าเริงอย่างหงอยเหงา ขณะคิดจะตั้งใจนำทางกลับพบว่าจินเฟยเหยาเอียงศีรษะไปด้านข้างแล้วหัวเราะเสียงดัง เพลิงโทสะของมู่ถ่าถูกจุดขึ้นในพริบตา นางชี้จินเฟยเหยาแล้วเอ่ยว่า “เหตุใดเจ้าต้องหัวเราะเยาะข้า!”

“?” จินเฟยเหยาหัวเราะเนื่องจากเต๋อสี่ใช้การถ่ายทอดเสียงแปลคำพูดของปู้จื้อโหยวให้นางฟัง ได้ยินเขาบอกว่าในหมู่อนุภรรยาของตนเองไม่มีคนธรรมดานางจึงหัวเราะ คิดไม่ถึงว่าจะยั่วโทสะมู่ถ่า โดยพื้นฐานแล้วไม่ต้องแปล จินเฟยเหยาก็ดูออกจากน้ำเสียงและสีหน้า มู่ถ่าไม่เห็นด้วยกับการหัวเราะของนาง

ทว่าตอนนี้จินเฟยเหยาเป็นคนใบ้ นางมีสีหน้าเยียบเย็น มองมู่ถ่าอย่างเย็นชาไม่ส่งเสียงเลยสักนิด ถึงอย่างไรนางก็ฟังไม่เข้าใจ พูดก็พูดไม่เป็น ต่อให้คิดจะอธิบายผู้อื่นก็ฟังไม่เข้าใจ

เห็นปู้จื้อโหยวขมวดคิ้ว เอ่ยอะไรบางอย่างกับมู่ถ่า จากนั้นนางก็ถลึงตาใส่จินเฟยเหยาอย่างแรงหลายครั้ง แล้วเริ่มนำทางอยู่เบื้องหน้าอย่างเดือดดาล

“ลักษณะของคนที่นี่เปิดเผย การหัวเราะของเจ้าเมื่อครู่ทำให้นางไม่พอใจ ข้าเตือนนางแล้ว แต่ข้าเดาว่านางอาจจะไม่แล้วกันไปแบบนี้ คนที่นี่โกรธง่ายหายเร็ว ข้าคิดว่าถ้าพวกเจ้าสองคนสู้กันมือเปล่าสักยก ไม่แน่ว่าอาจกลายเป็นสหายกัน” ยามนี้ปู้จื้อโหยวถ่ายทอดเสียงช่วยอธิบายให้จินเฟยเหยาเข้าใจ

จินเฟยเหยามองมู่ถ่าที่เดินเบิกทางอยู่ด้านหน้าได้เร็วกว่าเต๋อสี่แวบหนึ่ง จึงถ่ายทอดเสียงบอกปู้จื้อโหยว “ถ้านางอยากสู้มือเปล่ากับข้า บนร่างคงไม่เหลือกระดูกครบส่วน เอวเล็กๆ นั่นพอบิดก็หักแล้ว”

“เคล็ดวิชามารพื้นฐานของคนเผ่ามารล้วนมีการสร้างร่างกาย เจ้าอย่าคุยโวไป พอถึงเมืองปาต๋านางอาจจะแอบไปหาเจ้า ขอเพียงติดตามข้านางก็ไม่กล้าท้าสู้กับเจ้า” ปู้จื้อโหยวเอ่ยเตือนด้วยความหวังดี

เขาเก็บรวบรวมข้อมูลของจินเฟยเหยาได้เพียงส่วนเดียว ดังนั้นจึงไม่รู้ว่านางร้ายกาจเพียงใด คนผู้หนึ่งจะตรวจสอบให้กระจ่างอย่างง่ายดายได้อย่างไร

“หึ ถึงตอนนั้นค่อยว่ากัน ถึงอย่างไรต่อให้นางท้าสู้ ข้าก็ฟังไม่รู้เรื่อง” จินเฟยเหยากระตุกมุมปากก็ถือว่ากำลังยิ้มแล้ว

ตลอดทางอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข มู่ถ่านำทางให้ปู้จื้อโหยวอย่างเบิกบาน และทิ้งจินเฟยเหยาที่แสร้งเป็นท่อนไม้ไว้ด้านข้างชั่วคราว

ส่วนจินเฟยเหยาปากพูดไม่ได้ ฟังก็ฟังไม่เข้าใจ แสดงเป็นท่อนไม้มากเกินไป ในไม่ช้ายิ่งเหมือนท่อนไม้โง่งมจริงๆ นางติดตามด้านหลังพวกเขาไปราวกับศพเดินได้ เดินอย่างเบื่อหน่าย รู้สึกว่ามาโลกเผ่ามารน่าเบื่อเกินไป รีบเรียนภาษามารให้เป็นดีกว่า จากนั้นไปภูเขาวั่นซั่นเอาพื้นที่มิติจากจอมมารหลง

ข้อเรียกร้องของจินเฟยเหยาไม่สูงนักขอเพียงที่ว่างซึ่งมีพื้นดินก็พอ นางฝึกบำเพ็ญถึงขั้นสร้างฐานช่วงกลางแล้ว เนื่องจากเดินทางไปทั่วสารทิศมานาน ยังไม่ได้ปลูกหญ้าวิญญาณสักต้น หญ้าวิญญาณดีๆ ส่วนมากล้วนปลูกเอง ถ้าอาศัยการซื้อเอาทั้งหมดบางอย่างก็ไม่มีคนขาย คำนวณดูเวลาที่นางเสียไปที่จริงเพียงพอจะปลูกหญ้าวิญญาณได้หลายสิบปีแล้ว

จินเฟยเหยามีพืชวิญญาณในกระถางดอกไม้ภายในอ่างมายาจิ่งเทียนของอยู่ไม่กี่ต้น อายุหลายสิบปีแต่ทั้งผอมทั้งเหลือง ครึ่งเป็นครึ่งตาย นางสงสัยจริงๆ ถ้าโยนพืชวิญญาณเหล่านี้ไปหลอมยาอาจลดทอนอายุขัยของคนได้

ที่ประมาณการณ์ไว้ว่าต้องใช้เวลายี่สิบกว่าวันจึงเดินออกจากป่าทึบได้ ภายใต้การเบิกทางของมู่ถ่าใช้เวลาเพียงสิบกว่าวันก็เดินออกมาแล้ว หลังทะลุออกจากป่าทึบก็เห็นไม่ไกลนักมีถนนลูกรังกว้างประมาณหนึ่งจั้ง คนสีเทาที่มาเป็นครั้งคราวเทียบไม่ได้กับคนเผ่ามารที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นจริงๆ

ขึ้นถนนลูกรัง ชนชั้นสูงอย่างปู้จื้อโหยวไม่เหมาะจะเดินเท้า เดิมทีมู่ถ่าคิดจะอาสาไปเอารถมาสักคัน ปู้จื้อโหยวกลับห้ามนางไว้ แล้วล้วงรถม้าคันหนึ่งออกมาจากถุงเฉียนคุน แล้วหิ้วสัตว์หกเขาตัวมหึมาออกมาจากถุงสัตว์ภูติ ก็จัดการประกอบรถเทียมสัตว์ที่เข้ากับศักดิ์ฐานะของเขาเสร็จสิ้น

ตอนแรกมู่ถ่ายังรู้สึกสงสัยสถานที่ซึ่งพวกปู้จื้อโหยวสามคนปรากฏตัวขึ้นอยู่บ้าง หลังจากเห็นรถคันนี้นางก็เชื่อมั่นว่าเขาเป็นชนชั้นสูง ถึงนางเป็นผู้บำเพ็ญมารอิสระที่อิสรเสรี ทว่าเพื่อผลประโยชน์ของเผ่า ขณะเคลื่อนไหวใกล้เขตแดน นางก็เหมือนคนเผ่ามารอื่นๆ ที่ต้องแบกรับหน้าที่ค้นหาสายลับที่บุกรุกเข้ามา การมอบเขาให้เมื่อครู่ถึงครึ่งหนึ่งจะเป็นความชื่นชมอย่างจริงใจ ทว่าอีกครึ่งหนึ่งกลับเป็นการหยั่งเชิง

ชนชั้นสูงก็เป็นเช่นนี้ เนื่องจากชนชั้นที่แตกต่างดังนั้นชนชั้นสูงจึงไม่รับการขอความรักจากคนธรรมดา เมื่อชนชั้นสูงต้องการเจ้าจริงๆ แค่พูดคำเดียวก็พอ ชนชั้นสูงที่ยังหนุ่มแบบนี้คงไม่มีหญิงสาวธรรมดาปฏิเสธ

ก่อนหน้านี้มีคนเผ่ามนุษย์ปลอมตัวเป็นชนชั้นสูงจำนวนไม่น้อย เนื่องจากขณะที่ถูกหญิงสาวธรรมดาจำนวนมากเสนอเขาให้ ก็คิดเหมือนบุรุษอื่นๆ ว่าถ้าไม่รับจะเสียมารยาท ดังนั้นจึงถูกจับได้จากการรับเขา ตกตายอย่างไรก็ยังไม่รู้

………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด