คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย 204 ลักพาตัวคน

Now you are reading คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย Chapter 204 ลักพาตัวคน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“องุ่นขนาดเท่าศีรษะ? ในตัวเจ้ามีของกินไม่น้อยเลย” เด็กหนุ่มเอ่ยยิ้มๆ

“โชคดี บังเอิญได้มา” จินเฟยเหยายิ้ม ค้นองุ่นสีแดงม่วงเม็ดหนึ่งยื่นส่งให้ คิดจะให้เขาลองชิมความหวานก่อน จากนั้นค่อยควักศิลาวิญญาณซื้อไปเยอะๆ

น่าเสียดายที่หลังจากเด็กหนุ่มกินองุ่น ก็เอ่ยอย่างเสียใจ “รสชาติไม่เลว แต่น้ำเยอะและลูกใหญ่เกินไป ทำให้ข้าเปียกไปหมดทั้งตัว เสื้อผ้าสกปรกหมดแล้ว”

จินเฟยเหยามองเขาอย่างหมดวาจา แขนเสื้อและทรวงอกล้วนมีน้ำองุ่นสีม่วงแถบใหญ่ ยิ่งมองก็ยิ่งเหมือนเด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปีกินอาหารไม่ระวังจนเปื้อนไปหมดทั้งตัว

“ยายหนูอย่างเจ้าน่าสนใจ ชื่ออะไร อยู่สำนักใด?” เด็กหนุ่มมีสีหน้าอยากลักพาตัว เช็ดน้ำองุ่นในมือลงบนพรมบิน

“ยายหนู…” ถึงจะเข้าใจว่าคนผู้นี้มีเพียงรูปลักษณ์ภายนอกเป็นเด็กหนุ่ม ที่จริงอย่างน้อยสุดต้องอยู่มาหลายร้อยปีแล้ว แต่พอถูกเขาเรียกว่ายายหนู ยังทำให้จินเฟยเหยารู้สึกไม่ชิน

จินเฟยเหยาคิดว่าผ่านมาสิบปี คนเหล่านั้นน่าจะไม่ตามหาตนเองอีก โลหิตตานมารก็ใช้หมดแล้ว ถ้าในหลายสิบปีนี้ยังค้นหาตนเองอยู่คงว่างงานไม่มีอะไรทำจริงๆ ดังนั้นนางจึงเอ่ยอย่างเปิดเผย “ข้าชื่อจินเฟยเหยา ไร้สำนักสังกัด เป็นผู้บำเพ็ญเซียนอิสระ”

“จินเฟยเหยา?” เด็กหนุ่มมองจินเฟยเหยาอย่างตะลึงงัน คิดไม่ถึงว่าจะได้พบนางที่นี่ เด็กหนุ่มขั้นกำเนิดใหม่ผู้นี้ก็คือจู๋ซวีอู่ที่ออกมาหาประสบการณ์ภายนอกและตามหาจินเฟยเหยาอย่างลำบากลำบนถึงหกสิบปี

หลังไปจากสำนักตงอวี้หวงในวันนั้น จู๋ซวีอู๋พบว่าตนเองไม่ได้สอบถามถึงรูปลักษณ์ของจินเฟยเหยาจึงได้แต่กลับไปอีกรอบ พัวพันสอบถามถึงรูปโฉมและลักษณะของจินเฟยเหยาจากไป๋เจี่ยนจู๋ แล้วจึงรีบออกเดินทางโดยไม่หยุดอีกครั้ง

สถานที่แรกสุดที่เขาไปคือเมืองปาทง เมื่อหาคนที่นั่นไม่พบ ก็ไปเมืองวั่นเซียนสุ่ยที่มีผู้คนมากมาย หกสิบกว่าปีมานี้จู๋ซวีอู๋มีความคิดเพียงอย่างเดียว ค้นหาจินเฟยเหยาไปทั่วโลกวิญญาณเป่ยเฉิน ทว่าไม่มีข่าวคราวเลยสักนิดราวกับหายไปจากโลกมนุษย์

จู๋ซวีอู๋ไปหาซื่อเต้าจิงก็ตรวจสอบหาที่อยู่ของจินเฟยเหยาไม่ได้ นึกถึงว่านางอาจจะแล่นไปโลกเผ่ามาร จู๋ซวีอู๋ยังเสี่ยงอันตรายไปโลกเผ่ามารรอบหนึ่ง หาคนไม่พบกลับยั่วโทสะคนเผ่ามารไม่น้อย อาละวาดจนโลกเผ่ามารแตกตื่นวุ่นวาย เขาจึงแล่นกลับมาโลกเผ่ามนุษย์อีกครั้ง

วันนี้เขามาที่นี่โดยไม่ได้เจตนา มาชมเรื่องสนุกของคฤหาสน์กุ่ยเม่ยล้วนๆ คิดไม่ถึงว่าจะได้พบคนที่ตามหามาหกสิบกว่าปี

จู๋ซวีอู๋มองพินิจจินเฟยเหยาจากหัวจรดเท้ารอบหนึ่ง ครุ่นคิดว่าจะถามนางถึงเรื่องนั้นอย่างไรจึงจะไม่ทำให้นางตกใจจนหลบหนีไป เขาเพียงแต่อยากรู้คำตอบเรื่องนั้นไม่ได้คิดจะฆ่าคน ถ้าทำให้นางหนีไปหรือให้เหตุผลมั่วๆ มาก็จะเสียเวลาหกสิบกว่าปีไปเปล่าๆ

จู๋ซวีอู่ครุ่นคิดแล้วตัดสินใจใช้วิธีลักพาตัวหลอกให้นางไปสำนักตงอวี้หวงก่อน ดังนั้นเขาจึงเอ่ยราวกับไม่มีเรื่องราวใด “ผู้บำเพ็ญเซียนอิสระคงอยู่อย่างไม่มีความสุข ข้ารับเจ้าเป็นศิษย์ดีกว่า เงื่อนไขของข้าไม่เลวนะ”

“ผู้อาวุโส ข้าขั้นหลอมรวมแล้ว สามารถบุกเบิกภูเขาตั้งสำนักรับศิษย์เองได้แล้ว ตอนนี้ยังกราบอาจารย์เข้าสำนัก มิใช่คำพูดเหลวไหลหรือ?” จินเฟยเหยาเกือบจะถูกคำพูดของเขาทำให้สำลัก นี่ใครกัน เคยได้ยินแต่รับเด็กน้อยที่มีปราณวิญญาณเป็นศิษย์ไม่เคยได้ยินว่ารับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมเป็นศิษย์

จินเฟยเหยาปฏิเสธอย่างรวดเร็ว ทว่าจู๋ซวีอู๋ยังไม่ยอมตัดใจ เขานั่งพัวพันอยู่บนพรมบิน “เจ้าคนเดียวจะเบิกภูเขาตั้งสำนักอะไรได้ สำนักของข้าเป็นสำนักใหญ่ แค่ศิษย์อย่างเดียวมีนับหมื่นคน เจ้าเข้าสำนักของข้าจะมีถ้ำเซียนของตนเองทันที ปกติไม่ต้องทำงาน เพียงใช้เวลาว่างฝึกบำเพ็ญ ปกติยังได้รับการปรนนิบัติ ทั้งยังมีศิษย์ที่ภูมิหลังขาวสะอาด จงรักภักดีจัดการธุระจิปาถะ มีอะไรไม่ดี”

จู๋ซวีอู๋พูดเหลวไหลทั้งสิ้น ยังบอกว่าไม่ต้องทำอะไรเลย ศิษย์ขั้นหลอมรวมในตำหนักของเขาต่างยุ่งจนเท้าไม่ติดพื้น คนที่ว่างงานอย่างแท้จริงมีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น

ฟังดูแล้วไม่เลว ทว่าจินเฟยเหยาไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเซียนตัวเล็กๆ ที่เพิ่งเข้าสู่สำนัก เงื่อนไขแบบนี้ยังดึงดูดนางไม่ได้ นางเพียงเหล่มองและเอ่ยว่า “แต่เหนือศีรษะของท่านน่าจะยังมีอาจารย์ ถ้าข้าเข้าสำนักท่าน เหนือศีรษะก็ต้องมีผู้อาวุโสและซือจู่เพิ่มมากมาย ข้าไม่ได้ว่างจนเบื่อหน่าย อีกทั้งเรื่องลับๆ นำสำนักของสำนักใหญ่ข้าก็รู้ ถ้ามีผู้อาวุโสอะไรให้ข้าเป็นคู่บำเพ็ญจะทำอย่างไร เป็นบุรุษหนุ่มหล่อเหลารูปโฉมสง่างามก็แล้วไป ถ้าเป็นตาแก่ผมหงอกขาว ข้ามิใช่หาเรื่องใส่ตัวหรือ”

“มีข้าอยู่ ใครกล้าบังคับให้เจ้าเป็นคู่บำเพ็ญ” จู๋ซวีอู่ตบขาหนึ่งฉาด เอ่ยด้วยอารมณ์ฮึกเหิม พลันนึกถึงเจ้าหนูในสำนักกลุ่มนั้น เขากลอกตาเอ่ยเสียงเบาอย่างลึกลับ “ศิษย์ในสำนักของข้ามีเจ้าหนูกลุ่มใหญ่ที่รับประกันว่าเจ้าต้องพอใจรูปร่าง หน้าตา และคุณสมบัติล้วนชั้นยอดทั้งสิ้น ถ้าเจ้าติดตามข้า ก็คืออาจารย์อาของพวกเขา เจ้าหนูเหล่านี้ถ้าเจ้าชอบใครก็หิ้วคนนั้นไป”

“หึๆๆ ผู้อาวุโส ข้าไม่สนใจเรื่องนี้ ชายบำเรออะไรนี่ไม่น่าสนใจเลยสักนิด” จินเฟยเหยาก็ลดเสียงลงยิ้มชั่วร้าย เอ่ยตอบทันที

แผนชายงามก็ไม่ได้ผล จู๋ซวีอู๋ได้แต่เอ่ยอย่างจนปัญญา “ศิษย์ขั้นฝึกปราณในสำนักข้ามีปริมาณมาก มีโรงอาหารที่สามารถกินอาหารได้ฟรี มีพ่อครัวหลายร้อยคน สามารถทำอาหารที่มีปราณวิญญาณรสชาติอร่อยให้ผู้บำเพ็ญเซียนกินได้ทุกเมื่อ มีอาหารหลากชนิด แต่ละวันอย่างน้อยมีร้อยชนิด อีกทั้งสำหรับผู้บำเพ็ญเซียนที่อยู่ขั้นสร้างฐานขึ้นไปยังสามารถสั่งอาหารได้”

“หืม?” พอจินเฟยเหยาได้ยินเรื่องนี้ ดวงตาก็เป็นประกาย

จู๋ซวีอู่จับจุดนี้ได้ทันที ท่าทางสามารถใช้อาหารล่อนางกลับสำนักตงอวี้หวงได้ นี่ก็ตะกละกินเกินไป หลอกง่ายจริงๆ

เขาไม่ปล่อยโอกาสไป เริ่มคุยแบบโวเติมน้ำมันใส่น้ำส้ม[1]ลงไป “ไม่เพียงเป็นโรงอาหารทานฟรี เนื่องจากศิษย์แต่ละตำหนักในสำนักมีมากมาย มีงานเลี้ยงตั้งแต่เช้าจรดค่ำ สุราวิญญาณอายุหลายร้อยปีล้วนยกมาเป็นโอ่ง ดื่มได้ตามสบาย อาหารล้วนเป็นวัตถุดิบอันล้ำค่า รสชาติก็เยี่ยมยอด ทั้งยังใช้เพลิงพิภพปรุง กินหมดหนึ่งมื้อปราณวิญญาณที่ได้รับสามารถฝึกบำเพ็ญได้หนึ่งปี”

จู๋ซวีอู๋กินอาหารที่โรงอาหารใหญ่ของสำนักตงอวี้หวง ล้วนเป็นเรื่องเมื่อแปดเก้าร้อยปีก่อน เวลานั้นเขายังเป็นเพียงเด็กน้อยขั้นฝึกปราณที่เพิ่งเข้าสำนัก สิ่งที่กินในโรงอาหารคืออะไร เขาลืมจนเกลี้ยงเกลาไปนานแล้ว แต่อาหารที่เอ่ยถึงว่ากินหนึ่งมื้อฝึกบำเพ็ญได้หนึ่งปีเป็นเรื่องจริง เพียงแต่สิ่งที่เขากินคืออาหารในงานเลี้ยงที่จัดขึ้นเมื่อซือจู่บรรลุขั้นแปลงจิตในยามนั้น อาหารปกติต่อให้กินปริมาณมากก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมีประสิทธิภาพเช่นนี้

จินเฟยเหยากำลังกังวลเรื่องหาอาหารให้ตนเองและกบสองตัวกินทุกวัน ตนเองเดินทางไปทั่วไม่มีสถานที่กินอาหารประจำ อีกทั้งต่อให้หาสถานที่สร้างถ้ำเซียนได้ แต่ละวันก็ต้องหาวัตถุดิบอาหารทั้งยังต้องทำอาหารเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา ถ้าเอาเวลาไปทุ่มให้เรื่องกินอย่างเดียว ก็จะไม่มีเวลาฝึกบำเพ็ญและทำเรื่องอื่น และไม่ถือว่าเป็นผู้บำเพ็ญเซียนนอกจากเป็นสุกร

โรงอาหารใหญ่ของจู๋ซวีอู๋ตรงกับใจของนางพอดี ถ้ามีสถานที่แบบนี้ พาต้านิวและพั่งจื่อไปนั่งในนั้นทุกวัน หาเวลาว่างหนึ่งชั่วยามกินจนอิ่ม ยังประหยัดเวลาสิบเอ็ดชั่วยามไว้ฝึกบำเพ็ญและทำเรื่องอื่นๆ ได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขาอยู่สำนักอะไร ดีขนาดนี้จริงๆ หรือ?

“ผู้อาวุโส ท่านคิดว่าจะมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมจะยอมเป็นศิษย์เพื่อโรงอาหารที่ทุกสำนักต่างก็มีหรือ” นอกจากโรงอาหารแล้ว จินเฟยเหยาก็ปวดศีรษะกับความซับซ้อนของบุคลากรและกฎเกณฑ์ในสำนัก มีผลประโยชน์เพียงเท่านี้ ทำให้นางหวั่นไหวได้เก้าในสิบส่วนเท่านั้น

จู่ซวีอู๋นอนตะแคงบนพรมบินตามสบาย ยิ้มให้จินเฟยเหยาเผยให้เห็นฟันขาวราวหิมะ “แล้วเจ้าคิดจะเอาอย่างไรจึงยอมไป ข้ารู้สึกว่าเจ้าน่าสนใจดี น่าสนุกกว่าศิษย์สตรีพวกนั้นที่เห็นข้าก็ตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า บอกเงื่อนไขของเจ้ามาเถอะ อย่างอื่นข้ามีไม่มาก ทว่าก็พอมีสมบัติอยู่บ้าง”

“ข้าไม่อยากเป็นศิษย์ของท่าน แต่ข้าอยากยืมใช้โรงอาหารของพวกท่าน” จินเฟยเหยาโยนผลไม้สีแดงให้เขาอย่างใจกว้าง จากนั้นยิ้มเจ้าเล่ห์

จู๋ซวีอู๋รับผลไม้เช็ดบนเสื้อผ้าแล้วแทะคำหนึ่ง จากนั้นเอ่ยถามอย่างสนใจ “ลองพูดมา ยืมอย่างไร”

“ท่านเชิญข้าไปเป็นแขก จากนั้นให้ข้าอาศัยอยู่บนยอดเขาของท่าน แล้วให้ข้าไปกินฟรีดื่มฟรีที่โรงอาหารได้ ข้าสามารถช่วยท่านทำเรื่องบางอย่าง ทว่าไม่อาจมากเกินไปอย่างมากเดือนละหนึ่งเรื่อง อีกทั้งห้ามเกินเวลาสามวัน ที่จริงท่านบอกว่าข้าเป็นบุตรสาวที่หายไปของท่านก็ได้ แค่มาพึ่งพาอาศัยท่านไม่ต้องเข้าสำนักให้กินฟรีก็พอ ข้าขั้นหลอมรวมแล้ว ข้าไม่ต้องการการปรนนิบัติ ต้องการเพียงที่อยู่อาศัยก็พอ” จินเฟยเหยาบอกความคิดของตนเองออกมา

จู๋ซวีอู๋มองนาง กระพริบตาปริบๆ เอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าเจ้าปลอมเป็นบุตรสาวของข้า กระบวนท่านี้จะใช้ได้หรือ?”

จินเฟยเหยาก็มองเขาเช่นเดียวกัน เอ่ยด้วยสีหน้าใสซื่อ “ผู้อาวุโส ท่านบอกว่าข้าน่าสนใจมิใช่หรือ อยากให้ข้ากลับไปสำนักกับท่าน ถ้าเป็นบุตรสาวไม่ได้จะบอกว่าข้าเป็นหลานสาวของลูกพี่ลูกน้องของภรรยาของท่านลุงใหญ่ของท่านก็ได้ ถือว่าเป็นญาติมาหาที่พึ่งพา ข้าไม่สนใจว่าจะเด็กกว่าท่านกี่รุ่น ถึงอย่างไรท่านก็ต้องแก่กว่าข้ามากแน่”

“ให้เจ้าไปกินฟรีดื่มฟรี เจ้ายังมีปัญหามากมายปานนี้ คนอื่นยังร้องไห้คร่ำครวญอยากเข้าสำนักของข้า เจ้ากลับดียิ่งนัก ยังจะปลอมตัวเป็นญาติข้า คิดจะอยู่เพียงในนาม” จู๋ซวีอู๋เอ่ยอย่างไม่พอใจ

จินเฟยเหยายักไหล่เอ่ยอย่างจนใจ “เช่นนั้นก็หมดหนทาง ท่านเป็นคนอยากให้ข้าไปนะ ที่จริงข้าก็ไม่ได้อะไร”

“เอาละๆ อาศัยกินเพียงในนามก็อาศัยกินเพียงในนาม ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ได้รับผิดชอบโรงอาหาร ดูเรื่องสนุกของคฤหาสน์กุ่ยเม่ยจบแล้ว เจ้าก็ตามข้ากลับสำนักตงอวี้หวง” จู๋ซวีอู๋ก็รู้สึกไม่เห็นเป็นอะไร จึงตกปากรับคำ

“สำนักตงอวี้หวง?” จินเฟยเหยาตกตะลึง มองจู๋ซวีอู๋อย่างตกใจ

จู๋ซวีอู๋แย้มยิ้มอย่างเจิดจรัส “ใช่ สำนักตงอวี้หวง เจ้ารู้สึกว่าตนเองโชคดีที่ได้เข้าสำนักใหญ่ขนาดนี้ใช่หรือไม่ และรู้สึกสำนึกเสียใจว่าถ้ารู้แต่แรกจะกราบข้าเป็นอาจารย์ทันทีใช่หรือไม่”

สำนึกเสียใจ สำนึกเสียใจแทบตายแล้ว! จินเฟยเหยาอกไหม้ไส้ขม เอ่ยถามด้วยความหวังอันริบหรี่ “ผู้อาวุโสรู้จักไป๋เจี่ยนจู๋หรือ?”

“รู้จัก เขาเป็นศิษย์หลานของข้า ข้าเป็นซือจู่ของเขาชื่อจู๋ซวีอู๋ น้องจินเฟยเหยา ข้าตามหาเจ้ามานานแล้ว” เห็นจินเฟยเหยาสีหน้าเปลี่ยนแปลง จู๋ซวีอู๋ก็หัวเราะขึ้นมา

จินเฟยเหยาพลันปรบมือ เอ่ยขออภัย “ผู้อาวุโส ขอโทษด้วย ข้านึกขึ้นได้กะทันหันว่ามีเรื่องด่วน ต้องไปทำเดี๋ยวนี้ เอาแบบนี้ ข้าไปจัดการธุระก่อนขอเพียงจัดการเสร็จสิ้น ข้าจะไปหาท่านที่สำนักตงอวี้หวงทันที ขอลาก่อน”

“ไม่เป็นไร ข้าว่างไม่มีอะไรทำพอดี ไปเป็นเพื่อนเจ้าสักรอบก็ได้” จู๋ซวีอู๋ใช้สองมือรองหลังศีรษะ นอนหลับบนพรมบินอย่างเกียจคร้านทันที

“ไม่เอานะ…”

…………………………………..

[1] เติมน้ำมันใส่น้ำส้ม หมายถึง แต่งเติมเนื้อหาเพิ่ม

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด