คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย 31 คนงามแห่งหอสาวงาม

Now you are reading คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย Chapter 31 คนงามแห่งหอสาวงาม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลี่เอ้อร์เกินยิ้มอย่างซื่อๆ “ข้าเคยได้ยินคนบอกว่า ในทะเลมีเต่าผลักคลื่นชนิดหนึ่ง มีตานสัตว์ปิศาจขนาดใหญ่เท่าชามอ่าง สามารถใช้เลื่อนขั้นพลังบำเพ็ญเพียรได้ไม่น้อย สหายเซียนจิน เจ้าไปล่าเต่าผลักคลื่นสักตัวดีกว่า เช่นนี้จะได้ตานสัตว์ปิศาจขนาดใหญ่”

“สหายเซียนหลี่…”

“สหายเซียนจินมีเรื่องใด?”

มองใบหน้าซื่อๆ และท่าทางจริงใจของเขา จินเฟยเหยาสูดลมหายใจลึกและเอ่ยว่า “สหายเซียนหลี่ เต่าผลักคลื่นเป็นสัตว์ปิศาจขั้นเจ็ด ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมพบเจอมันก็กลายเป็นอาหารว่าง ต่อให้ตานสัตว์ปิศาจของมันมีขนาดใหญ่เท่าบ้าน ข้าก็ไม่มีความสามารถจะไปจับมัน ให้สหายเซียนหลี่ทดลองดูดีกว่า”

“อืม ต่อไปถ้าข้าเก่งกาจ จะต้องช่วยสหายเซียนจินเรื่องนี้แน่นอน” หลี่เอ้อร์เกินพยักหน้า รับปากด้วยสีหน้าจริงจัง

จินเฟยเหยาได้แต่ขอบคุณเขาอย่างฝืนใจ ยามนี้นางด่าทอตนเองในใจ ทำไมต้องสนทนากับหลี่เอ้อร์เกินด้วย ถ้าเจ้าหมอนี่ได้ข่าวของเต่าผลักคลื่น จะลากตนเองไปหาที่ตายจริงๆ หรือไม่

ส่วนหลี่เอ้อร์เกินกลับปีติยินดี สามารถช่วยคนอื่นได้เขาก็รู้สึกเบิกบาน คนเราต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทว่าจินเฟยเหยารู้จากเวิงเหล่านานแล้ว หลายปีก่อนในเรือนสี่สิบสี่ยังมีสิบสามคน ในการทำภารกิจครั้งหนึ่ง ผู้บำเพ็ญเซียนคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บหนัก หลี่เอ้อร์เกินผู้มีจิตใจเร่าร้อนคนนี้ พันแผลให้ผู้บำเพ็ญเซียนคนนั้นแล้ววางเขาไว้ในสถานที่ปลอดภัยแล้วกลับมาที่กลุ่มทำภารกิจต่อ

คิดไม่ถึงว่าหลังจากทำภารกิจเสร็จสิ้น ตอนหลี่เอ้อร์เกินพาทุกคนไปยังสถานที่ปลอดภัยที่เขาตั้งอกตั้งใจค้นหา ผู้บำเพ็ญเซียนคนนั้นก็ไม่เหลือแม้แต่ซาก กองฟางผู้บำเพ็ญเซียนเคยนอนอยู่มีสัตว์ปิศาจอัคคีขั้นสามสองตัวที่รักกันมากนอนเรออยู่

ทุกคนจึงได้เข้าใจ ถ้ำอันปลอดภัยที่หลี่เอ้อร์เกินตั้งใจค้นหาพอดีเป็นรังของสัตว์ปิศาจอัคคีคู่หนึ่ง ตอนนั้นพวกมันออกไปหาอาหารพอดี ดังนั้นหลี่แอ้อร์เกินจึงวางสมาชิกที่ได้รับบาดเจ็บบนกองฟางที่สัตว์ปิศาจอัคคีปูไว้ จากนั้นก็ถูกสัตว์ปิศาจอัคคีที่กลับรังมาภายหลังคิดว่าเป็นอาหารอร่อยที่ส่งมาให้ถึงประตูบ้าน

ทุกคนหนีออกจากถ้ำอย่างตื่นตระหนก และทยอยกันตำหนิหลี่เอ้อร์เกิน ทว่าเขากลับมีสีหน้างุนงง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดทุกคนจึงตำหนิเขา ตอนคนอื่นถามเขาว่าไม่เห็นว่าในมุมถ้ำมีกระดูกคนกระดูกสัตว์กองอยู่เต็มหรือ คิดไม่ถึงว่าเขาจะบอกว่า ทุกคนในหมู่บ้านต่างไม่ไปยังสถานที่ที่มีคนตาย ดังนั้นจึงปลอดภัย

อีกทั้งเพราะเขาไม่เห็นซากศพของผู้บำเพ็ญเซียนคนนั้น อย่างไรเขาก็ไม่เชื่อว่าจะถูกซีเหยียนโซ่วสองตัวนี้กิน ยืนกรานหนักแน่นว่าผู้บำเพ็ญเซียนคนนั้นเดินทางกลับไปเอง ถึงแม้ตอนนี้จะผ่านมาหลายปีแล้ว ทว่าผู้บำเพ็ญเซียนคนนั้นก็ไม่เคยปรากฏตัวขึ้นอีกเลย เขาเพียงแค่ถือว่าตนเองเป็นคนดีที่ไม่ต้องการให้คนขอบคุณ เรื่องหวังดีแต่ประสงค์ร้ายเช่นนี้ เขาเคยทำมาแล้วหลายครั้ง ตอนนี้ทุกคนไม่กล้าให้เขาช่วยเหลือแล้ว ทว่าเขาคนนี้เป็นคนกระตือรือร้นโดยกำเนิด เห็นเวิงเหล่ายกกล่องอาหารก็เข้ามาช่วย  เพราะความซุ่มซ่ามจึงทำกล่องอาหารคว่ำหลายหน เวิงเหล่าเคยกินเศษชามแตกในอาหารอยู่หลายครั้ง ตอนนี้พอทุกคนได้ยินว่าเขาอยากช่วย ก็จะหนีกระเจิดกระเจิง หลีกเลี่ยงไม่ให้ดาวหายนะตัวเป็นๆ ก่อเรื่องให้ตนเอง

จากนั้นจินเฟยเหยาก็แสร้งทำท่าตรวจสอบเต่าเกราะเหล็กอย่างตั้งใจ ไม่สนทนากับหลี่เอ้อร์เกินอีก ส่วนหลี่เอ้อร์เกินเห็นอู๋เฮ่าคงกำลังนำตานสัตว์ปิศาจออกมา ในใจคันยุบยิบ ใจหนึ่งคิดจะเข้าไปช่วย ทว่าก่อนหน้านี้ไม่ว่าเขาอยากจะช่วยอะไรล้วนถูกอู๋เฮ่าคงหาเหตุผลต่างๆ นานามาปฏิเสธ หลายครั้งยังมีโทสะ บอกว่าเขาไม่เชื่อฟังคำสั่ง หัวใจเหมือนโดนแมวข่วนทว่ากลับไม่กล้าเข้าไป

อู๋เฮ่าคงนำตานสัตว์ปิศาจออกมาเสร็จสิ้นก็ออกจากวงเวทสังหาร นำยันต์เสียงอัสนีสีม่วงออกมาจากในอก “ยันต์ถ่ายทอดเสียงขั้นสี่ ของสิ่งนี้มีราคาไม่น้อย” ดวงตาจินเฟยเหยาเป็นประกาย จับจ้องยันต์เสียงอัสนีอย่างอิจฉา

ของสิ่งนี้ถึงจะเป็นเพียงยันต์ถ่ายทอดเสียง ทว่าประสิทธิผลไม่เหมือนกัน ไม่เพียงแค่ถ่ายทอดเสียงได้รวดเร็ว ยังสามารถส่งสิ่งของได้ด้วย แม้แต่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ก็มิอาจมาขัดขวางและขโมยสิ่งของภายในยันต์ได้

อู๋เฮ่าคงถ่ายเทพลังวิญญาณลงในยันต์เสียงอัสนี ยันต์เสียงอัสนีก็กลายเป็นแสงสีม่วงขนาดเท่าศีรษะดวงหนึ่ง เขาวางกล่องหยกที่บรรจุเน่ยตาน[1]ลงในแสงสีม่วง พอร่ายเวทมนตร์ เสียงสายฟ้าก็ดังขึ้น แสงสีม่วงกระพริบวาบแล้วหายไป ตอนมันปรากฏขึ้นอีกครั้งก็ถึงจุดหมายปลายทาง

ร่างขนาดยักษ์ของเต่าเกราะเหล็ก กระดองเต่าเป็นวัสดุชั้นดีในการสร้างอาวุธเวทขนาดใหญ่ ไม่อาจตัดแบ่งนำไป อีกอย่างหนึ่งพวกเขาก็ไม่มีพื้นที่มิติ กระเป๋าเก็บของที่มีขนาดใหญ่ที่สุดก็บรรจุเหยื่อที่ใหญ่สิบกว่าจั้งไม่ได้ ได้แต่ส่งยันต์เสียงอัสนีให้คนที่มอบภารกิจ ให้พวกเขามารับสิ่งของที่นี่ ขอเพียงรับรองว่าเต่าเกราะเหล็กอยู่ที่นี่ก่อนผู้มอบภารกิจมา หลังจากส่งมอบภารกิจก็ไม่ต้องสนใจว่าพวกเขาจะจัดการกับเต่าเกราะเหล็กอย่างไร

รอจนกระทั่งเช้าตรู่วันที่สอง จึงเห็นเรือบินได้ยาวสิบกว่าจั้งลำหนึ่งขับมาอย่างช้าๆ ทั้งลำเรือใช้วัสดุที่หลอมสร้างจากผ้าไหมสีขาว ก้นเรือวาดวงเวทสีทองขนาดยักษ์ กำลังกระพริบแสงสีทองทำงานอยู่ ส่วนหางเรือมีหอเล็กสามชั้นที่งดงามและประณีต นอกหอก็วาดวงเวทสีทองไว้ ด้านบนของหอปักธงขนาดใหญ่ ปักอักษร ‘สาวงาม’ สีทองขนาดยักษ์

“สิ้นเปลืองเกินไปแล้ว ศิลาวิญญาณที่ใช้ทำให้เรือบินลอยได้ เพียงพอจะซื้อเต่าเกราะเหล็กสองตัว” จินเฟยเหยามองเรือบินได้บนท้องนภา ทอดถอนใจว่าคนล้างผลาญสมบัตินี่มีมากมายจริงๆ

“คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเรือของหอสาวงาม ไม่รู้ว่าผู้มาเป็นใคร โชคดีจริงๆ” ติงจี้ตื่นเต้นขึ้นมาอย่างกะทันหัน เบียดมาอยู่ด้านหน้าสุด เงยหน้าขึ้นจับจ้องเรือบินได้ในท้องนภาแน่วนิ่งดวงตาเป็นประกาย เรือบินได้จอดอยู่เหนือเต่าเกราะเหล็ก บนหัวเรือมีเงาร่างคนหลายคนที่สวมกระโปรงยาวสีขาวแบบเดียวกันปรากฏขึ้น เพราะว่าอยู่ห่างเกินไปจึงเห็นเพียงกระโปรงสีขาวบนร่างของคนหลายคนมีแสงสีเงินกระพริบทำให้คนตาลาย

“พวกผู้บำเพ็ญเซียนอิสระที่ไร้ประโยชน์ ทุบตีกระดองเต่าเกราะเหล็กที่ข้าต้องการจนกลายเป็นแบบนี้ จะให้ข้าหลอมสร้างเป็นเรือได้อย่างไร ไม่ต้องให้ศิลาวิญญาณแก่พวกเขา ให้พวกเขาไปขายเนื้อเต่าเอาเอง” สาวน้อยอายุสิบห้าสิบหกปีคนหนึ่งสวมผ้าคลุมหน้าสีขาวยืนอยู่บนหัวเรือบินได้เอ่ยตำหนิอย่างไม่พอใจ

ด้านหลังของนางมีสาวน้อยสิบคน ทั้งหมดมีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นฝึกปราณ ทุกคนต่างก้มศีรษะ ยืนเป็นระเบียบเรียบร้อยด้วยท่าทางเคารพนบนอบ มีเพียงหญิงชราขั้นสร้างฐานช่วงกลางคนหนึ่งที่เงยหน้ายืนอยู่ข้างกายนาง ถึงแม้จะเคารพ ทว่ากลับปราศจากท่าทางของบ่าวไพร่

“เจ้าหอน้อย รูบนกระดองเต่าดูแล้วหนักหนาสาหัส ที่จริงไม่มีผลกับการหลอมสร้างเลยสักนิด ขอเพียงนำกลับไปจัดการนิดหน่อยก็มีสภาพดีดังเดิมแล้ว” หญิงชราเอ่ยอธิบายเสียงเบา สาวน้อยขมวดคิ้วมองกระดองเต่าที่เสียหายด้านล่างเรือ ยังคงไม่พอใจอยู่ “ฮึ หากมิใช่ท่านแม่ไม่ยอมให้ข้าใช้เต่ากระดูกหยกเป็นวัสดุ เหตุใดข้าต้องลำบากมาค้นหาเต่าเกราะเหล็กห่วยๆ ชนิดนี้ สีก็เทาๆ ไม่สวยเลยสักนิด สาวงามอันดับหนึ่งในโลกหนานซานอย่างข้านั่งโดยสารเรือเช่นนี้คงขายหน้าแย่”

“เจ้าหอน้อยไม่ต้องเป็นห่วง ข้าหารือกับบรรดาอาจารย์ช่างหลอมแล้ว ตอนหลอมสร้างใส่ศิลากาฬเพิ่มเข้าไปสามารถทำให้ตัวเรือกลายเป็นสีดำได้ ในผงผลึกศิลากาฬสามารถแสดงประสิทธิผลของดวงดาวได้ อีกทั้งวงเวทของตัวเรือไม่ต้องใช้เลือดกิ้งก่าทอง ทว่าใช้เลือดม้าเซียนสีเงินเขาเดียวที่ล้ำค่ากว่าวาด  รอจนหลอมสร้างเสร็จสิ้น ต้องงดงามละลานตามากกว่าเรือบินได้ที่หลอมสร้างจากเต่ากระดูกหยกของเจ้าหอแน่นอน” หญิงชราพูดน้ำไหลไฟดับเริ่มเอ่ยโน้มน้าวขึ้นมา

นางจะไม่ลงแรงก็ไม่ได้ เจ้าหอสั่งการลงมา ให้ใช้วัสดุขั้นสามสร้างเรือบินได้เท่านั้น กระดองเต่ากระดูกหยกถึงจะดี ทว่าเป็นสัตว์ปิศาจขั้นหก ตอนนั้นเจ้าหอเองก็จ่ายไปในราคาสูงจึงซื้อมาได้

ตอนนี้ถึงแม้จะบอกว่าสิ่งที่ให้เจ้าหอน้อยใช้สอยคือกระดองเต่าเกราะเหล็กขั้นสาม ทว่าก็ต้องใช้ศิลากาฬปริมาณมากและเลือดม้าเซียนสีเงินเขาเดียวอันล้ำค่า ศิลาวิญญาณที่ใช้ทั้งหมดไม่น้อยไปกว่าเรือบินได้ลำนี้เท่าไหร่

“จะงดงามเทียบได้กับใบหน้าอันงดงามของข้าจริงๆ หรือ?” สาวน้อยเอ่ยถามอย่างสงสัย ข้อสำคัญคือกระดองเต่าเกราะเหล็กเบื้องหน้าน่าเกลียดเกินไป นางนึกไม่ออกจริงๆ ว่าหลังจากสร้างเสร็จสิ้นจะมีลักษณะเช่นไร

สำหรับความเชื่อมั่นจนแทบจะเป็นความบ้าคลั่งในหน้าตาตนเองของนาง พวกหญิงชราเห็นจนเคยชินนานแล้ว ทุกคนก้มหน้าลงไม่เอ่ยอะไร ปล่อยให้นางพูดไม่หยุดอยู่คนเดียว

สาวน้อยทอดถอนใจในความงดงามของตนเอง ในที่สุดก็นึกถึงธุระขึ้นได้ “ท่านน้าไป๋ ลงไปมอบศิลาวิญญาณเถอะ ข้าจะฝืนใจรับเต่าเกราะเหล็กตัวนี้ไว้ คนสิบกว่าคนนี้ถูกรูปโฉมของข้าดึงดูด มองเหม่ออยู่นานขนาดนี้ ไม่ขยับเขยื้อนสักนิด พวกเราไปเถอะ ให้สวะพวกนี้เห็นตัวจริงของข้าไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดี”

“เจ้าค่ะ” หญิงชราที่ชื่อท่านน้าไป๋นำอาวุธวิเศษหรูอี้ชั้นล่างออกมา กระโดดเหินกายขี่ของวิเศษบินลงมา

สาวน้อยพูดได้ถูกต้อง ตั้งแต่นางปรากฏตัวคนทั้งสิบสามคนด้านล่างต่างจับจ้องเรือบินได้ที่อยู่ใต้ร่างของนาง นอกจากติงจี้ที่สามารถจินตนาการถึงรูปโฉมของนางผ่านผ้าคลุมหน้า คนอื่นๆ ไม่สามารถมองเห็นหน้าตาของนางได้ย่อมไม่สนใจใบหน้าของนาง

สิ่งที่อู๋เฮ่าคงสนใจคือจะได้เงินรางวัลมาอย่างราบรื่นหรือไม่ งานของหอสาวงามไม่ง่ายเลย อีกทั้งเต่าเกราะเหล็กตัวนี้ใช้เวลาหนึ่งเดือนกว่าจึงหาพบ ทุกคนลำบากกันมามาก

ส่วนมู่เสี่ยวสือจับจ้องนางแน่วนิ่ง เป็นเพราะเขากำลังนั่งยองๆ ขโมยตัดนิ้วอยู่ข้างขาของเต่าเกราะเหล็ก กลัวจะถูกคนพบเห็นดังนั้นจึงทำตัวลับๆ ล่อๆ จากฝีมืออันชำนาญของเขาและท่าทางเฝ้าระวังรอบด้าน มองดูก็รู้ว่าทำเรื่องเอาเปรียบเช่นนี้มาตลอด คนที่เหลือก็เหมือนกับจินเฟยเหยา ถูกเรือบินได้อันหรูหราดึงดูดสายตาเอาไว้ นอกจากอิจฉาริษยาแล้ว ก็เหลือเพียงความเกลียดชังคนรวย

“เรือลำนี้ใหญ่มาก ใหญ่โตกว่ารถม้าของตระกูลเจ้าของที่ดินในหมู่บ้านข้าเยอะเลย หากใช้มันมาลากอุจจาระ คงไม่ต้องไปลากปุ๋ยทำนาของทั้งหมู่บ้านมาจากข้างนอกไปหลายปี” หลี่เอ้อร์เกินจุปาก เอ่ยชมอย่างอิจฉายิ่ง

พอทุกคนได้ฟังก็แทบจะกระอักโลหิตออกมา

คิดไม่ถึงว่าเขาจะนำเรือบินได้ของสาวงามมาบรรยายเช่นนี้ ติงจี้เคาะพัดลงบนมืออย่างแรงด้วยความโกรธ เอ่ยด่าทอหลี่เอ้อร์เกิน “เจ้าคนบ้านนอก หากยังเหยียดหยามสาวงามของข้าอีก ต่อให้ทุกคนอยู่เรือนเดียวกัน ข้าก็ต้องสั่งสอนเจ้าอย่างรุนแรงสักครั้ง”

หลี่เอ้อเกินถูกด่าทออย่างไร้สาเหตุ ก็ตะโกนด้วยใบหน้าแดงก่ำ “เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาด่าข้า ข้าเหยียดหยามสาวงามเมื่อไหร่ อีกอย่างหนึ่งตอนนี้มีสาวงามที่ไหน เหตุใดข้าจึงไม่เห็น เจ้าพาสตรีกลับเรือน ข้าไม่เคยด่าทอมาก่อน”

“คนเหล่านั้นจะถือเป็นคนงามอะไรได้ ตอนนี้สตรีชุดขาวบนเรือจึงเป็นสตรีที่งดงามเป็นเอก คนที่ใช้ร่างกายแลกศิลาวิญญาณเหล่านั้นจะนำมาเปรียบเทียบกับเทพธิดาแห่งหอสาวงามได้อย่างไร” ติงจี้รักษาสีหน้าไว้ไม่อยู่ ผู้ที่พาสตรีกลับเรือนมีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น

“ฮึ” เสวี่ยเหนียงจื่อส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นชา เอ่ยเย้ยหยัน “หอสาวงามก็ใช้ร่างกายแลกศิลาวิญญาณมิใช่หรือ แค่ราคาสูงหน่อยเท่านั้น มีอันใดแตกต่างกับสตรีที่เจ้าพากลับมา อยู่ไกลขนาดนั้นแถมยังมีผ้าคลุมหน้าบนใบหน้า เจ้าก็มองออกว่าผู้อื่นเป็นคนงาม อย่าพูดให้ขำดีกว่า”

“เจ้า! ห้ามเจ้าว่าคนในหอสาวงามแบบนี้ เจ้านึกว่าทุกคนล้วนเป็นเหมือนเจ้าหรือ สตรีพิษ” ติงจี้ไม่ยอมน้อยหน้า เอ่ยเสียดสีขึ้น

“พอแล้ว ทุกคนหุบปาก ผู้อื่นมารับภารกิจแล้ว หากอยากได้ศิลาวิญญาณก็หุบปาก” เห็นท่านน้าไป๋ขี่ของวิเศษบินมา ในที่สุดอู๋เฮ่าคงก็มีโทสะ เอ่ยคำรามเสียงต่ำ

[1] เน่ยตาน คือ พลังงานในการฝึกบำเพ็ญซึ่งหลอมรวมออกมาในรูปผลึก เป็นเม็ดกลมๆ อยู่ในร่างกาย

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด