คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย 44 แมวจับหนู

Now you are reading คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย Chapter 44 แมวจับหนู at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ข้ายังลืมอะไรอีกนะ จะให้คนรู้ไม่ได้ว่าข้าเคยอยู่ที่นี่ จริงสิ ก้อนหิน ก้อนหินที่ขว้างคน” จินเฟยเหยาสวมชุดยาวที่ไม่เหมาะกับตัว ค้นหาไปมาบนพื้นอย่างกังวล เก็บก้อนหินก้อนเล็กก้อนใหญ่ที่ขว้างคนขึ้นมา

จากนั้นนางไม่ทันตรวจสอบทิศทาง ก็แทรกตัวเข้าไปในพุ่มไม้หนาอย่างเร่งรีบ หนีหายไปราวกับหมอกควัน

ก็โทษว่าไม่ได้ที่นางจะลนลาน หอซวีชิงเป็นสำนักใหญ่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในโลกหนานซาน และเป็นหนึ่งในตำหนักลั่วเซียน เกาะป่าไผ่อันงามสง่าที่ปลูกไผ่เขียวเต็มไปหมดในห้าเกาะลอยได้เหนือเมืองลั่วเซียนก็คือรังของหอซวีชิง

จินเฟยเหยาแค่เคยได้ยินมาว่าสมาชิกในสำนักนี้มีน้อยมาก ศิษย์ในสำนักล้วนเป็นคนที่ได้รับการเลือกสรรแล้ว หากไม่มีพลังวิญญาณสวรรค์และพลังวิญญาณผันแปร ก็ไม่มีคุณสมบัติจะขึ้นเกาะลอยได้ ทั้งยังไม่มีศิษย์สายนอก ทั้งหมดล้วนเป็นศิษย์ผู้สืบทอด

นึกถึงว่าถ้าถูกเข้าใจผิดว่าฆ่าศิษย์สืบทอดของพวกเขา นั่นเป็นเรื่องที่ต้องรับผิดชอบผลที่ตามมา นางวิ่งไปพลางแก้ต่างให้ตนเอง “ข้าไม่ได้ฆ่าคน ต้องไม่ได้ถูกข้าใช้ก้อนหินทุบตายแน่ ใช่ ตอนข้ามาเขาก็ตายไปแล้ว อย่างมากข้าก็แค่ถือโอกาสหยิบฉวยสิ่งของ อีกทั้งข้ายังไม่ได้ทิ้งร่องรอยเอาไว้ น่าจะหาที่อยู่ของข้าไม่พบ”

หลังจากรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนของหอซวีชิง นางก็ไม่ได้คิดจะวางสิ่งของที่นำมากลับคืน ถึงกับไม่เคยคิดจะเหลือกางเกงในตัวหนึ่งไว้ให้ผู้อื่น ถ้าคนของหอซวีชิงหาศพของศิษย์พบ และพบว่าศิษย์ตายแบบร่างเปลือยเปล่าไม่สวมอะไรสักชิ้น จะเดือดดาลมากเพียงใด

ภายใต้แสงจันทร์กระจ่าง ในป่าเงียบสงัด ณ เทือกเขาไร้นาม

ศพบุรุษไม่ทราบชื่อของหอซวีชิงที่นอนเงยหน้าอยู่ใต้ต้นไม้อย่างเงียบๆ ดวงตาที่ไร้ประกายยังคงเบิกกว้างดังเดิม ร่างที่เต็มไปด้วยคราบโลหิตภายใต้แสงจันทร์แลดูดุร้าย

อีกากินซากสีดำสนิทตัวหนึ่งบินมา และร่อนลงบนทรวงอกของเขา ใช้จะงอยปากแหลมๆ จิกบนบาดแผลของเขาหลายครั้ง พบว่าเนื้อยังไม่เน่า ก็ยืนเฝ้าอาหารของตนเองบนทรวงอกอย่างมั่นคง

ทันใดนั้น ม่านตาของศพบุรุษไร้นามพลันหดตัว พริบตา อีกากินซากบนทรวงอกก็ถูกมือขวาของเขาจับไว้อย่างแน่นหนา เขาค่อยๆ ลุกขึ้นยืน คอของอีกากินซากที่ถูกบีบแน่นในมือมีเส้นเลือดปูดโปน คอนกถูกเขาบีบแตกละเอียดทั้งเป็น

“กล้าหลู่เกียรติข้าเช่นนี้ ต่อให้เจ้าหนีไปถึงสุดหล้าฟ้าเขียว ข้าก็ต้องเอาเจ้ามาสับเป็นหมื่นๆ ชิ้นให้ได้” ไป๋เจี่ยนจู๋เค้นคำพูดประโยคหนึ่งลอดไรฟันออกมาอย่างเดือดดาล

เขาคิดไม่ถึงว่าตนเองได้รับบาดเจ็บหนักหนีมาจนถึงที่นี่ กำลังใช้เคล็ดวิชาลับฟื้นฟูร่างกาย อยู่ในสภาพแสร้งตายชั่วคราว ไม่รู้ว่ามีเด็กผู้หญิงร่างเปลือยเปล่า คนหนึ่งลอยมาจากไหนตกลงกระแทกตรงที่ไม่ไกลนัก เขานึกว่านางตายแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะดวงแข็งและลุกขึ้นยืนได้อีก

อย่าเห็นว่าเขานอนหลับอยู่ในสภาพเหมือนตาย ม่านตายังขยาย ทว่าที่จริงเหมือนกับนั่งสมาธิปิดด่านกักตน เขาเห็นการกระทำของจินเฟยเหยาอย่างชัดเจน ตอนขว้างก้อนหินใส่เขาศีรษะแตกโลหิตไหล เขาก็นึกอยากจะใช้ฝ่ามือฟาดตบยายเด็กไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำและเหิมเกริมอุกอาจคนนี้ให้ตาย

ทว่าน่าเสียดายที่อาการบาดเจ็บของเขาอาจถึงแก่ชีวิตได้ เคล็ดวิชาลับฟื้นฟูร่างกายที่ดำเนินอยู่ไม่อาจถูกขัดขวาง ได้แต่นอนเหมือนคนตาย ปล่อยให้จินเฟยเหยาเก็บกวาดสิ่งของทั้งหมดบนตัวเขาไป

ทว่าตอนจินเฟยเหยาส่งเสียงหัวเราะดัง ‘อุ๊บ’ ออกมา ไป๋เจี่ยนจู๋แทบจะควบคุมตนเองไม่ไหว ไอสังหารพวยพุ่งออกมาอย่างบ้าคลั่ง เกือบจะทำให้เขาธาตุไฟเข้าแทรกเสียชีวิตไปจริงๆ โชคดีที่สะกดพลังวิญญาณที่พลุ่งขึ้นมาไว้ได้ทันเวลา บีบให้ไอดุร้ายกลับเข้าไปในร่าง จึงช่วงชิงชีวิตกลับมาได้

และเป็นเพราะเหตุนี้ จินเฟยเหยาจากไปเกือบสองชั่วยามแล้ว เคล็ดวิชาลับของเขาจึงสำเร็จสมบูรณ์ ช้ากว่าเวลาที่คาดไว้หนึ่งชั่วยามกว่า เรื่องแรกที่เขาฟื้นขึ้นมาก็คือตามล่าจินเฟยเหยา สังหารนางให้ตาย แล้วแย่งชิงสิ่งของของตนเองกลับมา

เขาโยนอีกากินซากที่หมดลมหายใจไปนานแล้วทิ้ง อ้าปากถ่มหมื่นลูกข่างซึ่งเป็นอาวุธเวทแก่นชีวิต[1]ออกมา ไม่สนใจหาสิ่งของปกปิดร่างกายขี่ของวิเศษไล่ตามไปยังสถานที่ซึ่งจินเฟยเหยาหนีไป ทั้งยังปลดปล่อยการรับรู้ทั้งหมดออกมา กวาดมองกิจกรรมพลังวิญญาณทั้งหมดบนถนน สาบานว่าจะต้องจับนางให้ได้

หมื่นลูกข่าง ตัวเป็นไม้ไผ่สีเขียวหยก กระพริบแสงรัศมีพร่าพราย พาไป๋เจี่ยนจู๋แหวกนภาไป ณ ขอบฟ้า ทิ้งไว้เพียงแสงสีเขียวบาดนัยน์ตาสายหนึ่ง

“ว้าว อาวุธเวทบินได้ที่ร้ายกาจยิ่ง ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานช่างน่าอิจฉายิ่งนัก เมื่อใดข้าจะขี่อาวุธเวทบินแบบนี้ได้ ทำให้คนอิจฉาแทบตายแล้ว” จินเฟยเหยาอยู่ในพุ่มไม้ที่ห่างจากที่เกิดเหตุไม่ไกลนัก มือถือเนื้อย่างน้ำมันหยดติ๋งๆ ชิ้นหนึ่ง กินไปพลางมองไป๋เจี่ยนจู่บินไป ทอดถอนใจอย่างอิจฉา

นางเห็นเพียงแสงไฟสีเขียวดวงหนึ่งและเงาร่างคนเลือนราง คิดไม่ถึงว่าคนที่เห็นก็คือซากศพที่ถูกตนเองปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมเมื่อครู่

นับว่านางดวงแข็ง เพิ่งเดินออกมาไม่นาน ก็พบว่าท้องหิวจนร้องจ๊อกๆ ทั้งยังตาลาย มีความคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะบังเอิญถูกหอซวีชิงค้นพบ นางจึงฆ่าหมูดินที่ผ่านทางมาตัวหนึ่งตรงนั้น หลังจากใช้เวทอัคคีจุดกองไฟ พลังวิญญาณของนางก็แห้งเหือดจนหมด

ตอนนั่งอยู่ข้างกองไฟรอให้หมูย่างสุก นางเริ่มตรวจสอบสภาพภายในร่างกาย จริงเสียด้วย นางใช้พลังวิญญาณในร่างทั้งหมดจนเกลี้ยง เวทอัคคีที่ใช้เมื่อครู่ ดวงไฟมีขนาดแค่ผลหลี่ ตอนนี้ขนาดกระเป๋าเก็บของนางก็ยังไม่มีปัญญาเปิดดู ความรู้สึกปราศจากพลังวิญญาณเช่นนี้ ช่างว่างเปล่าเป็นพิเศษจริงๆ

ตอนการรับรู้ของไป๋เจี่ยนจู๋กวาดผ่านบนร่างนาง เพราะว่านางไม่มีพลังวิญญาณสักนิด ในสำนึกของไป๋เจี่ยนจู๋ก็เท่ากับสัตว์จำพวกม้าหรือหมู จึงถูกเขามองข้ามไป บวกกับจินเฟยเหยากินอย่างร่าเริง ลืมเติมฟืนใส่กองไฟ ไฟจึงดับไปนานแล้ว ดังนั้นจึงทำให้ไป๋เจี่ยนจู๋ไม่พบว่านางอยู่ด้านล่าง จึงพลาดโอกาสดีที่จะล้างอายไป

ถ้าจินเฟยเหยารู้ว่าไป๋เจี่ยนจู๋เป็นศพคืนชีพ ใจคิดเพียงอยากจะเอาชีวิตนาง เกรงว่าเนื้อมังกรนางก็กินไม่ลง ไหนเลยจะเป็นเหมือนเช่นยามนี้ ยังโอบขาหมูป่าที่ไม่ได้ใส่เครื่องเทศกัดแทะอย่างยินดี

“ยายเด็กนี่ไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหนกันแน่ เหตุใดจึงหาไม่พบ หรือว่านางมีเวทมนตร์ซ่อนพลังการบำเพ็ญเพียร?” ไป๋เจี่ยนจู๋ยืนอยู่ในป่าอย่างเดือดดาล ข้างเท้ามีผู้บำเพ็ญเซียนที่นอนหมดสติอยู่คนหนึ่ง บนร่างสวมเพียงกางเกงในตัวเดียว

เขาค้นหาอยู่หนึ่งคืนก็หาจินเฟยเหยาไม่พบ ยามกลางวันกลัวว่าจะถูกคนเห็นว่าตนเองไม่ได้สวมเสื้อผ้า ได้แต่ร่อนลงในป่า รักษาอาการบาดเจ็บพลางใช้การรับรู้ค้นหาคนในป่า สถานที่แห่งนี้อยู่ห่างไกลเกินไป รออยู่นานจึงใช้การรับรู้ตรวจพบคนผู้หนึ่ง เขาไม่สนใจว่าใช่จินเฟยเหยาหรือไม่ รีบเร่งรุดมาทันที

พบว่าเป็นผู้บำเพ็ญเซียนแปลกหน้าขั้นฝึกปราณช่วงปลาย จึงฉวยโอกาสที่ผู้อื่นไม่ทันรู้ตัว ทุบตีคนสลบจากทางด้านหลัง แย่งชิงเสื้อผ้าของผู้อื่นไปเช่นเดียวกัน ทว่าเขาไม่ทำเรื่องฉวยโอกาสในยามที่ผู้อื่นลำบาก นอกจากเหลือกางเกงในตัวหนึ่งให้ผู้อื่น ก็ไม่ได้นำกระเป๋าเก็บของไป แน่นอนว่ามีสาเหตุที่ทำให้ไม่เหลือบแลกระเป๋าเก็บของของผู้อื่น

เขาคิดว่ารอบด้านนอกจากเมืองลั่วเซียนแล้วก็ไม่มีเมืองอื่น จึงตัดสินใจกลับไปค้นหารอบๆ เมืองลั่วเซียน ฉวยโอกาสที่คนผู้นี้ยังไม่ฟื้นดูลักษณะของเขา ไม่จำเป็นต้องฆ่าคนปิดปาก ไป๋เจี่ยนจู๋เหยียบบนหมื่นลูกข่างแล้วบินจากไป

ความคิดของเขาไม่เลว เพียงแต่จินเฟยเหยากลับไม่ทำตามหลักการปกติ เพราะว่านางหลงทาง

ในกระเป๋าเก็บของของไป๋เจี่ยนจู่ไม่มีแผนที่ จินเฟยเหยาจึงไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ไหน ที่จริงต่อให้มีแผนที่ นางก็อาจจะหาตำแหน่งของตนเองบนแผนที่ไม่พบ นางบังเอิญโชคดีหลบการค้นหาของไป๋เจี่ยนจู๋ได้ราวปาฏิหาริย์ แม้แต่ตัวนางก็ไม่รู้ว่าตนเองจะไปที่ใด และตนเองอยู่ที่ไหน ผู้อื่นจะคาดเดาความคิดของนางออกและสกัดนางได้อย่างไร

จินเฟยเหยาเดินเปะปะอยู่นอกเมืองเช่นนี้ การอาศัยมองดวงอาทิตย์จำแนกทิศทางไม่มีประโยชน์สำหรับนางเลยสักนิด พอดวงอาทิตย์เปลี่ยนตำแหน่ง นางก็เดินผิดทาง สุดท้ายนางยิ่งมายิ่งไกลจากเมืองลั่วเซียน ใช้เวลาครึ่งเดือน จึงเดินมาถึงเมืองเล็กๆ ที่คนธรรมดาอาศัยอยู่

เมืองเล็กๆ ที่มีคนหมื่นกว่าคน ไม่ค่อยคึกคัก ยังเรื่อยๆ พอได้อยู่ นางนั่งยองๆ นอกเมือง ปล้นรถม้าที่ดูเหมือนของเศรษฐีคันหนึ่ง แย่งชิงถุงเงินของผู้อื่น จากนั้นก็เดินส่ายอาดๆ เข้าเมือง

ทั้งซื้อเสื้อผ้าและพักโรงเตี๊ยม อยู่ในเมืองเล็กๆ แห่งนี้หลายวัน ในที่สุดนางก็คลำทางพบ รู้ว่าหากตนเองขี่ม้าคาดว่าต้องเดินทางหนึ่งเดือนกว่าจึงกลับถึงเมืองลั่วเซียนได้ ท่าทางเวทไฟนรกจะรวดเร็วอย่างยิ่ง ตนเองหนีออกมาสี่ห้าพันหลี่ภายในคืนเดียว

ตอนนางขี่ม้ากลับมาถึงเมืองลั่วเซียน ไป๋เจี่ยนจู๋รออยู่นานไม่พบเห็นนาง ก็ไม่ได้เฝ้าจับตาดูรอบเมืองลั่วเซียนแล้วเพราะมีธุระในสำนัก

ป้ายหยกเข้าสำนักเฉวียนเซียนของจินเฟยเหยาถูกเผาจนไม่เหลือซากไปนานแล้ว ได้แต่ไปทำใหม่อีกอัน จากนั้นคิดจะกลับไปดูว่าหลิ่วฉี่ปอและติงเทียนเฉิงมีชีวิตรอดกลับมาหรือไม่ ไม่รอให้นางเอ่ยปากสอบถาม พอพนักงานที่จัดการธุระในสำนักเฉวียนเซียนได้ยินชื่อของนาง ก็เอ่ยอย่างตกตะลึงทันที “คิดไม่ถึงว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่!”

“สหายเซียนหมายความว่าอย่างไร หรือว่าข้าตายจึงเป็นเรื่องปกติ?” จินเฟยเหยาไม่พอใจ เหตุใดจึงมีคนเช่นนี้ด้วย เห็นคนอื่นหนีรอดจากความตายมาไม่ได้หรือ?

“เปล่า ไม่ได้หมายความเช่นนั้น เพียงแต่เจ้าสามารถหนีรอดจากเงื้อมมือของสำนักมารได้ อีกทั้งดูแล้วไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ ดังนั้นข้าจึงตกตะลึงเกินไป สหายเซียนจินโปรดอย่ามีโทสะเลย” ศิษย์ทำธุระคนนี้ก็รู้สึกว่าตนเองพูดผิด จึงรีบอธิบาย

“เรื่องนี้แพร่ไปทั่วแล้ว?”

เห็นจินเฟยเหยามีสีหน้าไม่เข้าใจ ศิษย์ทำธุระจึงเอ่ยว่า “วันนั้นติงเทียนเฉิงพาร่างที่บาดเจ็บกลับมาแจ้งข่าว ทว่าข่าวที่เขาให้ไม่ค่อยชัดเจนเท่าใด ตอนแรกรู้ว่าเป็นสำนักมาร ตอนนั้นมีคนไม่เชื่อ เมื่อในสำนักส่งคนไปจึงพบว่าคนของสำนักมารไปกันหมดแล้ว เหลือเพียงซากศพหลายซากของสำนักหลิงคง พบหลิ่วฉี่ปอในสถานที่ซึ่งอยู่ห่างจากเขาจี๋เหนี่ยวหลายร้อยหลี่ ตอนนั้นบาดแผลสาหัสยิ่ง จนถึงตอนนี้ยังหมดสติอยู่ ขณะติงเทียนเฉิงกลับมาก็เหลือเพียงครึ่งชีวิต เบื้องบนให้เขายืมถ้ำที่เปี่ยมพลังวิญญาณ ตอนนี้กำลังปิดด่านกักตนรักษาบาดแผล”

จากนั้นศิษย์ทำธุระจึงเอ่ยเตือนอย่างไม่แน่ใจ “สหายเซียนจิน ครั้งนี้สำนักหลิงคงหนีไม่รอดแม้แต่คนเดียว ได้ยินว่าเจ้าสำนักของพวกเขาจะตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวด ทั้งยังถามถึงที่อยู่ของสหายเซียนเป็นพิเศษ ราวกับรู้จักกับสหายเซียน ทว่าน้ำเสียงไม่ดี คิดจะดึงสหายเซียนเข้าไปเกี่ยวข้องกับคนของสำนักมารให้ได้ หากสหายเซียนติงมิได้เป็นพยาน พวกเขาคงจะตัดสินว่าท่านกับสำนักมารเป็นพวกเดียวกัน”

“ผายลม พวกเขาสิเป็นพวกเดียวกับสำนักมาร ภารกิจนี้สหายเซียนหลิ่วเรียกข้าไป เจ้าพวกโง่เง่าของสำนักหลิงคงกลุ่มนั้น ข้าก็ไม่รู้จัก ผู้ใดจะรู้ว่าพวกเขาไปได้อย่างไร เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย” จินเฟยเหยาพอได้ยินก็ไม่ยอม สำนักหลิงคงบ้านี่ ถึงกับคิดจะป้ายสีนาง

ศิษย์ทำธุระเห็นท่าทางเดือดดาลของนางก็หัวเราะเอ่ยว่า “เบื้องบนก็ไม่เชื่อ สหายเซียนจินเป็นคนของสำนักเฉวียนเซียนเรา จะให้พวกเขากัดมั่วซั่วโดยไม่มีหลักฐานได้อย่างไร แต่ว่าในเมื่อสหายเซียนกลับมาอย่างปลอดภัย ก็ต้องไปเล่าเรื่องในวันนั้นให้เบื้องบนฟัง ตอนหาสหายเซียนหลิ่วพบก็อยู่ในภาวะหมดสติ ทั้งสหายเซียนติงยังหนีมาก่อน ดังนั้นมีบางเรื่องต้องรบกวนให้สหายเซียนจินอธิบายรอบหนึ่ง”

“ไม่มีปัญหา อย่างไรเสียร่างตรงไม่กลัวเงาเบี้ยว[2]” จินเฟยเหยาพยักหน้าตอบรับ

[1] อาวุธเวทแก่ชีวิต คือ อาวุธเวทที่ผูกพันกับจิตวิญญาณของผู้ใช้

[2] ร่างตรงไม่กลัวเงาเบี้ยว หมายถึง กระทำเรื่องที่ถูกต้องก็ไม่มีเรื่องอะไรต้องหวาดกลัว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย 44 แมวจับหนู

Now you are reading คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย Chapter 44 แมวจับหนู at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ข้ายังลืมอะไรอีกนะ จะให้คนรู้ไม่ได้ว่าข้าเคยอยู่ที่นี่ จริงสิ ก้อนหิน ก้อนหินที่ขว้างคน” จินเฟยเหยาสวมชุดยาวที่ไม่เหมาะกับตัว ค้นหาไปมาบนพื้นอย่างกังวล เก็บก้อนหินก้อนเล็กก้อนใหญ่ที่ขว้างคนขึ้นมา

จากนั้นนางไม่ทันตรวจสอบทิศทาง ก็แทรกตัวเข้าไปในพุ่มไม้หนาอย่างเร่งรีบ หนีหายไปราวกับหมอกควัน

ก็โทษว่าไม่ได้ที่นางจะลนลาน หอซวีชิงเป็นสำนักใหญ่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในโลกหนานซาน และเป็นหนึ่งในตำหนักลั่วเซียน เกาะป่าไผ่อันงามสง่าที่ปลูกไผ่เขียวเต็มไปหมดในห้าเกาะลอยได้เหนือเมืองลั่วเซียนก็คือรังของหอซวีชิง

จินเฟยเหยาแค่เคยได้ยินมาว่าสมาชิกในสำนักนี้มีน้อยมาก ศิษย์ในสำนักล้วนเป็นคนที่ได้รับการเลือกสรรแล้ว หากไม่มีพลังวิญญาณสวรรค์และพลังวิญญาณผันแปร ก็ไม่มีคุณสมบัติจะขึ้นเกาะลอยได้ ทั้งยังไม่มีศิษย์สายนอก ทั้งหมดล้วนเป็นศิษย์ผู้สืบทอด

นึกถึงว่าถ้าถูกเข้าใจผิดว่าฆ่าศิษย์สืบทอดของพวกเขา นั่นเป็นเรื่องที่ต้องรับผิดชอบผลที่ตามมา นางวิ่งไปพลางแก้ต่างให้ตนเอง “ข้าไม่ได้ฆ่าคน ต้องไม่ได้ถูกข้าใช้ก้อนหินทุบตายแน่ ใช่ ตอนข้ามาเขาก็ตายไปแล้ว อย่างมากข้าก็แค่ถือโอกาสหยิบฉวยสิ่งของ อีกทั้งข้ายังไม่ได้ทิ้งร่องรอยเอาไว้ น่าจะหาที่อยู่ของข้าไม่พบ”

หลังจากรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนของหอซวีชิง นางก็ไม่ได้คิดจะวางสิ่งของที่นำมากลับคืน ถึงกับไม่เคยคิดจะเหลือกางเกงในตัวหนึ่งไว้ให้ผู้อื่น ถ้าคนของหอซวีชิงหาศพของศิษย์พบ และพบว่าศิษย์ตายแบบร่างเปลือยเปล่าไม่สวมอะไรสักชิ้น จะเดือดดาลมากเพียงใด

ภายใต้แสงจันทร์กระจ่าง ในป่าเงียบสงัด ณ เทือกเขาไร้นาม

ศพบุรุษไม่ทราบชื่อของหอซวีชิงที่นอนเงยหน้าอยู่ใต้ต้นไม้อย่างเงียบๆ ดวงตาที่ไร้ประกายยังคงเบิกกว้างดังเดิม ร่างที่เต็มไปด้วยคราบโลหิตภายใต้แสงจันทร์แลดูดุร้าย

อีกากินซากสีดำสนิทตัวหนึ่งบินมา และร่อนลงบนทรวงอกของเขา ใช้จะงอยปากแหลมๆ จิกบนบาดแผลของเขาหลายครั้ง พบว่าเนื้อยังไม่เน่า ก็ยืนเฝ้าอาหารของตนเองบนทรวงอกอย่างมั่นคง

ทันใดนั้น ม่านตาของศพบุรุษไร้นามพลันหดตัว พริบตา อีกากินซากบนทรวงอกก็ถูกมือขวาของเขาจับไว้อย่างแน่นหนา เขาค่อยๆ ลุกขึ้นยืน คอของอีกากินซากที่ถูกบีบแน่นในมือมีเส้นเลือดปูดโปน คอนกถูกเขาบีบแตกละเอียดทั้งเป็น

“กล้าหลู่เกียรติข้าเช่นนี้ ต่อให้เจ้าหนีไปถึงสุดหล้าฟ้าเขียว ข้าก็ต้องเอาเจ้ามาสับเป็นหมื่นๆ ชิ้นให้ได้” ไป๋เจี่ยนจู๋เค้นคำพูดประโยคหนึ่งลอดไรฟันออกมาอย่างเดือดดาล

เขาคิดไม่ถึงว่าตนเองได้รับบาดเจ็บหนักหนีมาจนถึงที่นี่ กำลังใช้เคล็ดวิชาลับฟื้นฟูร่างกาย อยู่ในสภาพแสร้งตายชั่วคราว ไม่รู้ว่ามีเด็กผู้หญิงร่างเปลือยเปล่า คนหนึ่งลอยมาจากไหนตกลงกระแทกตรงที่ไม่ไกลนัก เขานึกว่านางตายแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะดวงแข็งและลุกขึ้นยืนได้อีก

อย่าเห็นว่าเขานอนหลับอยู่ในสภาพเหมือนตาย ม่านตายังขยาย ทว่าที่จริงเหมือนกับนั่งสมาธิปิดด่านกักตน เขาเห็นการกระทำของจินเฟยเหยาอย่างชัดเจน ตอนขว้างก้อนหินใส่เขาศีรษะแตกโลหิตไหล เขาก็นึกอยากจะใช้ฝ่ามือฟาดตบยายเด็กไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำและเหิมเกริมอุกอาจคนนี้ให้ตาย

ทว่าน่าเสียดายที่อาการบาดเจ็บของเขาอาจถึงแก่ชีวิตได้ เคล็ดวิชาลับฟื้นฟูร่างกายที่ดำเนินอยู่ไม่อาจถูกขัดขวาง ได้แต่นอนเหมือนคนตาย ปล่อยให้จินเฟยเหยาเก็บกวาดสิ่งของทั้งหมดบนตัวเขาไป

ทว่าตอนจินเฟยเหยาส่งเสียงหัวเราะดัง ‘อุ๊บ’ ออกมา ไป๋เจี่ยนจู๋แทบจะควบคุมตนเองไม่ไหว ไอสังหารพวยพุ่งออกมาอย่างบ้าคลั่ง เกือบจะทำให้เขาธาตุไฟเข้าแทรกเสียชีวิตไปจริงๆ โชคดีที่สะกดพลังวิญญาณที่พลุ่งขึ้นมาไว้ได้ทันเวลา บีบให้ไอดุร้ายกลับเข้าไปในร่าง จึงช่วงชิงชีวิตกลับมาได้

และเป็นเพราะเหตุนี้ จินเฟยเหยาจากไปเกือบสองชั่วยามแล้ว เคล็ดวิชาลับของเขาจึงสำเร็จสมบูรณ์ ช้ากว่าเวลาที่คาดไว้หนึ่งชั่วยามกว่า เรื่องแรกที่เขาฟื้นขึ้นมาก็คือตามล่าจินเฟยเหยา สังหารนางให้ตาย แล้วแย่งชิงสิ่งของของตนเองกลับมา

เขาโยนอีกากินซากที่หมดลมหายใจไปนานแล้วทิ้ง อ้าปากถ่มหมื่นลูกข่างซึ่งเป็นอาวุธเวทแก่นชีวิต[1]ออกมา ไม่สนใจหาสิ่งของปกปิดร่างกายขี่ของวิเศษไล่ตามไปยังสถานที่ซึ่งจินเฟยเหยาหนีไป ทั้งยังปลดปล่อยการรับรู้ทั้งหมดออกมา กวาดมองกิจกรรมพลังวิญญาณทั้งหมดบนถนน สาบานว่าจะต้องจับนางให้ได้

หมื่นลูกข่าง ตัวเป็นไม้ไผ่สีเขียวหยก กระพริบแสงรัศมีพร่าพราย พาไป๋เจี่ยนจู๋แหวกนภาไป ณ ขอบฟ้า ทิ้งไว้เพียงแสงสีเขียวบาดนัยน์ตาสายหนึ่ง

“ว้าว อาวุธเวทบินได้ที่ร้ายกาจยิ่ง ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานช่างน่าอิจฉายิ่งนัก เมื่อใดข้าจะขี่อาวุธเวทบินแบบนี้ได้ ทำให้คนอิจฉาแทบตายแล้ว” จินเฟยเหยาอยู่ในพุ่มไม้ที่ห่างจากที่เกิดเหตุไม่ไกลนัก มือถือเนื้อย่างน้ำมันหยดติ๋งๆ ชิ้นหนึ่ง กินไปพลางมองไป๋เจี่ยนจู่บินไป ทอดถอนใจอย่างอิจฉา

นางเห็นเพียงแสงไฟสีเขียวดวงหนึ่งและเงาร่างคนเลือนราง คิดไม่ถึงว่าคนที่เห็นก็คือซากศพที่ถูกตนเองปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมเมื่อครู่

นับว่านางดวงแข็ง เพิ่งเดินออกมาไม่นาน ก็พบว่าท้องหิวจนร้องจ๊อกๆ ทั้งยังตาลาย มีความคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะบังเอิญถูกหอซวีชิงค้นพบ นางจึงฆ่าหมูดินที่ผ่านทางมาตัวหนึ่งตรงนั้น หลังจากใช้เวทอัคคีจุดกองไฟ พลังวิญญาณของนางก็แห้งเหือดจนหมด

ตอนนั่งอยู่ข้างกองไฟรอให้หมูย่างสุก นางเริ่มตรวจสอบสภาพภายในร่างกาย จริงเสียด้วย นางใช้พลังวิญญาณในร่างทั้งหมดจนเกลี้ยง เวทอัคคีที่ใช้เมื่อครู่ ดวงไฟมีขนาดแค่ผลหลี่ ตอนนี้ขนาดกระเป๋าเก็บของนางก็ยังไม่มีปัญญาเปิดดู ความรู้สึกปราศจากพลังวิญญาณเช่นนี้ ช่างว่างเปล่าเป็นพิเศษจริงๆ

ตอนการรับรู้ของไป๋เจี่ยนจู๋กวาดผ่านบนร่างนาง เพราะว่านางไม่มีพลังวิญญาณสักนิด ในสำนึกของไป๋เจี่ยนจู๋ก็เท่ากับสัตว์จำพวกม้าหรือหมู จึงถูกเขามองข้ามไป บวกกับจินเฟยเหยากินอย่างร่าเริง ลืมเติมฟืนใส่กองไฟ ไฟจึงดับไปนานแล้ว ดังนั้นจึงทำให้ไป๋เจี่ยนจู๋ไม่พบว่านางอยู่ด้านล่าง จึงพลาดโอกาสดีที่จะล้างอายไป

ถ้าจินเฟยเหยารู้ว่าไป๋เจี่ยนจู๋เป็นศพคืนชีพ ใจคิดเพียงอยากจะเอาชีวิตนาง เกรงว่าเนื้อมังกรนางก็กินไม่ลง ไหนเลยจะเป็นเหมือนเช่นยามนี้ ยังโอบขาหมูป่าที่ไม่ได้ใส่เครื่องเทศกัดแทะอย่างยินดี

“ยายเด็กนี่ไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหนกันแน่ เหตุใดจึงหาไม่พบ หรือว่านางมีเวทมนตร์ซ่อนพลังการบำเพ็ญเพียร?” ไป๋เจี่ยนจู๋ยืนอยู่ในป่าอย่างเดือดดาล ข้างเท้ามีผู้บำเพ็ญเซียนที่นอนหมดสติอยู่คนหนึ่ง บนร่างสวมเพียงกางเกงในตัวเดียว

เขาค้นหาอยู่หนึ่งคืนก็หาจินเฟยเหยาไม่พบ ยามกลางวันกลัวว่าจะถูกคนเห็นว่าตนเองไม่ได้สวมเสื้อผ้า ได้แต่ร่อนลงในป่า รักษาอาการบาดเจ็บพลางใช้การรับรู้ค้นหาคนในป่า สถานที่แห่งนี้อยู่ห่างไกลเกินไป รออยู่นานจึงใช้การรับรู้ตรวจพบคนผู้หนึ่ง เขาไม่สนใจว่าใช่จินเฟยเหยาหรือไม่ รีบเร่งรุดมาทันที

พบว่าเป็นผู้บำเพ็ญเซียนแปลกหน้าขั้นฝึกปราณช่วงปลาย จึงฉวยโอกาสที่ผู้อื่นไม่ทันรู้ตัว ทุบตีคนสลบจากทางด้านหลัง แย่งชิงเสื้อผ้าของผู้อื่นไปเช่นเดียวกัน ทว่าเขาไม่ทำเรื่องฉวยโอกาสในยามที่ผู้อื่นลำบาก นอกจากเหลือกางเกงในตัวหนึ่งให้ผู้อื่น ก็ไม่ได้นำกระเป๋าเก็บของไป แน่นอนว่ามีสาเหตุที่ทำให้ไม่เหลือบแลกระเป๋าเก็บของของผู้อื่น

เขาคิดว่ารอบด้านนอกจากเมืองลั่วเซียนแล้วก็ไม่มีเมืองอื่น จึงตัดสินใจกลับไปค้นหารอบๆ เมืองลั่วเซียน ฉวยโอกาสที่คนผู้นี้ยังไม่ฟื้นดูลักษณะของเขา ไม่จำเป็นต้องฆ่าคนปิดปาก ไป๋เจี่ยนจู๋เหยียบบนหมื่นลูกข่างแล้วบินจากไป

ความคิดของเขาไม่เลว เพียงแต่จินเฟยเหยากลับไม่ทำตามหลักการปกติ เพราะว่านางหลงทาง

ในกระเป๋าเก็บของของไป๋เจี่ยนจู่ไม่มีแผนที่ จินเฟยเหยาจึงไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ไหน ที่จริงต่อให้มีแผนที่ นางก็อาจจะหาตำแหน่งของตนเองบนแผนที่ไม่พบ นางบังเอิญโชคดีหลบการค้นหาของไป๋เจี่ยนจู๋ได้ราวปาฏิหาริย์ แม้แต่ตัวนางก็ไม่รู้ว่าตนเองจะไปที่ใด และตนเองอยู่ที่ไหน ผู้อื่นจะคาดเดาความคิดของนางออกและสกัดนางได้อย่างไร

จินเฟยเหยาเดินเปะปะอยู่นอกเมืองเช่นนี้ การอาศัยมองดวงอาทิตย์จำแนกทิศทางไม่มีประโยชน์สำหรับนางเลยสักนิด พอดวงอาทิตย์เปลี่ยนตำแหน่ง นางก็เดินผิดทาง สุดท้ายนางยิ่งมายิ่งไกลจากเมืองลั่วเซียน ใช้เวลาครึ่งเดือน จึงเดินมาถึงเมืองเล็กๆ ที่คนธรรมดาอาศัยอยู่

เมืองเล็กๆ ที่มีคนหมื่นกว่าคน ไม่ค่อยคึกคัก ยังเรื่อยๆ พอได้อยู่ นางนั่งยองๆ นอกเมือง ปล้นรถม้าที่ดูเหมือนของเศรษฐีคันหนึ่ง แย่งชิงถุงเงินของผู้อื่น จากนั้นก็เดินส่ายอาดๆ เข้าเมือง

ทั้งซื้อเสื้อผ้าและพักโรงเตี๊ยม อยู่ในเมืองเล็กๆ แห่งนี้หลายวัน ในที่สุดนางก็คลำทางพบ รู้ว่าหากตนเองขี่ม้าคาดว่าต้องเดินทางหนึ่งเดือนกว่าจึงกลับถึงเมืองลั่วเซียนได้ ท่าทางเวทไฟนรกจะรวดเร็วอย่างยิ่ง ตนเองหนีออกมาสี่ห้าพันหลี่ภายในคืนเดียว

ตอนนางขี่ม้ากลับมาถึงเมืองลั่วเซียน ไป๋เจี่ยนจู๋รออยู่นานไม่พบเห็นนาง ก็ไม่ได้เฝ้าจับตาดูรอบเมืองลั่วเซียนแล้วเพราะมีธุระในสำนัก

ป้ายหยกเข้าสำนักเฉวียนเซียนของจินเฟยเหยาถูกเผาจนไม่เหลือซากไปนานแล้ว ได้แต่ไปทำใหม่อีกอัน จากนั้นคิดจะกลับไปดูว่าหลิ่วฉี่ปอและติงเทียนเฉิงมีชีวิตรอดกลับมาหรือไม่ ไม่รอให้นางเอ่ยปากสอบถาม พอพนักงานที่จัดการธุระในสำนักเฉวียนเซียนได้ยินชื่อของนาง ก็เอ่ยอย่างตกตะลึงทันที “คิดไม่ถึงว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่!”

“สหายเซียนหมายความว่าอย่างไร หรือว่าข้าตายจึงเป็นเรื่องปกติ?” จินเฟยเหยาไม่พอใจ เหตุใดจึงมีคนเช่นนี้ด้วย เห็นคนอื่นหนีรอดจากความตายมาไม่ได้หรือ?

“เปล่า ไม่ได้หมายความเช่นนั้น เพียงแต่เจ้าสามารถหนีรอดจากเงื้อมมือของสำนักมารได้ อีกทั้งดูแล้วไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ ดังนั้นข้าจึงตกตะลึงเกินไป สหายเซียนจินโปรดอย่ามีโทสะเลย” ศิษย์ทำธุระคนนี้ก็รู้สึกว่าตนเองพูดผิด จึงรีบอธิบาย

“เรื่องนี้แพร่ไปทั่วแล้ว?”

เห็นจินเฟยเหยามีสีหน้าไม่เข้าใจ ศิษย์ทำธุระจึงเอ่ยว่า “วันนั้นติงเทียนเฉิงพาร่างที่บาดเจ็บกลับมาแจ้งข่าว ทว่าข่าวที่เขาให้ไม่ค่อยชัดเจนเท่าใด ตอนแรกรู้ว่าเป็นสำนักมาร ตอนนั้นมีคนไม่เชื่อ เมื่อในสำนักส่งคนไปจึงพบว่าคนของสำนักมารไปกันหมดแล้ว เหลือเพียงซากศพหลายซากของสำนักหลิงคง พบหลิ่วฉี่ปอในสถานที่ซึ่งอยู่ห่างจากเขาจี๋เหนี่ยวหลายร้อยหลี่ ตอนนั้นบาดแผลสาหัสยิ่ง จนถึงตอนนี้ยังหมดสติอยู่ ขณะติงเทียนเฉิงกลับมาก็เหลือเพียงครึ่งชีวิต เบื้องบนให้เขายืมถ้ำที่เปี่ยมพลังวิญญาณ ตอนนี้กำลังปิดด่านกักตนรักษาบาดแผล”

จากนั้นศิษย์ทำธุระจึงเอ่ยเตือนอย่างไม่แน่ใจ “สหายเซียนจิน ครั้งนี้สำนักหลิงคงหนีไม่รอดแม้แต่คนเดียว ได้ยินว่าเจ้าสำนักของพวกเขาจะตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวด ทั้งยังถามถึงที่อยู่ของสหายเซียนเป็นพิเศษ ราวกับรู้จักกับสหายเซียน ทว่าน้ำเสียงไม่ดี คิดจะดึงสหายเซียนเข้าไปเกี่ยวข้องกับคนของสำนักมารให้ได้ หากสหายเซียนติงมิได้เป็นพยาน พวกเขาคงจะตัดสินว่าท่านกับสำนักมารเป็นพวกเดียวกัน”

“ผายลม พวกเขาสิเป็นพวกเดียวกับสำนักมาร ภารกิจนี้สหายเซียนหลิ่วเรียกข้าไป เจ้าพวกโง่เง่าของสำนักหลิงคงกลุ่มนั้น ข้าก็ไม่รู้จัก ผู้ใดจะรู้ว่าพวกเขาไปได้อย่างไร เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย” จินเฟยเหยาพอได้ยินก็ไม่ยอม สำนักหลิงคงบ้านี่ ถึงกับคิดจะป้ายสีนาง

ศิษย์ทำธุระเห็นท่าทางเดือดดาลของนางก็หัวเราะเอ่ยว่า “เบื้องบนก็ไม่เชื่อ สหายเซียนจินเป็นคนของสำนักเฉวียนเซียนเรา จะให้พวกเขากัดมั่วซั่วโดยไม่มีหลักฐานได้อย่างไร แต่ว่าในเมื่อสหายเซียนกลับมาอย่างปลอดภัย ก็ต้องไปเล่าเรื่องในวันนั้นให้เบื้องบนฟัง ตอนหาสหายเซียนหลิ่วพบก็อยู่ในภาวะหมดสติ ทั้งสหายเซียนติงยังหนีมาก่อน ดังนั้นมีบางเรื่องต้องรบกวนให้สหายเซียนจินอธิบายรอบหนึ่ง”

“ไม่มีปัญหา อย่างไรเสียร่างตรงไม่กลัวเงาเบี้ยว[2]” จินเฟยเหยาพยักหน้าตอบรับ

[1] อาวุธเวทแก่ชีวิต คือ อาวุธเวทที่ผูกพันกับจิตวิญญาณของผู้ใช้

[2] ร่างตรงไม่กลัวเงาเบี้ยว หมายถึง กระทำเรื่องที่ถูกต้องก็ไม่มีเรื่องอะไรต้องหวาดกลัว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+