คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า 694 จงใจหาเรื่องฉินหัวแข็ง

Now you are reading คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า Chapter 694 จงใจหาเรื่องฉินหัวแข็ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 694 จงใจหาเรื่องฉินหัวแข็ง

ฉินหลิวซีเข้าไปในเรือนของนายหญิงผู้เฒ่า บางทีอาจรู้ว่านางจะมาคารวะ ทั้งครอบครัวไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ล้วนอยู่ที่นั่น รวมถึงฝาแฝดของครอบครัวท่านอาสามด้วย

เพียงแต่ตอนที่นางเข้ามา ในห้องก็เงียบไปครู่หนึ่ง ซ่งอวี่เยียนเงยหน้าขึ้นมาก่อน ลุกขึ้นยืนแล้วคำนับนาง “พี่หญิง”

หลังจากนั้นในทันที บรรดารุ่นเล็กที่เหลือก็พากันยืนขึ้นแล้วคำนับพร้อมๆ กัน

สายตาของผู้ใหญ่ในห้องก็ดูแปลกไปและซับซ้อนเล็กน้อย

ในหนึ่งปีที่ผ่านมาฉินหลิวซีมีท่าทีเย็นชาต่อคนในตระกูลฉิน ซึ่งสอดคล้องกับแปดอักษรเวลาตกฟากที่ไม่เข้ากัน แต่ทั้งๆ ที่นางก็ไม่ค่อยจะปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขา บรรดาเด็กๆ รุ่นเดียวกับนางเหล่านี้ ตอนนี้เมื่อได้เจอนางก็ไม่กล้าล่วงเกิน

“ตามสบายเถิด” ฉินหลิวซีก็ประหลาดใจเล็กน้อยเช่นกัน ไม่ได้เจอแต่ละคนมาหลายวัน เหตุใดจึงได้รู้ความขึ้นมาเช่นนี้ พัฒนาขึ้นแล้วหรือ

แต่นางไม่รู้ว่าที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะคำพูดของสะใภ้หวัง ไม่ให้พวกนางหาเรื่องฉินหลิวซีตามอำเภอใจ มิเช่นนั้นจะยกเลิกเสื้อผ้าสี่ฤดูเหล่านี้

ตอนนี้ไม่ให้เงินประจำเดือนแล้ว พวกนางต้องทำงานฝีมือเพื่อแลกเงินค่าขนม หากสะใภ้หวังใจร้ายยกเลิกเสื้อผ้าขึ้นมาจริงๆ เช่นนั้นก็จะไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าใหม่ไม่ใช่หรือ

คนเราเมื่อเดือดร้อนถึงผลประโยชน์ของตัวเอง จึงรู้ความขึ้นมาได้

ฉินหลิวซีคารวะนางฉินผู้เฒ่า เมื่อเห็นสีหน้าที่อ่อนแอของนางก็ถอนหายใจเล็กน้อย จากนั้นก็ไปคารวะสะใภ้หวังและคนอื่นๆ

“เจ้าต้องไปหาวัตถุดิบยาให้กับคุณชายเฉวียนไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงได้กลับมาเร็วนัก” สะใภ้หวังถามด้วยรอยยิ้ม นี่ก็เพื่อดักทางนายหญิงผู้เฒ่า เกรงว่านางจะเลอะเลือนไปตำหนิฉินหลิวซีเข้า

“หาพบแล้วจึงได้กลับมาเจ้าค่ะ”

“เช่นนั้นแน่ใจจริงๆ หรือไม่”

นางฉินผู้เฒ่าเงี่ยหูฟัง มีแสงริบหรี่ปรากฏขึ้นในดวงตาเฒ่าที่พร่ามัว

ฉินหลิวซีเหลือบมองนาง เอ่ยเสียงเรียบว่า “ผู้ที่เป็นหมอ ไม่เคยกล้ารับรองคำพูด และที่ท่านถามว่าแน่ใจจริงๆ หรือไม่ ก็ไม่มั่นใจจริงๆ นั่นแหละ”

สะใภ้เซี่ยขมวดคิ้ว เอ่ย “หากไม่มั่นใจ แล้วเจ้ายังกล้ารับอีกหรือ”

“เหตุใดจะไม่กล้า เขากล้าให้ข้ารักษา ข้าย่อมกล้ารับ ในเมื่อเขายังไม่กลัวตาย แล้วข้าจะกลัวอะไร”

สะใภ้เซี่ยตกใจ “หากรักษาไม่ได้ ตระกูลเฉวียนจะไม่ทำให้พวกเราลำบากเอาหรือ”

“ใครจะไปรู้” ฉินหลิวซีเหลือบมองไปยังนางฉินผู้เฒ่า เอ่ยว่า “ดังนั้น นี่ไม่ใช่ปัญหาว่าจะเป็นคนขอให้รักษาเองหรือไม่ ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับโชคชะตา”

นางฉินผู้เฒ่าสีหน้ามืดครึ้มเล็กน้อย เริ่มเป็นกังวล หากตระกูลเฉวียนทำให้พวกเราลำบากขึ้นมาจริงๆ ผู้ที่ได้รับผลกระทบเป็นคนแรกก็คือบรรดาบุรุษที่อยู่ทางซีเป่ย

เมื่อสะใภ้หวังเห็นว่านางสีหน้าดูแย่ลง จึงเอ่ย “ในเมื่อซีเอ๋อร์สามารถไปหาวัตถุดิบยามาได้ จะรักษาอย่างไร ในใจก็คงรู้ดีอยู่แล้วกระมัง”

ฉินหลิวซีพยักหน้า

เมื่อสะใภ้กู้เห็นว่าบรรยากาศค่อนข้างเคร่งขรึม จึงยิ้มพลางเอ่ย “ข้าเชื่อซีเอ๋อร์ ตอนนั้นผิงเกอเอ๋อร์กับอันเกอเอ๋อร์ของพวกเราพบกับความลำบากเพียงนั้น ตอนนี้ล้วนคลอดออกมาอย่างปลอดภัย จะต้องทำได้อย่างแน่นอน”

“คิคิ” ดูเหมือนว่าเด็กทั้งสองจะรู้ว่าพวกเขากำลังเอ่ยถึงอะไร มือไม้โบกไปมา

สายตาของฉินหลิวซีถูกดึงดูดไปทันที มองดูพวกเขาน่ารักน่าชัง ใบหน้าเล็กๆ อ้วนกลม ดวงตาใสบริสุทธิ์ สวมเสื้อผ้าฤดูร้อนที่เรียบง่าย น่ารักเป็นอย่างมาก สายตาแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย

นางเดินเข้าไป สองนิ้ววางลงไปบนชีพจรของเด็กทั้งสองคนละข้าง จึงได้รู้สึกโล่งใจ

“ท่านอาสะใภ้สามเลี้ยงพวกเขาอย่างดี แข็งแรงมากทีเดียว” ฉินหลิวซีมองดูใบหน้าที่มีเนื้ออวบอ้วน อดดึงเบาๆ ไม่ได้ นุ่มดีจริงๆ

สะใภ้กู้ยิ้มตาหยี กำลังจะเอ่ยขึ้นมา แต่สะใภ้เซี่ยกล่าวขึ้นมาด้วยความอิจฉาเสียก่อน “ต้องอาบน้ำยาสมุนไพรทุกๆ สามวัน หากยังเลี้ยงไม่ดีก็เปลืองวัตถุดิบยาดีๆ เหล่านั้นไปเสียเปล่าแล้ว”

สะใภ้กู้อึดอัดเล็กน้อย รอยยิ้มพลันแข็งทื่อ

ฉินหมิงฉีที่อยู่ด้านข้างสังเกตเห็น ขมวดคิ้วขึ้นมา ท่านแม่ทำเรื่องโง่เขลาอีกแล้ว

เขากำลังจะกล่าวขอโทษ ฉินหลิวซีก็เอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “ดูท่านอาสะใภ้รองอิจฉาเข้าสิ หากฉินหมิงฉีร่างกายอ่อนแอป่วยขึ้นมา ก็อาบน้ำยาสมุนไพรได้เช่นกัน”

สะใภ้เซี่ยสีหน้ามืดครึ้ม “เจ้ากำลังสาปแช่งน้องสามของเจ้า”

“ท่านอาสะใภ้รองคิดมากไปแล้ว ข้าเพียงแค่กล่าวตามความเป็นจริง ท่านไม่อยากได้ยินหรือ เช่นนั้นก็ช่วยไม่ได้ คำที่กล่าวออกไปแล้วข้าไม่มีปัญญาเอากลับคืนมาได้”

“เจ้า…”

“ท่านแม่” ฉินหมิงฉีก้าวไปข้างหน้า เอ่ยเสียงเบา “อย่าขายหน้าต่อหน้าคนอื่นเลยขอรับ”

“ข้าไหนเลย…”

“ไม่รู้จักพูดก็อย่าพูด หลานทั้งสองแช่น้ำยาสมุนไพรก็คุ้มค่าให้เจ้าอิจฉาด้วยหรือ” นางฉินผู้เฒ่าตำหนิ

สะใภ้เซี่ยเอ่ยด้วยความน้อยใจ “ท่านแม่ ข้าก็แค่พูดไม่กี่คำ”

“หุบปาก”

นางฉินผู้เฒ่าก็เหนื่อยใจเช่นกัน เมื่อฉินหลิวซีไม่ได้อยู่ตรงหน้า ก็รู้สึกว่านางเป็นอิสระและเกียจคร้าน ทำราวกับไม่มีคนในครอบครัว แต่เมื่อใดก็ตามที่ฉินหลิวซีมา ก็มักจะมีน้ำเสียงที่ไม่ลงรอยกันปรากฏขึ้น ทำให้รู้สึกรำคาญ

สะใภ้เซี่ยผู้โง่เขลาก็เช่นกัน ไม่ว่าชีวิตประจำวันจะเป็นอย่างไร ก็รู้จักแต่อิจฉาและวางแผน ซ้ำยังกล่าวคำพูดที่มีนัยยะแอบแฝงต่อหน้าคนหัวแข็งอย่างฉินหลิวซีผู้นี้ นี่ไม่ใช่การจงใจหาเรื่องหรอกหรือ

หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้งก็ยังสอนไม่รู้ความ หากไม่ใช่โง่แล้วจะเป็นอะไรได้

นางฉินผู้เฒ่าจ้องมองสะใภ้เซี่ยด้วยสายตาไร้ความปรานี

เมื่อบรรดารุ่นเล็กเห็นว่านางฉินผู้เฒ่าโมโหก็ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง เหลือเพียงแค่ไม่ได้คุกเข่าขอให้นางสงบลง มีเพียงฉินหลิวซีที่ยังคงหยอกล้อกับฝาแฝด ราวกับไม่สนใจเลยแม้แต่นิด

ในบรรดารุ่นหลาน มีเพียงนางที่กล้าทำตัวอกตัญญูเช่นนี้

ในขณะนี้นางฉินผู้เฒ่าได้มองไปยังฉินหลิวซี เอ่ย “ในเมื่อรับคุณชายตระกูลเฉวียนเป็นคนไข้แล้ว เจ้าทำให้ดีที่สุดนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้อง อีกหนึ่งเรื่องก็คือตระกูลติงได้ส่งคนมาเชิญ ฮูหยินติงผู้เฒ่าฉลองครบรอบวันเกิด อยากจะเชิญสตรีในจวนไปร่วมงานเลี้ยง เจ้าว่าอย่างไร”

ฉินหมิงเย่ว์และคนอื่นๆ เงี่ยหูฟัง สายตามีความตื่นเต้น

ตั้งแต่ที่ถูกยึดทรัพย์แล้วกลับมาที่บ้านเดิม พวกนางก็ถูกขังอยู่ในบ้านเดิมแห่งนี้มาตลอด อย่าว่าแต่งานเทศกาลดอกไม้หรืองานกวีอะไรเหล่านั้นเลย แม้แต่ในเมืองหลี พวกนางก็ยังไม่ได้ไปเดินเล่นอย่างจริงจังเลยด้วยซ้ำ รู้สึกเบื่อมานานแล้ว

ตอนนี้ตระกูลติงเชิญไปงานเลี้ยง แน่นอนว่าพวกนางอยากไป

ฉินหลิวซีเลิกคิ้ว “ทำไมตระกูลติงยังมีหน้ามาส่งเทียบเชิญไปร่วมงานเลี้ยง ไม่ได้ถูกนายหญิงผู้เฒ่าไล่ออกไปแล้วหรือ ข้าคิดว่าตระกูลฉินกับตระกูลติงไม่มีไมตรีให้พูดถึงนานแล้ว”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ อารมณ์ของนางฉินผู้เฒ่าก็เริ่มซับซ้อนเล็กน้อย

ตระกูลติงส่งเทียบเชิญนี้มา เป็นเพราะเห็นแก่หน้าของฉินหลิวซีโดยเฉพาะ เนื่องจากอีกฝ่ายชี้ให้เห็นว่าหากฉินหลิวซีสามารถมาร่วมงานเลี้ยงได้ก็นับว่าเป็นเกียรติแก่เจ้าบ้าน

นางก็พึ่งรู้ว่าฉินหลิวซีได้ช่วยแก้ไขปัญหาบางอย่างให้กับสหายร่วมชั้นเรียนของคุณชายเชื้อสายหลักของตระกูลติง ซ้ำนางยังช่วยรักษาอาการป่วยที่มีมานานของพระชายาหนิงผู้เฒ่า

โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาได้ยินว่าเฉวียนจิ่งก็มาหาฉินหลิวซีให้ช่วยรักษา ก็นั่งไม่นิ่งแล้ว

สรุปโดยรวม ที่ตระกูลติงส่งเทียบเชิญมาก็เพื่อฉินหลิวซี ว่าพวกเขามองผิดไปแล้ว

ตัวเองก็มองผิดไปเช่นกัน

แต่เมื่อนึกถึงใบหน้าที่ยิ้มด้วยความอัปยศอดสูของตระกูลติง นางยอมรับว่าตอนนั้นมีความสุขเป็นอย่างมาก นึกถึงปีที่แล้ว นางไปหาถึงหน้าประตูติดต่อกัน แต่ก็ล้วนถูกปฏิเสธ แต่ไม่ถึงหนึ่งปี อีกฝ่ายก็เสนอหน้ามาให้ตระกูลฉินตบ

และความสุขนี้ก็เป็นเพราะหลานสาวอย่างฉินหลิวซีนำมาให้

สะใภ้หวังจิบชา เอ่ย “ตราบใดที่หนังหน้าหนาพอ ผลประโยชน์ก็มากพอที่จะทำให้คนหวั่นไหว ไม่มีไมตรีต่อกันก็สามารถสร้างขึ้นมาใหม่ได้ เฉวียนจิ่งมาถึงที่นี่ ปิดบังคนเหล่านั้นไม่ได้หรอก ทันทีที่ผู้ว่าการติงสืบข่าว ก็รู้ว่าเหตุใดคุณชายเฉวียนจึงมาที่นี่ จึงได้ส่งเทียบเชิญมา”

ฉินหลิวซียิ้ม “เข้าใจแล้ว มาตามกลิ่นหอมของเนื้อนี่เอง”

ทุกคนมองไปที่นาง จะบอกว่าตระกูลติงชาติสุนัขงั้นหรือ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด