คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า 756 ท่านต้องการรักษาโรคหรือตามหาคน
ตอนที่ 756 ท่านต้องการรักษาโรคหรือตามหาคน
ในขณะที่ฉินเหมยเหนียงและบุตรสาวทั้งสองเดินทางกลับเมืองหลี ในที่สุดการเดินทางที่เต็มไปด้วยการเรียนรู้ของกลุ่มฉินหลิวซีก็เข้าสู่เขตของเมืองหลีแล้ว ขณะนี้เป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วงในเดือนเก้า ใบไม้บางส่วนเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแล้ว อากาศก็เริ่มเย็นลง
การเดินทางเป็นไปอย่างช้าๆ ฉินหลิวซีและคนอื่นๆ ได้หยุดเดินทางและทำการรักษาการกุศลเมื่อพบกับหมู่บ้านแห่งหนึ่ง กระทั่งนักพรตเฒ่ายังได้ช่วยจัดพิธีศพถึงสองงาน และบรรดาลูกศิษย์สองสามคนก็ได้ทำการไล่ผีสองสามตนที่ไม่ได้ดุร้ายอะไรนักภายใต้คำแนะนำของฉินหลิวซี ซ้ำยังเรียนรู้การจำแนกตำแหน่งของดวงดาว รู้จักยาสมุนไพร จับชีพจร เขียนใบสั่งยา และอื่นๆ
ฉินหลิวซีวางแผนจะให้วั่งชวนเชี่ยวชาญด้านโรคของสตรีโดยเฉพาะ สอนอย่างละเอียดอ่อนยิ่งขึ้น และใช้ร่างกายสตรีของตัวเองอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับโครงสร้างของสตรี และโรคที่พบบ่อยที่สุดของสตรี
ช่างบังเอิญ ขณะที่พวกนางผ่านหมู่บ้านแห่งหนึ่งก็ได้พบกับหญิงสาวชาวนาผู้หนึ่งที่ป่วยเป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนหลังจากแท้งบุตรแล้วอาการก็ไม่ดีขึ้นเสียที ท่านหมอในหมู่บ้านคิดว่านางเป็นโรคไข้หวัดธรรมดาทั่วไป ความจริงแล้วเป็นอาการป่วยหลังจากแท้งบุตร ใช้ยาไม่ถูกกับโรค จึงได้สอนบทเรียนให้กับวั่งชวนและเถิงเจา อาการหลังคลอดของสตรีอาจจำสลับกับไข้หวัดธรรมดาทั่วไปได้ จำเป็นต้องรวบรวมสถานการณ์ที่เกิดขึ้นของผู้ป่วย มอง ดม ถาม จึงจะสามารถจำแนกโรคได้อย่างถูกต้อง
จากการสั่งสอนมาตลอดทาง ทำให้แต่ละคนได้รับความรู้ไม่น้อย
เมื่อกลับไปถึงอารามชิงผิง ทุกคนล้วนเผยรอยยิ้มที่สบายใจ ไม่ว่าภายนอกจะดีแค่ไหนก็ไม่ดีเท่าพื้นที่ของตัวเอง
นักพรตเฒ่าและซานหยวนมองดูความยิ่งใหญ่ของหลังคาทองวิหารใหญ่และหอเติงเซียน ทั้งประหลาดใจและอิจฉาเล็กน้อย
ตอนที่ฉินหลิวซีหลอกล่อพวกเขา บอกว่าหากไปกับนางจะมีโอกาสอันยิ่งใหญ่ พวกเขาคิดว่าเป็นเพียงแค่อารามเต๋าระดับกลางขนาดไม่ใหญ่นัก แต่เมื่อเห็นขนาดของหลังคาทองที่อยู่ตรงหน้า ทั้งๆ ที่ซ่อนอยู่ในหุบเขาก็ยังมีผู้ศรัทธาจำนวนมากเข้าออกในยามบ่าย ควันลอยโขมง เรียกได้ว่าเป็นอารามขนาดใหญ่ได้เลยทีเดียว
แล้วคิดถึงตอนนั้นที่ตัวเองวางแผนจะหลอกให้ฉินหลิวซีเป็นแรงงานอยู่ที่อารามหลงหู่…เฮ้อ ภาพจำของปรมาจารย์ลัทธิเต๋าตอนนั้น ช่างน่าละอายใจเสียจริง
ของล้ำค่าอยู่ตรงหน้า แต่ยังคงอยู่อารามเก่าๆ ที่ผุพังรอบด้าน เช่นนั้นคงจะโดนประตูหนีบศีรษะเสียแล้วจริงๆ จึงได้ทำเช่นนั้นลงไป
พวกนักพรตเฒ่ากลับไม่รู้ว่าการมีสิ่งเหล่านี้ได้เป็นผลสำเร็จจากเวลาหนึ่งปีกว่าที่ผ่านมานี้ ต้องขอบคุณท่านเจ้าอาวาสน้อยที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วจึงได้รับความรุ่งโรจน์เช่นนี้ ก่อนหน้านี้แม้แต่รูปหล่อทองคำเจ้าลัทธิเต๋าของพวกเขาก็ยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงผู้ศรัทธาจำนวนมาก
ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้อารามชิงผิงก็มีแนวโน้มที่จะเป็นอารามที่ยิ่งใหญ่ และยินดีต้อนรับนักพรตเฒ่ามาประจำที่อาราม ดังนั้นอาจารย์และศิษย์คู่นี้จึงได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ ทำให้พวกเขาทั้งสองรู้สึกปลาบปลื้มใจเป็นอย่างมาก
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนก็ยินดีต้อนรับการมาถึงของนักพรตเฒ่าและศิษย์ โดยเฉพาะนักพรตเฒ่า เพียงแค่สุราหนึ่งจอกก็พูดคุยกันอย่างสนิทสนมหลายประโยค ราวกับได้พบเจอคนที่มีอุดมคติเดียวกันเมื่อสายเกินไป
ฉินหลิวซี ‘เป็นคนอุดมคติเดียวกันที่ชอบวาดฝันอันยิ่งใหญ่ให้กับศิษย์หรือเปล่า’
หลังจากจัดการเรื่องนักพรตเฒ่าและคนอื่นๆ เรียบร้อยแล้ว ฉินหลิวซีก็เอ่ยกับนักพรตเฒ่าชื่อหยวนว่า “ตอนนี้มีนักพรตเฒ่าและศิษย์เพิ่มขึ้นมาในอาราม ซ้ำยังมีนักพรตอีกสองคนที่ท่านรับมา อารามของพวกเราก็ไม่ถึงขั้นขาดนักพรตไว้ใช้งาน อีกสองวันข้าจะพาท่านไปกักตัวที่เส้นเลือดมังกร เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในอารามก็ให้ชิงหย่วนรับผิดชอบไปเถิด”
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนตัวแข็งทื่ออยู่ครู่หนึ่ง เหลือบมองนาง “จะไม่จบไม่สิ้นกับเรื่องกักตัวนี้ใช่หรือไม่ เอาแต่คิดจะไล่ข้าไป เจ้าคิดจะแย่งชิงบัลลังก์ก่อกบฏหรือ”
ฉินหลิวซี “ใช่ๆๆ ท่านเอ่ยถูกต้องทุกอย่าง!”
นักพรตชื่อหยวนสำลัก “…”
เจ้าเด็กเมื่อวานซืนตอนนี้แม้แต่จะโต้แย้งก็ยังขี้เกียจจะเอ่ยแล้วหรือ เลี้ยงเปลืองข้าวสุกจริงๆ!
ฉินหลิวซีไม่ให้โอกาสเขาได้ปฏิเสธ กล่าวทิ้งไว้หนึ่งประโยคก่อนจะหนีไป ใครจะไปเปลืองน้ำลายกับเขา
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนทั้งโกรธและรู้สึกขบขัน ในแววตายังมีร่องรอยของความกังวล นางหนูคนนี้ให้ความสำคัญกับอายุขัยของเขามากเกินไปแล้ว ดังนั้นจึงได้คะยั้นคะยอให้เขาไปกักตัวฝึกบำเพ็ญ เพื่อสร้างรากฐาน
แต่นางไม่ลองคิดดูเลยว่าแม้จะกักตัวฝึกบำเพ็ญ แต่ตบะก็ใช่ว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างล้นหลาม หากไม่มีโอกาสในการสร้างรากฐาน แม้ว่านางจะหล่อหลอมยาสร้างรากฐานขึ้นได้แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี
ชะตาชีวิตล้วนถูกกำหนดไว้แล้ว
เห้อ
…
ฉินหลิวซีพาเถิงเจาและวั่งชวนกลับไปที่ร้านเฟยฉางเต๋า เฮยซาไปมุดหัวอยู่ที่สวนลึกของป่าวั่นไหวอีกแล้ว นางก็ไม่ได้ห้ามอะไร เขาเป็นภูตภูเขา ภูเขาและป่าไม้ควรจะเป็นจุดหมายปลายทางของเขา
ร้านเฟยฉางเต๋ามีเพียงเฉินผีและวั่นเช่อที่เฝ้าร้านอยู่ เว่ยเสียไม่อยู่ คงจะไปหาอู๋ฉังแล้ว
วั่นเช่อยกชาและของว่างเข้ามาอย่างขยันขันแข็ง
เฉินผีเอ่ยขึ้นว่า “ที่ห้องเต๋ามีผู้ประเสริฐท่านหนึ่งมาได้หลายวันแล้ว ไม่ได้บอกว่าเป็นโรคอะไร เอาแต่รอท่านมาตลอด ดูแปลกๆ เล็กน้อย จริงสิ เขามาที่นี่พร้อมกับจดหมายแนะนำจากคุณชายอวี้ขอรับ”
ฉินหลิวซีประหลาดใจเล็กน้อย “คุณชายอวี้ คืออวี้ฉังคงน่ะหรือ”
เฉินผีพยักหน้า จากนั้นจึงเอ่ย “นอกจากนี้ คุณชายอวี้ยังส่งของขวัญเทศกาลไหว้พระจันทร์มาด้วยหนึ่งคันรถ และยังมีจดหมายที่เขียนมาด้วยหนึ่งฉบับ”
เขาหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากในตู้ ยื่นให้ฉินหลิวซีด้วยมือทั้งสองข้าง
ฉินหลิวซีเปิดอ่าน จดหมายเริ่มต้นด้วยการถามสารทุกข์สุกดิบนางก่อน จากนั้นก็เอ่ยถึงสิ่งที่เขาได้เรียนรู้จากการศึกษาคัมภีร์ฉีเหมินตุ้นเจี่ย[1]ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ซ้ำยังได้แผนภาพที่ดูประหลาดเล็กน้อยมาหนึ่งแผ่น คิดเท่าใดก็ไม่เข้าใจ หวังว่าฉินหลิวซีจะให้คำแนะนำได้บ้าง
ในตอนท้ายของจดหมาย เขาบอกว่าสหายของเขาป่วยมาเป็นเวลานานแล้วจึงได้แนะนำให้มาหาและช่วยส่งของขวัญมาแทนเขา หวังว่าจะหายดี
ฉินหลิวซีมองดูกระดาษอีกแผ่นที่แนบมากับจดหมาย นั่นคือแผนภาพค่ายกลที่ถูกคนสร้างขึ้นมาแผ่นหนึ่ง เมื่อนางมองดูภาพนั้น ราวกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
นึกไม่ออกอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
ขณะนั้นจู่ๆ ก็มีความเคลื่อนไหวบางอย่างที่ผ้าม่านของทางที่นำไปสู่ห้องโถงด้านหลัง ฉินหลิวซีจึงต้องพับแผ่นภาพเก็บกลับเข้าไปในจดหมาย มองไปยังคนที่เดินมาจากด้านหลังม่าน
เขาสวมชุดสีขาวนวลจันทร์ปักลายดอกกล้วยไม้และต้นไผ่ บนตัวคลุมด้วยเสื้อกันลมสีดำบางๆ สวมรองเท้าไหมข้อยาว ผมสีดำขลับถูกรวบด้วยกวานหยกสีขาว ดวงตาสีดำสนิทสงบนิ่งไร้ความเคลื่อนไหว ว่างเปล่า ไร้ระลอกคลื่น
สีหน้าของเขาซีดเล็กน้อย แก้มทั้งสองข้างซูบตอบ ร่างกายก็ซูบผอมเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความสง่างามของเขาลดลง
หากบอกว่าอวี้ฉังคงเป็นดั่งบุปผาในหุบเขาสูงดุจพระจันทร์อันแจ่มใส เช่นนั้นคนตรงหน้าผู้นี้ก็คือดอกกล้วยไม้ที่โดดเดี่ยว สง่างามและอยู่สูง เศร้าโศกและเดียวดาย
“หลานซิ่งหรือ” ฉินหลิวซีเรียกชื่อเขา “หรือจะเรียกสมญานามว่าหลานอี๋เหริน”
หลานซิ่งยกมือขึ้นคำนับ “แล้วแต่ท่านอาจารย์เถิด”
น้ำเสียงทุ้มต่ำ แผ่วเบา
ฉินหลิวซีเอ่ย “หากต้องการตรวจโรค ก็ตามข้ามาเถิด”
นางมุ่งหน้าไปที่ห้องโถงด้านหลังก่อน หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เปลี่ยนไปที่ห้องเต๋า
หลานซิ่งตกตะลึงเล็กน้อย ชะงักไปครู่หนึ่งแล้วตามไป คิดไม่ถึงว่าจะกลับไปยังห้องเต๋าที่เขาพักอยู่เมื่อหลายวันมานี้ จากนั้นก็รู้สึกผ่อนคลายเล็กน้อย
ฉินหลิวซีนั่งรออยู่บนเบาะด้านใน ตรงข้ามนางก็มีเบาะอีกหนึ่งเบาะ ส่งสัญญาณให้เขานั่งลง
หลานซิ่งนั่งลงแล้วยื่นมือออกมา
“โรคทางใจก็ต้องการยาใจรักษาเช่นกัน โรคนี้ของท่านเกิดจากอารมณ์ซึมเศร้า ทำให้เกิดความหดหู่ หากไม่มียาใจรักษา ท่านกินยาอะไรก็ไม่สามารถมีความสุขได้” ฉินหลิวซีไม่ได้จับชีพจร เพียงแต่มองเขาแล้วเอ่ยต่อว่า “ดังนั้นท่านอยากจะรักษาโรคซึมเศร้าหรืออยากตามหาคนกันแน่”
หลานซิ่งได้ฟังดังนั้น ในที่สุดดวงตาอันสงบนิ่งก็มีอารมณ์ผันผวนเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นพลางมองไปยังฝ่ายตรงข้าม
ดวงตาของนางสดใสและชัดเจนเป็นอย่างมาก มีเงาของตัวเองสะท้อนอยู่ในรูม่านตาของนางอย่างชัดเจน
หลานซิ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “บางทีอาจจะทั้งสองอย่างได้หรือไม่”
หากได้พบคน อาการซึมเศร้าก็จะหายไม่ใช่หรือ
ฉินหลิวซีพยักหน้า “ก็จริง ขอแปดอักษรเวลาตกฟากของอีกฝ่ายให้ข้าด้วย”
[1] คัมภีร์ฉีเหมินตุ้นเจี่ย วิชาวางกลยุทธ์เพื่อวางแผน เจรจาต่อรองทางธุรกิจ หรือเหตุการณ์ต่างๆ
Comments