คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า 785 ถอยไป นางจะก่อการร้ายแล้ว
ตอนที่ 785 ถอยไป นางจะก่อการร้ายแล้ว
ฉินหลิวซีคิดว่าวัดหนาหมัวแห่งนี้จะถูกซ่อนอยู่บนภูเขาลึกในป่าเก่าแก่ เต็มไปด้วยความโบราณลึกลับ แต่ความจริงแล้วสิ่งที่เรียกว่าวัดหนาหมัว พึ่งถูกสร้างขึ้นใหม่จากหมู่บ้านเชิงเขาว่านฝอ สร้างวิหารหลัก วิหารรอง ซ้ำยังมีเรือนรับแขกหลายหลัง บริเวณประตูหลักเดิมทีเป็นแผ่นป้ายประตูใหญ่ของหมู่บ้าน ใช้สีทองเขียนคำว่าวัดหนาหมัว
หลังจากจ้องมองชื่อวัดอยู่ครู่หนึ่ง ฉินหลิวซีก็มองไปรอบๆ บอกตามตรงว่าที่นี่มีทิวทัศน์งดงาม ได้ยินมาว่าในหมู่บ้านนี้ได้ปลูกต้นท้อและต้นสาลี่มากมาย เมื่อถึงฤดูออกดอก ทิวทัศน์แห่งนี้จะต้องได้รับการยกย่องและชื่นชอบจากผู้แต่งกวีอย่างแน่นอน
ภายในวัดมีควันโขมง กลิ่นธูปหอมลอยมาแต่ไกล หมายความว่าแม้ในช่วงบ่ายก็ยังมีผู้ศรัทธามาสักการะพระพุทธรูปที่วัดหนาหมัว
เพียงแต่ว่าในใจของฉินหลิวซีรู้สึกแปลกเป็นอย่างมาก
“เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง” นางถามหลานซิ่งและคนอื่นๆ
หลานซิ่งมองไปยังวิหารหลักที่สร้างอยู่บนจุดสูงสุดในหมู่บ้าน เงียบไปครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “ดูเป็นสำนักคุณธรรม”
ใช่แล้ว สำนักคุณธรรม
วัดที่ดูเป็นสำนักคุณธรรม แต่กลับสร้างพระพุทธรูปชั่วร้ายเช่นนั้นออกมา ไม่สอดคล้องเป็นอย่างมาก และตำแหน่งของมันก็สูงส่งมาก ราวกับจะบอกทุกคนว่าวัดหนาหมัวของพวกเราเป็นวัดศาสนาพุทธที่คร่ำเคร่ง สามารถตรวจสอบได้
“เข้าไปดูสักหน่อยเถิด”
ฉินหลิวซีเดินนำเข้าไปก่อน เก็บรายละเอียดทิวทัศน์ของวัดแห่งนี้ตลอดทาง จ้าวหมัวหมัวผู้นั้นก็อธิบายด้วยว่าเดิมทีหมู่บ้านแห่งนี้เป็นที่นาของพ่อค้าแซ่จัง เป็นฮูหยินผู้เฒ่าของตระกูลเขาที่ได้พบกับพระภิกษุผู้มีตบะสูงนามว่าจื้อเฉิง ได้เดินทางมาที่นี่เพื่อเผยแพร่พระธรรมเทศนา ขอให้สร้างวัดหนึ่งแห่งเพื่อช่วยเหลือทุกสรรพสิ่ง
ฮูหยินจังผู้เฒ่าเดิมทีก็นับถือศาสนาพุทธ ทั้งยังนับถือการปฏิบัติของอาจารย์จื้อเฉิงผู้นั้น ด้วยความศรัทธาอันแรงกล้า จึงได้ใช้หมู่บ้านมาสร้างวัดหนาหมัวถวาย ตอนนี้เจ้าอาวาสของวัดแห่งนี้ก็คืออาจารย์จื้อเฉิงผู้นั้น
“วัดนี้สร้างมานานเท่าไหร่แล้ว”
จ้าวหมัวหมัวตอบว่า “ใกล้จะสามปีแล้วเจ้าค่ะ”
ฉินหลิวซีขมวดคิ้ว วันเวลาก็ไม่ตรง
เริ่นถิงมองไปรอบๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “หากไม่ใช่เพราะกลิ่นเผาไหม้ของธูป วัดหนาหมัวแห่งนี้ไม่ค่อยเหมือนวัดสักเท่าไหร่ เหมือนหมู่บ้านมากกว่า”
จ้าวหมัวหมัว “ส่วนใหญ่จะเป็นสตรีที่มาวัดแห่งนี้ ขอบุตรได้ศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างมากเจ้าค่ะ”
เมื่อฉินหลิวซีได้ยินว่าขอบุตร ก็นึกถึงสถานที่ที่เรียกว่าอารามแห่งหนึ่งที่นางเคยทำลายไปในอดีต ก็ไม่ใช่ว่าขอบุตรได้ศักดิ์สิทธิ์มากอะไรหรอก ความจริงแล้วข้างในนั้นสกปรกเป็นอย่างมาก
วัดหนาหมัวแห่งนี้คงไม่ได้เอาเรื่องขอบุตรมาเป็นเปลือกนอก แต่ความจริงแล้วข้างในนั้นกลับเลี้ยงพระชั่วช้าเอาไว้หรอกกระมัง
ยิ่งเดินเข้าไปข้างใน ก็พบว่าผู้ที่มาจุดธูปบูชาส่วนใหญ่ล้วนเป็นสตรีจริงๆ เห็นบุรุษเพียงไม่กี่คน ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตอนนี้ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการบูชาพระพุทธรูปหรือไม่
เมื่อเดินไปที่หน้าห้องวิหารหลัก มีกระถางธูปสามขาที่แกะสลักรูปพยัคฆ์เมฆา ด้านบนมีธูปปักอยู่เต็มไปหมด ธูปที่ใหญ่ที่สุดมีขนาดเท่าเด็กทารก
ฉินหลิวซีเดินอ้อมกระถางธูปแล้วตรงเข้าไปในวิหารหลัก ตรงกลางวิหารใหญ่มีพระยูไลประดิษฐานอยู่ ทั้งสองข้างของพระพุทธรูปมีเทพเจ้าน้อยสองตน โต๊ะด้านหน้าพระพุทธรูปมีผลไม้และดอกไม้วางถวายอยู่มากมาย ซ้ำยังมีธูปทรงกรวยขนาดใหญ่ และด้านหน้าโต๊ะก็มีเบาะหลายอันให้ผู้ศรัทธาได้คุกเข่าสักการะ
ด้านซ้ายของวิหารหลัก บูชาพระพุทธเจ้าอันบริสุทธิ์ พระพุทธเจ้าเย่ว์กวง[1]อันประเสริฐ ด้านขวาเป็นพระอรหันต์สิบแปดองค์ พระพุทธรูปล้วนทำมาจากดินเผา แกะสลักทาสีเหมือนจริง ล้วนมีการถวายธูปและน้ำมันตะเกียงหน้าพระพุทธรูปแต่ละองค์
ฉินหลิวซีมองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นว่ามีอะไรผิดปกติ พระพุทธรูปทั้งหมดล้วนเป็นพระพุทธรูปในพระสูตรทั้งแปดประการ แล้วก็ไม่ได้มีพลังหยินหรือพลังโชคร้าย ในทางกลับกัน เนื่องจากมีผู้ศรัทธาสักการะบูชา จึงมีพลังมงคลอยู่บ้าง
“อมิตาภพุทธ โยมทั้งหลายมาจุดธูปหรือ” พระภิกษุสวมจีวรเดินเข้ามาจากทางด้านข้าง เมื่อเห็นพวกเขาก็ประนมมือแล้วเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม
ฉินหลิวซีไม่ได้เอ่ยอ้อมค้อมกับเขา เพียงแต่หยิบพระพุทธรูปมารองค์นั้นออกมา เอ่ยว่า “มีผู้ศรัทธาบอกว่าได้อัญเชิญพระพุทธรูปมาจากวัดของท่าน ก็คือองค์ที่อยู่ในมือข้า แต่ข้ามองดูแล้ว เหตุใดไม่เห็นในวิหารนี้ หรือว่ามีบูชาพระพุทธรูปองค์นี้ที่วิหารอื่น”
พระภิกษุมองไปยังพระพุทธรูปมารในมือของนาง ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มพลางเอ่ยว่า “โยมคงจะมาผิดที่แล้ว วัดหนาหมัวของพวกเราไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านเอ่ยถึง”
ฉินหลิวซีหรี่ตาลง นางไม่ได้เอ่ยคำว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย
จ้าวหมัวหมัวก้าวเข้ามา เอ่ยว่า “เป็นไปไม่ได้ ฮูหยินของพวกเราอัญเชิญมาจากวัดหนาหมัว ซ้ำยังอัญเชิญมาสององค์ อีกองค์หนึ่งได้ให้คุณหนูใหญ่ของพวกเราไปแล้วด้วยนะเจ้าคะ”
“ขอถามโยมได้หรือไม่ว่าไปอัญเชิญพระพุทธรูปเล็กองค์นี้มาจากวิหารไหน” พระภิกษุถามอย่างอ่อนโยน
จ้าวหมัวหมัวเอ่ยว่า “ที่วิหารรอง ประดิษฐานพระโพธิ์สัตว์กวนอิมมอบบุตรเจ้าค่ะ”
พระภิกษุยิ้มอีกครั้ง “ขอเชิญโยมทั้งหลายตามอาตมามา”
เขาเอ่ยพลางจะเดินออกไป ฉินหลิวซีนึกบางอย่างขึ้นมาได้ เอ่ยว่า “พวกท่านไปก่อนเถิด ในเมื่อมาแล้วข้าขอจุดธูปบูชาพระพุทธเจ้าก่อน”
คางคกที่อยู่ด้านหลังนาง ‘ถอยออกไป นางกำลังจะก่อการร้ายแล้ว!’
เห็นเพียงฉินหลิวซีหยิบธูปสามดอกจากบนโต๊ะมาจุด ไม่ได้นำมาสักการะ แต่เอาไปปักไว้ในกระถางธูปเลย ในขณะเดียวกัน มือของนางก็ร่ายคาถา เสกไปที่กระถางธูป หลังจากนั้นจึงตามคนอื่นๆ ไป
กลุ่มคนเดินไปถึงวิหารรองแล้ว มีสตรีสองสามคนกำลังคุกเข่าอธิษฐานพึมพำอยู่ตรงหน้าพระโพธิ์สัตว์กวนอิมมอบบุตร ล้วนเอ่ยคำอ้อนวอนขอบุตรกิเลน
“ศิษย์พี่หงหย่วน” มีพระภิกษุที่อายุน้อยกว่าประนมมือเดินมาอยู่ตรงหน้า มองไปยังฉินหลิวซีและคนอื่นๆ นี่ก็มาขอบุตรด้วยหรือ
พระภิกษุนามว่าหงหย่วนยิ้มทักทายกลับ จากนั้นก็เอ่ยกับฉินหลิวซีและคนอื่นๆ ว่า “โยมทั้งหลายโปรดดูว่าที่วิหารรองแห่งนี้มีพระพุทธรูปเล็กในมือของท่านหรือไม่”
ตั้งแต่ตอนที่เข้ามา ฉินหลิวซีก็ได้มองไปรอบๆ แล้ว ไม่มีจริงๆ ที่นี่ก็ปกติทุกอย่าง
สีหน้าของจ้าวหมัวหมัวกลับซีดลง มองไปยังสถานที่ที่ฮูหยินเคยกราบไหว้ ที่นั่นมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ แต่กลับกลายเป็นพระอมิตาภพุทธะ และด้านล่างก็ไม่มีอะไรเลย
เป็นไปได้อย่างไร
“เห็นได้ชัดว่าอยู่ตรงนี้ ข้าเคยเห็นมากับตา จะไม่มีได้อย่างไรเจ้าคะ” จ้าวหมัวหมัวแทบจะคว่ำโต๊ะบูชาหา
เริ่นถิงสายตาแหลมคม จ้องไปที่พระภิกษุหงหย่วนผู้นั้น ซักถามด้วยความโกรธว่า “พวกเจ้าจัดการเก็บพระพุทธรูปมารแล้วหรือ วัดหนาหมัวของพวกเจ้าซ่อนสิ่งสกปรกอะไรไว้กันแน่”
หงหย่วนไม่ได้โมโห ยังคงสงบเมื่อเผชิญกับการซักถาม ประนมมือทั้งสองข้าง เอ่ยว่า “อมิตาภพุทธ โยม นักบวชไม่เอ่ยคำโกหก วัดหนาหมัวไม่เคยสร้างพระพุทธรูปที่พวกท่านเอ่ยถึงจริงๆ”
ฉินหลิวซียื่นพระพุทธรูปองค์นั้นไปให้ “ท่านไม่เคยเห็นจริงๆ หรือ”
หงหย่วนรับมา มองดูอย่างละเอียดก่อนจะส่ายหน้า “ไม่เคยเห็น” เขามองพระพุทธรูปแล้วเอ่ยต่อไปว่า “โยม อาตมาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย”
“แล้วท่านเจ้าอาวาสเล่า เชิญให้เขาออกมาพบได้หรือไม่” ฉินหลิวซีเอ่ยถาม
หงหย่วนมองไปยังพระภิกษุหนุ่มผู้นั้น “ศิษย์น้องหงจื้อ ตอนนี้ท่านเจ้าอาวาสอยู่ที่ไหนหรือ”
หงจื้อเอ่ยว่า “ท่านเจ้าอาวาสกำลังสนทนาธรรมอยู่กับฮูหยินจังผู้เฒ่า”
หงหย่วนมองไปยังฉินหลิวซีด้วยความเสียใจเล็กน้อย “ช่างน่าเสียดายจริงๆ…”
“เช่นนั้นก็เป็นปัญหาแล้ว ทั้งๆ ที่ฮูหยินตระกูลเริ่นมาขอพระพุทธรูปที่นี่ แต่พวกท่านกลับบอกว่าไม่มี จริงสิ อาจารย์หงหย่วนรู้หรือไม่ว่าฮูหยินเริ่นเป็นใคร ก็คือฮูหยินของรองนายอำเภอเริ่นประจำฉีโจว อาจาย์คงไม่ใช่ไม่เคยต้อนรับฮูหยินเริ่นหรอกกระมัง นางจริงใจและมีเมตตา ไม่เพียงแต่มีใจจะเผยแผ่ ซ้ำยังมาที่วัดของพวกท่านเพื่อสักการะบูชาพระพุทธเจ้าอยู่บ่อยๆ กระทั่งสละตนรับใช้พระพุทธเจ้า ใช้เลือดแสดงถึงความตั้งมั่นตั้งใจในการเซ่นไหว้ ใช้ดวงวิญญาณบวงสรวง ไม่เสียดายที่จะกลายเป็นคนตายทั้งเป็นด้วยเหตุนี้” ฉินหลิวซียิ้มพลางถามว่า “ท่านอาจารย์ วัดของท่านจะสามารถหาสองจิตหกวิญญาณของฮูหยินเริ่นได้หรือไม่”
“อาตมา…”
“ท่านอาจารย์คิดให้รอบคอบก่อนตอบจะดีกว่า มิเช่นนั้นข้าเกรงว่าพระพุทธเจ้าคงตำหนิท่าน!” ฉินหลิวซีเอ่ยอย่างมีเจ้าเล่ห์
ราวกับตอบสนองคำพูดของนาง มีเสียงดังมาจากทางด้านวิหารหลัก
[1]พระพุทธเจ้าเย่ว์กวง พระโพธิสัตว์องค์หนึ่งในพระพุทธศาสนา
โ
Comments