คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า 797 สงสัยว่ากระดูกพุทธะจะหายไปอีกหนึ่งชิ้นแล้ว

Now you are reading คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า Chapter 797 สงสัยว่ากระดูกพุทธะจะหายไปอีกหนึ่งชิ้นแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 797 สงสัยว่ากระดูกพุทธะจะหายไปอีกหนึ่งชิ้นแล้ว

……….

ร่างของหลานโย่วถูกไฟแผดเผา ใช้งานไม่ได้อีกต่อไป มิเช่นนั้นฉินหลิวซีก็คงให้เขากลับไปรักษาอยู่ในร่างนั้น แต่กลับทำไม่ได้

ฉินหลิวซีฝังร่างของหลานโย่วไว้ที่เส้นเลือดมังกร จากนั้นก็วิ่งกลับไปกลับมาสองรอบ เอาหินหยกคุณภาพดีมาวางค่ายอาคมรวบรวมพลังวิญญาณที่บ้านไม้ ให้นักพรตเฒ่าชื่อหยวนฝึกบำเพ็ญอยู่ในนั้น จากนั้นก็กลับไปที่วังหลิงซวี

เฮยซารออยู่ที่นั่นอยู่ตลอด เห็นว่าฉินหลิวซีมาแล้ว เมื่อเห็นว่าสีหน้าของนางไม่ค่อยดี ซ้ำยังเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก จึงเอ่ยว่า “เจ้าไปถูกดูดเลือดมาหรือ สีหน้าจึงได้แย่ขนาดนี้”

เพื่อเรื่องนี้แล้ว ฉินหลิวซีแทบจะไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่เลย ซ้ำยังจัดการกับสภาพร่างกายของนักพรตเฒ่าชื่อหยวน สูญเสียพลังไปไม่น้อย หากสีหน้ายังดีอยู่สิจึงจะเป็นเรื่องแปลก

“นักพรตฉางเหมยผู้นั้นล่ะ” ฉินหลิวซีเอ่ยถาม

เฮยซาเอ่ยว่า “เริ่นถิงได้เอาตัวเขาไปแล้ว และวัดที่ซ่อนบรรดาสตรีไว้ก็ถูกทำลายไปแล้วเช่นกัน”

“พบสองจิตหกวิญญาณของท่านแม่เขาหรือไม่”

เฮยซาส่ายหน้า “หาไม่เจอ หากเซ่นไหว้ไปแล้ว ไหนเลยจะยังเหลืออยู่ ที่นี่ก็ไม่มี หากต้องการค้นหาก็คงต้องไปค้นหาจากทางด้านของผู้ที่รับเครื่องเซ่นไหว้เท่านั้นแล้ว เพียงแต่ว่าเจ้านั่นรับเครื่องเซ่นไหว้ไปแล้ว จะคายออกมาหรือ”

ของที่กินเข้าไปแล้ว ใครจะอาเจียนออกมากัน

นั่นเป็นถึงเครื่องเซ่นไหว้เชียวนะ

ฉินหลิวซีมองดูพระพุทธรูปมารที่ถูกทุบแตกด้วยสีหน้าเย็นชา นวดขมับแล้วเอ่ยว่า “ลงเขาเถิด”

“เจ้าไม่สนใจข้าแม้แต่นิดเลยหรือ” คางคกกระโดดออกมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ ดวงตาสีแดงเล็กๆ มองนางด้วยความขุ่นเคือง

ฉินหลิวซีชะงักฝีเท้า เกือบลืมถ้ำที่มันเคยฝึกบำเพ็ญไปเลย เดินเข้าไปหนึ่งก้าว คีบมันขึ้นมาด้วยสองนิ้ว “ไป ไปดูสถานที่ที่เจ้าเคยฝึกบำเพ็ญกัน”

คางคกดีใจ นำทางไป สองคนหนึ่งคางคกมุ่งหน้าไปยังถ้ำในเขา

ถ้ำภูเขานั้นเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ราวกับภูเขาลูกหนึ่งถูกผ่าจนเป็นหลุม เมื่อเดินเข้าไปก็มีหินงอกหินย้อยอยู่บ้าง เพียงแต่ฉินหลิวซีกลับไม่ได้รู้สึกถึงสิ่งที่เรียกว่าพลังวิญญาณ แต่กลับมีกลิ่นเหม็นจางๆ ลอยมา

คางคกก็มึนงงเช่นกัน เอ่ยว่า “เหม็นขนาดนี้ หรือว่างูใหญ่ที่สมควรตายตัวนั้นจะขับถ่ายในถ้ำแห่งนี้”

ฉินหลิวซีเลียมุมปาก เอากระจกส่องปีศาจออกมาแล้วเดินเข้าไป ยิ่งเดินเข้าไป กลิ่นเหม็นก็ยิ่งรุนแรง ราวกับมีบางอย่างเน่าเสีย

จนกระทั่งไปถึงพื้นที่ว่างขนาดใหญ่ เมื่อเฮยซาเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้าก็พะอืดพะอม วิ่งไปอาเจียนด้านข้าง

คางคกก็กระโดดไปอาเจียนอยู่ข้างเขา

ให้ตายเถอะ เหตุใดงูตัวใหญ่จึงได้มาตายที่นี่

ฉินหลิวซีปิดการรับรู้กลิ่น มองดูงูยักษ์ที่มีขนาดหนากว่าเอวของนางนอนอยู่บนพื้น บริเวณหัวใจถูกอะไรบางอย่างกรีดออก มีสิ่งมีพิษมากมายชอนไชไปมา ส่วนบนร่างของมันก็มีแมลงเต็มไปหมด

มันอาจเรียกไม่ได้ว่างูเหลือม แต่เป็นงูยักษ์ อย่างไรเสียมันก็มีเกล็ด แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงได้ตายอยู่ที่นี่

ฉินหลิวซีเดินเข้าไปใกล้สองสามก้าว กระจกส่องปีศาจในมือส่งเสียงหึ่งๆ ราวกับมีแสงจางๆ ส่องผ่าน นั่นเป็นพลังงานร่วมกันกับของซื่อหลัว

เขาอาจเคยมาที่นี่ หรือไม่ก็…

นางขมวดคิ้ว มาที่ตำแหน่งหัวใจ ไล่สิ่งมีพิษเหล่านั้นออก ใช้วิชาครอบมือ ตรวจสอบตำแหน่งหัวใจ

เฮยซากับคางคกหันมาเจอภาพนี้พอดี ตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันกลับไปอาเจียนอย่างดุเดือดอีกครั้ง

เฮยซา ‘นางเป็นคนที่เหมาะกับการทำการใหญ่จริง!’

คางคก ‘ข้าเคารพนางเป็นพี่ใหญ่!’

ฉินหลิวซีตรวจสอบพบพลังงานที่คุ้นเคย กระดูกพุทธะ ไม่แปลกใจเลยที่กระจกส่องปีศาจมีปฏิกิริยา กระดูกพุทธะก็เป็นของเจ้านั่น

นางดึงมือกลับมา ร่ายคาถาชำระล้าง จากนั้นก็จุดไฟเผาศพงูยักษ์ เอ่ยว่า “ไปกันเถอะ”

เฮยซาและคางคกรีบตามไป มองไปยังไฟที่ลุกโชนบนศพงูด้วยใจที่สั่นสะท้าน กลืนน้ำลาย

เมื่อออกมาจากถ้ำ พวกเขาจึงได้รู้สึกกลับมามีชีวิตอีกครั้ง

“งูยักษ์ตายได้อย่างไร ทั้งๆ ที่มันเก่งกาจขนาดนั้น” คางคกไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก อีกฝ่ายแข็งแกร่งมากจนเกือบจะกลืนตัวมันลงไปแล้ว จึงได้ครอบครองถ้ำแห่งนี้ มิเช่นนั้นมันก็คงไม่ต้องหนีไปพบกับหัวหน้าตระกูลจงด้วยสภาพลมหายใจรวยริน จากนั้นก็เดินผิดไปหนึ่งก้าว แล้วก็ผิดเรื่อยมา

ตอนนี้ตัวเองยังมีชีวิตอยู่ดี แต่งูยักษ์กลับตายแล้ว

“ก่อนหน้านี้มันตัวใหญ่ยักษ์ขนาดนี้เลยหรือ” ฉินหลิวซีเอ่ยถาม

คางคกส่ายหน้า “เปล่า แม้ว่าก่อนหน้านี้ก็ค่อนข้างตัวใหญ่ แต่ก็เป็นเพียงแค่งูเหลือม”

ฉินหลิวซีหนักอึ้งในใจเล็กน้อย เกรงว่ามันจะได้รับกระดูกพุทธะชิ้นหนึ่งจนได้ฝึกบำเพ็ญกลายเป็นงูยักษ์ จากนั้นก็ถูกซื่อหลัวเอากลับคืนไปแล้ว

ไม่แปลกใจเลยที่เขาว่านฝอแห่งนี้มีพระพุทธรูปมารเช่นนี้ เขาคงได้เปลี่ยนสถานที่นี้ให้เป็นที่มั่นสำหรับสาวกแล้วกระมัง สถานที่อื่นจะมีอีกหรือไม่ เขาพัฒนาสาวกเหล่านี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความศรัทธาอย่างแน่นอน เพียงแค่สถานที่เดียวนั้นไม่เพียงพอ

รู้จักวางแผนเสียจริง!

“ที่นี่ไม่สามารถอยู่ต่อได้แล้ว เจ้าเข้าไปในภูเขาลึกหาสถานที่ฝึกบำเพ็ญอื่นหรือไม่ก็ไปที่วัดหนาหมัว” ฉินหลิวซีเอ่ยกับคางคกว่า “วัดหนาหมัวได้แก้ไขสิ่งที่ผิดกลับมาถูกต้องแล้ว เจ้าฝึกบำเพ็ญชดใช้บาปอยู่ที่นั่น ย่อมเป็นผลดีต่อตัวเจ้าเอง”

คางคกถามหยั่งเชิงว่า “ความจริงแล้วฝึกบำเพ็ญที่ไหนก็เป็นการฝึกบำเพ็ญเหมือนกันไม่ใช่หรือ สหายซาก็เปลี่ยนร่างเป็นภูตภูเขาแล้ว แต่ก็ยังติดตามท่านไม่ใช่หรือ เช่นนั้นให้ข้าเป็นน้องเล็กติดตามท่านได้หรือไม่”

เฮยซาจ้องมัน “คางคกตัวเล็กๆ อย่างเจ้าคู่ควรที่จะมาเปรียบเทียบกับปู่เฮยอย่างข้าด้วยหรือ”

คางคกหัวเราะอย่างลำบากใจ “ข้าไม่กล้า ก็ขอเป็นเพียงแค่น้องเล็กไม่ใช่หรือ”

“ไม่ได้!” ฉินหลิวซีเอ่ยว่า “เจ้าย่อมมีเส้นทางและบุญวาสนาของตัวเจ้าเอง การฝึกบำเพ็ญที่วัดหนาหมัวเป็นจุดมุ่งหมายที่ดีที่สุดสำหรับเจ้า”

คางคกก้มหน้าลงอย่างเศร้าหมอง ทอดถอนใจดูหมิ่นตัวเอง

“ประพฤติตนอยู่ในโอวาสต่อหน้าพระพุทธเจ้า มุ่งทำความดีชดใช้บาปของเจ้า ไม่แน่สักวันหนึ่งอาจจะกลายเป็นกิมเซียมซูได้จริงๆ ดูแลตัวเองด้วย” ฉินหลิวซีไม่ได้สนใจมัน เมื่อเอ่ยจบก็จากไป

คางคกมองดูพวกเขาลงภูเขา นั่งอยู่ที่นั่นอย่างน่าสังเวช ราวกับเจ้าตัวน้อยผู้น่าสงสารที่ถูกทอดทิ้ง

เฮยซาหันกลับมามอง เอ่ยว่า “ความจริงแล้วมันก็พูดถูก ฝึกบำเพ็ญที่ไหนก็เป็นการฝึกบำเพ็ญเหมือนกัน”

ฉินหลิวซีไม่แม้แต่จะหันกลับไป เอ่ยเสียงเรียบว่า “การอยู่ข้างกายข้าไม่ได้ง่ายขนาดนั้น มันมีเส้นทางของตัวมันเอง หากเจ้าคิดว่ามันน่าสงสารก็สามารถอยู่เป็นเพื่อนมันที่นี่ได้”

“ไม่ได้หรอก ทุกคนล้วนมีความทะเยอทะยานเป็นของตัวเอง”

ฉินหลิวซีสบถเบาๆ พาเขาไปที่ตระกูลเริ่นอย่างรวดเร็ว ตลอดทางไม่รู้ว่าได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับวัดหนาหมัวกับวังหลิงซวีไปเท่าใดแล้ว ทางการประกาศให้ใครก็ตามที่ไปอัญเชิญพระพุทธรูปพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาจากวัดหนาหมัว ให้รีบทำลายทิ้งโดยเร็ว เนื่องจากเป็นลัทธิมาร

เมื่อเข้าไปในตระกูลเริ่น ฉินหลิวซีไปพบพ่อลูกตระกูลเริ่นก่อน เอ่ยขอโทษพวกเขาทั้งสองคน

พ่อลูกตระกูลเริ่นได้เตรียมใจไว้นานแล้ว แต่เมื่อได้ยินว่าหาไม่พบ ก็ยังคงโศกเศร้าเป็นอย่างมาก

“เช่นนั้นท่านหมายความว่า แม้ว่าวัดหนาหมัวจะทำลายพระภิกษุชั่วลัทธิมารเหล่านั้นไปแล้ว แต่ในความเป็นจริง บุคคลชั่วร้ายที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ยังไม่ปรากฏตัว?” เริ่นถิงกัดฟันถาม

ฉินหลิวซีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง พยักหน้าพลางเอ่ยว่า “จะเอ่ยเช่นนั้นก็ได้ ดังนั้นหากพวกเจ้าพบเรื่องที่คล้ายกับเรื่องนี้อีก ก็สามารถส่งจดหมายไปที่อารามชิงผิงหรือวัดพุทธใหญ่แต่ละแห่งได้”

เริ่นถิงยิ้มอย่างขมขื่น “ใครจะไปรู้ว่าวัดอื่นๆ จะเหมือนกับวัดหนาหมัวเช่นนั้นหรือไม่ ได้ปิดบังเรื่องชั่วร้ายเอาไว้”

ฉินหลิวซีเงียบไป ใช่แล้ว ใครจะไปรู้ว่าเขาได้วางแผนการใหญ่อะไรไว้

แม้แต่ตัวนางเองก็ยังไม่รู้ว่าปีศาจเฒ่าตนนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร และซ่อนตัวอยู่ที่ไหน น่ารำคาญจริง!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด