คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า 832 ที่แท้อวี้ฉังคงก็กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา
ตอนที่ 832 ที่แท้อวี้ฉังคงก็กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา
……….
ฉินหลิวซีดึงมือเขามาจับชีพจร แล้วมองหน้าอวี้ฉังคงพลางเอ่ย “ไม่เป็นไร ระบายความหดหู่ออกมาบ้างก็ดีเหมือนกัน กินพุทราแดงบำรุงให้มากๆ หน่อยก็พอแล้ว”
อวี้ฉังคงหลุดหัวเราะ “ท่านปลอบได้ไม่เหมือนใครเลย”
“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่เคยปลอบคน และไม่เข้าใจด้วย เพียงแค่เราเป็นชาวเต๋า ไม่มีอะไรต้องคิดให้ยุ่งยาก เราเสนอเหตุและผลกฎแห่งกรรม มีบุญคุณก็ตอบแทน มีแค้นก็ชำระ” ฉินหลิวซีผายมือสองข้าง “เรื่องของบิดามารดาเจ้า ข้าต้องขอโทษด้วย มิน่าเมื่อก่อนเจ้าถึงได้ตื่นขึ้นมาจากฝันร้ายทุกวัน”
เมื่อเผชิญกับโศกนาฏกรรมเช่นนี้ หากเขาไม่มีปฏิกิริยาเลย เขาคงเกิดมาไร้อารมณ์ความรู้สึก
ฉินหลิวซีเอ่ย “แต่ถ้าตายแบบนั้น มันอาจไม่ใช่ค่ายอาคมโครงกระดูก อาจจะเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้ เจ้าไปได้แผนภาพนั้นมาจากไหน?”
ก็ได้ นางพูดอย่างนั้นออกไป ทว่าแม้แต่นางเองก็ยังรู้สึกว่าไม่น่าเชื่อเท่าใดเลย
แววตาอวี้ฉังคงเย็นเยียบ เขาเอ่ย “ข้าเห็นแผ่นไม้แกะสลักในหอหนังสือในบ้าน เห็นว่าเหมือนแผนภาพค่ายอาคม แต่มันแตกต่างจากวิชาฉีเหมินตุ้นเจี่ยที่ข้าเคยเห็นมาก่อน ข้าจึงได้ลอกออกมาแล้วส่งไปถามท่าน”
ฉินหลิวซี “…”
เป็นเรื่องบังเอิญ ช่างบังเอิญจริงๆ
“ท่านได้ตรวจสอบสถานที่ที่บิดามารดาของท่านตายแล้วหรือยัง” นางถามอย่างจำใจ
อวี้ฉังคงเผยรอยยิ้มขื่น “สิบกว่าปีแล้ว ร่องรอยในตอนแรกก็ถูกจัดการไปหมดตั้งตอนที่ข้าตาบอดแล้ว หากเป็นค่ายอาคมนี้จริงๆ ข้าไม่ใช่คนในลัทธิเต๋า มองไม่ออกว่าเป็นอะไร แต่สถานที่นั้นที่ผีสิงไปแล้ว ไม่มีใครกล้าไป”
“ที่ผีสิง?”
“ใช่ ใครเข้าใกล้ ก็จะกลายเป็นคนสติไม่ดี ร้องตะโกนว่ามีผี ต่อมาท่านปู่ก็เลยให้คนปิดสถานที่นั้นไว้ ถ้าจะใช้คำพูดของท่านปู่ก็คือ ถึงอย่างไรที่นั่นก็เป็นที่ฝังศพท่านพ่อท่านแม่ข้า จะได้ป้องกันไม่ให้ใครไปรบกวนวิญญาณพวกท่าน” อวี้ฉังคงเอ่ยเสียงเข้ม
หัวใจฉินหลิวซีรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ได้ และความคิดน่ากลัวก็ผุดขึ้นมาในใจนาง
อวี้ฉังคงเป็นคนฉลาดมาก เมื่อเห็นสีหน้าของนาง เขาจึงเอ่ยว่า “ท่านคิดอะไรได้หรือ”
ฉินหลิวซีส่ายศีรษะ “มองไม่เห็นสถานการณ์จริง ไม่กล้าที่จะคาดเดา”
“ข้าเข้าใจความคิดของท่าน” น้ำเสียงอวี้ฉังคงหนาวเหน็บ “ต่อให้เป็นข้า ก็ไม่กล้าคิดไปไกลว่า เสือร้ายจะกินลูกของมันหรือไม่”
ฉินหลิวซีตกตะลึง “เจ้า…”
“ข้ากลับมาได้ปีกว่าแล้ว ถึงข้าจะอยู่ในตระกูล แต่ก็ไม่ได้อยู่ว่างจริงๆ ท่านรู้หรือไม่ว่าที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นกับท่านหมอที่เคยรักษาดวงตาของข้า? สิบกว่าปีที่ผ่านมา พวกเขาตายไปแล้วหกคน ไม่เพราะอุบัติเหตุก็ล้มป่วย คนที่ยังไม่ตายก็ตาบอดมาแปดเก้าปีแล้ว เมื่อมาหาหมอก็สรุปว่าไม่มีความหวัง ท่านคิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่” อวี้ฉังคงประชด “ข้าจำที่ท่านเคยพูดได้ว่า ตั้งแต่แรกเริ่ม ดวงตาของข้าก็รักษาได้ไม่ยาก แต่กลับใช้เวลานานกว่าสิบปี ท่านว่าเป็นเพราะเหตุใด”
เหตุใดคนอื่นไม่อยากให้เจ้าเห็น!
อวี้ฉังคงกล่าวต่อ “ในสายตาของคนนอก ตระกูอวี้นั้นลึกลับและสูงส่งมาโดยตลอด เป็นเผ่าสันโดษที่คงอยู่มาสามร้อยปี แต่ตราบใดที่ยังเป็นมนุษย์ก็ยังมีความเห็นแก่ตัว ข้าเป็นทายาทสายตรง เป็นหลานชายคนโตของหัวหน้าตระกูล ย่อมมีคนอิจฉาเกลียดชังเป็นธรรมดา คนอื่นไม่อยากเห็นข้าหายดีก็เข้าใจได้ แต่ด้วยสถานะของข้า ถ้าคนอื่นคิดจะทำอะไรข้า หัวหน้าตระกูลจะไม่รู้อะไรเลยจริงๆ หรือ”
จะเป็นหัวหน้าตระกูลได้ย่อมไม่ใช่คนธรรมดา
ฉินหลิวซีรู้สึกตกใจจนขนลุกเมื่อได้ยินเช่นนั้น “เจ้าสงสัยท่านปู่ของเจ้าหรือ?”
อวี้ฉังคงระบายลมหายใจออก “ข้าเองก็ไม่อยากจะสงสัย แต่ยิ่งมองลึกลงไป ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะยิ่งน่างุนงง ตระกูลอวี้เป็นอย่างที่ท่านพ่อของข้าพูด ข้างในเป็นโคลนตมเน่าเหม็น สกปรกไม่ไหว”
ฉินหลิวซีเงียบ
ยิ่งมีชื่อเสียงก็ยิ่งต้องแบกรับอะไรมากมาย เครื่องสวมศีรษะของราชาหนักอึ้ง หากไม่คิดจะถอดออกก็ต้องเปลืองแรงแบกรับไว้
ตระกูลใหญ่อย่างตระกูลอวี้ได้รับการยกย่องจากคนทั่วไป จะมีกี่คนที่สามารถรักษาจิตใจให้เป็นปกติได้ ผู้คนที่นางได้พบเห็นขณะติดตามอวี้ฉังคง ล้วนแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกเหนือกว่าของลูกหลานของตระกูลใหญ่
“กระดูกของบิดามารดาเจ้าถูกนำกลับไปที่ฝังที่สุสานบรรพชนแล้วหรือไม่”
“ท่านปู่บอกว่าไม่มีกระดูกหลงเหลือ เขาก็แค่ขุดดินเหลืองติดขี้เถ้ากองหนึ่งไปสร้างสุสานเสื้อผ้า”
ฉินหลิวซีเยาะ “หากเป็นค่ายอาคมโครงกระดูก วิญญาณจะต้องยังคงติดอยู่กับกระดูก และเมื่อค่ายอาคมเสร็จสมบูรณ์ ก็จะได้ยินเสียงกระซิบส่งเสียงร้องโหยหวนรอบๆ เจ้าบอกว่าสถานที่นั้นได้กลายเป็นที่ผีสิงไปแล้ว ถ้าไม่ใช่ค่ายอาคมเสร็จสมบูรณ์ ก็ต้องมีวิญญาณแค้นอื่นๆ อยู่ที่นั่น แต่ถ้ากระดูกกลายเป็นเถ้าและถูกนำออกไปจะสร้างค่ายอาคมได้อย่างไร”
พูดอีกอย่างก็คือ หากการสร้างค่ายอาคมโครงกระดูกสำเร็จ หลุมฝังศพที่อยู่ที่สุสานบรรพบุรุษก็คือสุสานเสื้อผ้า แต่จะมีเถ้ากระดูกอยู่จริงหรือไม่ก็บอกได้ยาก นอกเสียจากว่ากระดูกในค่ายอาคมนั้นจะไม่ใช่บิดามารดาของเขา
อวี้ฉังคงตกตะลึงทันที เขากำหมัดแน่น ริมฝีปากบางเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง
ผ่านไปสักพัก เขาก็เอ่ยขึ้นว่า “เมื่อก่อนข้าไม่อยากจะยอมรับภาพความตายอันน่าอนาถของท่านพ่อท่านแม่ หลังจากที่ข้ามองไม่เห็น แม้แต่ใจของข้าก็ไม่อยากเปิดไปด้วย ข้าตาบอด ใจก็มืดบอด หลังจากที่ข้ามองเห็นอีกครั้ง ยิ่งข้าครุ่นคิด ก็ยิ่งรู้สึกว่าการที่ข้าปิดกั้นตัวเองในอดีตนั้นช่างโง่เขลาจริงๆ พลาดรายละเอียดมากมายและโอกาสที่ดีที่สุดในการค้นหาความจริงไปเสียเปล่า” เขาเอ่ยพลางมองฉินหลิวซีและหัวเราะเยาะตัวเองอย่างเย็นชา “ท่านดูสิ คุณชายฉังคงที่ได้ชื่อว่าเป็นคนฉลาดเป็นหนึ่งไม่มีสองก็เป็นเพียงคนที่แสวงหาชื่อเสียง สิ่งที่โลกยกย่องนั้นช่างไร้สาระจริงๆ”
ความไร้สาระนั้นยังทำให้ความจริงเบื้องหลังการเสียชีวิตอันน่าอนาถของบิดามารดาเขาเป็นปริศนามานานกว่าสิบปี
ฉินหลิวซี “ข้าจะไม่พูดว่า อย่าปล่อยให้ความแค้นทำให้หัวใจเจ้ามืดบอดอะไรพวกนั้น แต่การสงสารตัวเองไม่เหมาะกับเจ้าจริงๆ พลาดไปแล้วก็เอามันกลับมาไม่ได้ อ่อนไหวเสียใจไปก็เสียเวลาไปเปล่าเท่านั้น ทำไมไม่ลองใช้เวลานี้ไปกับเรื่องสำคัญๆ เช่น ทำให้ความจริงกระจ่าง คืนความยุติธรรมของบิดามารดาเจ้า เพียงแต่เมื่อความจริงทุกอย่างปรากฏ เจ้าจะรับมันได้หรือไม่ บางทีนั่นอาจทำให้เจ้าต้องสูญเสียทุกอย่าง รวมถึงสถานะตัวตนของเจ้าด้วย”
หากตระกูลอวี้ทำร้ายบิดามารดาของเขาจริง เขาจะต้องขัดแย้งกับตระกูลของตัวเองอย่างแน่นอน เขาจะต้องยืนฝั่งตรงข้ามกับคนทั้งตระกูล แม้แต่สถานะนี้ตัวตนนี้ก็จะไม่มีอีกต่อไป
“ตระกูลอวี้ไม่เหมือนตระกูลอวี้ในยามที่เพิ่งก่อตั้งอีกต่อไปแล้ว เมื่อก่อนตระกูลอวี้ช่วยเหลือฮ่องเต้โดยมีเป้าหมายที่จะรับใช้ใต้หล้าเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ต่อมาก็เป็นเพียงเพิ่มอัญมณีประดับเครื่องสวมศีรษะของฮ่องเต้ที่หรูหราแต่ใช้งานจริงไม่ได้เท่านั้น” อวี้ฉังคงเอ่ยหนักแน่น “ตระกูลอวี้ถึงเวลาเปลี่ยนแปลงแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นเราไปลองไปดูที่ฝังศพบิดามารดาของเจ้ากันเดี๋ยวนี้เลย?”
อวี้ฉังคงยิ้มเล็กน้อย “ไม่ต้องรีบร้อย รับค่าตอบแทนก่อนค่อยไป เผื่อว่า…ท่านอาจจะได้อะไรดีๆ ไปก่อน”
“หา?”
“ฉวยโอกาสที่ข้ายังเป็นทายาทสายตรงหลานชายคนโตของตระกูลอวี้ เราไปหาของดีกันก่อน ท่านเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยรักษาดวงตาของข้า สมควรจะได้ของดีไปเป็นค่าตอบแทน”
ฉินหลิวซีพูดไม่ออกเล็กน้อย นางอดกลั้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย “นี่เจ้านับว่ากินบนเรือนขี้บนหลังคาได้หรือไม่”
เอาของดีของตระกูลไปให้คนนอก ถ้าถูกคนในตระกูลด่าว่าเป็นหมาป่าเนรคุณก็สมควรแล้ว
อวี้ฉังคงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “หลานชายสายตรงคนโต ถ้าไม่เอาทรัพยากรดีๆ นี้ไปก็เสียเปล่า เมื่อใดที่ข้าไม่ใช่แล้ว อยากจะเอาก็เอาไม่ได้ เอามาให้ท่านก็ไม่ขาดทุน” เขาหยุดไปเล็กน้อย “ทางด้านท่านปู่ข้า ท่านยังต้องดูสถานการณ์ต่อไป”
ฉินหลิวซีเหมือนอยากจะเอ่ยอะไรแต่ก็ลังเล คุณชายอวี้ ตอนนี้เจ้าดูเหมือนมีอาการทางจิตหน่อยๆ แล้ว เดี๋ยวก็เศร้า เดี๋ยวก็บ้าอำนาจ คนเราอัดอั้นตันใจนานๆ ก็อาจจะเป็นบ้าได้จริงด้วย?
Comments