คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า 891 เจ้าอาวาสน้อยปากคอเราะร้าย
ตอนที่ 891 เจ้าอาวาสน้อยปากคอเราะร้าย
หมิงอ๋องที่ถูกหลานชายทำให้ขายหน้ายอมทุ่มหมดหน้าตัก
ในเมื่อหลานตัวแสบกดหน้าเขาลงดินพร้อมเหยียบย่ำซ้ำไปซ้ำมา เช่นนั้นก็ไม่เอาไว้แล้ว ผลประโยชน์สำคัญกว่า อย่างเช่นความเป็นไปได้ที่สาวน้อยตัวนุ่มนิ่มอาจจะไม่ได้มาเกิด
แต่หากมาเกิดจริงๆ เล่า
เพราะเหตุนี้หมิงอ๋องจึงให้ฉินหลิวซีช่วยตรวจดูชีพจร ก่อนจะเขียนใบสั่งยาปรับสมดุลร่างกายให้
ฉินหลิวซีมองไปทางผู้เฒ่าอวี๋ ในเมื่อนางรับคำเชิญตามเขาออกไป ย่อมสื่อว่าให้ไปตรวจเขาก่อนเป็นธรรมดา
ทว่าผู้เฒ่าอวี๋กลับยิ้มแย้มแต่งแต้มใบหน้า มองหมิงอ๋องพลางเอ่ย “เรื่องทายาทย่อมสำคัญที่สุด หมิงอ๋องอายุมากแล้วแต่พละกำลังยังเหลือล้น กระหม่อมช่างเลื่อมใสนัก”
อายุใกล้จะหกสิบแล้ว รอเขาอายุหกสิบคาดว่าคงได้อุ้มเหลน แต่กลับยังมีอารมณ์มาสนใจมีลูกคนที่สอง ความห้าวหาญเช่นนี้คนรุ่นข้าควรเอาเป็นแบบอย่าง!
หมิงอ๋องเผยรอยยิ้มกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย ฉีกยิ้มร่าพลางเอ่ย “เจ้าอาวาสน้อยมีฝีมือในการรักษาเป็นเลิศ หรือว่าใต้เท้าอวี๋จะรักษาร่างกายไปพร้อมกันเลย ตระกูลเราใหญ่โตกิจการมากมาย ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรีก็ก็ย่อมได้ ในเมื่อมีลูกมากย่อมอิ่มเอมมีความสุข”
ผู้เฒ่าอวี๋ “…”
เรื่องนั้นคงไม่จำเป็น!
ปัญหาสุขภาพของหมิงอ๋อง ความจริงฉินหลิวซีเองก็เคยประสบคนไข้ทำนองนี้มาบ้างแล้ว หลักๆ ต้องบำรุงรักษา หากตับไตแข็งแรง สุขภาพค่อนข้างดี ระหว่างนั้นก็ออกแรงไม่ต้องหนักมาก เขาคงได้สมดั่งใจหวัง
“ศาสตร์การฝังเข็มนั้น หมอหลิวเอามาใช้กับท่านอ๋องได้เลย หากลมปราณไหลเวียนดี เลือดลมเพียงพอ ย่อมเป็นผลดีต่อการดูแลรักษาร่างกาย นอกจากสองตำรับนี้แล้ว ยังมีเปลี่ยนเป็นแบบดื่ม รวมถึงตำรับอาหารด้วย กินเว้นสองวันก็พอแล้ว รูปร่างของท่านค่อนข้างอ้วนท้วม ต้องออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก ปาต้วนจิ่น[1]และรำไทเก๊กถือว่าเป็นวิธีการออกกำลังกายที่ดีที่สุด หากฝึกฝนทุกวัน ปรับสมดุลเช่นนี้ไปหนึ่งปีครึ่งปี ท่านย่อมเห็นการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย” ฉินหลิวซีเอ่ยพร้อมส่งใบสั่งยาไปให้
ท่านหมอหลิวรีบรับมา หลังจากกวาดตามองแวบหนึ่งก็เห็นว่าเป็นตำรับใช้บำรุงเลือดลมของไต ทว่ามีวัตถุดิบยาบางส่วนที่เขาไม่เคยเห็นใช้ในส่วนผสมตำรับยาบำรุงไต การใช้ยาแปลกใหม่นั้นทำให้เขาอดถามขึ้นมาสองประโยคไม่ได้
ฉินหลิวซีเองก็ไม่ได้คิดรำคาญใจ ก่อนจะอธิบายส่วนผสมของวัตถุดิบในตำรับยาให้ฟังรอบหนึ่ง “แม้ว่าจะเป็นอาการป่วยเดียวกัน แต่การเขียนตำรับยาย่อมต้องเขียนแตกต่างตามแต่ละบุคคล ต้องกำหนดโดยรวมอาการจากเส้นชีพจรเข้าด้วยกัน ยาที่ใช้เป็นส่วนผสมย่อมต้องพิจารณาเรื่องปริมาณเพิ่มลด แบบนี้ถึงจะเรียกว่าให้ยาตามอาการ ด้วยสุขภาพของท่านอ๋องแล้ว เลือดในตับขาดพร่อง ย่อมส่งผลให้ไตทำงานถดถอย หากจะบำรุงส่วนที่ขาดย่อมต้องบำรุงเลือดในตับก่อน ดังนั้นข้าจึงเพิ่มหลินจือและผงสกัดจากเห็ดหลินจือเข้าไป พอเลือดในตับเพียงพอแล้ว ไตย่อมทำงานได้ดี”
หมิงอ๋องยิ้มแก้มปริ แต่แผ่นหลังกลับเย็นวาบ เพราะแววตาของคนฝั่งของผู้เฒ่าอวี๋แฝงนัยยะลึกล้ำบางอย่างเกินไป
“ได้ เช่นนั้นก็บำรุงร่างกายก่อน ไม่ว่าจะได้ผลหรือไม่ สุดท้ายก็ไม่ได้ส่งผลร้ายต่อร่างกาย” เขาหัวเราะเล็กน้อยเพื่อปรามการตั้งคำถามของท่านหมอหลิว กลัวว่าฉินหลิวซีจะแพร่งพรายข้อมูลมากกว่านี้อีก อับอายธรรมดากับอับอายถึงขีดสุดย่อมมีความแตกต่างกัน
ตอนนี้หมิงอ๋องคิดเพียงว่าอยากรีบกลับ มิเช่นนั้นเกรงว่าพรุ่งนี้ข่าวคงรั่วไหลไปทั่วทั้งเมืองหลวงแน่
เขาคว้าตั๋วเงินที่ถือมาก่อนหน้านี้ยัดใส่มือของฉินหลิวซีปึกใหญ่ พลางเอ่ย “เงินค่าตรวจดูอาการเล็กน้อย รบกวนท่านเจ้าอาวาสน้อยแล้ว”
“อืม”
จากนั้นหมิงอ๋องถึงพาคนจากไป
เวลานี้ฉินหลิวซีถึงเอ่ยขึ้นอีกหนึ่งประโยค “ดังคำกล่าวที่ว่าบำรุงร่างกายสั่งสมพละกำลังไว้ถึงจะออกฤทธิ์ได้เป็นอย่างดี ระหว่างบำรุงรักษา ท่านอ๋องอย่าปล่อยปละละเลย ต้องควบคุมเรื่องอย่างว่าบ้าง กินยาผ่านไปสักครึ่งปีค่อยออกแรงเพิ่มก็ได้แล้ว”
หมิงอ๋องเดินเซจนแทบล้มคะมำไปด้านหน้า
ส่วนคนอื่นๆ มองฟ้ามองดิน เม้มริมฝีปากแน่น ในเมื่อล้วนเป็นบุรุษ พวกเขาเข้าใจดี ดังนั้นจึงไม่มีใครหัวเราะออกมา
นอกเสียจากจะทนไม่ไหว
ฉินหลิวซีผู้นี้ ช่างเปรียบดั่งปีศาจจริงๆ!
…
บนรถม้า ผู้เฒ่าอวี๋และฉินหลิวซีนั่งกันคนละฝั่ง ระหว่างกลางมีโต๊ะเล็กวางกั้นไว้อยู่ ด้านบนมีกาน้ำชากับแก้วอีกสองใบ บวกกับของว่างที่ดูประณีตอีกสองจาน
ผู้เฒ่าอวี๋ประหลาดใจมากจริงๆ ว่าด้วยอายุปูนนี้ของหมิงอ๋องจะให้กำเนิดบุตรคนที่สองได้จริงๆ หรือ เพราะอยู่ว่างๆ เลยเอ่ยถามอย่างใคร่รู้
“ตระกูลหมิงมีลูกโทนสืบทอดมาเก้าชั่วคน ไม่มีบุตรสาวโผล่มาแม้แต่คนเดียว หมิงอ๋องเองก็อายุปาไปห้าสิบหกสิบแล้ว จะให้กำเนิดบุตรได้อีกจริงๆ หรือ”
ฉินหลิวซียิ้มบาง “คำว่าทายาท ต้องดูที่วาสนาและร่างกาย ร่างกายของท่านอ๋องมีปัญหาเรื่องมีบุตรยาก ซึ่งก็คือความผิดปกติของอสุจิในเพศชาย”
แค่กๆ
ผู้เฒ่าอวี๋เพิ่งยกชามาแตะที่ริมฝีปาก พอได้ยินเช่นนั้นก็สำลักในทันที
ถึงแม้เขาเองจะเป็นบุรุษ แต่อีกฝ่ายเป็นสตรี ทว่าดันพูดเรื่องอสุจิเต็มปากเต็มคำโดยไม่หน้าแดงแม้แต่นิดเดียว
ฉินหลิวซีขบขันอยู่บ้างก่อนจะส่งผ้าเช็ดหน้าสะอาดไปให้ ผู้เฒ่าอวี๋รับมาก่อนพยักหน้าให้นางเบาๆ
“โดยทั่วไปหากคู่สามีภรรยาไม่มีบุตร ส่วนมากจะโทษฝ่ายสตรี แต่ในความเป็นจริงฝ่ายบุรุษเองก็มีผลทำให้ฝ่ายสตรีตั้งครรภ์ยาก เหมือนโรคอย่างท่านอ๋อง ความจริงมีอยู่มากมาย เหมือนลูกผู้ดีมีเงินบางส่วนในเมืองหลวง ทำตัวเหลวไหล อายุสิบเอ็ดสิบสองก็ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน ความต้องการเกินตัว ทำลายสุขภาพแต่เยาว์วัย คนประเภทนี้มีให้เห็นบ่อยมากที่สุด ซึ่งทำให้ฝ่ายสตรีมีบุตรยากมากที่สุด”
ผู้เฒ่าอวี๋เห็นด้วยกับคำพูดนี้ จึงพยักหน้าพลางเอ่ย “บุรุษทำตัวเหลวไหลเช่นนี้ในเมืองหลวงมีไม่น้อยจริงๆ”
“ข้าดูจากโหงวเฮ้งของท่านอ๋องแล้ว เขาไม่ได้มีแค่บุตรชายคนเดียว มีครบทั้งบุตรชายและบุตรสาว แต่โหนกแก้มกลับนูนแบนไม่อวบอิ่ม พอตรวจดูชีพจรของเขาแล้วถึงรู้ว่าปัญหาอยู่ที่ใด” ฉินหลิวซีเอ่ย “ด้วยสภาพของเขาแล้ว ต่อให้ย่ำแย่ อสุจิไม่แข็งแรงพอ บุตรที่ให้กำเนิดมาก็แค่ร่างกายอ่อนแอ นี่เป็นเรื่องของพันธุกรรม”
เหมือนที่นางเคยไปตรวจบุรุษหนุ่มตระกูลทังที่ซีเป่ย ร่างกายอ่อนแอตั้งแต่มารดาให้กำเนิด เพราะรากฐานไม่แข็งแรงพอ
“หากบำรุงรักษาดีแล้วจนมีบุตรได้อีกคน เจ้าคงเป็นผู้มีพระคุณของจวนหมิงอ๋องเลยทีเดียว” ผู้เฒ่าอวี๋ถอนหายใจเสียงเบา “ตระกูลของพวกเขามีลูกโทนสืบทอดมาเก้าชั่วคน ปกติยามที่หมิงอ๋องเห็นสาวน้อยน่ารักเหล่านั้น มักจะมอบของกำนัลให้มากทีเดียว”
ฉินหลิวซีโบกมือ “เป็นบุญคุณหรือไม่ไม่สำคัญ เราทั้งสองเป็นแค่คนไข้กับหมอ ข้าตรวจดูอาการ เขาจ่ายค่ารักษา นับว่าทั้งสองฝ่ายไม่ติดค้างกันแล้ว”
ขณะที่เอ่ยประโยคนี้ กลับไม่แสดงท่าทีลำพองใจเลยสักนิด
ผู้เฒ่าอวี๋เป็นฝ่ายเกริ่นถึงคนที่เขาเชิญให้ฉินหลิวซีไปตรวจดูอาการ ซึ่งก็คือตระกูลของใต้เท้าจั่วขุนนางฝ่ายตรวจการ ผู้ป่วยก็คือฮูหยินผู้เฒ่า ซึ่งก็คือภรรยาเอกของใต้เท้าจั่วนั่นเอง
แม้จะบอกว่าเป็นฮูหยินผู้เฒ่า แต่ความจริงปีนี้อายุเพิ่งห้าสิบต้นๆ เมื่อปลายฤดูหนาวปีก่อนจู่ๆ บุตรชายคนเล็กจากภรรยาเอกของตระกูลจั่วกลับจากไปด้วยอุบัติเหตุ ฮูหยินจั่วผู้เฒ่าจึงล้มหมอนนอนเสื่อ จนแทบจำหน้าตาไม่ได้ หมอหลวงต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าหากฮูหยินจั่วผู้เฒ่ายังเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าคงอยู่ไม่รอดถึงฤดูร้อนปีนี้
“ความเสียใจจากการสูญเสียบุตร คนผมขาวต้องมาส่งคนผมดำลงโรง คงมีอาการซึมเศร้าเกินครึ่ง หากไม่คลี่คลายปมในใจ ต่อให้กินยาดีเท่าไรก็ยากที่จะรักษาหาย” ฉินหลิวซีได้ยินเช่นนั้นก็เดาอาการขั้นพื้นฐานได้ ก่อนจะเอ่ย “อารมณ์เศร้าหมองดิ่งวูบ สิ่งที่ต้องการก็คือยาใจ หากนางก้าวผ่านความจริงของการสูญเสียไปไม่ได้ เกรงว่า…”
“เรื่องนี้ใครๆ ต่างก็รู้ดี แต่หากจะให้เดินออกมาง่ายๆ กลับเป็นเรื่องยาก อีกอย่างเหตุที่นางก้าวผ่านมันไปไม่ได้เพราะมีเหตุผล”
ครั้นฉินหลิวซีได้ยินเช่นนั้น หรือว่าเรื่องนี้จะมีลับลมคมในบางอย่าง
“เหตุผลใดหรือ”
ผู้เฒ่าอวี๋บีบแก้วชาพลางเอ่ย “นางคิดว่าลูกยังไม่ตาย บอกว่าฝันเห็นบุตรชายขอให้นางช่วยเขา”
ดวงตาของฉินหลิวซีก็หรี่ลง “เกิดเรื่องใดขึ้น ตกลงตายแล้วหรือยังไม่ตาย หรือว่าทางตระกูลไม่ได้จัดงานศพ”
“จัดงานศพแล้ว แต่ว่า…” ผู้เฒ่าอวี๋เงียบไปครู่หนึ่งถึงเอ่ย “งานศพนี้ไร้ร่างศพ ตอนฝังลงหลุมก็แค่เอาของใช้ฝังลงไปเท่านั้น”
[1]ปาต้วนจิ่น เป็นชื่อกายบริหารเพื่อรักษาสุขภาพ สร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายให้แข็งแรง
Comments