คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า 899 หากผ่านวิบากร้ายไปได้ย่อมมีความสุขรออยู่
ตอนที่ 899 หากผ่านวิบากร้ายไปได้ย่อมมีความสุขรออยู่
ใต้เท้าจั่วเพิ่งเดินออกมาจากเส้นทางหยินอันน่าสะพรึง เขายังไม่ทันหายจากความตกใจก็เห็นหลุมศพของบุตรชายถูกขุดขึ้นมาแล้ว ชั่วขณะนั้นไฟโทสะก็พุ่งปรี๊ดจนแทบกระอักเลือด ก่อนจะล้มพับนั่งทรุดลงกับพื้น
แม้จะรู้ว่าบุตรชายยังไม่ตาย แต่หากตายจริงๆ แล้วถูกขุดร่างขึ้นมาเช่นนี้ก็ถือว่าสร้างความวุ่นวายให้กับผู้ตายมิใช่หรือ
ฉินหลิวซีไม่สนใจละครพวกนี้ นางสะบัดมือดับไฟที่กำลังลุกโหมภายในโลงศพให้มอดลง จากนั้นก็ดีดนิ้วสองครั้งร่ายมนต์ใส่โจรขุดสุสานที่กำลังเตรียมจะหนี พวกเขาสองคนส่งเสียงร้องโหยหวน ก่อนจะล้มลงและขยับตัวไม่ได้
ผู้เฒ่าอวี๋หนังตากระตุกหลายครั้ง มองสถานการณ์ตรงหน้าพลางกระตุกมุมปากอย่างเลี่ยงไม่ได้ นี่มันเรื่องอะไรกัน
จั่วจงเหนียนตบหน้าตัวเองสองทีเพื่อบีบให้ตนเองมีสติ ครั้นได้เห็นฉากและสถานการณ์นี้เข้าก็กรีดร้องตกใจ ก่อนกลิ้งตัวเดินล้มลุกคุกคลานไปทางสุสาน จากนั้นเขาก็เห็นภาพประกายเพลิงภายในโลงศพลุกโหม ฉับพลันหัวใจของเขาก็บีบแน่น
พวกเขาคงไม่ได้มาช้าไปกระมัง
ฉินหลิวซีกระโดดเข้าไปแล้วลากตัวจั่วจงจวิ้นออกมา
“เบาๆ หน่อย” จั่วจงเหนียนรีบเข้าไปช่วยแบกร่างนั้น อีกทั้งยื่นมือไปคลำมือของเขา
อุ่นอยู่ น่าจะยังทันกระมัง
จั่วจงจวิ้น เจ้าลองถูกไฟลุกท่วมตัวแล้วดูว่าจะตัวอุ่นอยู่หรือไม่ นอกจากจะอุ่นแล้ว ยังสุกด้วย!
หลังจากจัดการวางร่างจั่วจงจวิ้นไว้บนพื้นด้านข้างแล้ว ฉินหลิวซีถึงดึงมือของเขามาตรวจดูชีพจร เพราะถูกกักขังมานานและความอ่อนแอเหนื่อยล้าถึงขีดสุด บวกกับได้รับความสะเทือนใจมากเกินไป ชีพจรจึงยุ่งเหยิงและอ่อนกำลังมาก จำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษา
ต่อมานางก็ฉีกเสื้อผ้าที่ถูกเผาไหม้จนเกรียมออกเผยให้เห็นหน้าอก บนนั้นปรากฏตุ่มใสให้เห็นชั้นหนึ่ง แผลไฟไหม้นี้ต้องได้รับการรักษา
สิ่งที่ฉินหลิวซีประหลาดใจก็คือเหตุใดจู่ๆ วิญญาณหยกถึงยืนหยัดไม่ไหวจนพังทลายลง อีกทั้งต่อให้กลับเข้าไปในปิ่นปักผมเหมือนเดิมแล้ว นางก็น่าจะหลงเหลือพลังวิญญาณปกป้องจั่วจงจวิ้นบ้าง แต่ความจริงไม่ใช่ เพราะปกป้องไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องเจอกับวิบากเช่นนี้
“จั่วจงจวิ้นเป็นอย่างไรบ้าง” ใต้เท้าจั่วเดินรุดขึ้นหน้าเข้ามาภายใต้การพยุงร่างของผู้เฒ่าอวี๋ มองบุตรชายที่หมดสติที่ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรบ้างด้วยใจสั่นสะท้าน ก้มตัวย่อกายลงก่อนจับชีพจรด้านข้างคอของเขา
ชีพจรยังเต้นอยู่
ฉินหลิวซีคว้าเข็มเงินสองเล่มฝังลงตามจุดลมปราณสำคัญของจั่วจงจวิ้น จากนั้นก็หยิบขวดยาออกมาแล้วป้อนยาลูกกลอนโสมเม็ดหนึ่งให้จั่วจงจวิ้นกิน ถึงอย่างไรก็ต้องรักษาชีวิตไว้ก่อน
“วางใจได้ หากผ่านวิบากร้ายไปได้ย่อมมีความสุขรออยู่ ต้องดีขึ้นแน่” ฉินหลิวซีมองสายตาหวั่นวิตกของพวกเขา ไม่ง่ายเลยถึงจะเผยสีหน้าดีใจขึ้นมาบ้าง
จั่วจงเหนียนมองไปยังความวุ่นวายตรงหน้าแล้วจึงเอ่ย “ถ้าเรามาช้ากว่านี้ ต่อให้น้องรองกลับมาได้ก็คงถูกไฟแผดเผาไม่เหลือ”
ภัยจากไฟ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง
เขาหันไปมองโจรสองคนที่หมดสติอยู่บนพื้น เดินเข้าไปเตะคนละสองทีด้วยความโกรธ ล้วนเป็นฝีมือของคนพวกนี้ทั้งนั้น กล้าดีมาขโมยของในสุสานตระกูลจั่ว
สารเลว
ฉินหลิวซีกลับตรวจดูสมบัติคนตายภายในโลงศพอย่างละเอียด เอ่ยว่า “อย่ามัวเตะพวกเขาเลย ลองดูสิว่าพวกเขาเอาปิ่นปักผมไปหรือไม่”
จั่วจงเหนียนจึงรีบค้นตัว จากนั้นก็พบภาชนะหลายอย่าง รวมถึงปิ่นปักผมด้วย “อยู่นี่”
ฉินหลิวซีรับปิ่นปักผมมา หยิบเทียนมาส่องดูก็พบว่าหัวปิ่นเจียระไนเป็นบ้านขนาดเล็กกะทัดรัดประณีต ในนั้นมีทุกอย่างราวกับบ้านของจริง
หัวปิ่นใหญ่กว่านิ้วหัวแม่มือบุรุษเพียงเล็กน้อย แต่สามารถแกะสลักบ้านที่วิจิตรงดงามและละเอียดลออได้ขนาดนี้ ถือเป็นงานฝีมือชั้นเลิศ ไม่รู้ว่าช่างแกะสลักปิ่นปักผมผู้นี้ทุ่มเทแรงกายแรงใจมากเพียงใดกว่าจะทำงานลุล่วงสำเร็จได้
งานฝีมือที่ดีต้องมีจิตวิญญาณ ช่างแกะสลักผู้นี้ฝีมือไม่ธรรมดา ถึงทำให้ปิ่นปักผมชิ้นนี้ดูเหมือนมีชีวิตจริงๆ อีกทั้งปิ่นปักผมชิ้นนี้ยังเจียระไนจากหยกโบราณที่มีอายุไม่น้อยด้วย
“วิญญาณหยก เจ้ายังอยู่หรือไม่” เรียกว่าวิญญาณหยก หรือเรียกว่าวิญญาณปิ่นก็ได้ เพียงแต่นางเต็มใจใช้คำว่าหยกมากกว่า
ปิ่นหยกค่อยๆ ร้อนขึ้น ฉินหลิวซีก้มลงมองราวกับนึกบางอย่างขึ้นได้ นางจึงยื่นปิ่นเข้าไปใกล้แสงไฟ จากนั้นก็เห็นตัวเชื่อมระหว่างด้ามปิ่นกับหัวปิ่นมีรอยร้าวเล็กๆ โดยที่ไม่รู้ว่าปรากฏขึ้นตอนไหน พลันหัวใจก็กระตุกวาบ
หากปิ่นปักผมแตกแหลกละเอียด คาดว่าวิญญาณปิ่นก็คงมลายหายไปเช่นกัน
ฉินหลิวซีใช้กระดาษยันต์ห่อปิ่นแล้วบอกจั่วจงเหนียนว่า “หาตัวเจอแล้ว ส่วนเจ้าสองคนนี้ก็ให้คนมาจัดการแล้วกัน พวกเรารีบกลับกันดีกว่า ยังต้องรักษาบาดแผลไฟไหม้ของคุณชายรองด้วย”
“เจ้าไปหาผู้นำตระกูลในหมู่บ้าน” ตระกูลจั่วเอ่ยเสียงขรึม
ด้วยสถานะของเขา บ้านตระกูลจั่วจึงพลอยได้รับผลประโยชน์ไปด้วย เรื่องหลุมศพบรรพบุรุษย่อมมีคนดูแล แต่บัดนี้มีกลุ่มโจรกล้าเข้ามาบุกรุก ดูทรงโจรพวกนี้จะกำเริบเสิบสานไม่น้อย!
เดิมทีผู้ตรวจการย่อมมีความเข้มงวดอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความหัวรั้น ตอนนี้โจรบุกเข้ามาถึงสุสานของตระกูลจั่วแล้ว เขาจะทนได้อย่างไร
ผู้ว่าราชการที่นี่ต้องถูกเขียนหนังสือร้องทุกข์สักเล่ม รับเงินเดือนแต่ไม่ยอมทำงาน ภายใต้การปกครองของเขากลับมีโจรใจเหี้ยมคลุ้มคลั่งเช่นนี้ปรากฏขึ้น!
จั่วจงเหนียนจุดไฟคบเพลิงก่อนจะเดินลงเขาไป
สุสานบรรพบุรุษของตระกูลจั่วอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านนัก ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วยามก็ได้ยินเสียงคนดังแว่วมาแล้ว
โกลาหลวุ่นวายเหลือเกิน
ฉินหลิวซีไม่สนใจว่าตระกูลจั่วจะจัดการกับโจรบุกเข้าสุสานพวกนี้อย่างไร นางเพียงหาวัตถุดิบยาในหมู่บ้าน ก่อนที่จะรักษาบาดแผลไฟไหม้ของจั่วจงจวิ้น กรอกยาใส่ปากให้เขา จากนั้นก็พาคนกลับเมืองหลวง
ในเมื่อพวกเขาต้องรีบร้อนกลับ ใต้เท้าจั่วกับผู้เฒ่าอวี๋ไม่ทันลาหยุด อีกทั้งต้องประชุมราชสำนักในตอนเช้า
ดังนั้นพวกเขาจึงต้องกลับเส้นทางหยินอีกครั้ง สำหรับบรรยากาศวังเวงและเสียงร้องครวญครางโหยหวนกลับไม่ได้รู้สึกน่ากลัวนัก ในเมื่อเคยเจอมาแล้ว
สำหรับบางเส้นทาง พอเดินๆ ไปก็คุ้นชินไปเอง
เมื่อกลับมาถึงจวนตระกูลจั่ว เวลาก็ล่วงเลยมาถึงยามจื่อ[1] ห่างจากเวลาที่ขุนนางต้องเข้าประชุมตอนเช้าอีกไม่นานแล้ว ใต้เท้าจั่วและผู้เฒ่าอวี๋รู้สึกหมดแรง จิตใจฟุ้งซ่าน ด้วยสภาพเช่นนี้หากเข้าร่วมประชุมเช้าด้วยคงไม่ไหว จึงทำได้แค่ส่งคนไปแจ้งลาป่วยแทน
ฉินหลิวซีจับเส้นชีพจรของจั่วจงจวิ้นอีกครั้ง ก่อนเขียนใบสั่งยาบำรุงร่างกายให้ เขาช่างดวงแข็งนัก ตอนตกลงไปในร่องธารน้ำแข็งก็ได้รับความช่วยเหลือจากวิญญาณหยก ร่างกายจึงไม่มีบาดแผลบอบช้ำภายใน บวกกับเพราะเขายังอยู่ในช่วงวัยยาว์ แค่บำรุงด้วยการกินยา ร่างกายก็ฟื้นฟูดีขึ้นแล้ว
ส่วนเรื่องบาดแผลจากไฟไหม้ก็ไม่ถือว่าร้ายแรงนัก แค่กินยารักษาภายใน ทายารักษาภายนอก บวกกับใช้ยาลบรอยแผลเป็นนิดหน่อยก็เพียงพอแล้ว
ในทางกลับกัน เนื่องจากพวกใต้เท้าจั่วได้รับความตกใจและเดินผ่านเส้นทางหยิน บวกกับอายุมากแล้ว ฉินหลิวซีจึงช่วยเรียกขวัญ พร้อมกับให้ยันต์แผ่นหนึ่งไว้ช่วยชโลมจิตใจ
ใต้เท้าจั่วมองน้ำมนต์ในมือด้วยสีหน้าที่ยากจะอธิบาย เขาใช้ชีวิตมาครึ่งอายุคน แต่คนที่ไม่เคยเชื่อเรื่องผีสางเทวดาอย่างเขากลับได้เจอผี เดินทางในเส้นทางหยิน และยังต้องมาดื่มน้ำมนต์อีกต่างหาก
หากเป็นเมื่อก่อน แค่ได้ยินคำว่าน้ำมนต์ เขาคงคำรามด่าทอว่าเหลวไหลแล้ว!
แต่ตอนนี้เขากำลังถือชามน้ำมนต์ในมือ!
เมื่อเห็นผู้เฒ่าอวี๋ดื่มน้ำมนต์จนเกลี้ยงด้วยสีหน้าราบเรียบ เขาก็ผุดอารมณ์ฮึกเหิมในใจ ก่อนใช้แขนเสื้อบังหน้าแล้วดื่มหมดรวดเดียว
ไม่เหลืออะไรจะเสียแล้ว
เมื่อดื่มรวดเดียวหมด เขาก็เห็นใบหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มของผู้เฒ่าอวี๋ พลันเขาก็สำลักสองที รู้สึกถึงใบหน้าอันร้อนผ่าว
ต่อไปนี้เขาคงไม่อาจเงยหน้ามองเจ้านี่ได้อีกแล้วกระมัง
หลังจากผ่านเรื่องราวในวันนี้มา เขาก็เหมือนถูกฝ่ามือเหวี่ยงตบหน้าเสียงดังเพียะเข้าอย่างจัง เจ็บจนผวาไปหมดแล้ว
“คุณชายรองฟื้นแล้ว” บ่าวรับใช้ที่เฝ้าอยู่ข้างเตียงร้องขึ้นด้วยความดีใจ
ใต้เท้าจั่วรีบลุกขึ้นพรวด แม้จะวิงเวียนศีรษะเล็กน้อย แต่ก็ยังสงบอารมณ์เดินไปตรงหน้าเตียงได้ เมื่อเห็นบุตรชายกำลังมองมาทางเขาพร้อมเรียกท่านพ่อด้วยสายตาน้อยเนื้อต่ำใจ เขาก็ขอบตาร้อนผ่าว
บุตรชายของเขากลับมาแล้ว!
[1] ยามจื่อ ตรงกับเวลาตั้งแต่ 23:00 – 01:00
Comments