คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า 480 เวลาข้าเป็นบ้าขึ้นมาแม้แต่ตัวข้าเองยังกลัว

Now you are reading คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า Chapter 480 เวลาข้าเป็นบ้าขึ้นมาแม้แต่ตัวข้าเองยังกลัว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 480 เวลาข้าเป็นบ้าขึ้นมาแม้แต่ตัวข้าเองยังกลัว

ปู้ฉิวคือข้าเอง

ทันทีที่ฉินหลิวซีเอ่ยคำนี้ออกมา สะใภ้เซี่ยก็มองไปยังติงโส่วซิ่นกับภรรยาของเขาที่มีสีหน้าเหมือนถูกฟ้าผ่า อดดึงแขนเสื้อสะใภ้กู้ไม่ได้ เอ่ยเสียงเบาว่า “พวกเขาเป็นอะไร ยังกับสติหลุดไปแล้ว”

สะใภ้กู้ส่ายหน้า เหลือบมองไปยังฉินหลิวซี แอบคาดเดาในใจเล็กน้อย

หรือว่าซีเอ๋อร์ได้แอบทำอะไรทำให้พวกเขาหวาดกลัว มันคืออะไรนะ

ติงโส่วซิ่นมองฉินหลิวซี ทั้งๆ ที่นางยกมุมปากขึ้น แต่เหตุใดรอยยิ้มจึงเต็มไปด้วยความร้ายกาจ

“เจ้า เจ้าก็คือเจ้าอาวาสน้อยอารามชิงผิง อาจารย์ปู้ฉิว?” ฮูหยินติงถามอย่างไม่แน่ใจ สีหน้าไม่อยากจะเชื่อ

อายุยังน้อย ความสามารถแข็งแกร่ง ผู้ตรวจการเซียวและอวี๋ชิวไฉต่างยกย่องเป็นแขกผู้มีเกียรติ ท่านอาจารย์ผู้นั้นที่เห็นแก่ฉินหลิวซีจึงได้ช่วยออกหน้าให้ตระกูลฉิน ที่แท้ก็คือตัวนางเอง?

นักพรตหญิง!

ตอนนี้ฮูหยินติงรู้สึกราวกับว่ากลืนแมลงวันเข้าไป

พวกเขาเพียงแค่คิดว่าฉินหลิวซีได้รับการเลี้ยงดูในอารามเต๋า จากนั้นก็ได้รู้จักกับนักพรตเต๋าผู้มีความสามารถผู้นั้น เขาจึงได้ช่วยออกหน้าให้ตระกูลนาง แต่ความจริงแล้วคือตัวนางช่วยด้วยตัวนางเอง

นางเก่งขนาดนั้นเลยหรือ

นางทำอะไรบางอย่างกับตระกูลของตัวเองจริงๆ หรือ

เมื่อนึกถึงความโชคร้ายตลอดทางมานี้ สายตาที่ฮูหยินติงมองฉินหลิวซีราวกับเห็นผี หวาดกลัว หวาดหวั่น ยำเกรง ก้าวถอยหลังสองก้าวโดยไม่รู้ตัว

ผู้ที่หวาดกลัวเหมือนกันยังมีติงโส่วซิ่นที่อยู่ในตำแหน่งทางการมานาน

ตอนที่พึ่งได้เห็นฉินหลิวซี เขาก็รู้ว่านางไม่ได้ง่ายเช่นนั้น เมื่อได้พูดคุยความรู้สึกนี้ก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น เด็กสาวอายุสิบห้าสิบหกปีเผชิญหน้ากับผู้ที่อยู่ในราชการมานาน แต่กลับไม่ได้มีความเกรงกลัวเลยแม้แต่นิด ซ้ำยังดูหมิ่นราวกับกำลังมองมดตัวหนึ่ง ทั้งนางยังถูกส่งกลับไปเลี้ยงดูที่บ้านเดิมตัวคนเดียวตั้งแต่ยังเด็ก แต่ถึงกระนั้นนางก็ไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวหรือต่ำต้อย

เป็นเพราะนางเป็นนักพรตหญิงอย่างแท้จริงในอารามเต๋า หรือเพราะเป็นเจ้าอาวาสน้อยที่ต้องสืบต่ออารามเต๋า?

นี่คือความมั่นใจของนางหรือ

หรือว่าความสามารถที่แข็งแกร่งจึงจะเป็นความมั่นใจของนาง!

“ ‘อาจารย์’ เป็นเพียงแค่คำยกย่องจากบรรดาผู้มีความศรัทธา ไม่ถึงขั้นต้องเรียกเช่นนั้น แต่หากท่านต้องการถามอย่างอื่น เป็นข้าเอง” ฉินหลิวซียิ้มเล็กน้อย มองไปยังติงโส่วซิ่น “ดังนั้นคำแนะนำที่ข้าให้แก่พวกท่านเป็นเรื่องจริง สะสมบุญทำความดี ใช้เงินปัดเป่าภัยพิบัติ”

“เจ้า เจ้าสาปแช่งครอบครัวของพวกเราใช่หรือไม่” ฮูหยินติงน้ำเสียงสั่นเครือ

อะไรนะ สาปแช่ง?

สะใภ้เซี่ยเบิกตาโตพลางมองไปยังฉินหลิวซี

เยี่ยมมาก หลานสาวคนโตของอาสะใภ้!

ทันทีที่ฮูหยินติงเอ่ยก็รู้สึกว่าตรงเกินไป สีหน้าซีดลงเล็กน้อย

ติงโส่วซิ่นจ้องนาง เอ่ยดุว่า “เอ่ยอะไรเหลวไหล อารามชิงผิงเป็นอารามเต๋าที่แท้จริง ปราบสิ่งชั่วร้ายปกป้องคุณธรรม จะทำเรื่องเลวร้ายเช่นนี้โดยไม่กลัวถูกฟ้าผ่าได้อย่างไร”

หนึ่งคำพูดที่เกี่ยวข้องกัน เป็นทั้งการหยั่งเชิง เป็นทั้งการสาปแช่งทางอ้อม

ฉินหลิวซีจะโมโหหรือไม่

“ใต้เท้าติงเอ่ยผิดแล้ว ฮูหยินติงถามข้า ไม่ได้ถามถึงอารามเต๋าที่อยู่เบื้องหลังข้า อารามชิงผิงไม่ทำ ไม่ได้แปลว่าข้าไม่ทำ ส่วนจะถูกฟ้าผ่าหรือไม่นั้น เหตุผล เหตุผล มีเหตุจึงมีผล สวรรค์ย่อมยุติธรรมเสมอ” ฉินหลิวซีหรี่ตาลง เอ่ยว่า “เลวร้ายหรือไม่นั้น ก็ต้องดูว่ามีคนบีบบังคับข้าหรือไม่”

ติงโส่วซิ่นสีหน้ามืดครึ้ม เอ่ย “อารามชิงผิงนั้นมีความสามารถพอสมควรที่ขัดเกลาผู้สืบทอดเช่นเจ้าได้”

“เป็นเช่นนั้น หากไม่มีความสามารถก็คงไม่ได้ข้ามาเป็นเจ้าอาวาสน้อย!” ฉินหลิวซีชมตัวเองอย่างไม่อาย

ทุกคน ‘หน้าเจ้าไม่ได้ใหญ่มาก แต่เหตุใดคำพูดคำจาจึงได้ใหญ่เช่นนี้!’

สะใภ้เซี่ยคิดในใจ ‘เจ้าเด็กคนนี้หน้าหนากว่าข้าเสียอีก’

ติงโส่วซิ่นจ้องนาง “เจ้าทะนงตนเช่นนี้ ไม่กลัวจะนำหายนะมาสู่อารามชิงผิงหรือ ดินแดนในใต้หล้าล้วนอยู่ภายใต้การปกครองของฮ่องเต้ ทุกคนล้วนเป็นข้าราชบริพารของฮ่องเต้ อย่างไรเสียอารามชิงผิงก็อยู่ภายใต้การปกครองของราชสำนัก อยู่ในเขตอำนาจศาล”

นี่คือคำเตือน และเป็นคำขู่!

ฉินหลิวซีหัวเราะ รอยยิ้มกลับไม่สู้สายตา “เป็นเพราะข้าอายุยังน้อยหรือ เหตุใดข้าจึงฟังเหมือนว่าใต้เท้ากำลังตักเตือนข้า หรือกำลังสอนการประพฤติตนแก่ข้า”

ก้นบึ้งหัวใจของติงโส่วซิ่นหวาดหวั่น

“ใต้เท้าก็เคยเรียกท่านปู่ของข้าว่าอาจารย์ เห็นแก่ความสัมพันธ์นี้ ข้าจะสอนแก่ใต้เท้าหนึ่งประโยค อย่าได้ล่วงเกินนักพรตที่มีความสามารถเป็นอันขาด หากพวกเขาบ้าคลั่งขึ้นมาจะทำให้ทายาทของศัตรูต้องฝังชดใช้ไปด้วยกัน ส่วนข้า เวลาข้าเป็นบ้าขึ้นมาแม้แต่ตัวข้าเองก็ยังกลัว!”

ฮูหยินติงปิดปากมองฉินหลิวซีด้วยความหวาดกลัว นางบ้าไปแล้ว

ไม่ต้องพูดถึงความกลัวของสองสามีภรรยาที่ตกเป็นเป้าหมาย แม้แต่สะใภ้หวังและคนอื่นๆ ก็ยังไม่กล้าหายใจเสียงดัง สะใภ้เซี่ยมองฉินหลิวซีที่หันหลังให้ตัวเอง ถูกรัศมีกดดันจนรู้สึกอยากหนี

เจ้าเด็กคนนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว

ติงโส่วซิ่นฉีกยิ้ม “เจ้าดูเด็กน้อยเช่นเจ้าสิ เพียงแค่เอ่ยล้อเล่นก็ไม่ได้ อาแค่หยอกล้อเจ้าเฉยๆ”

ฉินหลิวซีแกล้งทำเป็นลูบหน้าอก “จึงหรือ ข้าคิดว่าท่านกำลังตักเตือนข้าอยู่เสียอีก!”

“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร พวกเราสองครอบครัวมีมิตรภาพที่ผู้อื่นสามารถเทียบได้หรือ” ติงโส่วซิ่นหยิบตั๋วเงินสองสามใบออกมาจากแขนเสื้อแล้วยื่นให้ เอ่ยว่า “ว่ากันว่าทำความดีสะสมบุญ เงินค่าน้ำมันตะเกียงเหล่านี้ เจ้าช่วยบริจาคแก่อารามชิงผิงทำเป็นการกุศลแทนอาเถิด”

ฮูหยินติงเหลือบมอง ตั๋วเงินมูลค่าหนึ่งร้อยตำลึงห้าใบ

เดิมทีคิดว่าฉินหลิวซีจะปฏิเสธเหมือนสะใภ้หวัง แต่นางรับไว้ ยิ้มพลางเอ่ยว่า “ขอเทพเจ้าจงอำนวยพรอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ใต้เท้ามีจิตใจดี โชคร้ายนี้จะหยุดลงอย่างแน่นอน”

ฮูหยินติง “…”

ติงโส่วซิ่นมองนางด้วยสายตาลุ่มลึก แสร้งทำเป็นยิ้ม “เช่นนั้นก็ขอให้สมพรปากเจ้า”

“มีใครอยู่ข้างนอกบ้าง ช่วยส่งแขกด้วย” ฉินหลิวซีตะโกนเรียก

พ่อบ้านหลี่เข้ามาอย่างรวดเร็ว โค้งคำนับด้วยความเคารพ

ติงโส่วซิ่นหายใจเข้าลึกๆ เอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ไม่รบกวนแล้ว ขอตัวก่อน จริงสิ งานเลี้ยงประจำปีจวนติง เมื่อถึงเวลาจะส่งเทียบเชิญมาให้ ขอเชิญให้หลานสาวและพวกเจ้ามาร่วมงานเลี้ยงด้วย”

ฉินหลิวซียิ้ม แต่ไม่ได้บอกว่าจะไปหรือไม่ไป

ติงโส่วซิ่นหันหลังกลับ รอยยิ้มจอมปลอมบนใบหน้าหายไปในทันที จากไปด้วยสีหน้ามืดครึ้ม

ทันทีที่พวกเขาจากไป สะใภ้หวังก็ก้าวไปข้างหน้า เอ่ยกับฉินหลิวซีว่า “ซีเอ๋อร์ เป็นอะไรหรือไม่”

“ไม่เป็นไร ติงโส่วซิ่นเป็นคนขี้ขลาดรักตัวกลัวตาย ไม่ว่าจะเพื่อชื่อเสียงหรือเพื่อชีวิต ก็ไม่กล้าทำอะไรตระกูลฉินแม้แต่นิดเดียว” ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเรียบ

หากเขากล้า เช่นนั้นก็ต้องจ่ายในราคาที่เหมาะสม

สะใภ้เซี่ยก็เดินเข้ามาหาเช่นกัน มองตั๋วเงินในมือของฉินหลิวซี เอ่ยว่า “ตั๋วเงินนี่…”

ฉินหลิวซีเก็บไว้ในอ้อมแขน เอ่ย “ท่านอาสะใภ้รอง นี่คือเงินค่าน้ำมันตะเกียงของอารามเต๋า ท่านคงไม่ได้อยากได้หรอกกระมัง”

สะใภ้เซี่ยสำลัก เอ่ยกับสะใภ้หวังว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ พวกเขาให้ร้านเราหนึ่งร้านเป็นค่าชดใช้ ทำไมไม่รับไว้ นี่คือสิ่งที่เราควรได้รับ”

“เหตุใดจึงควรได้รับ หากพวกเขาทุบร้านของตระกูลฉิน ทำลายจนร้านนี้ไม่สามารถทำกิจการต่อไปได้ ท่านสามารถเอาไปได้ แต่ร้านยังคงอยู่ดี ท่านจะรับร้านนี้มาทำอะไร” ฉินหลิวซีชิงเอ่ยขึ้นมาก่อนสะใภ้หวังว่า “ท่านอาสะใภ้รอง ของบางอย่าง ข้าแนะนำว่าอย่าได้โลภในผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ของมัน หากเขาให้แล้วท่านก็รับไว้ ไม่แน่ของสิ่งนั้นก็คือของที่ใช้ซื้อโชคลาภและชีวิตของท่าน”

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”

ฉินหลิวซียิ้มพลางเอ่ย “หมายความว่าบางคนอาจจะไปหาหมอผีชั่วร้ายให้ทำพิธี ตั้งใจหาคนมาทดแทนชีวิต เปลี่ยนแปลงโชคลาภ ใครก็ตามที่รับประโยชน์นี้ไปก็จะถือว่ายินยอมที่จะทดแทนชีวิตให้แก่อีกฝ่าย เรื่องเช่นนี้ข้าพึ่งได้เจอเมื่อไม่นานมานี้หนึ่งราย ผู้โชคร้ายหยิบถุงเงินที่ถูกร่ายมนต์คาถา เกือบตายเลยทีเดียว”

เซี่ยชงผู้โชคร้าย ‘ข้ากลับตัวเป็นคนดีแล้ว อย่าคิดมาก ขอบคุณ’

สะใภ้เซี่ยสีหน้าซีด ก้าวถอยหลังหลายก้าว อาสะใภ้ขอร้องเจ้าอย่ายิ้ม แค่นี้ก็น่ากลัวพอแล้ว!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด