คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง 387 ขายหน้า

Now you are reading คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง Chapter 387 ขายหน้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 387 ขายหน้า

ฎีกากล่าวโทษถูกส่งออกไปอย่างเร่งด่วน ใช้เวลาเพียงไม่กี่วันก็ถึงเมืองหลวง

มันถูกส่งเข้าสำนักทงเจิ้ง ผ่านการตรวจสอบของบรรดาขุนนางก่อน จึงจะส่งเข้าวังให้ฮ่องเต้ทอดพระเนตรได้

เพียงแต่…

เนื้อหาภายในฎีกาทำให้บรรดาขุนนางต่างลำบากใจเล็กน้อย

“ท่านโหวกว่างหนิงช่างใจกล้าเสียจริง บังอาจตำหนิฝ่าบาทในฎีกา เขาช่างไร้ที่ต่ำที่สูง!”

“บุตรสาวอันเป็นที่รักถูกพระราชทานให้เซียวอี้ ท่านโหวกว่างหนิงในฐานะบิดาก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงวาจาที่เหมาะสม! ฝ่าบาทก็ดี อย่างน้อยก็ต้องขอความเห็นจากท่านโหวกว่างหนิงก่อน เหตุใดจึงออกพระราชโองการอย่างเร่งรีบ คราวนี้ดีแล้ว ทำให้ท่านโหวกว่างหนิงโกรธจนไม่สนใจความแตกต่างระหว่างฮ่องเต้กับขุนนาง ถึงกับต้องส่งฏีกล่าวโทษเร่งด่วนมายังเมืองหลวง”

“ถึงแม้ฝ่าบาทจะทรงรีบร้อนในการพระราชทานงานอภิเษกไปบ้าง แต่ในฐานะขุนนาง ท่านโหวกว่างหนิงมีความเห็นอย่างไรก็ต้องอดกลั้นเอาไว้ แต่เขาเพียงแค่ไม่พอใจเล็กน้อยก็ส่งฎีกากล่าวโทษมาอย่างเร่งด่วน เขากลัวมันจะไม่กลายเป็นเรื่องใหญ่หรือ”

ความจริงแล้ว บนฎีกาไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องพระราชทานงานอภิเษกแม้แต่คำเดียว

แต่ในฐานะขุนนาง ไม่มีผู้ใดเป็นคนโง่

เวลานี้เยียนโส่วจ้านส่งฎีกากล่าวโทษมาอย่างเร่งด่วนย่อมเป็นเพียงเพราะเรื่องพระราชทานงานอภิเษก

เห็นได้ชัดว่าเขาโกรธ!

“ผู้คนต่างบอกว่าเยียนโส่วจ้านไม่ให้ความสำคัญกับบุตรที่กำเนิดจากองค์หญิงจู้หยาง ดูจากเวลานี้ ข่าวลือผิดพลาด! เขาให้ความสำคัญอย่างมาก เขายอมที่จะตำหนิลูกเขยรองและฮ่องเต้เพื่อเรื่องแต่งงานของบุตรสาว”

“องค์หญิงจู้หยางไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว บุตรทั้งหลายของนางยิ่งไม่อาจดูถูกได้ เยียนโส่วจ้านเป็นคนเข้าใจง่าย ย่อมรู้จักการกอบโกยและเสียสละ”

“ในเมื่อรู้จักการกอบโกยและเสียสละ เหตุใดตอนนั้นยังคงมอบตำแหน่งขุนนางระดับสี่ให้บุตรชายคนโต ไม่ใช่บุตรชายจากภรรยาเอก”

“เวลานี้ไม่เหมือนก่อน!!”

“บุตรชายคนโตของเยียนโส่วจ้านเห็นแก่ผลประโยชน์ ไม่อาจคบค้าด้วยได้”

“ตระกูลหลิงสนิทชิดเชื้อกับตระกูลเยียนอย่างมาก!”

“มันเป็นเรื่องในอดีตแล้ว เวลานี้ตระกูลหลิงสนิทกับองค์หญิงจู้หยาง ไม่ใช่ตระกูลเยียน ตระกูลเยียนคือตระกูลเยียน องค์หญิงจู้หยางคือองค์หญิงจู้หยาง ไม่อาจเอามาปะปนกัน!”

“สามีภรรยาคู่นี้ช่างน่าสนใจ!”

“อย่ามัวแต่นินทา! คิดดูเสียก่อนเถิดว่าจะจัดการฎีกากล่าวโทษฉบับนี้อย่างไรดีกว่า จะส่งเข้าไปในวังหลวงให้ฝ่าบาททอดพระเนตรหรือไม่!”

“เยียนโส่วจ้านเป็นแม่ทัพโยวโจว ในมือมีอำนาจทางทหาร หากพวกเราบังอาจขัดขวางฎีกาของเขาเอาไว้ เกรงว่าเขาจะไม่ปล่อยพวกเราไว้ ฎีกาฉบับถัดไปย่อมเป็นการกล่าวโทษพวกเรา! ไม่จำเป็นต้องทำให้เขาไม่พอใจ!”

“มีเหตุผลยิ่งนัก!”

“พรุ่งนี้ส่งฎีกากล่าวโทษฉบับนี้เข้าวังให้ฝ่าบาททอดพระเนตร!”

“เกรงว่าฝ่าบาทจะทรงโกรธมาก!”

“นำออกมาตอนประชุมท้องพระโรงพรุ่งนี้เช้าเสียดีกว่า”

“เจ้าอยากให้ฝ่าบาททรงขายหน้าต่อหน้าพวกเราขุนนางหรือ ไร้มโนธรรม!”

สุดท้าย ฎีกากล่าวโทษของเยียนโส่วจ้านก็ถูกส่งเข้าไปยังตำหนักซิงชิ่งพร้อมกับฎีกาอื่นให้ฮ่องเต้ทอดพระเนตร

ขุนนางได้เตือนหลัวเสี่ยวเหนียนเอาไว้ก่อนแล้ว

หลัวเสี่ยวเหนียนงุนงงเล็กน้อย เขาแอบหยิบฎีกาของเยียนโส่วจ้านออกมาอ่าน รู้สึกกลัวจนเหงื่อตก

เขาแอบตัดสินใจวางฎีกากล่าวโทษของเยียนโส่วจ้านไว้ด้านล่างสุด

เมื่อเป็นเช่นนี้ หากฮ่องเต้ไม่ทรงอ่านจบภายในวันเดียว ฎีกากล่าวโทษเล่มนี้ก็อาจไม่ได้ออกมาเห็นเดือนเห็นตะวันอีก

แต่เขาคาดการณ์พลาดไป!

“ข้าได้ยินว่าท่านโหวกว่างหนิงถวายฎีกามา หยิบออกมาให้ข้าอ่าน”

หลัวเสี่ยวเหนียนเหงื่อตก แต่ก็ไม่อาจพูดสิ่งใดได้ มิฉะนั้นเรื่องที่เขาแอบอ่านฎีกาก็จะถูกเปิดโปง

เขาทำได้เพียงรื้อค้นฎีกาที่ถูกวางไว้ด้านล่างสุดออกมา มอบให้ฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้ด้วยความเคารพ

ฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้ “ช่างน่าโมโหยิ่งนัก!”

ในฐานะฮ่องเต้ เขาไม่เคยต้องถูกเหยียดหยามด้วยการถูกขุนนางกล่าวโทษเช่นนี้

“บังอาจ! เยียนโส่วจ้านไม่กลัวตายหรือ”

ฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้ฉีกฎีกากล่าวโทษทิ้ง พลันทุบโต๊ะ

เขาโกรธจนอกแทบจะระเบิด!

คิดแต่จะใช้วาจาที่โหดร้ายที่สุดสาปแช่งเยียนโส่วจ้าน

ขุนนางบังอาจกล่าวโทษฮ่องเต้ ผู้ใดให้ความกล้าแก่เขา

“ข้าควรประหารเขาเสีย!”

สีหน้าของฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้ดำทะมึน หงุดหงิดจนสามารถพังทลายหลังคาทิ้งได้

ขันทีใหญ่หลัวเสี่ยวเหนียนคุกเข่าอยู่บนพื้น เกลี้ยกล่อมฮ่องเต้ให้ระงับความโกรธ รักษาพระวรกายซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้ยกเท้าเตะเก้าอี้เล็กล้มลง ก่อนจะถีบไปที่หลัวเสี่ยวเหนียน “บอกมา เจ้าได้อ่านเนื้อหาในฎีกาก่อนแล้วใช่หรือไม่ บรรดาขุนนางต่างรู้เรื่องนี้แล้วใช่หรือไม่”

หลัวเสี่ยวเหนียนไม่กล้าไม่ตอบ “กระหม่อมสมควรตาย! กระหม่อมสมควรตาย! ฝ่าบาทโปรดทรงลงโทษ!”

ปัง!

เซียวเฉิงอี้ทุบกำปั้นลงบนโต๊ะ

“ข้ายังจะมีหน้าเหลืออยู่ได้อย่างไร บรรดาขุนนางต่างรู้เรื่องที่ข้าถูกเยียนโส่วจ้านกล่าวโทษแล้ว ข้ายังมีหน้าอีกหรือ เป็นถึงฮ่องเต้ แต่กลับต้องถูกเหยียดหยามเช่นนี้ อีกทั้งยังไม่มีขุนนางคนใดยืนออกมาบรรเทาความทุกข์แทนข้า กล่าวโทษเยียนโส่วจ้าน เรียกได้ว่าไร้ซึ่งที่ต่ำที่สูง ไร้ซึ่งโอรสสวรรค์ในสายตา! เรียกท่านอ๋องผิงชินเข้าเฝ้า! เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะเขา เขาต้องรับผิดชอบ!”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

ฮ่องเต้ทรงกริ้ว จึงเรียกท่านอ๋องผิงชินเข้าเฝ้า ข่าวถูกแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วราวกับติดปีก

ภายในชั่วพริบตา ท่านอ๋องผิงชินเซียวเฉิงเหวินยังไม่ทันเข้าวัง บรรดาขุนนางต่างก็รู้ถึงความเป็นมาก่อนแล้ว

แม้แต่พระพันปีเถาในตำหนักฉางเล่อก็ทราบเรื่อง

เหตุการณ์ช่างน่าระทึกเสียจริง

พระพันปีเถาพูดอย่างขุ่นเคือง “ข้าคัดค้านเรื่องแต่งงานนี้ตั้งแต่แรก แต่ฮ่องเต้ไม่ทรงฟัง คราวนี้ดีแล้ว ถูกเยียนโส่วจ้านกล่าวโทษ เสียทั้งหน้าเสียทั้งเกียรติ ข้าอยากรู้เสียจริง เจ้าสองจะจัดการเรื่องนี้ รักษาหน้าของฮ่องเต้เอาไว้ได้อย่างไร สุดท้ายแล้ว เรื่องนี้ก็เกิดขึ้นเพราะเขา หากเขาไม่ออกหน้าทูลขอพระราชโองการแทนเซียวอี้ ย่อมจะไม่มีเรื่องหยามเกียรติในวันนี้ขึ้น”

เหมาเส้าเจี้ยพูดอยู่ด้านข้าง “สุดท้ายแล้ว ก็เป็นเพราะท่านโหวกว่างหนิงบังอาจเกินไป กล้ากล่าวโทษแม้แต่ฝ่าบาท ช่างไร้ที่ต่ำที่สูง!”

“เยียนโส่วจ้านไม่ยโสโอหังเมื่อใด! ตอนที่ฮ่องเต้องค์ก่อนยังทรงอยู่ เขายังกล้าขัดขืนพระราชโองการ กล่าวโทษฝ่าบาทสำหรับเขาก็เป็นเพียงการกำเริบเสิบสานมากขึ้นเท่านั้น มีเพียงตอนที่ฮ่องเต้ซวนจงหยวนผิงยังทรงอยู่เท่านั้นที่เขาไม่กล้า ยังรู้จักหน้าที่ในฐานะขุนนาง”

พระพันปีเถาก็โกรธอย่างมาก

ตั้งแต่ฮ่องเต้ซวนจงหยวนผิงจนถึงฮ่องเต้หย่งไท่ จนมาถึงฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้…

ปู่ถึงหลานสามช่วงคน เมื่อเทียบกันแล้ว ราวกับยิ่งตกต่ำลงเรื่อยๆ

แม่ทัพที่มีกองกำลังส่วนตัวนับวันก็ยิ่งยโสโอหัง!

บารมีของฮ่องเต้ที่มีต่อขุนนางถูกบั่นทอนลงจนเหลือเพียงผิวหนังโดยไม่รู้ตัว

ความจริงแล้ว ฮ่องเต้มีอำนาจเพียงพอแค่ภายในพื้นที่นครบาล

เมื่อออกจากนครบาลไปแล้ว ไม่ว่าจะราษฎร หรือสำนักราชการท้องถิ่นก็ล้วนให้เกียรติตระกูลขุนนางในท้องถิ่นมากกว่า

พระดำริของฮ่องเต้ไม่อาจเทียบกับคำพูดของตระกูลขุนนางในท้องถิ่นได้

ช่างน่าเศร้า!

ถึงแม้พระพันปีเถาจะรู้ที่มาของปัญหา แต่ก็หมดหนทาง!

“การพ่ายแพ้ของกองทัพเหนือ ทำให้ราชสำนักเสื่อมเสียเกียรติยศจนหมดสิ้น! ที่พึ่งพาในการข่มขู่แม่ทัพท้องถิ่นของฮ่องเต้ก็เสียไปกว่าครึ่ง เฮ้อ เจ้าไปดูที่ตำหนักซิงชิ่งเอาไว้ อย่าให้ฮ่องเต้ทรงทำตามใจ ออกพระราชโองการต่อว่าเยียนโส่วจ้านก็พอ อย่าได้ใช้องครักษ์จินอู่ เวลานี้ ในมือของฮ่องเต้เหลือเพียงกองทัพใต้ และเศษเสี้ยวกองทัพเหนือ เห็นได้ชัดว่าไม่อาจควบคุมแม่ทัพท้องถิ่นได้ เพื่อแผ่นดินต้าเว่ย อดทนเอาไว้ก่อนเถิด!”

เหมาเส้าเจี้ยนได้ยินก็เกือบจะร้องไห้

“พระพันปีทรงยากลำบากนัก! ฝ่าบาททรงยากลำบากนัก! แม่ทัพท้องถิ่นเหล่านั้นล้วนสมควรตาย!”

“หยุดพูดเหลวไหล! เวลานี้ยังหวังพึ่งแม่ทัพท้องถิ่นเหล่านั้นต่อต้านกองทัพอูเหิง มิฉะนั้นเมืองหลวงจะไม่ปลอดภัย หากบ้านเมืองล่มสลาย ฝ่าบาทย่อมจะกลายเป็นคนบาปของต้าเว่ย คนบาปของแผ่นดิน! เพื่อแผ่นดินต้าเว่ย อดทนต่อบรรดาแม่ทัพเหล่านั้นก่อน เพื่ออนาคต”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

เหมาเส้าเจี้ยนอดกลั้นน้ำตา มุ่งหน้าไปยังตำหนักซิงชิ่งด้วยดวงตาที่แดงก่ำ

ท่านอ๋องผิงชินเซียวเฉิงเหวินไม่ได้รีบร้อนในการเข้าวัง

พระชายาเยียนอวิ๋นฉียังพักอยู่ในจวนองค์หญิง ทำสงครามเย็นกับเขา

เฟ่ยกงกงกังวลใจอย่างมาก

“ท่านอ๋อง จะทำอย่างไรดี หากฝ่าบาททรงกล่าวโทษ จะ…”

“จะอย่างไร ฝ่าบาทจะยึดตำแหน่งของข้าคืนหรือ”

“แต่ท่านโหวกว่างหนิงไม่เพียงกล่าวโทษท่านอ๋อง แม้แต่ฝ่าบาทก็ยังกล่าวโทษ ช่างไร้ที่ต่ำที่สูง!”

เซียวเฉิงเหวินยิ้มเย็นยะเยือก “ปฏิกิริยาของท่านโหวกว่างหนิงเยียนโส่วจ้านเกินกว่าการคาดการณ์ของข้าจริง ข้าไม่คิดว่า เขาจะใส่ใจเรื่องแต่งงานของเยียนอวิ๋นเกอเช่นนี้ แต่คิดกลับกัน มันก็อาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้ อย่างน้อยก็ทำให้ข้ามั่นใจในเจตนาของเยียนโส่วจ้าน รู้ว่าเขาใส่ใจสิ่งใดอย่างแท้จริง”

“เยียนโส่วจ้านให้ความสำคัญสิ่งใด”

เซียวเฉิงเหวินหัวเราะ “เขาให้ความสำคัญกับเยียนอวิ๋นเกอ! ควรจะบอกว่า บุตรทั้งหมดของเขา เขาให้ความสำคัญกับเยียนอวิ๋นเกอที่สุด อย่างน้อยในเวลานี้เป็นสถานการณ์เช่นนี้”

“รู้ว่าเขาให้ความสำคัญกับเยียนอวิ๋นเกอ ท่านอ๋องคิดจะใช้ประโยชน์อย่างไร”

“ท่านอ๋องไม่กลัวฝ่าบาททรงโกรธหรือ”

“ข้าย่อมมีวิธีรับมือกับเขา!”

ท่านอ๋องผิงชินเซียวเฉิงเหวินเข้าเฝ้าในวัง

หลังจากไล่ข้าหลวงทั้งหมดออกไป พี่น้องสองคนก็ปิดประตูพูดคุยกัน

เนื้อหาที่พูดคุยนั้น มีเพียงพี่น้องสองคนที่รู้

ไม่มีผู้ใดสืบได้แม้แต่คำเดียว

ลึกลับเช่นนี้ หรือว่ากำลังหารือจะทำร้ายผู้ใดอีก

หลังจากการเจรจาครั้งนี้ อารมณ์ของฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้สงบลง เห็นได้ชัดว่าท่านอ๋องผิงชินเซียวเฉิงเหวินปลอบประโลมเขาได้สำเร็จ

หลังจากนั้น ฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้เรียกบรรดาขุนนางเข้าเฝ้า ประชุมหารือเรื่องการรับมือกับฎีกากล่าวโทษ

ท่านอ๋องผิงชินเซียวเฉิงเหวินถูกลงโทษด้วยการตัดเงินเดือนหนึ่งปี

ท่านโหวกว่างหนิงเยียนโส่วจ้านบังอาจเหยียดหยามโอรสสวรรค์ ถูกตัดเงินเดือนหนึ่งปีเช่นเดียวกัน

การลงโทษนี้ไม่ร้ายแรง ทั้งยังเสียเกียรติของฮ่องเต้

เพียงแต่สถานการณ์บีบบังคับ แม้จะเป็นฮ่องเต้ผู้สูงส่งก็ทำได้เพียงอดทนและยอมจำนน

บรรดาขุนนางต่างชื่นชมความใจกว้างของฮ่องเต้ มีความอดทนต่อผู้อื่น มีแววแห่งการเป็นฮ่องเต้ที่ปรีชา

ไม่ได้ถูกไฟโกรธควบคุม จัดการเรื่องนี้ด้วยความใจเย็น การตัดสินใจที่ถูกต้องย่อมเป็นฮ่องเต้ที่ดี

ฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้ “…”

ภายในใจนอกจากยิ้มเย็นก็เหลือเพียงความขมขื่น!

เป็นฮ่องเต้อย่างเขา เรียกได้ว่าอับอายขายหน้า!

ฮ่องเต้ที่ดีอันใดกัน เป็นเพียงแค่คำหลอกลวง

สุดท้ายแล้ว ฮ่องเต้อย่างเขาก็ไร้ความสามารถ ไม่มีฝีมือในการควบคุมแม่ทัพที่ยโสโอหัง

หากกองทัพเหนือยังอยู่ เขาก็ไม่ต้องอดทน ปล่อยให้เยียนโส่วจ้านเหยียดหยามเช่นนี้ แต่กลับลงโทษเยียนโส่วจ้านเพียงแค่หักเงินเดือนหนึ่งปี

ขายหน้า!

เมื่อการประชุมจบสิ้นลง ฮ่องเต้ไท่หนิงเซียวเฉิงอี้ก็มุ่งหน้าไปยังตำหนักเฟิ่งเซียน คุกเข่าขอขมาต่อหน้าบรรพบุรุษ!

เขาเป็นคนบาปของต้าเว่ย!

เขาทำให้ฮ่องเต้แต่ละยุคสมัยอับอาย!

ภายในใจของเขาเจ็บปวด ลังเล!

ทรมานเหมือนถูกไฟเผา!

แต่…

“ข้าจะอดกลั้นความโกรธนี้เอาไว้เพื่ออนาคต!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด