คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง 391 ผู้มีการศึกษา
ตอนที่ 391 ผู้มีการศึกษา
“ฮ่าๆๆ…”
ทันทีที่เยียนอวิ๋นเกอพบกับเซียวอี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะเปล่งเสียงหัวเราะ
เซียวอี้ “…”
รู้สึกขายหน้ายิ่งนัก!
“ข้าน่าขันมากหรือ บนหน้าข้าไม่ได้มีดอกไม้บานเสียหน่อย!”
เยียนอวิ๋นเกอหัวเราะจนปวดท้อง “เมื่อคิดว่าคนบางคนพยายามใช้ใบหน้าเข้ามาในเรือนพัก สุดท้ายถูกตบหน้าอย่างแรง ข้าก็อารมณ์ดียิ่งนัก!”
เขาพ่ายแพ้แล้วไม่ใช่หรือ!
องครักษ์ของค่ายองครักษ์ ทำดีมาก!
ต้องตรวจคนเข้าออกอย่างเข้มงวด ไม่ปล่อยบุคคลอันตรายผ่านเข้ามาแม้แต่คนเดียว
เซียวอี้เสียใจอย่างมาก “ในฐานะว่าที่สามีของเจ้า คนในเรือนพักของเจ้ากลับไม่รู้จักข้า เจ้าคิดว่าเหมาะสมหรือ”
“ย่อมเหมาะสม!” เยียนอวิ๋นเกอยิ้มอย่างเบิกบาน “พวกเขาแค่เพียงรู้จักข้าก็พอแล้ว คนอื่นไม่จำเป็นต้องรู้จัก”
เซียวอี้ถูกทำร้ายอย่างมาก
“ครั้งนี้ข้ามาก็เพื่อให้คุ้นหน้า ต่อจากนี้หากมาอีก หวังว่าองครักษ์ของเรือนพักจะไม่ถามคำถามที่โง่เขลาอย่างข้าคือผู้ใดอีก หากไม่ได้จริงๆ คราวหน้าข้าจะแอบเข้ามา”
“เจ้าสามารถลองดูผลที่ตามมาของการแอบเข้ามา!”
เยียนอวิ๋นเกอยิ้ม
เซียวอี้ “ข้าหิวแล้ว! เดินทางมาสองวัน ไม่กินไม่ดื่มตลอดทาง ผอมลงไปห้าจินแล้ว”
ดำเนินแผนเจ็บตัว!
เกียรติ?
เกียรติคือสิ่งใด
กินได้หรือ
เกียรติจะสำคัญกว่าความเห็นใจของสะใภ้ได้อย่างไร
เขาจะตามตื๊อนาง กินของนาง ดื่มของนาง
อย่างไรแล้ว สมบัติของเขาก็มอบให้นางทั้งหมดแล้ว
กินของนาง ดื่มของนางก็สมเหตุสมผล!
แสดงความอ่อนแอ แสร้งทำตัวน่าสงสารเพื่อเรียกร้องความเห็นใจไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเซียวอี้ เรียกได้ว่าง่ายดายเหมือนใช้มือหยิบ
เยียนอวิ๋นเกอรังเกียจอย่างมาก
แต่ถึงแม้จะรังเกียจ อาหารก็ยังคงต้องจัดเตรียม
“เจ้ามาก็มา เหตุใดจึงพาจี้ซินแสมาด้วย จี้ซินแสอายุมากแล้ว เจ้าไม่กลัวจี้ซินแสเหนื่อยหรือ”
“เขาจะตามมาเอง! ข้าไม่ให้เขามา เขาก็ไม่พอใจข้า เจ้าไม่รู้ จี้ซินแสอาละวาดหนักขึ้นเรื่อยๆ เขาไม่เหมือนที่ปรึกษา แต่เหมือนบรรพบุรุษเสียมากกว่า!”
“ไม่ถึงกับเป็นบรรพบุรุษ แต่เพียงพอที่จะเป็นผู้ใหญ่ของเจ้า!”
เซียวอี้พยักหน้าระรัว “เจ้าพูดมีเหตุผล! เขาเป็นผู้อาวุโสของข้า ข้าต้องกตัญญูต่อเขา! เขาบอกอยากมาดูเรือนพัก อยากพูดคุยกับเจ้า ข้าจะห้ามได้หรือ ย่อมห้ามไม่ได้ ดังนั้นข้าจึงเดินทางกว่าหลายร้อยลี้ มาส่งซินแสยังเรือนพักด้วยตนเอง”
เยียนอวิ๋นเกอมองเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง นางอดไม่ได้ที่จะกลอกตา จากนั้นจึงพูดด้วยความรังเกียจ “อย่าเอาจี้ซินแสมาบังหน้า เจ้าอยากมาก็บอกมาตามตรง!”
“ข้าย่อมอยากมา”
เซียวอี้ยอมรับ
สาวรับใช้อาเป่ยระวังเซียวอี้ราวกับระวังโจร
ถึงแม้จะหมั้นหมายกันแล้ว แต่สถานการณ์ในเวลานี้ ไม่มีผู้ใดจับตาดูอยู่ด้านข้าง หญิงชายที่ยังไม่แต่งงานอยู่ด้วยกันตามลำพังเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม
นางในฐานะบ่าวรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ ย่อมต้องทำหน้าที่ ระวังแทนคุณหนู
เซียวอี้ “…”
เอ๊ะ เจ้าสาวรับใช้ ระวังเขาทำอันใด
เขาไม่ใช่โจร ทั้งไม่ขโมยทั้งไม่ปล้น
อย่าใช้สายตาที่มองโจรมองเขาได้หรือไม่
ไม่ได้!
อาเป่ยเคร่งครัดในหน้าที่ เฝ้าอยู่ข้างกายของคุณหนู ไม่ห่างแม้แต่ก้าวเดียว
เซียวอี้ส่งสายตาให้เยียนอวิ๋นเกอ “สาวรับใช้เจ้าช่างขัดตา!”
เยียนอวิ๋นเกอเม้มปากยิ้ม “ไม่เลวนะ!”
อาเป่ยพยักหน้า
นางขัดตาอย่างไร
คุณหนูยังบอกว่าตนเองไม่เลว สายตาของนายน้อยอี้ไม่ดีนักเสียจริง
หากใช้คำพูดของคุณหนูก็คือพิการทางสายตา
เซียวอี้จุกอกอย่างมาก
เขาไม่มีโอกาสได้อยู่กันสองต่อสองกับว่าที่สะใภ้อย่างสิ้นเชิง มันช่างน่าเศร้ายิ่งนัก
เยียนอวิ๋นเกอพูด “ให้เจ้าอยู่เป็นแขกของเรือนพักก็มากพอแล้ว อย่าเรื่องมากนัก!”
ความหมายก็คือ หากเขายังเรื่องมากก็จะไล่เขาออกไป
เซียวอี้ “…”
เหนื่อยใจเสียจริง!
เมื่อใดจะได้แต่งงาน เมื่อใดจึงจะอยู่กันสองคนได้อย่างเปิดเผย
“พวกเราแต่งงานกันในปีนี้เถิด!”
เยียนอวิ๋นเกอกลอกตาใส่เขา ความหมายไปทำความเข้าใจเอง
“หรือไม่แต่งงานในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า!”
เยียนอวิ๋นเกอไม่อยากพูด
เซียวอี้น้อยใจ “เมื่อใดจะได้แต่งงาน”
“เรื่องแต่งงานยังไม่รีบ”
“ไม่รีบไม่ได้!”
เยียนอวิ๋นเกอเม้มปากยิ้ม “ถึงจะรีบ ก็ต้องอดทนเอาไว้!”
“เจ้าทนได้หรือ”
เยียนอวิ๋นเกอพยักหน้า ทนได้อย่างมาก
เซียวอี้ถูกทำร้ายอย่างมากในทันที
…
คืนหนึ่งผ่านไป!
หูเอ้อเป็นกังวลว่าลู่เฉินโจวจะถูกลงโทษ จึงไม่ได้นอนทั้งคืน ดวงตาของเขาแดงก่ำ
แต่ลู่เฉินโจวกลับนอนหลับได้อย่างสนิท ทั้งคืนได้ยินเพียงเสียงกรนของเขา แม้แต่เสียงเห่าของสุนัขเฝ้าประตูยังถูกเสียงกรนของเขากลบไป
“พี่ลู่ไม่กังวลหรือ” หูเอ้อกังวลอย่างมาก
เมื่อวานทำให้นายน้อยท่านนั้นขุ่นเคือง ดูจากท่าทีของหัวหน้าเยียนก็พอจะรู้ว่านายน้อยท่านนั้นไม่ธรรมดา
ลู่เฉินโจวทำหน้าดุ “กลัวอันใด! หากลงโทษข้าจริง ข้าก็ไม่ทำต่อไปแล้ว!”
“พี่ลู่พูดเหลวไหลอีกแล้ว! งานที่ดีเช่นนี้ ในยุคสมัยนี้คงหาไม่ได้อีก จะบอกว่าไม่ทำก็ไม่ทำได้อย่างไร”
ลู่เฉินโจวหัวเราะ พลางตบลงบนไหล่ของหูเอ้อ “เจ้าวางใจเถิด อย่างมากข้าก็ยอมรับโทษ!”
“ลู่หนวดเฟิ้มอยู่หรือไม่ รีบตามข้ามา หัวหน้าเยียนจะพบเจ้า!”
มาแล้ว! มาแล้ว!
หูเอ้อร้อนใจจนหน้าซีด
ลู่เฉินโจวตบลงบนไหล่เขาอีกครั้ง “เดี๋ยวข้ากลับมา!”
หูเอ้อกำชับเขา “พี่ลู่ พูดจาระวังหน่อย! อย่าโผงผางมากนัก ทำให้คนจับผิดได้”
“รู้แล้ว รู้แล้ว! พูดมาก!”
ลู่เฉินโจวก็กังวลเล็กน้อย
หัวหน้าเยียนเรียกพบเขาในเวลานี้ เกรงว่าไม่ใช่เรื่องดี
เมื่อมาถึงห้องสัญญา เขาตัวเกร็งราวกับเผชิญข้าศึก
เยียนหนาน “…”
“อย่ากังวล! วันนี้เรียกเจ้ามาเพราะเรื่องเมื่อวาน”
คิดจะแก้แค้นแทนนายน้อยเมื่อวานจริงด้วย
โธ่เอ๊ย!
ลู่เฉินโจวแอบด่าในใจ
เยียนหนานพูด “เรื่องเมื่อวาน เถ้าแก่ทราบเรื่องหมดแล้ว ชื่นชมกับการกระทำของเจ้าอย่างมาก! ไม่ว่าผู้ใดมา ล้วนต้องปฏิบัติตามกฎของเรือนพัก เรื่องนี้ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดไม่ว่าเวลาใด”
เอ๊ะ?
ลู่เฉินโจวที่กำลังแอบด่าคนอยู่ในใจทำหน้าฉงน
“เถ้า เถ้า เถ้าแก่รู้จักข้า”
“แน่นอน! อีกทั้งยังชื่นชมเจ้า! นอกจากนี้ยังมีรางวัล”
“จะโกหกได้อย่างไร! นี่คือใบสั่ง เจ้าไปรับรางวัลที่ห้องบัญชีเอง ต่อจากนี้ทำงานให้ดี อย่าได้ทรยศต่อความคาดหวังของเถ้าแก่”
แฮะๆๆ …
ลู่เฉินโจวยิ้มอย่างได้ใจ “เถ้าแก่มีวิสัยทัศน์ แยกแยะการให้รางวัลและการลงโทษอย่างชัดเจน! รู้ว่าข้าจงรักภักดี ยังมอบเงินรางวัลให้โดยเฉพาะ แฮะๆ…”
เยียนหนานมองเขา ใบหน้านั้นไม่เข้มงวดมากนัก “ไปรับเงินรางวัลของเจ้าเถิด! เถ้าแก่ชื่นชมเจ้าอย่างมาก อย่าทำให้เถ้าแก่ผิดหวัง!”
“ขอรับ!”
ลู่เฉินโจวจิตใจเบิกบาน เขาถือใบสั่งวิ่งไปรับเงินที่ห้องบัญชีด้วยความดีใจ
เงินสามก้วน!
เถ้าแก่ใจกว้างเสียจริง!
เขายังไม่รู้ตัวตนของนายน้อยเมื่อวาน
หากรู้ เขาย่อมไม่คิดว่าเงินสามก้วนนั้นมากมายนัก
เป็นถึงนายน้อยอี้แห่งจวนท่านอ๋องตงผิง ว่าที่สามีของเถ้าแก่ จะมีค่าแค่เงินสามก้วนได้อย่างไร
อย่างไรก็ต้องห้าก้วน หกก้วน…
เซียวอี้ “…”
ข้ามีค่าเพียงเงินหกก้วน?
ยิ่งน่าเหลือเชื่อกว่านั้นคือ ข้าในสายตาของว่าที่ภรรยา ยังมีค่าไม่ถึงหกก้วน มีค่าเพียงสามก้วน
หัวใจของเขาถูกทำร้ายอีกครั้ง
…
ลู่เฉินโจวได้รับรางวัลก็คิดแต่จะกินดื่ม เลี้ยงผู้อื่นด้วยความใจกว้าง
หูเอ้อรั้งเขาเอาไว้ “ในเมื่อพี่ลู่มีเงิน สู้นำไปซื้อกระดาษมาฝึกเขียนหนังสือดีกว่า อีกระยะก็ต้องสอบแล้ว พี่ลู่ไม่อยากเลื่อนขั้นหรือ”
ลู่เฉินโจวเกาหัว “ข้าย่อมอยากเลื่อนขั้น!”
เขาผ่านการทดสอบภาคปฏิบัติ ศิลปะการต่อสู้ กลยุทธ์การทำสงครามแล้ว
บัดนี้เหลือเพียงการสอบวิชาวัฒนธรรมเท่านั้น
เพียงแค่ผ่านการทดสอบวิชาวัฒนธรรม เขาก็สามารถเลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าหมู่องครักษ์
สิบคนหนึ่งหมู่ ห้าหมู่เป็นหนึ่งกอง…
ถึงแม้รวมตัวเขา หนึ่งหมู่จะมีเพียงสิบคน แต่อย่างน้อยก็ถือเป็นตำแหน่งหัวหน้าที่ควบคุมคน
เพียงแต่ต้องผ่านการทดสอบวิชาวัฒนธรรมที่ยากลำบากนี้!
ลู่เฉินโจวรู้สึกว่าเรือนพักร่ำรวยดีทุกอย่าง ทั้งอาหาร ทั้งเสื้อผ้า ทุกอย่างล้วนดี
มีเรื่องไม่ดีเพียงอย่างเดียวก็คือ หากต้องการเลื่อนขั้น จำเป็นต้องผ่านการทดสอบวิชาวัฒนธรรม
ไม่เพียงค่ายองครักษ์เป็นเช่นนี้ ส่วนอื่นก็ล้วนเป็นเช่นนี้
โรงงาน ร้านค้าทุกแห่งในเรือนพัก มีการจัดสอบเลื่อนขั้นอย่างไม่ประจำ
หากคิดจะเป็นพ่อบ้าน ทุกคนต่างลงชื่อสมัครได้
ผ่านการทดสอบแต่ละรอบ ผ่านการคัดกรองแต่ละรอบ สุดท้ายจึงจะเป็นการทดสอบวิชาวัฒนธรรม
ลู่เฉินโจวอยากจะเลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าหมู่ อย่างน้อยต้องรู้จักตัวหนังสือหนึ่งร้อยยี่สิบตัว สามารถอ่านคำสั่งกองทัพพื้นฐานได้อย่างเข้าใจ สามารถเขียนและคำนวณแบบพื้นฐานได้
มันช่างลำบากชายหยาบกร้านอย่างเขา
นึกย้อนไปถึงตอนที่เป็นโจร เขาใช้แต่เพียงความกล้าหาญในการที่จะได้รับการผลักดัน
เมื่อเป็นโจรกบฏ เขาก็ใช้เส้นสายและความดีความชอบในการที่จะได้รับการผลักดัน
รู้จักตัวหนังสือ?
ไม่มี
ใช้ชีวิตมานานเพียงนี้ เขาไม่รู้หนังสือแม้แต่ตัวเดียว
อายุปูนนี้ เมื่อมาถึงเรือนพัก เพื่อที่จะได้เลื่อนขั้น ทุกคืนเขาต้องหาเวลาไปศึกษาตำรา เขาง่ายหรือ
แม้แต่ท่าจับพู่กันยังไม่ถูกก็ต้องสอบ ลู่เฉินโจวไม่มั่นใจเอาเสียเลย
หูเอ้อรู้จักตัวหนังสือสองร้อยตัวแล้ว บททดสอบวิชาวัฒนธรรมย่อมไม่เป็นปัญหา
แต่เขาถูกคัดออกตั้งแต่รอบการปฏิบัติและศิลปะการต่อสู้
ไม่มีโอกาสแล้ว!
ทำได้เพียงปีหน้าลองใหม่!
ลู่เฉินโจวกังวลอย่างมาก “ต้องซื้อกระดาษและพู่กันจริงหรือ”
หูเอ้อถามเขากลับ “พี่ลู่ไม่อยากเป็นหัวหน้าหมู่หรือ ไม่อยากเลื่อนขั้นเพิ่มเงินเดือนหรือ หัวหน้าหมู่ได้เงินมากกว่าทหารเกือบห้าร้อยเหวินในแต่ละเดือน หนึ่งปีก็คือหกก้วน พี่ลู่ไม่สนใจจริงหรือ”
ลู่เฉินโจวเกาหัว “เงินไม่สำคัญ ความจริงข้าก็ไม่ได้สนใจเงินเพียงนั้น”
เฮอะๆ…
ผู้ใดกันเมื่อไม่มีเงินก็หายืมผู้อื่น
ผู้ใดติดหนี้ไปทั่วอยู่ด้านนอก
“พี่ลู่ช่างปล่อยวาง! ถึงแม้จะไม่สนใจเงิน แต่พี่ลู่เต็มใจที่จะให้เด็กที่ขนยังขึ้นไม่ครบสั่งหรือ”
“ย่อมไม่เต็มใจ!”
“แต่หากพี่ลู่ยังสอบไม่ติดหัวหน้าหมู่ ก็จะถูกเด็กที่ขนยังขึ้นไม่ครบสั่ง”
ลู่เฉินโจวลังเล สุดท้ายกัดฟัน “เอาเถิด! เจ้าตามข้าไปซื้อกระดาษและพู่กันที่ร้าน ข้าจะขยันศึกษาตำราตั้งแต่วันนี้ พยายามบรรลุเงื่อนไขที่ต้องรู้ตัวหนังสืออย่างน้อยหนึ่งร้อยยี่สิบตัวในเร็ววัน”
“ยังต้องอ่านคำสั่งกองทัพได้!” หูเอ้อพูดเตือนเขา
“รู้ รู้! รู้ตัวหนังสือย่อมอ่านคำสั่งกองทัพได้ เรื่องนี้ไม่ยาก!”
เงินสามก้วน ลู่เฉินโจวยังไม่ทันวางไว้ในกระเป๋าให้อุ่นก็ต้องจ่ายออกไปสองก้วนเพื่อซื้อสมบัติทั้งสี่ในห้องตำรา
เริ่มตั้งแต่วันนี้ เขาจะขยันขันแข็งเพื่อเป็นคนที่มีการศึกษา!
Comments