คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง 414 ตั้งใจจัดเตรียม

Now you are reading คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง Chapter 414 ตั้งใจจัดเตรียม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 414 ตั้งใจจัดเตรียม

เรื่องที่หลิงฉางจื้้อรู้ในอดีตถูกกลบทิ้งจนหมด

ภายในใจของเขาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ แต่ก็อยากล้วงให้ลึกลงไป

เขารีบถาม “เหตุใดหลายปีนี้จึงไม่เคยมีผู้ใดเอ่ยถึงเรื่องนี้ แม้แต่ตระกูลเซิ่นที่เป็นเครือญาติของตำหนักบูรพาก็ราวกับไม่รู้เรื่องเหล่านี้”

ท่านโหวผิงอู่หัวเราะเยาะ “ตระกูลเซิ่นย่อมไม่มีทางรู้ความจริง ตอนที่เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้น ตระกูลเซิ่นก็ถูกคุมขังในคุกหลวง ตายจนเกือบหมดแล้ว ข่าวคราวถูกปิดกั้น! รอคนของตระกูลเซิ่นถูกปล่อยออกมา ทุกอย่างก็จบสิ้นลงแล้ว ฝ่าบาทยังทรงรับสั่งให้ปิดปาด เฝ้าระวังเมืองอย่างเข้มงวด

ตระกูลเซิ่นถูกขับไล่ออกจากเมืองหลวงในชั่วพริบตา เครือญาติในอดีตล้วนขาดการติดต่อ เรื่องที่พวกเขารู้ได้ล้วนเป็นข่าวปลอมที่ฮ่องเต้จงจ้งตั้งใจเป่าประกาศ!”

หลิงฉางจื้้อผงะไป

เขาจ้องมองท่านโหวผิงอู่ “เหตุใดท่านลุงจึงรู้เรื่องในตอนนั้นดียิ่งนัก หรือว่าท่านลุงอยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้น”

ท่านโหวผิงอู่พยักหน้า “ตอนนั้นข้าอยู่ในกองทัพ เห็น ‘องค์รัชทายาทจางอี้’ ตายอยู่ท่ามกลางกองทัพกับตา ร่างของเขาถูกคันธนูหลายคัน! ผู้คนต่างคิดว่าเขาเป็นบัณฑิตผู้อ่อนแอ แต่ไม่รู้ว่าความจริงแล้วข้าเป็นคนที่กล้าหาญในการต่อสู้ มีฝีมือการต่อสู้อยู่เต็มตัว คนทั่วไปยากที่จะเข้าใกล้ มือธนูเทพของกองทัพเหนือเป็นคนคร่าชีวิตของเขา!”

พูดจบ ท่านโหวผิงอู่ก็ถอนหายใจออกมา

เขานวดขมับด้วยความปวดหัว “เรื่องนี้ผ่านไปนานเพียงนี้แล้ว แต่เมื่อนึกขึ้นมยังคงรู้สึกได้ถึงเลือดร้อนที่พุ่งขึ้นสมองในตอนนั้น สถานการณ์ในเวลานั้นเรียกได้ว่าน่าอึกทึก! กองทัพทั่วทั้งแผ่นดินสังหารองครักษ์นับพันของตำหนักบูรพาด้วยกำลังทั้งหมด

ข้ามักจะครุ่นคิด หาก ‘องค์รัชทายาทจางอี้’ ไม่ตาย อีกทั้งยังสืบทอดราชย์บัลลังก์ แผ่นดินจะเป็นอย่างไร เรื่องอื่นข้าไม่มั่นใจ แต่ตระกูลขุนนางอย่างพวกเราย่อมต้องถูกกดขี่อย่างทารุณ อย่าคิดที่จะมีอำนาจในการสั่งฝนฟ้าเหมือนทุกวันนี้!”

หลิงฉางจื้้อรู้สึกเพียงคอแห้ง อึดอัดอย่างมาก

เขากระแอมไอระรัว ดื่มน้ำตามเข้าไปหลายคำจึงหยุดความรู้สึกนั้นเอาไว้ได้

เขารีบถาม “ราวกับองค์หญิงจู้หยางก็ไม่รู้เรื่องการตายของ ‘องค์รัชทายาทจางอี้’ ข้างกายของนางล้วนเป็นคนเก่าแก่ของตำหนักบูรพา นางจะไม่รู้ได้อย่างไร”

ท่านโหวผิงอู่หัวเราะเยาะ “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าคนข้างกายนางเป็นคนเก่าแก่ของตำหนักบูรพา ตอนที่เกิดคดีก่อกบฏ นางยังเป็นเด็ก การปะทะในราชสำนักหลายสิบปีก่อน นางยิ่งไม่รู้เรื่องรู้ราวแม้แต่น้อย อนาคตของนางล้วนถูกวางโดยฮ่องเต้จงจ้ง เจ้าคิดว่าข้างกายนางมีคนเก่าแก่ของตำหนักบูรพาที่แท้จริงกี่คน”

หลิงฉางจื้้ออ้าปากค้าง ไร้ซึ่งคำโต้แย้ง

ท่านโหวผิงอู่พูดขึ้นอีกครั้ง “ถึงแม้จะเป็นคนเก่าแก่ของตำหนักบูรพาทั้งหมด แต่เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาเป็นคนของฮ่องเต้จงจ้ง หรือคนของ ‘องค์รัชทายาทจางอี้’”

“หรือว่าองครักษ์สามพันนายของตำหนักบูรพาก็เป็นฝีมือของฮ่องเต้จงจ้ง”

“องครักษ์บูรพาที่แท้จริงตายหมดแล้วในการต่อสู้ปราบปราม ‘องค์รัชทายาทจางอี้’ ! จะเหลือองครักษ์สามพันนายติดตามองค์หญิงจู้หยางได้อย่างไร ‘องครักษ์ตำหนักบูรพา’ สามพันนายที่ฮ่องเต้จงจ้งเหลือไว้ให้องค์หญิงจู้หยางนั้น เจ้าคิดไม่ถึงว่าตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาเป็นผู้ใดแน่นอน”

หลิงฉางจื้้อได้รับข่าวสารมากมายในคราวเดียว ทันใดนั้นก็ตกอยู่ในอาการตกตะลึง เขาคิดไม่ถึงเสียจริง

ท่านโหวผิงอู่เห็นท่าทีของเขา จึงหัวเราะออกมาอย่างพอใจ

“’องครักษ์ของตำหนักบูรพาสามพันนาย’ ที่ว่า ความจริงแล้วล้วนเป็นทหารของกองทัพเหนือ!”

อึก!

หลิงฉางจื้้อเกือบจะกระอักเลือด

“เป็นไปไม่ได้! กองทัพเหนือสังหารค่ายองครักษ์ของตำหนักบูรพา อีกทั้งยังสังหาร ‘องค์รัชทยาทจางอี้’ พวกเขาจะเต็มใจติดตามองค์หญิงจู้หยางได้อย่างไร ผ่านมาหลายปี ข้าไม่เชื่อว่าจะไม่มีคนพูดหลุดปาก ท่านลุงอย่าได้หลอกข้า!”

ท่านโหวผิงอู่หัวเราะเสียงเย็น “ข้าจำเป็นต้องหลอกเจ้าหรือ ข้าบอกว่าพวกเขาเป็นทหารของกองทัพเหนือ แต่ไม่ได้บอกว่าเขามีส่วนร่วมในการสังหาร ‘องค์รัชทายาทจางอี้’ ทหารกองทัพเหนือชุดนี้ เดิมทีถูกโยกย้ายให้ไปเข้าร่วมราชองครักษ์เพื่อเฝ้าสุสานหลวง พวกเขาถูกปิดกั้นเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองหลวง ดังนั้นจึงไม่รู้เรื่องแม้แต่น้อย

หลังจากนั้น ไม่มีผู้ใดรู้ว่าฮ่องเต้จงจ้งทรงคิดอย่างไร ตอนนั้นฮ่องเต้จงจ้งทรงแก่ชราเกินไปแล้ว เมื่อคนเราแก่ย่อมเลอะเลือน พฤติกรรมกลับกลอก ทำให้คนจับทางไม่ได้ อย่างไรก็ตาม พระองค์ทรงออกพระราชโองการให้ทหารกลุ่มนี้ทดแทนกำลังพลในตำหนักบูรพา กลายเป็นองครักษ์ตำหนักบูรพา ปกป้องสายเลือดที่เหลือเพียงหนึ่งเดียวของตำหนักบูรพาจนตาย!”

เรื่องเป็นเช่นนี้เอง!

หลิงฉางจื้้อมึนงงเล็กน้อย

“ตามที่ท่านลุงพูด ความจริงมีเพียงคนจำนวนน้อยที่รู้ ฮ่องเต้จงจ้งทรงรับสั่งให้เฝ้าระวังเมืองหลวงอย่างเข้มงวด อีกทั้งยังทรงรับสั่งให้เก็บความลับ ดังนั้นความจริงจึงไม่ได้รั่วไหลออกไป?”

ท่านโหวผิงอู่พยักหน้า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าปีนั้นเมืองหลวงเฝ้าระวังนานเพียงใด ยาวนานกว่าครึ่งปี! หลังจาก ‘องค์รัชทายาทจางอี้’ สิ้นพระชนม์แล้ว เมืองหลวงเฝ้าระวังนานถึงห้าหกเดือน เวลานานเพียงนี้ เพียงพอที่จะลบหลักฐานทุกอย่าง ปิดทุกปากที่สมควรปิด

ประชาชนในเมืองหลวงถูกขังอยู่ในเรือนทั้งวัน เวลาที่ออกมานอกเรือนมีจำกัด ข่าวไม่มีทางแพร่งพรายออกไป พวกเขาไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย จะหาความจริงได้จากที่ใด บรรดาขุนนาง ตระกูลใหญ่ นอกจากคนที่มีงานติดตัว ทุกคนต่างไม่อาจออกจากจวน! การเฝ้าระวังในตอนนั้นเข้มงวดกว่าตอนนี้มาก!”

เขามีความรู้สึกต่อเรื่องนี้อย่างมาก

เมื่อเทียบกับความเข้มงวดในปีนั้นกับเมืองหลวงในเวลานี้ เรียกได้ว่าฟ้ากับเหว

พูดได้เพียง ฮ่องเต้จงจ้งทรงเด็ดขาดเกินไป

เพียงแค่คำสั่งเดียวก็ทำให้ศีรษะของคนนับหมื่นกลิ้งตกลงมา!

เมื่อเทียบกับฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน กำลังในการควบคุมไม่รู้แข็งแกร่งกว่ากี่เท่า โหดเหี้ยมกว่ากี่เท่า

ตระกูลจำนวนไม่น้อยต่างได้รับความเสียหายในตอนนั้น

มีตระกูลจำนวนน้อยที่ไม่มีคนตาย

ถึงแม้จะเป็นขุนนางใหญ่ที่ได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้จงจ้งที่สุดในตอนนั้น บุตรหลานในตระกูลของพวกเขาก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการถูกประหาร ไม่มีที่ให้ร้องเรียน

ทุกคนกลัวฮ่องเต้จงจ้งหรือ

ย่อมกลัว!

ทุกคนแค้นฮ่องเต้จงจ้งหรือไม่

ย่อมแค้น!

ทั้งกลัวทั้งแค้น แต่ก็ไม่กล้ามีใจคิดไม่ซื่อ

ระดับการวางกับดักอย่างมากก็แค่ตำหนักบูรพา!

ทางฮ่องเต้จงจ้งนั้น ทำได้เพียงอาศัยขันทีที่ปรนนิบัติอยู่ใกล้ตัว หรือพระสนมในวังหลังไปสร้างอิทธิพลอย่างค่อยไปค่อยไป กับดักที่ต้องใช้เวลากว่าหลายสิบปี

บนราชสำนัก ทุกคนต่างอยู่ในหน้าที่

เมื่อคิดจะใช้กลอุบายยังต้องคิดก่อนว่าศีรษะของตนเองจะรักษาเอาไว้ได้หรือไม่

การเป็นขุนนางในเวลานั้นคือการใช้ชีวิตเข้าแลก!

เพียงแค่ไม่ถูกใจก็ต้องถูกประหาร!

เมื่อเทียบกับเวลานี้ ท่านโหวผิงอู่ก็อดหัวเราะไม่ได้

รุ่นหนึ่งไม่สู้รุ่นหนึ่งเสียจริง

แต่สถานการณ์ในเวลานี้ดีเป็นอย่างยิ่งสำหรับขุนนาง

ความคิดและความสามารถของทุกคนต่างมีโอกาสแสดงออกมา

หลิงฉางจื้้อเงียบไปนาน ในที่สุดก็ถามคำถามที่อยู่ในใจออกมา “เหตุใดองค์รัชทายาทจางอี้ถึงตาย เพราะคดีก่อกบฏจริงหรือ ฮ่องเต้จงจ้งทรงอยากให้เขาตายหรือมีคนใส่ร้ายเขา วางแผนเรื่องทั้งหมดนี้”

ท่านโหวผิงอู่หัวเราะเยาะ “ในสถานการณ์นั้น ถึงแม้จะมีคนวางแผนก็อย่าคิดจะมีอิทธิพลต่อการตัดสินพระทัยของฮ่องเต้จงจ้งได้ สุดท้ายแล้ว ฮ่องเต้จงจ้งคือผู้ที่อยากให้ ‘องค์รัชทายาทจางอี้’ ตาย! เขาไม่ตายไม่ได้!

หลังจาก ‘องค์รัชทายาทจางอี้’ ตาย ฮ่องเต้จงจ้งเหมือนจะเสียใจอย่างมาก แต่ข้ารู้สึกว่ามันเหมือนการแสดง ล้วนเป็นเรื่องที่สร้างขึ้นมาให้ตนเองพ้นผิด คนตายไปแล้ว จะถูกหรือผิดล้วนขึ้นอยู่กับวาจาของฮ่องเต้จงจ้ง

เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้จงจ้งทรงให้ความสำคัญกับศักดิ์ศรีอย่างมาก ไม่เพียงตนเองต้องการศักดิ์ศรี ศักดิ์ศรีของราชวงศ์ก็เสียไม่ได้ ยังมีเรื่องใดหลอกลวงผู้คนได้ง่ายกว่าการที่มีคนชั่ววางกับดักใส่ร้าย ‘องค์รัชทายาทจางอี้’ สร้างความเข้าใจผิดให้ฮ่องเต้

คนชั่วที่ว่านั้น สุดท้ายก็เพียงแค่จับขันทีแปดร้อยนายมาลงโทษ คนสำคัญที่เกี่ยวข้องไม่เป็นอันใดแม้แต่คนเดียว มันไม่ใช่การหลอกลวงแล้วจะเป็นอันใด

คนตายไปแล้ว เหลือเพียงองค์หญิงจู้หยางที่ยังเด็ก ทุกอย่างล้วนปล่อยวางลงได้ เจ้าต้องรู้ หากไม่มีพระราชโองการของฮ่องเต้ ผู้ใดจะกล้าสังหารตำหนักบูรพานับหมื่นคน”

ความจริงมักจะโหดร้ายเสมอ!

หลิงฉางจื้้อสงสัยอย่างมาก “หลายปีนี้ องค์หญิงจู้หยางไม่เคยสงสัยเรื่องตอนนั้น ไม่เคยคิดจะเสาะหาความจริง?”

ท่านโหวผิงอู่หัวเราะ “นางไปหาจากผู้ใดได้ ผู้ร้ายที่แท้จริงคือฮ่องเต้จงจ้ง ฮ่องเต้จงจ้งตายไปแปดร้อยปีแล้ว คนที่รู้เรื่องในตอนนั้นก็ตายเกือบหมดแล้ว แม้คิดจะเสาะหาก็ยังหาตัวคนไม่ได้”

“ก่อนหน้านี้ท่านลุงเอ่ยถึงท่านโหวกว่างหนิง เยียนโส่วจ้าน หรือว่าเขาก็รู้ความจริง”

ท่านโหวผิงอู่ลูบเครา พลันหัวเราะ

จากนั้น เขาจึงเอ่ยขึ้น “ตอนนั้น เยียนโส่วจ้านไม่อยู่ในเมืองหลวง! แต่เขาน่าจะรู้เรื่องบางอย่าง ความโหดร้ายของการปะทะในราชสำนัก เขาย่อมต้องได้รับการกระทบกระเทือน!

แต่ฮ่องเต้ซวนหยวนจงผิงพระราชทานงานอภิเษกโดยไม่ให้โอกาสเขาได้คัดค้าน พระราชทานองค์หญิงจู้หยางที่เปรียบเสมือนเผือกร้อนให้เขา คาดว่าตอนที่พระราชทานงานอภิเษก เขาคงกลัวแทบตาย! หากไม่ระวัง มีความเป็นไปได้ที่จะล่มสลายทั้งตระกูล เจ้าว่าเขาไม่กลัวได้หรือ”

หลิงฉางจื้้อไม่อยากหัวเราะเยียนโส่วจ้าน

สถานการณ์ที่เข้มงวดในตอนนั้น ขอแค่เป็นคนย่อมต้องกลัว!

บุตรสาวของ ‘องค์รัชทายาทจางอี้’ เปรียบเสมือนเผือกร้อน!

เยียนโส่วจ้านต้องรับเผือกร้อนนี้เอาไว้ ไม่รู้ภายในใจต้องไม่พอใจเพียงใด!

พูดได้เพียง…

ไม่ใช่โชคชะตาของเขา!

หลิงฉางจื้้อโล่งอก

เขามองท่านลุงของตนเอง พลันถามอย่างจริงจัง “คราวนี้ท่านลุงเข้าเมืองต้องทำทำสิ่งใด”

ท่านโหวผิงอู่หัวเราะ “ย่อมต้องหวนระลึกถึงตอนนั้น! หาสหายเก่าพูดคุยสัพเพเหระ! นอกจากนี้ ข้าก็อยากจะดูว่าฝ่าบาทจะมีความสามารถมากน้อยเพียงใดเมื่อเทียบกับฮ่องเต้จงจ้ง”

“ท่านลุงอย่าได้เหลวไหล! เชื้อพระวงศ์และขุนนางบางส่วนสงสัยต่อท่านอยู่ก่อนแล้ว ระแวงท่านยิ่งหนัก หากท่านทำสิ่งใดบุ่มบ่าม เกรงว่าจะเกิดปัญหา!”

ท่านโหวผิงอู่พูดพลันหัวเราะ “เดิมทีข้าก็เป็นตัวปัญหา จะกลัวปัญหาได้อย่างไร! ฉางจื้อ ข้ามีความคาดหวังต่อเจ้าอย่างมากเสมอมา! เพียงแต่เจ้าต้องใจกล้าให้มากกว่านี้ ชื่อเสียงของตระกูลสำคัญ แต่ตระกูลก็สำคัญเช่นเดียวกัน!”

หลิงฉางจื้้อกลับพูด “ขอบพระคุณคำสอนของท่านลุง! ข้ารู้เพียงเส้นทางไม่เหมือนกันไม่ควรเดินทางร่วมกัน!”

ท่านโหวผิงอู่ยิ้มอย่างรู้ทัน “เจ้ากำลังตำหนิข้าหรือ”

“ไม่กล้า!”

ท่านโหวผิงอู่โบกมืออย่างไม่สนใจ

“แล้วแต่เจ้าจะคิด ข้าไม่ต้องการการยอมรับจากเจ้า ข้าแค่เตือนเจ้า อย่าลืมรายการสิ่งของของข้า ให้ราชสำนักเตรียมพร้อมให้เร็ว นอกจากนี้ ทูลฮ่องเต้ ข้าจะนำกำลังพลห้าพันนายเข้าเฝ้าในเมืองหลวง! หวังว่าพระองค์จะไม่ทรงตกใจ!”

“กองทัพใต้ไม่ได้อ่อนแอ! ท่านลุงอย่าเข้าใจผิด!”

“วางใจ ข้ายังไม่ถึงกับบ้าคลั่ง โจรกบฏยังไม่ทันจัดการ รอจัดการโจรกบฏค่อยว่ากัน! หลายชาย วันนี้เจ้าพักอยู่ที่นี่ พรุ่งนี้ค่อยกลับเมืองหลวง ข้าให้คนเตรียมอาหารเอาไว้ พี่น้องของเจ้าอยากพบเจ้ามานานแล้ว!”

“น้อมรับไม่สู้ปฏิบัติตาม! ขอบพระคุณท่านลุงที่ต้อนรับอย่างอบอุ่น!”

“ฮ่าๆ…”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด