คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง 151 ลูกพี่ลูกน้อง

Now you are reading คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง Chapter 151 ลูกพี่ลูกน้อง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 151 ลูกพี่ลูกน้อง

เยียนอวิ๋นเกอกลับถึงจวนท่านหญิง

เพิ่งลงจากรถม้าที่ประตู แม่นมก็เดินเข้ามา

“คุณหนู ในจวนมีแขกมาเจ้าค่ะ”

เยียนอวิ๋นเกอถามอย่างไม่ใส่ใจ “ตระกูลใด”

แม่นมพูด “ญาติทางไกลท่านหนึ่งเจ้าค่ะ”

เยียนอวิ๋นเกอผงะ “ญาติหรือ อีกทั้งยังทางไกล พี่ใหญ่เป็นผู้นำมาหรือ”

ตระกูลเยียนมีญาติจำนวนมาก

หากมีญาติมาเยือน เยียนอวิ๋นฉวนย่อมต้องออกหน้ารับรอง

จริงสิ เมื่อเดือนก่อนเยียนอวิ๋นฉวนกลับจากรัฐอวี้โจวมายังเมืองหลวง

เยียนอวิ๋นเกอให้เขาไปส่งของขวัญให้พี่ใหญ่เยียนอวิ๋นเฟย เขาบรรลุภารกิจได้อย่างสมบูรณ์

แม่นมรีบส่ายหน้า “นายน้อยใหญ่ไม่อยู่เจ้าค่ะ ได้ยินว่าเป็นญาติทางไกลของท่านหญิงเจ้าค่ะ”

เยียนอวิ๋นเกอยิ่งประหลาดใจ

ไม่ใช่ญาติของตระกูลเยียน หากแต่เป็นญาติของท่านแม่อย่างนั้นหรือ

แต่ว่าคนของตำหนักบูรพาล้วนตายหมดแล้ว ญาติมาจากที่ใดกัน

เยียนอวิ๋นเกอโยนแส้ม้าลง เดินทางไปยังห้องโถงเรือนด้านในอย่างเร่งรีบ

นางกังวลว่ามารดาจะถูกคนหลอกลวง

แม้ว่าเรื่องแบบนี้ไม่อาจเกิดขึ้นได้ก็ตาม

“ท่านแม่!”

“อวิ๋นเกอกลับมาแล้ว รีบมา ผู้นี้คือพี่ชายจากตระกูลเซิ่น นางก็คือน้องสาวอวิ๋นเกอที่ข้าเอ่ยกับเจ้า”

เห็นได้ชัดว่าเซียวฮูหยินดีใจอย่างมาก ดวงตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

เยียนอวิ๋นเกอพินิจพี่ชายจากตระกูลเซิ่นผู้มีที่มาไม่ชัดเจน หน้าตาสะอาดสะอ้าน ท่าทางเรียบร้อย รูปร่างสูงผอม แค่มองก็รู้ว่าเป็นบัณฑิต

“ทักทายพี่ชายจากตระกูลเซิ่น!” นางทำความเคารพอีกฝ่าย

เซิ่นซูเหวินตอบรับด้วยความเกรงใจ “น้องอวิ๋นเกอ พบกันครั้งแรก ข้าคือเซิ่นซูเหวิน”

เยียนอวิ๋นเกอถามด้วยรอยยิ้ม “ไม่รู้พี่เซิ่นมาจากที่ใด มาเมืองหลวงด้วยเหตุใด แต่ก่อนไม่เคยได้ยินชื่อพี่เซิ่น หากมีเรื่องเสียมารยาท หวังว่าพี่เซิ่นจะให้อภัย”

“น้องอวิ๋นเกอไม่ต้องเกรงใจ!” เซิ่นซูเหวินตื่นเต้นเล็กน้อย

เห็นได้ชัดว่าเซียวฮูหยินสังเกตถึงเรื่องนี้จึงอธิบายต่อเยียนอวิ๋นเกอ “ซูเหวินเป็นญาติทางตระกูลของท่านทวดเจ้า ไม่เคยไปมาหาสู่กันมานาน เดิมทีคิดว่าชาตินี้จะไม่มีโอกาสได้พบหน้าคนตระกูลเซิ่นแล้ว ไม่คิดว่าซูเหวินมีความสามารถยิ่งนัก ถูกสำนักราชการท้องถิ่นเสนอให้มาร่ำเรียนในสำนักไท่เสวีย เพิ่งปักหลักในเมืองหลวงไม่นาน เดิมทีข้าจะให้เขาพักอยู่ในเรือนพักตากอากาศในเมืองที่ท่านอาสองและท่านอาสะใภ้สองเจ้าพักก่อนหน้านี้ แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่ยอม สิ้นเปลืองเงินเสียจริง”

เซิ่นซูเหวินเขินอายเล็กน้อย “ตอนข้าออกจากจวน ผู้ใหญ่ในตระกูลต่างกำชับไม่ให้สร้างความเดือดร้อนให้ท่านหญิง”

“ท่านหญิงอันใดกัน เรียกท่านป้า!” เซียวฮูหยินแสร้งทำเป็นขุ่นเคือง

เซิ่นซูเหวินเปลี่ยนคำเรียกอย่างเชี่ยวชาญ

ในที่สุดเยียนอวิ๋นเกอก็รู้ที่มาของญาติทางไกลผู้นี้ ไม่เคยคิดว่าจะเป็นคนในตระกูลของท่านทวด ‘พระชายาองค์รัชทายาทจางอี้’

ตอนนั้นคดีก่อกบฏ ‘องค์รัชทายาทจางอี้’ ตระกูลของพระชายาเซิ่นได้รับความเดือดร้อนไปด้วย ตระกูลขนาดใหญ่ล่มสลายในชั่วพริบตา

เมื่อคนในตำหนักวังบูรพาตายจนเหลือเพียงเซียวฮูหยินคนเดียว ฮ่องเต้จงจ้งถึงได้ตระหนักว่าถูกหลอก ก่อนจะรีบลบข้อครหาให้ ‘องค์รัชทายาทจางอี้’ อย่างเร่งรีบ

เวลานั้นคนในตระกูลของพระชายาเซิ่นยังเหลือเชื้อสายอยู่คนสองคน เนื่องจากการลบข้อครหาจึงได้มีชีวิตอยู่รอด

หากพระราชโองการลบข้อครหาของฮ่องเต้จงจ้งช้าไปอีกหนึ่งหรือสองเดือน ตระกูลเซิ่นคงต้องตายจนหมดสิ้นไปแล้ว

คนตระกูลเซิ่นที่มีชีวิตรอดย่อมไม่อาจอยู่ในเมืองหลวงต่อ ทำได้เพียงขายทรัพย์สิน เก็บเงินกลับบ้านเกิด

การจากไปครั้งนี้เป็นเวลายี่สิบกว่าปี

สวรรค์ไม่ดับตระกูลเซิ่น ทำให้ตระกูลเซิ่นฟื้นฟูพลังขึ้นมาได้เล็กน้อย

เซิ่นซูเหวินมีความฉลาดเฉลียว ได้รับการสั่งสอนจากผู้อาวุโสในตระกูลตั้งแต่เด็ก มีพรสวรรค์ด้านการศึกษาอย่างมาก

อีกทั้งยังสร้างชื่อเสียงโด่งดังในบ้านเกิดเมื่อเขายังเด็ก

ขุนนางท้องถิ่นชื่นชมในความสามารถของเขา ดังนั้นจึงเสนอให้เขาเดินทางมาร่ำเรียนในสำนักไท่เสวีย

เดิมทีตระกูลเซิ่นไม่ได้คาดหวังกับเรื่องนี้

ถึงแม้ตระกูลเซิ่นจะถูกลบล้างข้อครหา แต่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันยังคงเป็นโอรสของฮ่องเต้องค์ก่อน

ส่วนฮ่องเต้องค์ก่อนมีความเกี่ยวข้องที่ไม่สามารถตัดขาดกับคดีก่อกบฏของ ‘องค์รัชทายาทจางอี้’

หรืออาจบอกได้ว่าการล่มสลายของตำหนักบูรพาเป็นแผนการของฮ่องเต้องค์ก่อน อย่างไรแล้วเขาก็ไม่อาจหลุดพ้นได้

เรื่องที่ไม่คาดหวังในเดิมที ไม่คิดว่าจะราบรื่นอย่างน่าประหลาดใจ

สำนักไท่เสวียรับเขาโดยไม่สนใจว่าเซิ่นซูเหวินเป็นคนตระกูลเซิ่น

ตระกูลเซิ่นสงสัยว่าจะเป็นแผนการของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน

ต่อมาเมื่อครุ่นคิดอย่างละเอียด หากฮ่องเต้ทรงต้องการประหารตระกูลเซิ่น เหตุใดจึงต้องยุ่งยากเพียงนี้

พระราชโองการเพียงฉบับเดียวก็สามารถทำให้ตระกูลเซิ่นล่มสลาย ไม่จำเป็นต้องเรียกเซิ่นซูเหวินเข้ามาในเมืองหลวงค่อยประหาร

หลังจากลังเลอยู่สักพัก สุดท้ายเซิ่นซูเหวินยังคงเดินทางเข้ามาร่ำเรียนยังสำนักไท่เสวียในเมืองหลวงพร้อมกับความคาดหวังของคนในตระกูล

ตระกูลเซิ่นยังพอมีญาติมิตรอยู่ในเมืองหลวง เพียงแต่ความสัมพันธ์ห่างเหิน ไม่เคยไปมาหาสู่กันมานาน

วันนี้เซิ่นซูเหวินเดินทางมาเยือน เดิมทีเขาเตรียมพร้อมที่จะถูกปฏิเสธแล้ว

แต่ไม่คิดว่า เซียวฮูหยินผู้เป็นท่านหญิงจะต้อนรับเขาอย่างกระตือรือร้น ทำให้เขาตื่นเต้นและซาบซึ้งอย่างมาก

ตอนนั้นเหตุการณ์วินาศกรรมของตำหนักบูรพา ผู้คนต่างตายจากกันไป

คนที่ยังมีชีวิตอยู่ในเวลานี้ย่อมจะรักษาปัจจุบัน

เยียนอวิ๋นเกอพินิจเซิ่นซูเหวิน ครุ่นคิดในใจว่าตระกูลเซิ่นน่าสงสารยิ่งนัก

ได้รับความเดือดร้อนจากคดีก่อกบฏ ‘องค์รัชทายาทจางอี้’ จนตระกูลเกือบล่มสลาย

รักษาเชื้อสายคนสองคนได้อย่างยากลำบาก ทำได้เพียงเดินทางกลับบ้านเกิดใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบ

เซียวฮูหยินเริ่มไถ่ถามสถานการณ์ของตระกูลเซิ่น

เมื่อรู้ว่าแปลงนาของตระกูลเซิ่นถูกตระกูลร่ำรวยยึดครองเมื่อเกิดเรื่องในเวลานั้น จนกระทั่งเวลานี้ยังไม่อาจเอากลับคืนมาได้ เซียวฮูหยินก็โกรธเคืองอย่างมาก

“ตระกูลเซิ่นถูกยึดครองแปลงนาไปมากน้อยเพียงใด ยังเหลือแปลงนากี่ไร่ ผู้ยึดครองคือผู้ใด”

เซียวฮูหยินโกรธจัด

เซิ่นซูเหวินกังวลเล็กน้อย รีบพูด “ท่านป้าโปรดระงับความโกรธ! เรื่องเมื่อหลายปีก่อนแล้ว ตระกูลเซิ่นปล่อยวางแล้ว”

เซียวฮูหยินตำหนิ “เหลวไหล! เจ้ามองข้า เจ้าพูดอีกครั้ง ตระกูลเซิ่นปล่อยวางแล้วจริงหรือ”

เซิ่นซูเหวินก้มหน้าไม่กล้ามองนาง

เซียวฮูหยินถอนหายใจ “ข้ารู้ว่าตระกูลเซิ่นลำบาก เรื่องในตอนนั้นทำให้พวกเจ้า…เวลานั้นเจ้ายังไม่กำเนิด…เฮ้อ…”

นางถอนหายใจหลายต่อหลายครั้ง

เซิ่นซูเหวินรู้สึกผิดบาปในทันที “ทำให้ท่านป้าเป็นกังวลไปด้วย เป็นความผิดของซูเหวิน”

เซียวฮูหยินโบกมือ “เจ้าบอกข้า ในตระกูลเจ้ายังเหลือแปลงนาอีกเท่าใด พอใช้จ่ายหรือไม่”

“รายงานท่านป้า ในตระกูลยังเหลือแปลงนาหนึ่งพันไร่ ภายใต้นามของท่านแม่ยังมีแปลงนาสองไร่และร้านค้าสองร้าน เพียงพอต่อการใช้จ่าย”

เมื่อได้ยิน ดวงตาของเซียวฮูหยินก็แดงก่ำทันที

นางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับหางตาเบาๆ “ตอนนั้น ตระกูลเซิ่นเป็นตระกูลใหญ่แนวหน้าที่ได้รับการยอมรับ ไม่ต้องพูดถึงกิจการที่จัดตั้งในเมืองหลวง ตามที่ข้ารู้ เพียงแค่ที่บ้านเกิดก็มีแปลงนานับแสนไร่ ไม่คิดว่าตระกูลใหญ่เมื่อล่มสลาย จะเหลือแปลงนาเพียงพันไร่ ลำบากพวกเจ้าแล้ว!”

เซิ่นซูเหวินรีบพูด “ท่านป้าอย่าร้องไห้! ตระกูลเซิ่นไม่ลำบาก ชีวิตยังดำเนินต่อไปได้”

เซียวฮูหยินส่ายหน้าระรัว “ยังดำเนินไปได้ของเจ้าไม่รู้ว่าต้องถูกรังแกข่มเหงมากน้อยเพียงใด ได้รับการเหยียดหยามมากน้อยเพียงใด เจ้าอย่าหลอกข้า เรื่องเหล่านี้ข้าล้วนรู้ดี ตระกูลล่มสลาย หากต้องการอยู่รอด ย่อมต้องยืนอยู่เฉยๆ รสชาตินี้ข้าเข้าใจ”

เซียวฮูหยินนึกถึงความย่ำแย่ในเวลานั้น เจ็บปวดทรมานอย่างมาก

เซิ่นซูเหวินทำตัวไม่ถูก จึงทำได้เพียงขอความช่วยเหลือจากเยียนอวิ๋นเกอ

เยียนอวิ๋นเกอเกลี้ยกล่อม “ท่านแม่อย่าร้องไห้เลย พี่เซิ่นตกใจหมดแล้ว”

เซียวฮูหยินรีบเช็ดน้ำตา พยายามเค้นยิ้มออกมา “ให้เจ้าเห็นเรื่องน่าอายแล้ว!”

เซิ่นซูเหวินส่ายหน้าระรัว “เป็นความผิดของข้า ไม่ควรระลึกถึงความทรงจำไม่ดีเหล่านั้น”

เซียวฮูหยินโบกมือ “ไม่เกี่ยวกับเจ้า หลายปีนี้ข้าจงใจไม่สืบข่าวของทุกคนเพื่อหลอกลวงตัวเอง ชีวิตจึงจะอยู่ต่อไปได้ แต่เวลานี้ข้าไม่อาจหลอกตัวเองได้อีก เจ้าบอกข้ามา ผู้ใดบ้างที่ยึดครองแปลงนาของตระกูลเซิ่น เจ้าวางใจ ข้าไม่ทำอันใดเหลวไหล ข้าเพียงแค่อยากรู้ผู้ใดบ้างที่ถาถมตระกูลเซิ่นในเวลานั้น”

เซิ่นซูเหวินทำหน้าลำบากใจ

ก่อนมาเมืองหลวง ผู้อาวุโสในตระกูลได้ตักเตือนเขา พยายามอย่าพูดถึงเรื่องในตระกูล สร้างความกลัดกลุ้ม

คราวนี้ท่านป้าถามเขา เดิมทีเขาไม่ควรพูด

แต่ท่าทีของท่านป้าแข็งกร้าว เขาไม่อาจปฏิเสธ

เยียนอวิ๋นเกอแนะนำเขา “พี่เซิ่น ท่านพูดความจริงเถิด ไม่จำเป็นต้องมีความกังวลแต่อย่างใด ท่านวางใจ เมืองหลวงนี้ ข้ากับท่านแม่สามารถปกป้องท่านได้ หากมีคนรังแกท่านเพราะท่านเป็นคนตระกูลเซิ่น ท่านแจ้งชื่อของข้าได้เลย”

เซิ่นซูเหวินไม่รู้จักเยียนอวิ๋นเกอ จึงกึ่งเชื่อกึ่งสงสัยกับคำพูดของนาง

แต่เขายังคงบอกตระกูลที่ยึดครองกิจการของตระกูลเซิ่นออกมา

เฮอะ!

ล้วนเป็นตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียง

ตระกูลหลิงก็มีส่วนร่วมในการยึดครองแปลงนาของตระกูลเซิ่น

เยียนอวิ๋นเกอหัวเราะขึ้นมา “ท่านแม่ พรุ่งนี้ข้าจะไปดื่มชากับหลิงฉางจื้อ พูดคุยเรื่องในตอนนั้นกับเขาเสียหน่อย”

เซียวฮูหยินสงบอารมณ์อย่างยากลำบาก

นางกำชับเยียนอวิ๋นเกอ “อย่าเหลวไหล! เรื่องที่เกี่ยวข้องในเวลานั้น ไม่ใช่แค่คำพูดเพียงหนึ่งหรือสองประโยคก็จะกระจ่าง อยากให้ตระกูลเหล่านั้นคายแปลงนาที่ยึดครองไปออกมา ต้องหาทางอื่น”

เยียนอวิ๋นเกอยิ้ม พลางพูด “อยากให้ตระกูลใหญ่ทั้งหลายคายแปลงนาที่ยึดครองไปออกมาแค่เพียงใช้ผลประโยชน์หลอกล่อหรือใช้อำนาจในการข่มขู่ พูดด้วยเหตุผลย่อมไม่ได้ ใช้ผลประโยชน์หลอกล่อ พวกเราไม่มีผลประโยชน์มากมายเพียงนั้นให้พวกเขา มีเพียงใช้อำนาจในการข่มขู่ที่พอเป็นไปได้”

เซียวฮูหยินพยักหน้า “เจ้าพูดมีเหตุผล เพียงแต่จากอำนาจในเวลานี้ของพวกเรา เรื่องนี้ยังไม่รีบ ต้องหารือระยะยาว”

“ข้าฟังท่านแม่”

เซิ่นซูเหวินทำหน้าฉงน เขาไม่เข้าใจ ฟังไม่เข้าใจ!

โลกของพวกนางห่างจากเขาไกลนับหมื่นลี้

ไม่ใช่คนโลกเดียวกัน

เยียนอวิ๋นเกอเห็นความกระอักกระอ่วนของเขา จึงพูดกับเขา “พี่เซิ่นไม่ต้องจริงจังกับคำพูดของพวกข้า ท่านถือว่ากำลังฟังเรื่องขบขันก็พอ ไม่รู้เวลานี้พี่เซิ่นพักอยู่ที่ใด ข้างกายมีคนรับใช้หรือไม่”

เซิ่นซูเหวินรีบพูด “เวลานี้ข้าพักโรงเตี๊ยม อีกสองวันจัดการเรื่องเข้าศึกษาในสำนักไท่เสวียเสร็จสิ้นก็สามารถย้ายเข้าไปในที่พักของสำนักไท่เสวียได้ ข้างกายมีบ่าวรับใช้สองคน มีพวกเขาดูแลก็เพียงพอแล้ว”

เยียนอวิ๋นเกอรีบพูดทันที “ต่อไปพี่เซิ่นต้องมาเป็นประจำ ข้าให้คนไปรับใช้พี่เซิ่น พาพี่เซิ่นคุ้นชินกับเมืองหลวง หากมีเรื่องให้เขาทำก็บอกเขาได้ ส่วนเรื่องค่าใช้จ่าย พี่เซิ่นไม่ต้องกังวล…”

“ไม่ได้ๆ !” เซิ่นซูเหวินรีบโบกมือ “ข้ารับไม่ได้!”

เขาไม่อาจรับความหวังดีจากผู้อื่นมาเปล่าๆ ได้ เหมือนดังที่ว่าไม่รับผลประโยชน์เมื่อไร้ความดีความชอบ

เยียนอวิ๋นเกอหมดหนทาง จึงทำได้เพียงขอให้เซียวฮูหยินผู้เป็นมารดาออกหน้า

เซียวฮูหยินใช้ฐานะของผู้อาวุโส ส่งบ่าวรับใช้ปรนนิบัติอยู่ข้างกายเขา

“เจ้าอย่าปฏิเสธอีกเลย เหมือนดังที่ว่าผู้ใหญ่มอบให้ ไม่อาจปฏิเสธได้ หากเจ้ามีใจ ต่อจากนี้มาเยี่ยมข้าบ่อยๆ ข้าดีใจย่อมดีกว่าสิ่งใด”

เซิ่นซูเหวินยิ้มอย่างหมดหนทาง ทำได้เพียงตอบรับเอาไว้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด