คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง 156 งานอภิเษกขององค์ชายสาม
ตอนที่ 156 งานอภิเษกขององค์ชายสาม
เถ้าแก่ซูมือหนึ่งถือพัดกลมพลางดื่มน้ำแกงเครื่องในเผ็ดร้อน
“เถ้าแก่ของพวกเจ้ามีความสามารถเสียจริง น้ำแกงเครื่องในเจ้าแรกของเมืองหลวง รสชาติไม่ต้องพูดถึง มีคนมากมายที่เปิดร้านน้ำแกงเครื่องใน มีแค่ร้านพวกเจ้ารสชาติดีที่สุด ผักดองที่ขายในร้านขายของชำหนานเป่ย ทั่วทั้งเมืองไม่มีเจ้าใดกลิ่นหอมกว่าของพวกเจ้า ทำให้ลูกค้าเก่าแต่ก่อนล้วนวิ่งไปซื้อผักดองในร้านขายของชำหนานเป่ยกันหมด เฮ้อ เพื่อหาเลี้ยงปากท้อง ข้าจึงต้องนำผักดองจากร้านขายของชำหนานเป่ยเข้ามาขาย เอากำไรจากส่วนต่าง เถ้าแก่พวกเจ้าหาเงินเก่งเสียจริง”
คำพูดของเถ้าแก่ซูเหมือนเป็นการบ่น แต่เมื่อตั้งใจฟังก็เหมือนจะเป็นการโอ้อวดและได้ใจเล็กน้อย
จี้ผิงพูดอย่างอารมณ์ดี “ระยะนี้ได้กำไรไม่น้อยใช่หรือไม่”
เถ้าแก่ซูหัวเราะร่า “ดูเจ้าพูดเข้า ข้าจะได้กำไรมากเพียงใดก็ไม่อาจเทียบเศษจากร้านของเจ้า”
“เถ้าแก่ซูชอบล้อเล่นเสียจริง ระยะสองเดือนนี้ ข้าเห็นร้านของท่านขายดีไม่น้อย คนเข้าคนออก แม้จะหากำไรจากส่วนต่าง แต่ก็มีรายรับสูงกว่าแต่ก่อน”
“กำไรน้อยแต่ขายมาก กำไรน้อยแต่ขายมาก!”
เถ้าแก่ซูโบกมือระรัว ไม่ยอมรับว่าตนเองได้กำไร แต่สีหน้าของเขาแสดงออกถึงความตื่นเต้นเล็กน้อย
ทั้งที่ได้กำไร แต่ก็กลัวที่จะเปิดเผยความมั่งคั่ง กลัวเรียกว่าเป็นคนขี้อวด กลัวถูกคนอิจฉา แต่ภายในใจก็ซ่อนความตื่นเต้นไว้ไม่ได้ ต้องหาคนมาระบายเพื่อตอบสนองความทระนง
จี้ผิงเป็นผู้ฟังที่มีคุณสมบัติเหมาะสม เขาพลางฟังเถ้าแก่ซูแสร้งไม่พอใจแต่ความจริงแล้วโอ้อวด พลางชมเชยเขาอย่างไม่ตั้งใจ
เถ้าแก่ซูกินข้าวมือนี้อย่างเอร็ดอร่อยและพึงพอใจ เขาจึงสั่งน้ำแกงเครื่องในอีกสองชาม
ชามหนึ่งกินเอง ส่วนอีกชามยกไปให้ภรรยา
เถ้าแก่ซูบ่น “ร้านขายของชำหนานเป่ยย่อมต้องมีสูตรลับ ผักดองที่ทำออกมารสชาติจึงไม่เหมือนกัน ทั้งหอมกว่า ทั้งอร่อยกว่า ภรรยาข้าลองทำอยู่หายหน ก็ไม่อาจทำออกมาให้มีรสชาติเหมือนของร้านขายของชำหนานเป่ย
ข้าได้ยินคนบอกว่ามีภัตตาคารใหญ่จะซื้อสูตรลับผักดองของร้านขายของชำหนานเป่ยในราคาสูง เจ้าต้องเตือนเถ้าแก่เจ้า ควบคุมเด็กในร้ายให้ดี อย่าให้เกิดมีคนทรยศขึ้นมา”
“ขอบคุณเถ้าแก่ซูตักเตือน เถ้าแก่ข้ามีการระวังไว้อยู่แล้ว การใช้เงินซื้อเด็กในร้านไม่อาจได้สูตรลับไป”
เถ้าแก่ซูโล่งอก…
“ย่อมดี…ย่อมดี! เถ้าแก่ของพวกเจ้าเป็นธรรม ไม่คิดผูกขาดการค้า ให้ทางรอดแก่พ่อค้ารายเล็กอย่างพวกเรา หากสูตรลับตกอยู่ในมือของภัตตาคารใหญ่ พ่อค้ารายเล็กอย่างพวกเราก็คงหมดหนทางจริงๆ แล้ว
ภัตตาคารใหญ่ย่อมต้องผูกขาดการค้าเพื่อหากำไร ไม่ยอมให้พวกเขานำของเข้ามาขาย เมื่อถึงเวลานั้น ร้านของข้าคงต้องปิดลง กล่าว่าอำลากับน้องชายอย่างเจ้าเสียแล้ว”
จี้ผิงยิ้มตาหยี “เถ้าแก่ซูพูดเกินไปแล้ว แต่ว่าข้าคงต้องกล่าอำลากับเถ้าแก่ซู”
เอ๊ะ?
“เจ้าเปลี่ยนเถ้าแก่หรือ”
เถ้าแก่ซูทำหน้าฉงน
จี้ผิงส่ายหน้า พลันพูด “ไม่ได้เปลี่ยนเถ้าแก่ พ่อบ้านเห็นว่าสองสามปีนี้ข้าขยันขันแข็ง ทำงานอย่างตั้งใจ จึงตัดสินใจย้ายข้าไปทำงานที่อื่น”
เถ้าแก่ซูได้ยิน จึงหัวเราะด้วยความดีใจ “ยินดีกับน้องจี้ที่ได้เลื่อนขั้น! เลี้ยงเหล้า ต้องเลี้ยงเหล้า”
จี้ผิงพูดด้วยรอยยิ้ม “รอข้าเสร็จงานในมือ ข้าจะเลี้ยงเหล้าทุกคน บรรดาบ้านใกล้เรือนเคียงต่างต้องมา”
“ทุกคนได้ยินแล้วหรือไม่ จี้จั่งกุ่ยจะเลี้ยงเหล้า ทุกคนต้องมากนะ!”
“ย่อมต้องไป”
บนถนนเต็มไปด้วยบรรยากาศคึกคัก
มีคนเป็นเจ้ามือ ทุกคนต่างดีใจ
…
ฤดูร้อน เดือนหก
องค์ชายสามเซียวเฉิงอี้อภิเษกกับจ้งซูอวิ้น
เยียนอวิ๋นเกอติดตามเซียวฮูหยินผู้เป็นมารดาเดินทางไปร่วมงานเลียงในจวนองค์ชาย
นางนั่งอยู่ฝั่งแขกสตรี พบกับหลี่ปิ้งถิงผู้เป็นพระชายาองค์ชายใหญ่ที่ไม่ได้ปรากฏตัวมาเป็นเวลานาน
รูปร่างของหลี่ปิ้งถิงสมบูรณ์ขึ้น ทั้งขาวทั้งอ่อนนุ่ม ดูแล้วมีแววแห่งความมั่งคั่งอย่างมาก
นางให้กำเนิดพระราชนัดดาองค์โต แต่องค์ชายใหญ่ เซียวเฉิงเย่กลับไม่ทรงจัดงานเลี้ยงครบเดือน หรือครบร้อยวัน
นอกจากเด็กกำเนิดออกมาหลายวันแรกมีความคึกคักเล็กน้อย หลังจากนั้นก็เงียบเหงา
หากไม่ตั้งใจนึกถึง ผู้คนคงลืมแล้วว่าพระราชนัดดาองค์โตได้กำเนิดออกมาแล้ว
มนุษย์ต่างชอบนินทา
พระราชนัดดาองค์โตเชียวนะ กับเด็กคนนั้นเป็นพระราชนัดดาองค์โตมีความหมายไม่เหมือนกัน
แต่จวนองค์ชายใหญ่ไม่จัดงานเลี้ยงครบเดือนหรือร้อยวัน
มีคนลองถามเพื่อสังเกตท่าทีของหลี่ปิ้งถิง หรือว่าพระราชนัดดาองค์โตมีปัญหา หรือองค์ชายใหญ่ เซียวเฉิงเย่ทรงมีความกังวลใด
เมื่อเผชิญหน้ากับความอยากรู้ หรือการหลอกถามที่มีเจตนาร้าย หลี่ปิ้งถิงแสดงออกได้อย่างสงบ อีกทั้งรับมือได้อย่างคล่องแคล่ว
“เด็กตัวเล็ก ร่างกายอ่อนแอ เกรงว่าจะรับรับพรอันหนักอึ้งเช่นนั้นไม่ไหว”
“รอเด็กครบหนึ่งขวบค่อยจัดงานเลี้ยงก็ยังไม่สาย”
“ขอบคุณความห่วงใยของทุกคน ระยะนี้องค์ชายทรงงานหนัก สำนักหยาเหมินมีเรื่องมากมาย พระองค์ทรงงานจนเท้าไม่ได้เหยียบพื้น”
“ในจวนมีเด็ก ข้าก็วุ่นวายทั้งวัน วันนี้ออกจากจวนมาก็เพื่อหาโอกาสผ่อนคลาย”
“ถึงแม้มีแม่นมดูแล แต่ข้าเป็นมารดา จะปล่อยมือให้บ่าวรับใช้ทั้งหมดได้อย่างไร ย่อมต้องจับตาดูจึงจะวางใจ”
เมื่อทุกคนเห็นว่าไม่อาจได้ข่าวที่มีประโยชน์ใดออกมาจากปากของหลี่ปิ้งถิง พวกเขาจึงหมดความคิดที่จะหลอกถาม
แต่ว่าก็ยังแอบพึมพำลับหลัง
“หลี่ปิ้งถิงโชคดีเสียจริง ตระกูลเช่นนั้น จะบอกว่าตระกูลหลี่เป็นตระกูลตกอับยังเกรงใจเกินไป ฐานะเช่นนั้นยังอภิเษกกับองค์ชายใหญ่ได้ อีกทั้งยังให้กำเนิดพระราชนัดดาองค์โตอีก”
“ไม่ได้ยินหรือ หลายปีก่อนมีซินแสดูดวงให้นาง บอกว่านางมีชะตาชีวิตสูงส่ง”
“ชะตาชีวิตของนางสูงส่งหรือไม่ ข้าไม่รู้ ข้ารู้เพียงตอนเพิ่งอภิเษก องค์ชายใหญ่ไม่แม้แต่จะเข้าห้องของนาง”
“ฮะ? เจ้าฟังผู้ใดพูดกัน องค์ชายใหญ่ไม่เข้าห้องของนาง นางยังให้กำเนิดบุตรได้อีกหรือ”
“ข้าบอกแล้วว่าตอนเพิ่งแต่งงาน ต่อมาองค์ชายใหญ่ย่อมถูกนางมัดใจเอาไว้ได้ เจ้าดูฝีมือของนาง ตระกูลเช่นนั้นยังแต่งเข้าราชวงศ์ได้ จะดูถูกได้อย่างไร”
“มีเหตุผลอย่างยิ่ง หากมิใช่ฝีมือร้ายกาจ ตระกูลตกอับก็คงไม่อาจอภิเษกกับองค์ชายได้”
…
เยียนอวิ๋นเกอพลางดื่มชา พลางฟังเสียงนินทาของบรรดากุลสตรีอย่างออกรสออกชาติ
สัมผัสทั้งห้าของนางว่องไว แม้จะห่างไกลก็ได้ยินเนื้อหาสนทนาได้อย่างชัดเจน
ในขณะที่นางกำลังสนุกสนาน เยียนอวิ๋นเพ่ยเดินมาข้างกายนาง
งานเลี้ยงอภิเษกขององค์ชาย ตระกูลหลิงย่อมได้รับเทียบเชิญ
เยียนอวิ๋นเพ่ยในฐานะภรรยาของหลิงฉางเฟิง ย่อมมีคุณสมบัติเข้าร่วมงานเลี้ยงนี้
“น้องอวิ๋นเกอ ข้าตามหาเจ้าอยู่นาน ไม่คิดว่าเจ้าจะหลบอยู่ทางนี้”
เยียนอวิ๋นเกอเลิกคิ้ว นางถูกขัดในขณะที่กำลังฟังเรื่องนินทาอย่างสนุก
เหมือนกับการติดตามอ่านนิยายที่กำลังจะถึงจุดสูงสุด แต่สุดท้ายก็ไม่มี ไม่มี…
เยียนอวิ๋นเพ่ยนั่งลงข้างเยียนอวิ๋นเกออย่างสนิทสนม ก่อนจะเริ่มบทสนทนา
“วันนี้อากาศร้อนเสียจริง เดินไม่กี่ก้าว บนหน้าผากก็เต็มไปด้วยเหงื่อ ไม่รู้ผู้ใดเลือกวัน ไม่คำนึงถึงว่ามันเป็นช่วงที่ร้อนที่สุดในฤดูนี้หรือ”
เยียนอวิ๋นเกอส่งเสียง ‘ชู่ว’ ให้นางเงียบ “ฮองเฮาทรงเลือกวันด้วยตนเอง ท่านพูดอยู่ตรงนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะส่งไปถึงหูของฮองเฮา”
สีหน้าของเยียนอวิ๋นเพ่ยเปลี่ยนไป นางรีบปิดปากเอาไว้ พลันมองไปรอบด้าน
เมื่อมั่นใจว่าไม่มีผู้ใดแอบฟัง นางจึงโล่งใจ
“น้องอวิ๋นเกอชอบหลอกคนเสียจริง”
ถุย!
เยียนอวิ๋นเกอพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“ข้าไม่ได้หลอกท่าน หลิงฉางเฟิงไม่ได้บอกท่านหรือ ฮองเฮาทรงกำหนดวันอภิเษกด้วยตนเอง ผู้ใดห้ามก็ไร้ประโยชน์”
เยียนอวิ๋นเพ่ยส่งเสียงตกใจ ก่อนจะถามด้วยความสงสัย
“ฮองเฮาทรงกำหนดวันอภิเษกด้วยตนเองจริงหรือ”
นางจงใจกดเสียงต่ำ ท่าทางอยากรู้อยากเห็น
เยียนอวิ๋นเกอพยักหน้า
เยียนอวิ๋นเพ่ยสงสัย “เพราะเหตุใดกัน ทั้งที่ฮองเฮาทรงรู้ว่าเดือนหกอากาศร้อน จัดงานเลี้ยงในเวลานี้ ไม่เพียงร้อน คนก็เหนื่อย อาหารก็ไม่สดใหม่”
เยียนอวิ๋นเกอยิ้มมีนัย “ท่านถามข้า ข้าก็ไม่รู้ บางทีหลิงฉางเฟิงอาจรู้ก็เป็นได้”
เยียนอวิ๋นเพ่ยขมวดคิ้ว พลันบ่น “เขาไม่ได้บอกข้าแม้แต่น้อย”
ปีก่อน เสบียงกองทัพเหนือถูกไฟเผา ตระกูลใหญ่ต่างระดมความช่วยเหลือ
หลิงฉางจื้อส่งหลิงฉางเฟิงลงใต้ เพื่อลำเลียงเสบียงให้กองทัพเหนือ จนกระทั่งฤดูใบไม้ผลิปีนี้จึงกลัยมาถึงเมืองหลวง
เมื่อกลับมา ข้างกายของเขามีหญิงงามเพิ่มขึ้นสองนาง ว่ากันว่าหญิงสามสองนางนั้นศึกษาการปรนนิบัติคนตั้งแต่เด็ก เมื่อเข้าตระกูลหลิงก็แย่งความสนใจของเยียนอวิ๋นเพ่ยไป
เยียนอวิ๋นเกอเงียบ
ไม่มีคนถาม เยียนอวิ๋นเพ่ยก็พูดเองเออเองขึ้นมา
คงเป็นเพราะอัดอั้นมานาน เมื่อพบกับคนคุ้นเคย คำพูดก็หลั่งไหลออกมา
“อันที่จริงเขาก็รังแกกันเกินไป คิดว่าจะใช้หญิงต่ำทราบสองคนจะเหยียดหยามข้าได้ เขาฝันไป…”
“หญิงต่ำทรามสองนางนั้นอาศัยความโปรดปรานก็บังอาจเหิมเกริม วันก่อนข้าอาละวาดไปหนหนึ่ง อย่างไรหลิงฉางเฟิงก็ยังยืนอยู่ข้างข้า เขาไม่พูดสิ่งใดแม้แต่น้อย…”
“…ตระกูลหลิงระเบียบมาก พ่อและแม่สามีไม่อยู่ในเมืองหลวง โชคดีที่นายน้อยใหญ่สามารถควบคุมหลิงฉางเฟิงได้ ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะกล้าให้หญิงชั้นต่ำสองนางนั้นตั้งครรภ์ก่อนข้า หากพวกนางให้กำเนิดบุตรชายคนโต ไม่ต้องให้ข้าออกหน้า นายน้อยใหญ่ก็คงจะโบยเขาให้ตายก่อน”
“เดิมทีข้างกายเขามีเมียไพร่หลายคน ตอนข้าเข้าตระกูลหลิง แม่สามีก็ออกหน้าขับไล่ไปทั้งหมดแล้ว…”
“น้องอวิ๋นเกอ ข้าบอกเจ้า ต่อไปหากเจ้าออกเรือนก็ควรเลือกตระกูลที่มีกฎตระกูลเข้มงวดอย่างตระกูลหลิง ก่อนที่บุตรชายคนโตจากภรรยาเอกกำเนิดออกมา บุตรชายและบุตรสาวจากอนุภรรยาไม่อาจกำเนิดออกมาได้ทั้งสิ้น ดังนั้นถึงแม้ข้าอภิเษกมาหลายปีแต่ยังไม่มีบุตร แต่ข้าก็ไม่กังวลแม้แต่น้อย เพราะข้ารู้ว่าข้าต้องมีบุตรในไม่ช้าก็เร็ว”
“แล้วท่านมีบุตรแล้วหรือ”
เยียนอวิ๋นเกออดทนกับความขี้บ่านของนางไม่ได้ จึงพูดขัดนาง
เยียนอวิ๋นเพ่ยถูกขัดอย่างกะทันหัน จึงผงะไป สีหน้าแสดงออกถึงความกระอักกระอ่วน
นางยิ้มพลันปิดบังสีหน้ากระอักกระอ่วน ก่อนจะพูดขึ้น “ข้าบอกแล้ว ข้าจะมีบุตรในไม่ช้าก็เร็ว”
เยียนอวิ๋นเกอพูดแทงใจดำ “ตอนไม่มีเมียไพร่ ไม่มีอนุภรรยายังไม่มีบุตร เวลานี้มีคนใหม่ ท่านคิดว่าท่านจะมีบุตรเมื่อใด”
เยียนอวิ๋นเพ่ยรู้สึกน้อยใจ นางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาแสร้งทำเป็นซับหางตา
“ข้ารู้ว่าพวกเจ้านินทาหัวเราะเยาะว่าข้าให้กำเนิดบุตรไม่ได้ลับหลัง”
เยียนอวิ๋นเกอกลอกตา
ผู้ใดจะว่างหัวเราะท่านกัน!
ท่านคิดว่าทุกคนไม่มีเรื่องทำเหมือนเจ้าหรือ
เยียนอวิ๋นเพ่ยแสร้งทำเป็นร้องไห้ เมื่อเห็นเยียนอวิ๋นเกอไม่สนใจนาง นางจึงเก็บผ้าเช็ดหน้าลงอย่างว่องไว
นางแค้นอยู่ภายในใจ แค้นหลิงฉางเฟิงที่เลวทราม
ก่อนแต่งงานเห็นนางเป็นสมบัติล้ำค่า ทิ้งเยียนอวิ๋นเฟยราวกับรองเท้า
หลังจากแต่งงานก็ทิ้งนางราวกับรองเท้า เห็นหญิงอื่นด้านนอกเป็นสมบัติล้ำค่า
ไม่ว่าหลิงฉางเฟิงจะแต่งกับผู้ใด ดอกไม้ในจวนย่อมไม่หอมเท่าดอกไม้นอกจวน
เพียงแต่นางน่าสมเพชไปเสียหน่อย แม้แต่บุตรก็ยังไม่มี
Comments