คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง 237 องค์ชายสองถูกโบย

Now you are reading คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง Chapter 237 องค์ชายสองถูกโบย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 237 องค์ชายสองถูกโบย

ฮ่องเต้หย่งไท่ทรงตำหนิเสียงดุ ไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย

เถาฮองเฮายิ้มราวกับยินดีที่ได้เห็นบุตรชายคนโตถูกบีบเค้นให้ยอมจำนน

แต่เซียวเฉิงเหวินมีสีหน้าเรียบเฉย เขาไม่ได้เกรงกลัวต่อการตำหนิของฮ่องเต้แม้แต่น้อย

เขาเงยหน้าขึ้นสบตากับฮ่องเต้ “เสด็จพ่อทรงคิดจะประหารขุนนางตระกูลใหญ่เพื่อระบายความแค้นภายในใจหรือ”

“เจ้าบังอาจ!”

ฮ่องเต้หย่งไท่โกรธจัด

บุตรชายคนโตที่ร่างกายอ่อนแออย่างเซียวเฉิงเหวินมีคุณสมบัติต่อว่าเขาได้อย่างไร

เขาโกรธมากจนยกมือขึ้นตบหน้าบุตรชายชายที่ป่วย

เพียะ!

เสียงดังฟังชัด!

ทุกคนในห้องต่างเงียบสงัด

แม้แต่เถาฮองเฮาก็ยังตกตะลึง ก่อนหน้านี้นางไม่เคยคาดคิดว่าฮ่องเต้จะทรงลงมือกับเซียวเฉิงเหวิน

นางทำหน้าตกใจ “ฝ่าบาท?”

เหตุใดฮ่องเต้จึงลงมือ

เพราะว่าถูกเปิดโปงเรื่องในใจหรือ

เขาต้องการล้างแค้นคดีที่เกิดขึ้นเมื่อคืนด้วยการประหารขุนนางตระกูลใหญ่ เป็นเพราะว่าคำนึงถึงส่วนรวม หรือต้องการระบายความโกรธส่วนตัวกันแน่

คนธรรมดาสามารถทำตามอำเภอใจได้

แต่ฮ่องเต้ทำไม่ได้

หากฮ่องเต้ทรงทำตามอำเภอใจย่อมต้องเกิดเรื่องใหญ่

เถาฮองเฮามองเซียวเฉิงเหวินด้วยความกังวล “เจ้าสอง เจ้าถอยไปก่อน! รอเสด็จพ่อของเจ้าทรงอารมณ์ดีขึ้น เจ้าค่อยเข้ามาถวายบังคม”

ฮ่องเต้หย่งไท่หอบหายใจหนัก สายตาราวกับต้องการกินคน

ภายในดวงตาเต็มไปด้วยไฟโกรธ

เซียวเฉิงเหวินลูบใบหน้าแผ่วเบา เขาก้มหน้ายิ้มเล็กน้อย

ประหลาดใจอย่างมาก เสด็จพ่ออายุปูนนี้แล้ว แต่มือยังหนักเพียงนี้

ดูท่าทางพระวรกายของเสด็จพ่อยังคงดีไม่น้อย

เขาพูดเสียงเบา “เสด็จพ่อทรงตบกระหม่อม กระหม่อมจะรับเอาไว้ กระหม่อมมีวาจาไม่เหมาะสม สมควรตี! แต่กระหม่อมยังคงยืนกรานที่จะทูลให้จบ คราวนี้เสด็จพ่อทรงเปิดศึกกับขุนนางตระกูลใหญ่ ทรงออกรับสั่งประหารแม่ทัพใหญ่ซือถูก็เป็นเรื่องที่ผิดพลาดอยู่ก่อนแล้ว ไม่เพียงไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ หากแต่ยังกระตุ้นให้เกิดความขัดแย้งที่มากขึ้น เรื่องเมื่อคืนก็คือบทเรียนอันแสนเจ็บปวดหลังจากกระตุ้นให้เกิดความขัดแย้ง

ใช่ การยอมถอยเป็นเรื่องที่น่าอับอาย ภายในใจของพระองค์ไม่สามารถกล้ำกลืนความโกรธลงไปได้ แต่เสด็จพ่อทรงเป็นโอรสสวรรค์ เป็นเจ้าแห่งเป็นดิน เป็นนายของแผ่นดินต้าเว่ย พระองค์ต้องทรงคำนึงถึงแผ่นดินต้าเว่ย! หากพระองค์ทรงปะทะกับขุนนางตระกูลใหญ่ต่อไป พระองค์คิดว่าจะทรงแก้ไขปัญหาได้จริงหรือ หาก…”

“หุบปาก! ไม่มีหาก!”

ฮ่องเต้หย่งไท่พูดเสียงดัง ไฟโกรธคุกรุ่นอยู่ในใจ

เซียวเฉิงเหวินกลับพูดอย่างรีบร้อน “เสด็จพ่อทรงอดทนเอาไว้เพียงชั่วคราว รอแผ่นดินสงบสุข สถานการณ์คลี่คลายลงค่อยคิดบัญชีก็ยังไม่สาย เสด็จพ่อไม่จำเป็นต้องลงมือเพื่อแก้แค้นในเวลานี้พ่ะย่ะค่ะ!”

“ออกไป? ผู้ใดก็ได้ ลากเขาออกไป อย่าให้เขาเข้าวังมาอีก ข้าไม่อยากเห็นหน้าเขา”

ฮ่องเต้หย่งไท่ตะโกนเสียงดังด้วยความแค้นที่ฝังเข้าไปในกระดูก เขาแทบอยากจะฉีกเซียวเฉิงเหวินให้เป็นชิ้นๆ

ซุนปังเหนียนผงะไป ก่อนจะตั้งสติได้ เขาโบกมือเรียกให้ข้าหลวงลากองค์ชายสองเซียวเฉิงเหวินออกไปอย่างรวดเร็ว

เขาก็ถอยออกไปตามกัน เมื่อห่างจากตำหนักบรรทมมาไกลแล้ว เขาจึงกระซิบเสียงเบา “พระองค์พูดให้น้อยลงเถิด! ฝ่าบาททรงกำลังโกรธ ไม่ทรงฟังคำโน้มน้าวใดทั้งสิ้น อีกทั้งฝ่าบาทได้รับสั่งให้หัวหน้าองครักษ์จินอู่เจิ้งกังประหารขุนนางตระกูลใหญ่ทั้งหมดที่ถูกคุมขังไว้ในคุกหลวงแล้ว”

หลังจากพูดจบ เขาก็หันหลังกลับเข้าไปปรนนิบัติในตำหนักบรรทมอย่างเร่งรีบ

เซียวเฉิงเหวินตื่นตกใจ

เสด็จพ่อจะทรงประหารขุนนางตระกูลใหญ่ทั้งหมดที่ถูกคุมขังไว้ในคุกหลวง แย่แล้ว!

ความขัดแย้งจะรุนแรงขึ้น จะมีหายนะที่ใหญ่กว่าเกิดขึ้น

ตระกูลขุนนางในเวลานี้ไม่ใช่ตระกูลขุนนางที่ถูกฮ่องเต้จงจ้งกดขี่จนอ่อนแอราวกับนกน้อย

ตระกูลขุนนางมีเจตนาชั่วร้าย ในเมื่อพวกเขากล้าถ่ายทอดพระราชโองการเท็จ พวกเขาก็ย่อมกล้าก่อให้เกิดความวุ่นวายบนแผ่นดิน

ตระกูลขุนนางในเวลานี้กล้าที่จะควบคุมความเจริญรุ่งเรืองหรือล่มสลายของแผ่นดิน

เขาต้องหาทางยับยั้งไม่ให้เจิ้งกังประหารขุนนางตระกูลใหญ่ที่ถูกขังอยู่ในคุกหลวงให้ได้

เซียวเฉิงเหวินไม่กล้าอยู่ในวังหลวงต่อ เขาออกจากวังหลวงด้วยความรีบร้อน รับสั่งให้สารถีเดินทางไปยังคุกหลวงทันที

เสียดาย…

เขามาช้าเกินไป!

หัวหน้าองครักษ์จินอู่เจิ้งกังเป็นพวกชอบลงมือทำ เขาปฏิบัติตามคำสั่งของฮ่องเต้ในทันที แม้แต่เวลาให้กลับใจก็ยังไม่มี

เซียวเฉิงเหวินมองดูซากศพที่นอนกองเต็มพื้นด้วยสีหน้าดำทะมึน

เขาตะโกนด้วยความโกรธ “ผู้ใดให้พวกเขาประหารขุนนางราชสำนักกัน”

หัวหน้าองครักษ์จินอู่เจิ้งกังยืนออกมา พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “กระหม่อมปฏิบัติตามพระราชโองการ ขอองค์ชายสองโปรดทรงอย่าขัดขวางการปฏิบัติงานขององครักษ์จินอู่”

เซียวเฉิงเหวินชี้หน้าของเขา “เจ้าคิดว่าเจ้ากำลังปฏิบัติตามพระราชโองการ เจ้าคิดว่าตนเองจงรักภักดี แต่เจ้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังก่อปัญหาที่ใหญ่หลวงนัก เจ้าเป็นคนบาป หากมีวันหนึ่ง แผ่นดินล่มสลาย เจ้าเจิ้งกังย่อมต้องเป็นคนแรกที่ถูกถลกหนังเลาะกระดูกเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่ตายไป”

สีหน้าของเจิ้งกังเปลี่ยนไปทันที “องค์ชายสองอย่าทรงเอ่ยวาจาเหลวไหล องครักษ์จินอู่ไม่ต้อนรับท่าน ท่านออกไป!”

เซียวเฉิงเหวินโกรธจัด “โง่เขลา เบาปัญญา!”

เจิ้งกังพูดด้วยความโกรธ “กระหม่อมในฐานะสุนัขรับใช้ของฝ่าบาท ปฏิบัติตามพระราชโองการเป็นเรื่องที่ถูกต้อง กระหม่อมไม่เข้าใจภาพรวม กระหม่อมไม่เข้าใจเรื่องของแผ่นดิน กระหม่อมรู้แต่เพียงเชื่อฟังรับสั่งของฝ่าบาท เป็นข้ารับใช้ที่จงรักภักดีที่สุดของฝ่าบาท อย่าว่าแต่ประหารขุนนางตระกูลใหญ่ไม่กี่คน ถึงแม้ฝ่าบาทต้องการให้กระหม่อมประหารองค์ชายหรือท่านอ๋อง กระหม่อมก็จะไม่ลังเลแม้แต่น้อย”

เซียวเฉิงเหวินหัวเราะร่า “ดี ดีมาก! ข้าจะรอดู ข้าจะรอดูว่าสุนัขรับใช้อย่างเจ้าจะมีจุดจบอย่างไรในตอนสุดท้าย”

เขาสะบัดแขนเสื้อจากไปด้วยความโกรธ

เมื่อขึ้นรถม้าแล้ว เฟ่ยกงกงก็รีบหยิบยาเม็ดออกมาให้เขา

“องค์ชายทรงระงับความโกรธ! ไม่จำเป็นต้องโกรธคนโง่เหล่านั้น”

เซียวเฉิงเหวินยิ้มอย่างเศร้าโศก สีหน้าของเขาซีดเซียว อึดอัดแน่นหน้าอก

เขาถอนหายใจ พลันพูดเสียงเบา “ข้าไม่ได้โกรธเขา ข้ากำลังโกรธตัวเอง ข้าคิดเสมอว่าตนเองสามารถควบคุมสถานการณ์ในราชสำนักได้ แม้จะอยู่ในที่มืด แต่ข้าก็ยังสามารถชี้แนะเรื่องของแผ่นดินนี้ได้ แต่บทเรียนในวันนี้ทำให้ข้ารู้ว่า ข้าถือดีเกินไป ข้าหลอกตัวเอง ข้าไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้แม้แต่ความคิดของเสด็จพ่อ อีกทั้งยังถูกขับไล่ออกจากพระราชวัง ข้าล้มเหลวถึงเพียงใดกัน ทำได้เพียงมองสถานการณ์เลวร้ายลงไปเรื่อยๆ”

เขาถอนหายใจ พลันส่ายหน้าอย่างท้อแท้

เขาไม่เชื่อว่าเสด็จพ่อจะทรงมองสถานการณ์ไม่ออก

ทั้งที่รู้ว่าการเปิดศึกกับขุนนางตระกูลใหญ่ สุดท้ายแล้วจะทำร้ายทั้งสองฝ่าย แต่พระองค์ยังทรงยืนกรานในความคิดของตนเอง

เพราะเหตุใด

ไม่ใช่เพียงเพราะศักดิ์ศรีของจักรพรรดิ เพื่อระบายความโกรธ เพื่อให้ตระกูลขุนนางเห็นดีหรือ

การกระทำนี้เหมือนสตรีที่มีวิสัยทัศน์สั้น เห็นเพียงแต่ผลประโยชน์ตรงหน้า มองไม่เห็นผลประโยชน์ในระยะยาว

แผ่นดินเกิดสงครามขึ้นทุกหนแห่ง

เวลานี้ต้องการตระกูลขุนนางออกแรงและคนในการบรรเทาภัยพิบัติ

ถึงแม้ตระกูลขุนนางจะออกแรงน้อยมาก แต่ก็ดีกว่าปล่อยให้พวกเขาแอบให้ความช่วยเหลือโจรกบฏ สร้างความเดือดร้อนให้ราชสำนักเป็นร้อยเท้า

เหตุผลที่ง่ายดายเช่นนี้ ไม่มีทางไม่เข้าใจ

ทั้งที่ต้องการความช่วยเหลือจากตระกูลขุนนาง แต่พระองค์ก็ใช้วิธีที่เย็นชาที่สุดผลักแรงช่วยเหลือนี้ออกไป

อยากระบาย อยากฆ่าคน มีโอกาสมากมายในภายหน้า

เหตุใดจึงรอไม่ได้ รอให้พายุสงบลงก่อน ค่อยคิดบัญชีย้อนหลัง

เขาหมดแรง!

ความรู้สึกหมดเรี่ยวแรงทรมานหัวใจของเซียวเฉิงเหวิน

เรื่องที่ทำให้เขาโกรธมากยิ่งขึ้นคือเซียวอี้รั้งรถม้าของเขาในระหว่างทาง

สีหน้าของเซียวอี้ดำทะมึนด้วยความอาฆาต

เขายืนอยู่ด้านนอกรถม้า พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าเคยบอกว่า หากจวนท่านอ๋องตงผิงตายแม้แต่ผู้เดียว ข้าจะคิดบัญชีกับท่าน เมื่อคืน จวนท่านอ๋องตงผิงตายยี่สิบเอ็ดคน บาดเจ็บเกือบร้อยคน บัญชีนี้ข้าจะคิดกับท่านทั้งหมด”

เฟ่ยกงกงโกรธจัด “นายน้อยอี้ ท่านอย่าได้ก่อกวนสุ่มสี่สุ่มห้า เรื่องเมื่อคืนไม่เกี่ยวกับองค์ชายของข้า”

“ไม่เกี่ยว?” เซียวอี้หัวเราะเสียงเย็น เขาชี้ไปที่เซียวเฉิงเหวิน “ท่านคิดว่าตนเองฉลาดเฉลียวไปด้วยสติปัญญา สามารถควบคุมสถานการณ์ของแผ่นดินและราชสำนักได้ เวลานั้น เหตุใดท่านจึงไม่บอกว่าเรื่องในราชสำนักไม่เกี่ยวกับท่าน คราวนี้สถานการณ์เกินควบคุม ท่านก็รีบปัดความรับผิดชอบ บอกว่าไม่เกี่ยวกับท่าน หากไม่เกี่ยวกับท่านจริง ท่านก็ไม่ควรแอบแทรกแซงเรื่องของราชสำนักตั้งแต่แรก ท่านวางหมากทีละก้าว ผลที่เกิดขึ้นในวันนี้ ท่านเซียวเฉิงเหวินก็ควรมีความรับผิดชอบ ท่านอย่าคิดจะปฏิเสธความรับผิดชอบ”

เฟ่ยกงกงยังอยากโต้เถียง แต่กลับถูกเซียวเฉิงเหวินห้ามเอาไว้

เขาเผชิญหน้ากับเซียวอี้ “เจ้าพูดถูก เรื่องเมื่อคืนมีความรับผิดชอบของข้าส่วนหนึ่ง นับแต่ที่สถานการณ์เริ่มผิดไปจากแผนการ ข้าก็ควรตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว แต่เพราะความกังวลต่างๆ ทำให้พลาดโอกาสในการกอบกู้ที่ดีที่สุดไป เวลานี้ สถานการณ์อยู่เหนือการควบคุมอย่างสิ้นเชิง ในเวลานี้ข้าก็หมดหนทางเช่นเดียวกัน

จวนท่านอ๋องตงผิงมีคนตาย เจ้าคิดว่าเป็นความผิดของข้าทั้งหมด ข้าไม่โทษเจ้า เจ้าคิดจะทำอันใดก็แล้วแต่เจ้า ข้าจะรับเอาไว้ แต่เพียงแค่ข้ายังมีชีวิตอยู่วันหนึ่ง ข้าก็จะกดขี่เจ้าเอาไว้ ป้องกันเจ้าเอาไว้ เจ้าอย่าคิดจะก่อปัญหา ท่านโหวผิงอู่ สืออุนจะอยู่ได้เพียงในอวี้โจว หากเขาบังอาจแทรกแซงทางเหนือ แทรกแซงเมืองหลวง ข้าจะตัดมือของเขา รวมถึงเจ้าด้วย”

เซียวอี้หัวเราะด้วยความเย้ยหยัน “หากท่านมีความสามารถ ท่านก็ไปประหารผู้บงการเมื่อคืน ท่านมีความกล้านั้นหรือไม่ ท่านกล้าแต่เพียงรังแกผู้ที่ต่ำต้อยกว่า เกรงกลัวผู้ที่มีอำนาจกว่า ท่านก็ทำได้เพียงเท่านี้ แต่ข้าไม่มีทางต่ำต้อยตลอดไป สักวันหนึ่งข้าจะให้ท่านได้ชดใช้สิ่งที่ท่านพูดในวันนี้”

เซียวเฉิงเหวินเผยยิ้ม “ข้าไม่มีทางปล่อยให้เจ้ามีโอกาสเติบใหญ่ขึ้นมา เจ้ารอก่อน ข้าจะฆ่าเจ้า!”

“ดี ข้าจะรอท่านมาฆ่าข้า! แต่ก่อนที่จะฆ่าข้า ท่านคิดเสียก่อนว่าจะฆ่าผู้บงการเรื่องเมื่อคืนได้อย่างไร”

“เจ้าวางใจเถิด ข้าไม่ใช่เจ้า เจ้ากล้าแต่เพียงผลักความรับผิดชอบมาให้ข้า แต่ข้ามีความกล้าที่จะไปหาผู้บงการ เจ้ากับข้า เจ้าต่างหากที่กล้าแต่จะรังแกคนต่ำต้อย เกรงกลัวผู้มีอำนาจ”

เซียวเฉิงเหวินเสียดสี

เซียวอี้หัวเราะเสียงเย็น “อย่าเอาชนะข้าเพียงวาจา ข้ารอการเคลื่อนไหวของท่าน อย่าได้ให้คนดูถูกท่าน!”

พูดจบ เขาก็ควบม้าหายลับไปในตรอกอย่างรวดเร็ว

เฟ่ยกงกงพูดด้วยความโกรธ “โจรชั่วเซียวอี้ไร้ซึ่งกฎบ้านกฎเมือง บังอาจดูหมิ่นองค์ชาย สมควรประหารเขา”

เซียวเฉิงเหวินโบกมือเป็นเชิงบอกให้เฟ่ยกงกงอย่าพูดจาเหลวไหล

“เมื่อคืนกองทัพเหนือได้รับพระราชโองการเท็จ ปลงพระชนม์เชื้อพระวงศ์ตามรับสั่ง ตามหลักแล้วอีกฝ่ายควรให้กองทัพเหนือประหารขุนนางเชื้อพระวงศ์ที่มีอำนาจอยู่ในมือเสียก่อน เหตุใดจึงวิ่งไปปลงพระชนม์เหล่าท่านอ๋องที่สูญเสียอำนาจแล้ว เพราะจำจวนผิด หรือว่าสังหารผิดคน หรือว่าตั้งใจ”

“หรือผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังไม่สนใจว่าผู้ใดจะตาย เพียงแค่สังหารคนได้ก็พอแล้ว”

“ไม่ถูก เจ้าลองนึกถึงตำแหน่งที่ตั้งของจวนท่านอ๋องตงผิง ถึงแม้จะต้องการเพียงสังหารคน แต่ก็ควรสังหารตระกูลอื่นในตรอกเดียวกัน สุดท้ายจึงถึงคราวของจวนท่านอ๋องตงผิง เรื่องนี้มีความผิดปกติ!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด